TOMORROW I WILL KISS YESTERDAY'S YOU
ทุกความสัมพันธ์มีขอบเขตของมัน ลึก ๆ แล้วเราทุกคนรู้อยู่แก่ใจว่าต่อให้ใกล้ชิดกันแค่ไหน ก็มีเส้นเขตที่ไม่ควรก้าวล้ำเข้าไป
ใช่.....
ผมไม่ควรจูบตอบเขาเลยจริง ๆ
จะเรียกว่าเพื่อนนอน คู่ขา คู่นอนอะไรก็ว่าไป มันก็ถูกทั้งนั้นแหละ ความหมายตรงตัวขนาดเสียขนาดนี้ เริ่มจากเจอกันที่บาร์ มองหน้ากันไม่ครึ่งนาทีก็ชวนกันเปิดห้องแล้ว ดูเหมือนจะฉาบฉวยและง่ายที่สุดแล้ว ถ้ามันไม่ใช่ว่าเราแลกเบอร์ติดต่อกันจนมันมีครั้งที่สอง สาม สี่ และอีกหลาย ๆ ครั้งตามมา
แต่ถึงอย่างนั้นความสัมพันธ์ของผมกับเขาก็ชัดเจน แค่เอากัน เท่านั้นพอ และเอากันที่ว่านี่ไม่รวม “จูบ” อยู่ในนั้น แน่นอนว่าเขาโอเค ที่ขอเขาเอาไว้ว่าไม่จูบดีกว่า เพราะมันทำให้ผม “รู้สึก” มากเกินไป มากโดยไม่จำเป็นกับเพื่อนนอน แน่ล่ะว่าเหตุผลนี้ผมไม่ได้บอกเขาไปหรอก
ใช่ว่าผมไม่ชอบหรือไม่เคยจูบมาก่อน กลับกันผมชอบมันมาก แต่คนที่ผมเคยจูบด้วยเป็นคนรักของผม คนที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้แก่กันไม่ใช่แค่ความใคร่ เพราะผมรู้สึกว่ามันถ่ายทอดความรู้สึกรักได้ดีมากกว่าการสัมผัสกายอื่น ๆ
ดังนั้นผมถึงคิดว่าไม่จูบคู่นอนจะดีกว่า เพราะทั้งพวกเขาและผมนั้นไม่ได้รักกัน มีเพียงความใคร่ให้แก่กัน และคู่นอนก็ควรเป็นแค่คู่นอน
อาจจะดูสาวน้อยไปหน่อย แต่ผมคิดอย่างนั้นจริง ๆ นะ ใคร ๆ ก็มีเรื่องที่อยากละไว้ใช่ไหมล่ะ
ว่ากันตามตรงแล้วเขาเป็นคู่นอนที่ตรงสเปคผมมาก สูงโปร่ง ดูสุขภาพดี หล่อเหลา แต่ที่พิเศษกว่านั้นคือนิสัยช่างสังเกตเล็ก ๆ ของเขา เขารู้นิสัยผม รู้ว่าผมชอบแบบไหน สนใจเรื่องอะไรบ้าง และเขาสุภาพน่าประทับใจเสมอ
เพราะแบบนั้นผมถึงได้ใจอ่อนยอมให้เขามาหาถึงห้อง อนุญาตให้เขานอนต่อจนถึงเช้าก็ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเราก็ไม่ได้หึงหวง ไม่ดูแลกันจนเกินพอดี ยังไม่ได้ก้าวข้ามความเป็นคู่นอนไป
.....จริง ๆ แค่นี้ก็แย่พอแล้วนะ
ที่แย่กว่านั้นคือผมรู้ตัวว่าเริ่มมีความหวั่นไหวก่อตัวขึ้นในใจเสียแล้ว
แต่คุณรู้อะไรไหม มันมีที่แย่กว่าอีก
วันนี้เป็นวันเสาร์ ผมไม่ได้ไปทำงาน นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ในห้องทั้งวันจนบ่ายคล้อย พอเคลิ้มจะหลับ โทรศัพท์ก็ส่งเสียงแจ้งเตือนขึ้นเสียก่อน เขาส่งข้อความมาว่า
‘เย็นนี้คุณว่างไหม? เดี๋ยวผมเข้าไปหา’
แน่นอนว่าผมตอบตกลงจึงลุกไปอาบน้ำจัดการตัวเองให้เรียบร้อย
พอผมออกจากห้องน้ำมาฝนก็ตก ห้องขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็กของผมดูเงียบเหงาขึ้นถนัดตา ผมเลยเปิดเพลงจากโน้ตบุ๊คทิ้งไว้เป็นเพื่อนเพราะห้องผมไม่มีโทรทัศน์
พอนึกถึงคนที่กำลังมาก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูมาเตรียมไว้ ฝนตกแรงขนาดนี้เขาอาจจะเปียกก็ได้
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเคาะประตู ผมเดินไปดูตาแมวเมื่อเห็นว่าเป็นเขาก็ปลดล็อกโซ่และเปิดประตู เมื่อเห็นหน้าผมเขาก็ยิ้มกว้างจนตาหยี หยดน้ำร่วงจากปลายผมเขาลงบนเสื้อโค้ท ผมเห็นละอองน้ำเล็ก ๆ เกาะอยู่บนเส้นผมของเขา
ก็เปียกน้อยกว่าที่คิดล่ะนะ มุมปากของผมกดยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
เมื่อเขาถอดเสื้อโค้ทออกผมก็ยื่นผ้าขนหนูให้เขา ได้กลิ่นโคโลญจ์ที่เขาใช้ประจำ เจอกันกี่ครั้งก็กลิ่นนี้ ผมหลุบตาลง ไม่กล้าสบตาเขาแล้วถามว่าอยากได้โกโก้สักแก้วไหม กลบเกลื่อนไป เขายิ้มแล้วบอกว่ารบกวนคุณแล้ว
เรานั่งคุยกัน ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันบ้าง ถึงจะเป็นเพื่อนนอนแต่เราก็รู้จักกันมาเกือบปีแล้ว ถ้าบอกว่าไม่แคร์กันเลยก็โกหกแล้วล่ะ
สายตาเลื่อนลงมาหยุดที่ริมฝีปากได้รูปติดคล้ำเพราะสูบบุหรี่ เขาเป็นคนที่ยิ้มสวยมากแล้วก็ยิ้มเก่งด้วย ไม่รู้มีเรื่องอะไรให้ยิ้มนักหนา
พอเขาหยุดพูด ทั้งห้องก็มีแค่เสียงเพลงจากโน้ตบุ๊คของผม มองหน้ากันไปมาจนผมเลิกคิ้วถามเขาว่ามีอะไร เขาหัวเราะ วางแก้วลงบนโต๊ะ ลุกขึ้นแล้วจูงมือผมไปที่เตียง
ไม่มีใครพูดอะไรอีกต่างคนต่างถอดเสื้อผ้าแล้วโถมตัวเข้าหากันทันที ตักตวงไออุ่นจากกันและกัน
ผมคว้าถุงยางและขวดเจลที่หัวเตียง ส่งให้เขาจัดการตัวเอง ส่วนผมก็หยิบหมอนมารองสะโพกตัวเอง ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว เสียงหอบหายใจปะปนกันจนแยกไม่ออก ผิวเนื้อเสียดสีกันจนร้อนผ่าว
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียงหยาดฝนกระทบหน้าต่าง หรือเพราะเพลงที่ผมเปิดทิ้งเอาไว้ หรือเพราะเราสบตากันนานเกินไป คล้ายติดอยู่ในภวังค์
เขาถึงโน้มตัวลงมาแล้วจูบผม จูบล้ำลึกอย่างที่ผมเคยทำกับคนรัก รสหวานเคล้ากลิ่นบุหรี่จาง ๆ ติดอยู่ที่ปลายลิ้น แม้ใจจะร้องเตือนว่านี่ไม่ดีแล้ว แต่ร่างกายผมเลือกที่เมินเฉยเสียงนั้นไปแล้วโอบรั้งเขาเอาไว้เสียอย่างนั้น
พอเขาผละตัวออก มือที่เคยรั้งท้ายทอยเขาเอาไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปวางที่ไหนเสียอย่างนั้น เหมือนมันอยู่ผิดที่ผิดทางไปเสียหมด แล้วผมก็ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยด้วยการเอื้อมมือไปโอบรอบลำคอเขา ลูบไล้ ออดอ้อนร้องขอให้เขาจูบผมอีก
แล้วเขาก็ทำมัน เสี้ยวหนึ่งในตัวผมกู่ร้องอย่างพึงใจก่อนจะละลายไปด้วยรสจูบของเขา
ในระหว่างนั้นเขาไม่ได้หยุดขยับสะโพกเลยกลับแนบแน่นหนักหน่วงขึ้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อให้ไม่ได้ประกบปากกัน หน้าเราก็แทบไม่ออกห่างกันอีก เป็นครั้งแรกที่เรามีอารมณ์ให้กันขนาดนี้
ได้ยินเสียงตัวเองคำรามในลำคอเมื่อเขากระแทกลึกเข้ามา มือสอดขยุ้มเข้าไปในกลุ่มผมนุ่มของเขาเมื่อฟันคมกัดลงบนเนินอก
จะให้โวยวายว่าจูบทำไมก็ใช่เรื่อง ในเมื่อผมสมยอมให้จูบ ร้องขอจากเขาเอง แถมยังยกขากอดเกี่ยวเขาให้แนบชิดมากว่าเดิมอีก
ต่างคนต่างได้ปลดปล่อย ท่ามกลางความสุขสม ความปวดใจก็ตีตื้นขึ้นมา
มันควรแล้วหรอ? กับความสัมพันธ์ที่ไม่มีอะไรจริงจังเลย เราต่างมีทางเลือกเป็นของตัวเอง นั่นคือไม่ผูกมัดใด ๆ ผมควรจะตระหนักรู้ได้ตั้งนานแล้วด้วยซ้ำ และเรื่องเมื่อครู่นี้ก็ยิ่งตอกย้ำว่าผม “รู้สึก” กับเขา
แล้วอย่างไรต่อ? ถ้าเขารู้ มันจะไม่อึดอัดกันเปล่า ๆ หรอ? นอกจากเขาจะ....คิดเหมือนผม
ผมกำลังล้ำเส้นที่ตัวเองขีดเอาไว้.....
บรรยากาศกลับเป็นปกติ เราเลือกที่จะยังไม่พูดถึงมัน ซึ่งผมก็ว่าดีเพราะผมก็ยังไม่พร้อม ยังไม่อยากถึงพูดเรื่องนี้ตอนที่ผมยังจัดการความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ส่วนเขาก็ยังเหมือนเดิม
คงมีแต่ผมที่แสดงออกว่ามัน “ปกติ” ได้ยาก
ผมไม่อยากรับว่าผมชอบ....เขา แต่ก็ไม่อยากหลอกตัวเองต่อแล้ว ขณะเดียวกันผมก็กลัวว่ามันจะซ้ำรอยเดิม
ตั้งแต่เขาลุกขึ้นไปอาบน้ำจนกระทั่งออกมา ผมก็ยังไม่ได้ขยับตัวไปไหนเลย มัวแต่นั่งมองแสงไฟจากร้านรวงใกล้ ๆ ที่บิดเบี้ยวไปตามหยาดฝนบนหน้าต่าง อยากจะคิดอยู่หรอก แต่ในหัวผมมันเบลอไปหมด
จริง ๆ แล้วผมไม่จำเป็นต้องคิดมากอยู่คนเดียวเลย คุยกับเขาตรง ๆ ก็จบ ถ้ามันไม่โอเค เขาไม่โอเค เราก็แค่ต้องหยุดความสัมพันธ์นี้ ก่อนที่ความรู้สึกดี ๆ ที่ผมมีให้เขามันจะเด่นชัดขึ้นมามากกว่านี้
และถึงตอนนั้นผมก็คงอกหักอีกรอบ...
และก่อนที่ผมจะได้คิดอะไรมากกว่านี้ ผมก็พูดกับเขาไปแล้วว่า
“ฝนยังไม่หยุดตกเลย คืนนี้คุณค้างไหมล่ะ”
เขายิ้มให้ผมแล้วตอบตกลง
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผมคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าอย่างไรเสีย เดี๋ยวคืนนี้จะหาเรื่องค้างที่ห้องเขาให้ได้อยู่แล้ว แต่เจ้าตัวเอ่ยปากชวนเองเสียก่อน ก็เข้าทางผมพอดี ก็คิดถึง อยากเจอเขามาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว แต่งานรัดตัวจนแทบกระดิกไปไหนไม่ได้ แล้วก็....อยากอยู่กับเขาไปจนถึงเช้า
.....เช้าวันต่อ ๆ ไปด้วยก็ดีนะ
ยอมรับว่าตอนชวนกันเปิดห้องครั้งแรกนั่นเพราะแค่ถูกใจเฉย ๆ อาจจะเป็นเพราะความช่างสังเกตส่วนตัว พอได้คุยได้เจอหน้ากันบ่อยขึ้นก็รู้ว่าจริง ๆ แล้วเขาเป็นคนน่ารัก ขี้เหงาแล้วก็คิดมาก
แล้วมันก็ชอบของมันไปเอง
ทำไมผมจะไม่รู้ว่าเขาคิดยังไง รู้สึกยังไง ก็เขาไม่เคยเห็นหน้าตัวเอง ไม่ได้เห็นแววตาที่เขาใช้มองผมตอนที่ถูกผมกอดนี่หน่า เขาไม่รู้ตัวหรอกว่าเก็บความรู้สึกไม่เก่งเท่าที่ตัวเองคิด ยิ่งตอนจูบนี่....
พอได้จูบแล้วก็อยากจูบอีกเนอะ
คิดถึงตรงนี้แล้วก็อดยิ้มไม่ได้
“รู้อย่างนี้ ผมจูบคุณไปตั้งนานแล้ว”
ผมกระซิบเบา ๆ แต่เจ้าตัวไม่รู้เรื่องหรอก หลับสนิทขนาดนี้
ผมนอนเท้าศีรษะตะแคงเข้าหาเขา แสงจากด้านนอกตกกระทบลงบนเตียงช่วยให้เห็นใบหน้าเขาได้ลาง ๆ ชั่งใจว่าจะทำอย่างไรกับเขาต่อดี เรื่องจีบน่ะ ว่าจะจีบอยู่แล้ว แต่ดันสติหลุดไปจูบเขาก่อน ทั้งที่ตั้งใจว่าอ่อยเขาไปเรื่อย ๆ จนเขาทนไม่ไหวกระชากผมไปจูบเอง
ตอนแรกก็กลัวจะโดนเกลียดอยู่หรอก ผมไม่แน่ใจว่าเขาถือเรื่องนี้ขนาดไหน แต่ดูจากปฏิกิริยาของเขาแล้ว ผมว่าผมรอดนะ
ก็ใครใช้ให้เขาคิดเยอะนักล่ะ ถ้าบอกจะจีบมันโต้ง ๆ ตอนที่เขายังไม่เปิดใจ เกิดโดนปฏิเสธขึ้นมาก็แย่สิ แต่มาถึงขนาดนี้แล้วไม่ต้องกลัวโดนไล่ออกจากชีวิตคนข้าง ๆ นี่แล้วมั้ง
ถึงไล่ก็ไม่ไปแล้ว บอกเขาไปตรง ๆ เลยดีกว่า ว่าเดี๋ยวจะจีบมาเป็นแฟน
แต่ให้มันเป็นเรื่องของวันพรุ่งนี้แล้วกันนะ:)
TALK : มีคนคิดเกินก่อนจ้าา5555 ที่บอกว่าน่ารัก สุภาพแสนดีน่าประทับนี่ไม่ได้โม้นะ แค่ลืมบอกว่าเป็นคนรว้าย ๆ ด้วยเฉย ๆ555555555555555555555 เอาจริง ๆ ถ้าพวกเอ็งคุยกันดี ๆ แต่แรกก็ได้เป็นแฟนกันแล้วป่ะ ปวดหัว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ