บทที่ 5
ความร่มรื่นแผ่ขยายจากแมกไม้เขียวครึ้มเหนืออาคารกิจกรรมนิสิต ตรงหน้าอาคารและใต้ร่มไม้นั้นปูไว้ด้วยอิฐตัวหนอนสีเทา สีแห่งความสงบ เท้าเปล่าของอิตถีเพศผู้หนึ่งค่อย ๆ เยื้องย่างลงไปบนอิฐทีละก้าว...ทีละก้าว เหนือข้อเท้าขาวนวลอย่างผู้ที่ไม่ค่อยเผชิญความยากลำบากเป็นกระโปรงนักศึกษาตัวยาวคลุมมาเกือบถึงข้อเท้าดูเรียบร้อยงามตายิ่งนัก
ใกล้ ๆ กันนั้น หนุ่มน้อยท่าทางเรียบร้อย ในชุดตัวหลวมโคร่งและแว่นตากรอบหนาเป็นเอกลักษณ์ของเขายืนประสานมือก้มหน้าน้อย ๆ รอเธออย่างสงบ
หญิงสาวค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น ถอนใจลึกอย่างปีติ และหันไปหาชิตตพัณอย่างใจเย็น รอยยิ้มนุ่มนวลประดับอยู่ที่มุมปาก เธอเอ่ยทักด้วยน้ำเสียงปรานี
“ชิตมีธุระอะไรกับพี่หรือเปล่าจ๊ะ”
หนุ่มน้อยช้อนสายตาขึ้นหน่อยหนึ่งก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำเมื่อพบว่าได้สบตากับหญิงสาวไปแวบหนึ่ง ราวกับว่าการจ้องใบหน้าที่แสนสงบอย่างพิสุทธิ์นั้นจะทำให้เธอแปดเปื้อนมลทิน
“ครับ อาจารย์ภานุให้ผมมาถามพี่แพรว่า ตักบาตรครั้งหน้าจะจัดขึ้นวันไหนครับ”
เธอพยักหน้าเล็กน้อย และตอบด้วยน้ำเสียงกังวานใส
“วันพฤหัสตามปกติแหละจ้ะ”
“ครับ” ชิตตพัณรับคำแต่ยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อยและมองเขาอย่างสงสัย
“เอ่อ..” เขาตะกุกตะกัก หน้าแดงขึ้นเล็กน้อย “พี่แพรทานข้าวเที่ยงหรือยังครับ ไปทานกับผมมั้ยครับ”
“อ๋อ..” เธอลากเสียงเบา ๆ สีหน้ากังวลไปนิดหนึ่ง “ชิตไปทานเถอะ พี่คงไม่ทานหรอกจ้ะ ลืมไปแล้วหรือจ๊ะว่าพี่ถือศีลแปดอยู่”
“ครับ ผมขอโทษครับ” ชิตตพัณหน้าแดงด้วยความละอาย เขาอยากจะเตะตัวเองที่ไปรับปากเรื่องบ้า ๆ แบบนี้จากเพื่อน นางฟ้าผู้แสนบริสุทธิ์แบบนี้ ไม่ควรพัวพันกับเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ เลยจริง ๆ
“ถ้าชิตไม่ว่าอะไร พี่จะขึ้นไปที่ชมรมนะ จะไปรับบุญทำความสะอาดห้องชมรมเสียหน่อย”
ชิตตพัณเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ “ไม่มีใครอยู่แล้วเหรอครับ ทำไมพี่แพรต้องทำเองล่ะ”
“ยิ่งพี่เป็นประธานชมรม พี่ยิ่งควรทำให้เป็นตัวอย่างจ้ะ พี่จะได้สอนพวกเขาด้วยการกระทำว่าบุญมีให้เราสะสมอยู่ทุกที่ พี่ทำความสะอาดห้องชมรมไป ใจพี่ก็นึกเสียว่ากำลังทำความสะอาดวิมานของตัวเอง ยิ่งทำบ่อย ๆ วิมานก็จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ฟังอย่างนี้แล้วชิตจะอิจฉาพี่หรือเปล่าไม่รู้”
ชิตตพัณยิ้มน้อย ๆ รู้สึกปีติกับความใฝ่บุญของเธอ เขายกมือไหว้สาธุ
“อนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ผมขอตัวก่อนนะครับพี่แพร” เขายกมือไหว้อีกครั้ง แต่คราวนี้ไหว้ประธานชมรมสาว แพรอาภรณ์รับไหว้แล้วส่งด้วยรอยยิ้มอ่อนหวาน ชิตตพัณเดินตัวลีบ ๆ ผ่านเธอไป
ธีรเดชยืนรอกับเพื่อนอีกสองคนอย่างใจจดใจจ่อ และรอจนกระทั่งกองหน้าของเขาเข้ามาใกล้ ธีรเดชรีบไปล็อกคอชิตตพัณหลบเข้ามาใต้ร่มอาคาร
“เป็นไงได้เรื่องมั้ยวะ แพรว่าไงบ้าง”
ชิตตพัณส่ายหน้าแทนคำตอบ ทำเอาชายหนุ่มสลดเหมือนผักตากแดด เพื่อนอีกคนที่ยืนอยู่ด้วยหัวเราะแล้วแซว
“เอาแม่ชีบาปนะโว้ยไอ้เดช”
ธีรเดชมองโกรธ ๆ ปล่อยมือที่ล็อคคอชิตตพัณออกและตอบกลับไป
“กูจีบเฉย ๆ กูไม่ได้บอกว่าจะเอา พวกมึงนี่พูดจาไม่ให้เกียรติผู้หญิง”
เพื่อนอีกคนของธีรเดชรีบเสริมทันที “เออ มึงด่าแม่ชีตกนรกแน่”
“แพรไม่ใช่แม่ชีโว้ย” ธีรเดชโวยวาย “เออ ๆ ช่างเหอะ ไปหาข้าวแดกดีกว่า” เขาตัดบท
“มึงเลิกเหอะวะไอ้เดช เดี๋ยวพระเจ้าลงโทษนะมึง”
ธีรเดชชกพุงเพื่อนเบา ๆ “ไอ้หมาปูน กูรู้นะเว้ยว่ามึงไม่อยากแพ้พนัน แต่คอยดูกูจะจีบพี่แพรให้ได้โว้ย”
คนที่ชื่อปูนหัวเราะร่า “ฮา ๆ กูจะคอยดู ผู้หญิงสวย ๆ ร่าน ๆ มีตั้งมากมึงไม่เอา เสือกอยากเอาแม่ชี กร๊าก”
ธีรเดชโกรธฮึดฮัด ลากเอาชิตตพัณออกมานอกวงแล้วเดินหนี เพื่อนอีกสองคนหัวเราะตามหลังมา เมื่อพ้นรัศมีการได้ยินของพวกนั้น ชิตตพัณก็ถามธีรเดชทันที
“สรุปว่านี่เป็นเรื่องพนันขันต่อหรอกหรือ”
“ก็งั้นแหละ” ธีรเดชตอบส่ง ๆ
ชิตตพัณไม่พอใจ เขาเบี่ยงไหล่ให้พ้นจากการโอบของเพื่อนทันที
“เป็นไรวะชิต” หนุ่มเข้มถามเมื่อรู้สึกได้ว่าเพื่อนของเขาไม่พอใจ
“นายเห็นพี่แพรเป็นอะไร”
“ประธานชมรมพุทธฯ” ธีรเดชตอบไวทันใจด้วยสีหน้าที่บอกว่าจงใจกวน
“นายเห็นพี่แพรเป็นแค่สิ่งของที่เอาไว้เดิมพันต่างหากล่ะ ผมจะไม่ช่วยนายอีกแล้วล่ะเดช ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย”
“ไม่เอาน่าชิต” ธีรเดชใช้น้ำเสียงอ่อนลงแต่ก็กร้าวในที “ไม่ได้จะทวงบุญคุณนะ แต่เราเคยช่วยนายไว้บ้างไหมล่ะ อย่างน้อยก็ช่วยรักษาความลับที่นายไม่อยากบอกใคร ใช่ป่ะ”
ชิตตพัณชักสีหน้า เป็นสีหน้าแบบที่ธีรเดชชอบ ถึงแม้ว่าหนุ่มเข้มจะไม่ชอบทำให้ใครลำบากใจ แต่กับชิตตพัณเขารู้สึกว่าสนุกดี
“นั่นไม่เกี่ยวกัน”
“ยังไงก็เถอะ เรื่องพนันอะไรนั่นมันก็จริง แต่จริง ๆ แล้วเรามีเหตุผลอื่นอีกด้วย”
ชิตตพัณเลิกคิ้ว “เหตุผลอะไรอีก”
“ต้องให้บอกด้วยเหรอ”
เป็นครั้งแรกที่ชิตตพัณเห็นธีรเดชมีสีหน้าแดงเข้ม เขาไม่รู้ว่าจะพูดยังไงจึงถอนใจแล้วก็นิ่งอยู่
“ไปทานข้าวเถอะวะ หิวแล้ว”
ธีรเดชกลบเกลื่อนแล้วโอบไหล่เพื่อน ตบบ่ากระตุ้นให้ชิตตพัณเดินไปพร้อมกัน
ระหว่างทานข้าว ธีรเดชก็ชวนเพื่อนคุย
“ชิต ช่วยอะไรอีกอย่างได้ไหม”
“อะไรเหรอครับ”
“เย็นนี้มีเตะบอล นัดชิงแล้ว นายเล่นเก่งมาก อยากให้นายลงให้อีก”
“คราวนี้ไม่มีคนขาดไม่ใช่หรือ” ชิตตพัณถามน้ำเสียงเรียบ
“อืม อันที่จริงก็ไม่มี” ธีรเดชไม่ค่อยโกหก ยกเว้นเมื่อจำเป็น
“แล้ว..”
“แต่ว่าถ้านายลงทีมเราจะมีกำลังใจ ขนาดสาว ๆ คณะอื่นยังเชียร์เราเลย”
“เหรอ” ชิตตพัณใช้น้ำเสียงที่ปราศจากความประหลาดใจถามกลับไป เขารู้ว่าในวินาทีนั้นเขาเป็นผู้นำมวลชนที่กำลังบ้าคลั่งด้วยกิเลสตัณหา แต่เมื่อเขากลับมาเป็นคนเดิม เขากลับรู้สึกแย่กับช่วงเวลานั้น มันทำให้เขาขมขื่นเพราะเหมือนตัวตนถูกดึงกระชากจากทั้งสองฝั่ง เขาไม่ควรอนุญาตให้ตนเองปลดปล่อยความต้องการทางเพศไปมากกว่านี้ แต่การได้เป็นเป้าสนใจของคนมากขนาดนั้น ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย ทั้งคนที่ไม่รู้จักและคนที่เขาเจอหน้าอยู่ทุกวัน แค่คิดก็ทำให้เขาแข็งตัวขึ้นมาได้
อยู่ใต้จมูกของพวกแกแท้ ๆ ชิตตพัณคิดอยู่ในใจแต่ไม่พูดออกมา
ธีรเดชนิ่งรอ เขาก็เป็นนักคว้าจังหวะ เขารู้ ลึก ๆ แล้วเขารู้ว่าชิตตพัณต้องรับปาก บางทีอาจจะเป็นตัวชิตตพัณเองที่ปรารถนาอย่างลึกลับให้ธีรเดชออกปากชวน และใช่..เขาคิดว่าเขารู้ความคิดของตนเอง เขาอยากให้ความลับของชิตตพัณแตกเหมือนกัน เพราะเขาเบื่อที่ต้องคอยตอบคำถามคนอื่น ๆ แต่ในขณะเดียวกันธีรเดชกลับไม่รู้ว่าเหตุผลที่ทำให้ตนเองยับยั้งชั่งใจไม่บอกเล่าเรื่องนี้กับใคร ก็เพราะว่าเขาเองก็ต้องการความลับ แม้ว่ามันจะเป็นความลับของผู้อื่น แต่เมื่อมีเขารู้อยู่คนเดียว มันก็คือความลับของเขา
“ก็ได้” ชิตตพัณรับปากในที่สุด เขารวบช้อนส้อมไว้ข้างจานซึ่งมีอาหารที่ทานไม่หมดตะล่อมรวมไว้เป็นกอง “แล้วเจอกันตอนเย็นนะครับเดช”
ธีรเดชพยักหน้า เขาสับช้อนลงไปในเนื้อไก่แรงเกินความจำเป็น และนั่นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากชิตตพัณเดินจากไปจากโต๊ะอาหารแล้ว
เป็นอย่างที่คาด ชิตตพัณสะกดคนดูไว้ได้อีกครั้ง เขาลงมาในสนามพร้อมกับเสียงโห่ร้องต้อนรับจนแผ่นดินสะเทือน ชิตตพัณกำมือชูไปรอบทิศเหมือนแชมเปียน รอยยิ้มอย่างมั่นใจของเขา ทำให้คู่ต่อสู้ทั้งหมั่นไส้ทั้งหงุดหงิด ธีรเดชมองแผ่นหลังของชิตตพัณซึ่งดูเหมือนจะใหญ่กว้างขึ้นอย่างประหลาดในชุดนี้ เขามองที่คาดหัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นของเขา ตั้งแต่ชิตตพัณยึดที่คาดหัวไปคราวนั้น ธีรเดชก็ไม่เคยใส่มันอีกเลย แต่ถึงอย่างไรเขาก็ยังพกติดตัวมาด้วยตลอดเวลา
ที่รัก...ผมรู้ว่าคุณพยายามจะตีความหมายของสัญลักษณ์หลากหลายอันปรากฏอยู่ต่อตาของคุณ แต่ผมแนะนำว่าเลิกเสียไม่ดีกว่าหรือ ก็ในเมื่อบางทีมันอาจจะเป็นความสะเปะสะปะอย่างจงใจของผู้สรรค์สร้าง หรือคุณไม่เคยรู้สึกถึงความกระแดะของภาพยนตร์ที่ทำให้ดูอาร์ตเกินขีดของคำว่าวิปริต และความกระแดะของตัวคุณเองที่พยายามจะมองให้มันอาร์ต ผมว่าเรามามองแบบฟรอยด์กันดีกว่าว่าโลกนี้มันไร้ซึ่งสุนทรียะ มีแต่อารมณ์ใคร่และการตอบสนองความต้องการทางเพศ สัญลักษณ์ อักษร ภาษา มีไว้เพียงเพื่อรองรับตัณหาของสิ่งมีชีวิตที่มีช่วงเวลาเงี่ยนได้ทั้งปี
และคุณบางคนอาจจะบ่นว่าทำไมถึงมีแต่ชิตตพัณเท่านั้นที่ปรากฏตัวได้ในทุกตอนของบันเทิงคดีเรื่องนี้ ผมอาจจะต้องไปขุดกระดูกเชคสเปียร์ขึ้นมาถามว่าทำไมเขาต้องเขียนแฮมเล็ทให้เด่นในเรื่องแฮมเล็ท และทำไมเขาต้องสร้างสรรค์บุคลิกของโอเทโล่ให้สอพลอและชั่วร้ายอย่างติดตาขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าเช็คสเปียร์เป็นเกย์และเขาชอบแมงดาที่เหมือนโอเทโล่