๒
ชายหนุ่มผู้เพียบพร้อม
หลังจากจบชั้นมัธยมต้น ทัดนทีก็ต้องย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ แบบถาวร เพราะพ่อของเขาที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงราย ต้องย้ายไปประจำที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ ดังนั้นพ่อของเขาจึงตัดสินใจเซ้งร้านขายของชำให้คนอื่นทำต่อ แล้วย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ กันทั้งครอบครัวนับแต่นั้นเป็นต้นมา
เมื่อมาเรียนต่อในระดับมัธยมปลายที่โรงเรียนในกรุงเทพฯ จึงช่วยส่งให้คนที่เรียนเก่งและหัวดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างทัดนทีสามารถเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยอันดันต้นๆ ของประเทศได้อย่างสบาย และคว้าใบปริญญาเกียรตินิยมอันดับหนึ่งในสาขาวิชาวิศวกรรมอากาศยานมาได้หลังจากนั้นตามคาด นอกจากนี้ จากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่กลายมาเป็นชายหนุ่มที่ประสบความสำเร็จในชีวิตไปก้าวหนึ่งแล้ว ได้สร้างความภูมิอกภูมิใจให้กับที่บ้านเป็นอย่างมากคือ เขาสามารถสอบเข้าเป็นนักบินฝึกหัดของสายการบินสยามวิงส์ได้ก่อนที่เขาจะเข้ารับปริญญาเสียด้วยซ้ำ
เป็นเวลาสิบปีแล้วที่เขาจากเชียงของมา แม้เขาจะไม่เคยพูดให้ใครได้ยิน แต่บ่อยครั้งที่เขาจะนึกย้อนไปถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่นั่น ที่ที่เขาเคยใช้ชีวิตวัยเยาว์ กับเพื่อนที่เกิดและโตมาพร้อมๆ กัน วิ่งเล่นกันในละแวกบ้านใกล้เคียง เห็นสายน้ำโขงไหลเอื่อยอยู่ไกลๆ ทุกวี่วัน ธรรมชาติป่าไม้ดอกไม้นานาพันธุ์ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น อากาศที่กล้าจะสูดเข้าไปให้เต็มปอดอย่างไม่ลังเล กลิ่นอายของกองไฟในช่วงหน้าหนาว พร้อมกับคนที่ใช้ชีวิตอย่างไม่รีบร้อน ไม่แย่งชิง ซึ่งทุกอย่างตรงข้ามกันไปหมดกับกรุงเทพฯ ที่เขาต้องมาหย่อนช่วงชีวิตตั้งแต่เริ่มเป็นวัยรุ่นไว้ที่นี่จนบัดนี้ ถ้ามีโอกาสเขาอยากกลับไปที่นั่นอีกสักครั้ง
ทัดนทีทำงานที่สยามวิงส์มาสามปีแล้ว ปัจจุบันตำแหน่งของเขาคือนักบินที่สอง หรือที่เรียกกันว่า ‘โค-ไพลอท’ ประจำเครื่องบินลำตัวกว้างรุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายยักษ์ใหญ่จากอเมริกา ซึ่งเครื่องบินรุ่นนี้ใช้บินทั้งภายในประเทศ แถบโซนเอเชียตะวันออกอย่าง จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ไปจนถึงยุโรป
สยามวิงส์มีคู่แข่งหลักเป็นสายการบินเอกชนรายใหญ่ของไทยอย่าง
กินรี แอร์ ที่เป็นเจ้าของโดยกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวยักษ์ใหญ่อย่าง ‘โกลเด้นกินรีกรุ๊ป’ ถ้าไม่นับสายการบินแห่งชาติ สองสายนี้ก็คงจะเป็นสายการบินในฝันอันดับต้นๆ ของหนุ่มสาวสมัยใหม่ ที่ใฝ่ฝันอยากจะร่วมงานในสายอาชีพยอดนิยมอย่างนักบิน แอร์โฮสเตสและสจ๊วต
ชายหนุ่มรูปร่างสูงมาก หุ่นที่ดูดีในแบบผู้ชายรักสุขภาพยุคใหม่ควรจะเป็น แต่แปลกตรงที่ทัดนทีไม่ใช่ขาประจำฟิตเนสแต่อย่างใด ความขาวและหน้าตาที่เนียนกริบ ริมฝีปากอิ่มสีแดงเลือดฝาด ทำให้สาวคนไหนเดินผ่านเป็นต้องเหลียวกลับมามองจนคอแทบเคล็ด แต่ทัดนทีก็ไม่เคยสนใจผู้หญิงเหล่านั้น
ทัดนทีในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาว พับแขนขึ้นครึ่งหนึ่งและปลดกระดุมบนออกสองเม็ด สวมกางเกงสแล็คขายาวสีดำ สวมแว่นกันแดดราคาห้าหลัก อยู่หลังพวงมาลัยที่ตรงกลางมียี่ห้อรถเป็นรูปวงกลมขอบดำตรงกลางแบ่งสี่ส่วนสีฟ้าสลับขาว ข้างเขาคือชายหนุ่มร่างเล็กกว่าเขานิดหน่อย ในชุดสูทสีเขียวเข้มซึ่งเป็นเครื่องแบบพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินชายของสายการบินกินรี แอร์ ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน
กรเกียรติ คนรักของเขานั่นเอง
“ความจริงพี่โขงไม่ต้องอยู่รอรามก็ได้นะ รามนั่งแท็กซี่กลับเองได้” ชายร่างเล็กกว่าซึ่งเป็นพนักงานจากต่างสายการบินพูดขึ้น ขณะรถวิ่งออกจากสนามบิน
“ไม่ได้หรอก” เขาพูดขึ้นน้ำเสียงราบเรียบ ขณะตั้งหน้าตั้งตาขับรถ ทำให้อีกฝ่ายต้องรีบหันไปมองหน้าเขาอย่างสงสัย ทัดนทียิ้ม “หันไปมองข้างหลังสิ”
กรเกียรติค่อยๆ หันไปตามคำแนะนำ ก่อนจะพบกับกุหลาบสีขาวช่อใหญ่วางอยู่บนเบาะข้างๆ กระเป๋าลากของแฟนหนุ่มที่มีเสื้อสูทกับหมวกนักบินและเนคไทสีดำพาดอยู่ ชายหนุ่มตาโต ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าวันนี้คือวันครบรอบหนึ่งปีของการตกลงปลงใจคบกันของเขาทั้งสอง
“โห มีเซอไพรส์ซะด้วย” กรเกียรติพูดพลางยิ้มอย่างตื่นเต้น ก่อนจะเอื้อมไปคว้าเอาดอกไม้ช่อนั้นมาถือไว้ แล้วพินิจพิเคราะห์อย่างชอบใจ
“วันสำคัญของเรา โขงจะอยู่เฉยได้ไง”
“เพราะแบบนี้ไง เขาถึงได้รักตัวเองหัวปักหัวปำ” กรเกียรติพูดพลางยื่นมือไปดึงแก้มอีกฝ่ายอย่างเบามือ
“ไปกินข้าวกันเถอะ โขงหิวแล้ว” ทัดนทีพูดขึ้น
ทัดนทีและกรเกียรติเจอกันโดยบังเอิญขณะที่ทั้งคู่บินไปพักค้างคืนที่ญี่ปุ่น ทั้งสยามวิงส์และกินรี แอร์ได้จัดให้นักบินลูกเรือพักในโรงแรมเดียวกัน สจ๊วตหนุ่มเจอนักบินหนุ่มจากสายการบินคู่แข่งที่ทั้งรูปร่างหน้าตาและมารยาทการวางตัวที่ดูไร้ที่ติในล็อบบี้ของโรงแรม เขาจึงตกหลุมรักทัดนทีเข้าอย่างจัง จากนั้นเขาก็เริ่มเข้าหาทัดนที ความเอาอกเอาใจเก่งและช่างพูดของกรเกียรติทำให้ชายหนุ่มที่มีโลกส่วนตัวสูงและขี้เหงาอย่างทัดนทีเริ่มมีใจให้ จนในที่สุดก็ตกลงคบหากันในฐานะคนรู้ใจหลังจากนั้นเพียงไม่กี่เดือน
รังสิมันต์เพิ่งกลับมาถึงไทยในเช้าตรู่ของวันนี้ เวลาเกือบสิบสองชั่วโมงบนเที่ยวบินจากกรุงโรมประเทศอิตาลีกลับมากรุงเทพฯ ทำให้เด็กใหม่ที่เพิ่งพ้นจากช่วงการฝึกปฏิบัติงานจริงบนเครื่องบินมาได้เดือนเดียวอย่างเขาเปื่อยเป็นผักต้ม
รังสิมันต์ซุกตัวอยู่ในผ้าห่มทั้งวัน จนเสียงโทรศัพท์ปลุกเขาให้ตื่นขึ้นในตอนเย็นของวันเดียวกัน
“นอนอยู่เหรอ” เสียงปลายสายพูดขึ้นหลังจากได้ยินน้ำเสียงที่กล่าวทักทายจากเขา
“อือ ใช่ แต่กำลังจะตื่นพอดี” ชายหนุ่มตอบเสียงงัวเงีย
“ก็ควรตื่นไหมล่ะ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วครับคุณรังสิมันต์” ปลายสายประชดประชัน
“ก็คนมันเพลียนี่หน่า แล้วโทรมามีอะไรหรือเปล่า”
“จะชวนไปกินข้าว”
“ที่ไหน”
“วันนี้วันเกิดเรา จะทำปาร์ตี้อาหารทะเลกันที่บ้าน เห็นว่ากลับมาจากบินแล้ว เลยโทรมาชวน”
“อ๋อ แล้วใครไปบ้าง”
“ก็มีผากับรักษ์สองคน แล้วก็เพื่อนๆ พี่ดอยเขามั้ง”
รังสิมันต์มัวแต่นึกถึงอีกชื่อจนไม่ได้ใส่ใจฟังชื่อที่ผาเอ่ยมาเลยสักนิด “อ้าวแล้วแอร์ไม่ไปหรอ”
“แอร์ไปบินไงครับเพื่อน การเปลี่ยนแปลงของความดันอากาศบนเครื่องบินมันส่งผลต่อความจำได้เร็วขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย” อีกฝ่ายแดกดัน เพราะรู้ดีว่าตารางบินของทุกคนถูกแชร์เข้าไปในกลุ่มสนทนาของทั้งสามทางโชเชี่ยลมีเดียยอดฮิตเป็นที่เรียบร้อยตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว
“น้อยๆ หน่อยเถอะ พลาดนิดเดียวนี่กระทืบซ้ำเพื่อนตลอด”
“หยอกเล่น ไปนะ... น๊าาาา” จากน้ำเสียงเชิงถามในตอนแรกกลายเป็นน้ำเสียงลากยาวของการอ้อนวอนแทน
“ได้ ขออาบน้ำก่อนสิบห้านาที แล้วเจอกันข้างล่าง แล้วนี่ทำไมโทรมา ห้องก็อยู่แค่นี้ ปกติถ้าไม่เคาะเรียกเสียงดังเหมือนจะพังประตูก็ไม่ใช่พี่ผา”
“ผาล่วงหน้ามาก่อนแล้ว กะมาช่วยแม่เตรียมของกับสถานที่ซะหน่อย”
“อ๋อ ได้ ถ้าอย่างนั้นส่งโลเคชั่นมาให้ในไลน์หน่อยสิ”
“โอเค เดี๋ยวเราส่งให้”
ยังไม่ทันที่รังสิมันต์จะยกโทรศัพท์ออกจากหู เสียงของภูผาก็ลอดเข้ามาอีกรอบ
“แม่เราบอกว่าพี่ดอยกำลังจะกลับจากสนามบิน แล้วต้องผ่านมาทางนั้นพอดี เลยจะให้พี่ดอยเขาแวะรับรักษ์มาด้วยเลย จะได้สะดวกรักษ์ด้วย”
“พี่ดอยเหรอ”
“ใช่ๆ อ่อลืมบอก พี่ชายเราเอง”
“จะดีเหรอ เรายังไม่รู้จักพี่เขาเลย เกรงใจ”
“เหย เอาน่า ดอยมันไม่อะไรหรอก ไม่ต้องเกรงใจมัน” ยังไม่ทันที่รังสิมันต์จะพูดะไรต่อ อีกฝ่ายก็กดวางหูไปซะแล้ว
“เอาละเหวย ลอยคอเพื่อนซะอย่างนั้น” ชายหนุ่มพึมพำก่อนจะรีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป
รถหรูคันสีขาววิ่งเข้าไปจอดในร้านอาหารชื่อดังร้านหนึ่ง ที่อยู่ไม่ห่างจากสนามบินมากนัก หากนั่งในบริเวณร้านที่เป็นโซนกลางแจ้งจะมองเห็นเครื่องบินขึ้นลงจากสนามบินไม่ขาดสาย ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่ดีไม่เบา
ชายหนุ่มสองคนเดินเข้าไปในร้านที่ตกแต่งเป็นอาคารไม้ทรงแปลกตา หลังคาที่ซ้อนเป็นชั้นเหมือนเจดีย์ในบาหลี ตั้งตระหง่านอยู่กลางสระน้ำ เหมือนเกาะเล็กๆ เกาะหนึ่ง บรรยากาศในช่วงเย็นทำให้มองเห็นพื้นที่รายรอบไปด้วยสีน้ำเงิน ตัดกับแสงสีส้มของไฟที่ประดับตกแต่งในบริเวณร้าน โต๊ะอาการที่ถูกจัดวางเป็นสัดส่วนในพื้นที่กลางแจ้ง ลมเย็นเบาๆ พัดมาประทะใบหน้า ช่วยส่งให้บรรยากาศดูโรแมนติกไม่เบา
พนักงานเดินออกมาต้อนรับทั้งคู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“ได้จองไว้ไหมคะ”
“จองไว้ครับ สองคน” ทัดนทีกล่าว
“ชื่ออะไรคะ”
“ทัดนทีครับ”
“อ๋อ งั้นเชิญทางนี้ค่ะ” เธอกล่าวก่อนจะเดินนำไปที่โต๊ะที่ได้จัดเตรียมไว้อย่างสวยงามประณีต “เป็นโซนระเบียงกลางน้ำนะคะ นี่ค่ะ” เธอหยุดพูดเมื่อถึงที่หมาย
ทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะสำหรับสองคน แต่ละโต๊ะจะห่างกันพอสมควร บนโต๊ะมีตะเกียงเล็กๆ ตั้งอยู่ตรงกลาง ส่องแสงสว่างสีส้มนวล กระทบกับมีดช้อนและส้อมโลหะแวววาวที่ถูกพันไว้ด้วยผ้าเช็ดปากอย่างสวยงาม
ไม่นานหลังจากนั้นอาหารก็ถูกนำมาเสิร์ฟทีละอย่างสองอย่าง โดยที่ทั้งคู่มานั่งลงได้ไม่ถึงนาที
“นี่เตรียมการไว้หมดทุกอย่างแล้วสินะ” กรเกียรติพูดพลางจ้องมองไปยังแฟนหนุ่มที่นั่งอยู่ตรงข้าง คนที่เขาคิดว่าโชคดีแค่ไหนที่ได้เป็นผู้ครอบครองแต่เพียงผู้เดียว แถมหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของอีกฝ่ายยังเหมือนอยู่ในกำมือของเขา
“วันพิเศษกับคนพิเศษ” ทัดนทีพูดพลางยื่นมือข้างหนึ่งของเขามากุมมือคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามไว้ มันไม่ได้ทำให้เขารู้สึกอะไรสักนิดที่อีกฝ่ายจำวันนี้ที่อย่างน้อยมันก็สำคัญสำหรับเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ความรักที่เขามีต่อกรเกียรติ ทำให้เขามองข้ามเรื่องเหล่านั้นไป คิดว่าเพียงเรื่องเล็กน้อยที่ไม่ควรเก็บมาใส่ใจอยู่เสมอมา
รังสิมันต์เดินออกมาจากตึกที่พักแล้วมองหารถเก๋งยี่ห้อดาวสามแฉกคันสีดำตามที่เสียงปลายสายบอกมาทางโทรศัพท์ที่เพิ่งจะวางหูไปเมื่อครู่ เขาเดินมาหยุดยืนอยู่บนฟุตบาทข้างถนนเส้นเล็กๆ ที่ใช้สัญจรในเขตพื้นที่คอนโดของเขา พร้อมกันนั้นรถสีดำคันงามก็วิ่งเข้ามาจอดลงตรงหน้าเขาพอดี กระจกฝั่งคนขับลดลงช้าๆ เผยให้เห็นชายแปลกหน้าที่อยู่ในชุดนักบิน หน้าตามีความคล้ายคลึงกับภูผามากจนแทบไม่ต้องเดาว่าใช่คนที่เขากำลังมองหาไหม ใบหน้าหล่อเหลามองเขาตาไม่กระพริบ รังสิมันต์ค้างเติ่ง รอเผื่อว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ถึงเขามั่นใจว่าคนนี้แหละคือพี่ชายของภูผา แต่ใครจะสุ่มสี่สุ่มห้าขึ้นรถคนอื่นโดยที่เจ้าของเขายังไม่ได้พูดอะไร
“เอ่อ ขอโทษนะครับ” รังสิมันต์ตัดบท สายตามองบุคคลที่อยู่ข้างหน้าอย่างละล่ำละลัก
“อ้อ โทษทีครับ เราคือเพื่อนของภูผาใช่ไหม” ชายหนุ่มยิ้มเขินๆ เมื่อเสียงของรังสิมันต์ไปทำลายความคิดบางอย่างในหัวเขา
“ใช่ครับ”
“ป่ะ ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะ” ชายหนุ่มพูดเชื้อเชิญให้เขาขึ้นรถ
รังสิมันต์นั่งนิ่งตลอดการเดินทางไปบ้านของเพื่อนตัวดี ที่ลอยแพเขาให้มากับเจ้าของบ้านอีกคนโดยที่เขายังไม่ได้รู้จักมักจี่
ความเงียบชั่วขณะหนึ่งที่เกิดขึ้นในรถที่เขาโดยสารมา ทำให้หัวของเขาเริ่มทำงานอีกครั้ง พี่ชายเป็นนักบิน ดูจากเนคไทแล้วน่าจะอยู่กินรี แอร์ น้องชายเป็นพยาบาลบนแท่นขุดเจาะที่จบมาจากเมืองนอกก่อนจะมาเป็นสจ๊วต ย้อนกลับมาดูจากรถที่พี่ชายของบ้านขับกับราคาที่เขาคาดว่าชาตินี้ก็ไม่รู้จะหาปัญญาที่ไหนซื้อได้หรือเปล่า มันทำให้เขาฉุกคิดถึงฐานะทางบ้านของภูผา ชายหนุ่มอดีตบุรุษพยาบาลคนนี้ไม่เคยเปิดเผยต่อเพื่อนมาก่อนเลย กลับกัน ภูผาเองกลับใช้ชีวิตแบบลุ่มๆ ดอนๆ กินข้าวข้างทางกับเขาและแอริน อยู่คอนโดแบบเรียบง่าย
“น้องรักใช่ไหมครับ” ชายหนุ่มพลขับถามขึ้นทำลายความเงียบ
“ใช่ครับ”
“ชื่อรักแบบความรักอย่างนี้หรือเปล่าครับ”
“อ๋อ ไม่ใช่ครับ รักษ์ มี ษ ฤาษีการันต์ต่อท้ายด้วยครับ”
“ชื่อน่ารักจัง ใครตั้งให้”
“พ่อน่ะครับ แต่ก่อนผมไม่ได้ชื่อนี้หรอก แต่ตอนเด็กผมเป็นคนค่อนข้างที่จะอ่อนแอ ซุ่มซ่าม อะไรนิดอะไรหน่อยก็ป่วย หาแผลให้ตัวเองได้ไม่มีพัก พ่อก็เลยเปลี่ยนจาก กานต์ มาเป็น รักษ์”
“อย่างนี้นี่เอง” ชายหนุ่มพยักหน้าด้วยแววตาอ่อนโยน แม้จะยังจดจ้องอยู่กับหนทางข้างหน้า “ไม่น่าเชื่อว่าจะโตมาได้น่ารักขนาดนี้” เขาพึมพำ
“อะไรนะครับ” ดังคาด เป้าหมายไม่ได้ยิน
“อ๋อ เปล่า แล้วเป็นลูกเรืออยู่สยามวิงส์หรอ” ชายหนุ่มเนียนเปลี่ยนเรื่อง
“ใช่ครับ”
“แล้วรู้จักกับผานานยัง”
“ก็ตั้งแต่เริ่มเทรนครับ ภูผาเขาเป็นคนอารมณ์ดี ชอบช่วยเหลือเพื่อน”
“หึหึ” ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ พร้อมรอยยิ้มที่มีเลศนัย
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” รังสิมันต์อดที่จะสงสัยในท่าทีแปลกไปแวบหนึ่งของคู่สนทนาไม่ได้
“เปล่าครับ” ชายหนุ่มยิ้ม รังสิมันต์เห็นเขายิ้มแบบเต็มๆ ตาครั้งแรก มันช่างเป็นรอยยิ้มที่มีพลังทำลายล้างสูงจริงๆ รอยยิ้มที่ส่งให้ดวงตาของเขาเองยิ้มตามไปด้วย เขาอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าสาวๆ คนไหนได้เห็นรอยยิ้มนี้เข้าคงจะเหมือนโดนมนต์สะกดจนละลายกองลงตรงนั้นเป็นแน่ “ยังไงพี่ก็ฝากดูๆ ผามันหน่อยนะ มันชอบเก็บความรู้สึกไว้คนเดียว ทีแรกชวนมาอยู่สายเดียวกัน แต่ผามันบอกว่าไม่อยากเจอพี่บนเครื่อง คงไม่อยากเสิร์ฟพี่มันละมั้ง” เขาพูดติดตลก
“ไม่มีปัญหาครับ”
“พี่ชื่อดอยนะ เป็นนักบินอยู่กินรี’”
“ครับ”