WATERCOLOR
#ที่พักพิงสีน้ำ
คุณคิดว่าตัวเองเหมือนสีอะไร ?
ภาคิน พิชญเดชา
CH.14
Black
ปกติสีน้ำเป็นคนที่ตื่นเช้าอยู่แล้ว อย่างวันนี้ก็เหมือนกัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ แต่พอหกโมงเช้าสีน้ำก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเอง ทันทีที่ลืมตาเพดานห้องที่ไม่เหมือนทุกวันทำให้สีน้ำยิ้มออกมา เขารู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน.. เมื่อคืนหลังจากที่ดูรูปที่ถ่ายเมื่อวานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ภาคินก็ทำเป็นเนียนล็อคประตูร้านเสร็จสรรพ มีการยืนรออยู่ที่บันไดอีกต่างหาก เอาเถอะทำขนาดนี้แล้วก็คงไม่ได้กลับบ้านกลับช่องแน่ๆ ณัฐเองก็เหมือนจะรู้พอเขาไลน์ไปบอกว่าไม่กลับ ญาติสนิทก็ตอบกลับมา
“รู้แล้วจ้า เชิญตามสบาย”
นี่เขาเองก็ไม่ใช่วัยรุ่นวัยใสอายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว แต่พอเดินเข้ามาในห้องภาคินก็รู้สึกเขินๆ ขึ้นมาบ้าง ถึงแม้จะเคยมาแล้วก็ตามเถอะ ห้องของคินก็ยังเหมือนเดิมไม่ได้เปลี่ยนไปเลย โทนสีก็มีอยู่สามสี เทา ขาว และดำ พอล้มตัวลงนอนเราทั้งสองคนคุยกันหลายเรื่อง ส่วนมากก็เป็นเรื่องของแก๊งลูกเพื่อนแม่ วีรกรรมตั้งแต่เด็กยันแก่ของแก๊งนี้ให้เล่าสามวันสามคืนก็คงไม่จบ พอเวลาล่วงเลยจนเกือบจะตีสอง ภาคินก็เริ่มจะหมดแรงแบตหมดคงเพราะวันนี้ตากแดดมาทั้งวัน สีน้ำพอเห็นท่าทางแบบนั้นเลยยกมือจับผมคินให้เข้าที่เข้าทางพร้อมกับบอกว่าให้นอนได้แล้วเพิ่งจะหายป่วยแท้ๆ ยังจะออกไปทำงานตากแดดตากลม แทนที่คนง่วงจะหลับตาตามคำสั่งกลายเป็นว่าคินสอดแขนให้สีน้ำขยับตัวมานอนซบบนอก
“เป็นแฟนเด็กแบบไอ้พอร์ชมันดีแบบนี้นี่เอง”
“ดียังไง”
“ผมอยากอ้อนน้ำเยอะๆ”
“คินไม่ได้ดูเด็กเหมือนพอร์ชกับทิม คินเจ้าเล่ห์กว่าพอร์ชเยอะ”
“แน่นอน ผมฉลาดสุดในแก๊งแล้ว”
“ผมนึกว่าคุณมิลจะเก่งสุดซะอีก หัวหน้าแก๊งเลยนะ”
“หัวหน้าแก๊งต๊อกต๋อยจะไปมีอำนาจอะไร ภาคินคนนี้ต่างหากที่ฉลาด”
“แน่ใจ”
“ชัวร์”
“แล้วคนฉลาดอย่างคินจะแพ้อะไร”
“แพ้คนอย่างคุณไง สีน้ำ”
“แพ้ผมตรงไหน”
“รู้ทันผมทุกอย่างแล้วก็…รู้วิธีที่จะทำให้ผมเป็นบ้าด้วย”
ภาคินจับมือคนที่เล่นอยู่ตรงท้องเขาให้หยุด ก่อนที่อะไรมันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ ยิ่งเจ้าตัวหัวเราะเสียงใสคินก็รู้แล้วว่าไอ้ที่มาทำให้เขาสติแตกนี่ตั้งใจแน่ๆ เลยจัดการพลิกตัวให้สีน้ำลงมานอนบนเตียงแทน พอเห็นหน้าใกล้ๆ แบบนี้ต่างคนก็ต่างหัวเราะเพราะไม่คิดว่าเราสองคนจะมีวันที่มานอนเตียงเดียวกันแบบนี้ได้ ย้อนไปเมื่อก่อนนี่พูดกันนับคำได้เลยเอาแต่วาดรูปส่งข้อความกันไปมา อยู่ร้านข้างกันแท้ๆ แต่ไม่ยอมเจอหน้ากัน สีน้ำยกมือขึ้นมาไล้ไปตามแก้มของคินก่อนที่คินจะเอียงหน้ามาจูบมือเบาๆ
“ผมนอนคนเดียวมาได้ไงตั้งหลายเดือน ทั้งๆ ที่น้ำอยู่ใกล้ๆ แค่นี้”
“ทุกอย่างก็ต้องใช้เวลา”
“เราสองคนถ้าลองนับแล้วก็นานมากแล้วนะ ผมต้องรออีกนานเท่าไหร่”
“สำหรับผมไม่มีอะไรให้คินต้องกังวลใจเลย มีแค่คินเท่านั้น”
“ผม..”
“วันนี้นอนก่อนเถอะจะตีสามแล้ว ไม่ได้นอนกันสักทีห้ามชวนคุยแล้วด้วย”
“รู้สึกว่าน้ำโตกว่าก็ตอนที่ผมโดนดุ”
สีน้ำเลือกที่จะตัดบทแล้วรั้งให้ภาคินนอนซบลงมา มือที่คอยลูบผมเบาๆ ทำให้ภาคินเลือกที่จะเงียบลง ถึงจะสงสัยในสิ่งที่สีน้ำพูดถึงก็ตาม ตอนแรกคินยังคงไม่กล้านอนไปทั้งตัวเพราะกลัวว่าสีน้ำจะหนักแต่พอนานเข้า คินก็ค่อยๆ ผ่อนคลายแล้วปล่อยทุกอย่างตามที่ใจอยากจะทำ คินกระชับกอดให้แน่นขึ้นพร้อมกับเอียงหน้ามาจูบขมับสีน้ำเบาๆ เสียงพูดอู้อี้ๆ ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องที่ดังขึ้นสีน้ำเลยต้องตั้งใจฟังอีกรอบ
“ผมสบายใจ ไม่อยากไปไหนแล้วผมอยากพักตรงนี้”
สีน้ำไม่ได้ตอบรับอะไรเพราะอีกฝ่ายน่าจะหลับไปแล้ว มันก็ตลกดีเหมือนกันถ้าใครได้เห็นภาพตอนนี้ ผู้ชายตัวโตเป็นหมีนอนซบอกเขาอยู่ สีน้ำค่อยๆ เลื่อนมือไปลูบกลางหลังคินเบาๆ คล้ายจะกล่อมให้นอนหลับ เขารู้ว่าภาคินนอกจากเรื่องงานแล้วก็ยังมีเรื่องครอบครัวที่ยังคงคิดอยู่ตลอด ถึงแม้ภายนอกจะชอบทำเป็นไม่สนใจแต่ลึกๆ คินก็ยังชอบนึกถึงเรื่องของคุณเค และเขาเองก็รู้ด้วยว่าคินกำลังทำอะไรอยู่ หลากหลายเรื่องมันถาโถมเลยทำให้คินต้องเหนื่อยมากกว่าที่เคย ถ้าตอนนี้เขาเป็นเหมือนที่พักพิงให้คินได้สีน้ำก็ยินดี ถึงแม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของคนที่ชื่อนาวาจะยังวนเวียนอยู่ในหัวเขาก็ตาม
เขาไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เท่าไหร่
แต่เวลามีความรักมันห้ามความรู้สึกกันได้ที่ไหน
พอคิดถึงเรื่องเมื่อคืนสีน้ำเลยก้มลงมองอ้อมแขนที่ยังคงกอดช่วงเอวเขาไว้แน่น ภาคินยังคงหลับสนิทลองยกมือให้หลุดออกก็ไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด แถมยังกอดแน่นกว่าเดิมอีก ตอนแรกมันก็อบอุ่นดีแต่ตอนนี้เริ่มจะเมื่อยตัวขึ้นมาบ้างแล้วเหมือนกันคินกอดแน่นซะจนหายใจแทบไม่ออก เลยต้องแกล้งตีแขนคนขี้เซาแรงๆ
“ตื่นมาก็ทำร้ายร่างกาย”
“ผมจะเป็นตะคริวตายแล้ว”
“กอดนิดกอดหน่อยทำบ่น”
“กอดทั้งคืนเลย”
“ซ้อมไว้ก่อน น้ำต้องเจอผมนอนกอดแบบนี้ทุกวัน”
“ติดเป็นตังเมเลยนะ”
“บอกแล้วว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่ติดสัมผัสมาก”
ถึงจะอยากกอดต่อแต่คินก็สงสารสีน้ำอยู่เหมือนกัน โดนเขากอดขนาดนั้นคงต้องเมื่อยตัวกันบ้างเลยต้องยอมปล่อยตัวให้สีน้ำลุกขึ้นมานั่งบนเตียงแล้วขยับแขนไปมา คินเลยกระเถิบตัวมานั่งพิงหัวเตียงพร้อมกับมองคนที่ใส่ชุดนอนผมเผ้ายุ่งเหยิงไปด้วย น่ารัก..น่ารักมากสีน้ำตอนตื่นนอนน่ารัก ไม่รู้เรียกว่าหลงหัวปักหัวปำหรือเปล่า แต่คินคิดว่าตอนนี้สีน้ำตอนนี้โคตรธรรมชาติ ท่าทางมึนๆ เหมือนเด็กเพิ่งตื่น คินเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูปไว้และเหมือนคนโดนถ่ายจะรู้ตัวเลยยกมือชูสองนิ้วแล้วยิ้มเหมือนจนตาหยี
“ส่งไปในกรุ๊ปลูกเพื่อนแม่นะ”
“อ้าวเฮ้ย!”
“เฮ้ยไร”
“สภาพแบบนี้เนี่ยนะ”
“ต้นไม้ คีตา ไอ้พอร์ชก็สภาพแบบนี้แหละเดี๋ยวน้ำคอยดู”
ทันทีที่ได้ยินสีน้ำรีบกระเถิบตัวเข้ามาหาคินที่อ้าแขนรอไว้อยู่แล้ว และมันก็เป็นอย่างที่คินว่ารามิลส่งรูปต้นไม้ในชุดนอนสีเขียวแต่สิ่งที่ทำให้แปลกใจคือเวลานี้แทนที่จะอยู่บนเตียง แต่ต้นไม้กลับอยู่ในโรงเรือนกระบองเพชร แถมในรูปเดาได้เลยว่าเพิ่งตื่นแถมในมือยังถือต้นกระบองเพชรไว้ ส่วนคนต่อมาคือเบนจามินทันทีที่เห็นรูปทั้งคินกับสีน้ำก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน เบนส่งรูปคีตาที่นั่งกอดจานอยู่ตรงเคาน์เตอร์ห้องครัว แต่ตาเรียวนั้นหลับสนิทแถมข้างๆ ยังมีน้องอันนาแมวหน้าหยิ่งที่พิงเจ้านายตัวเองหลับตาอีกตัว ยิ่งข้อความที่เบนจามินพิมพ์มายิ่งทำให้สีน้ำต้องอมยิ้ม
Ben: บอกจะตื่นมาช่วยกูทำอาหารเช้า หันมาอีกทีหลับทั้งคนทั้งแมว กูงงคนสุดท้ายคือทับทิม รูปที่ส่งมาทำให้แก๊งลูกเพื่อนแม่หัวร้อนกันหมด ทิมส่งรูปพอร์ชที่นอนอยู่บนเตียงโดยไม่ได้ใส่เสื้อดีที่ยังมีผ้าห่มคลุมไว้ รูปแรกก็ยังโอเคอยู่เพราะเป็นรูปเดี่ยวของพอร์ช แต่รูปที่สองเป็นรูปที่พอร์ชขยับมานอนบนตัวทิมที่นอนอยู่ข้างๆ แถมยังหอมแก้มทิมโชว์อีก นี่ขนาดทิมใส่เสื้อผ้าครบยังทำแก๊งลูกเพื่อนแม่หัวร้อนได้ขนาดนี้ ถ้าแก้ผ้าแก้ผ่อนกันอยู่มีหวังระเบิดลงบ้านพอร์ชไปแล้ว สีน้ำเห็นข้อความของรามิลที่บอกว่า เหมือนจะชินแต่ก็ไม่ชินเด็กผมจุกที่เคยเดินตามกูต้อยๆ หายไปไหน แล้วก็ต้องหลุดขำออกมา
“ทุกคนหวงทิมมาก จนผมสงสัยว่าพอร์ชผ่านด่านแก๊งลูกเพื่อนแม่มาได้ยังไง”
“ยาวมาก ถ้าอยากฟังน้ำต้องมาค้างกับผมทั้งเดือน”
“มหากาพย์ขนาดนั้นเลย”
“น้ำอาจจะไม่เชื่อว่าทิมกับพอร์ชผ่านอะไรมาบ้าง เพราะทุกวันนี้เห็นว่าสองคนนั้นรักกันมากใช่ไหม”
“ผมไม่เคยคิดว่าความรักมันเป็นเรื่องง่ายๆ หรอกครับ ทุกคนก็เจออุปสรรคกันทั้งนั้น”
“ผมไม่อยากเจอแล้ว”
“อุปสรรคเหรือความรัก”
“อุปสรรคสิคุณ ผมยังอยากมีความรักอยู่”
“ที่ผ่านมาเจอมาหนักเหรอครับ”
“สำหรับผมเรียกว่าหนักถึงขั้นอยากหนีไปไกลๆ เลย”
“เชียงใหม่?”
“จริงๆ อยากหนีไปยุโรปแบบเท่ๆ แต่ไม่มีตังค์”
“อดเท่เลยสินะ”
“แต่เชียงใหม่ก็ดีนะ…ไม่คิดอย่างนั้นเหรอครับสีน้ำ”
ประโยคสุดท้ายที่ได้ยินทำให้สีน้ำต้องเงยหน้าขึ้นมามอง คนที่ตัวเองนอนซบอยู่ ภาคินไม่ได้พูดอะไรต่อเพียงแค่หันมายิ้มให้แล้วก้มลงมาจุ๊บหน้าผากคนที่ยังมองเขาตาแป๋วอยู่ พอเห็นว่าสีน้ำไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรก็เลยแกล้งทำเป็นจุ๊บรัวๆ จนสีน้ำต้องยกมือขึ้นมาดันหน้าคินให้ออกไป พอเห็นว่าถึงเวลาที่ควรจะต้องลุกออกจากเตียงสักที คินเลยขอตัวไปอาบน้ำเพราะวันนี้มีธุระที่ต้องออกไปข้างนอก สีน้ำล้มตัวนอนลงบนเตียงแต่ก็ต้องลุกขึ้นมานั่งอีกรอบเพราะเสียงของภาคินที่ตะโกนออกมาจากห้องน้ำ
“น้ำมีสอนหรือเปล่า”
“ไม่ครับ วันนี้ร้านปิดณัฐมีอีเว้นท์ไปวาดรูปข้างนอก เอาพวกอุปกรณ์ไปด้วย”
“ไปกับผมไหม”
“ไปไหนครับ”
“เพื่อนผมโทรมาบอกว่ามีงานนิทรรศการพวกแสดงรูปภาพ อยากให้ผมไปดูน้ำน่าจะชอบเหมือนกัน”
“ครับ แต่เพื่อนคินจะโอเคหรือเปล่า”
“โอเคอยู่แล้ว”
พอได้ยินแบบนั้นสีน้ำก็เลยตอบตกลงก่อนจะลุกออกจากเตียงแล้วเดินดูรอบๆ ห้องนอนของภาคิน ถึงจะเคยมาแล้วแต่ก็ไม่ได้มีโอกาสได้เห็นชัดๆ เหมือนตอนนี้ สีของห้องเหมือนยกร้านมูจิมาไว้ที่นี่ไม่มีหลุดคอนเซ็ปต์ใดๆ ทั้งสิ้น สีน้ำเดินมาที่โต๊ะทำงานก็เรียกว่ารกพอสมควร มีทั้งเศษกระดาษ โน๊ตงาน และรูปถ่ายต่างๆ กระจายเต็มโต๊ะ สีน้ำมองกล่องสีน้ำตาลที่วางอยู่เดาว่าคงเป็นกล่องเอาไว้ใส่รูปถ่าย พอยกนาฬิกาขึ้นมาดูคงต้องกลับไปอาบน้ำอาบท่าบ้างแล้ว แต่อยู่ดีๆ รูปโพราลอยด์ก็ร่วงลงมาจากสมุดเล่มหนึ่ง สีน้ำเลยก้มลงไปหยิบขึ้นมาดูแต่ก็ต้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น เมื่อเห็นว่ารูปโพราลอยด์ที่เขาเห็น มันคือรูปคนเดียวกับที่เขาเห็นในคอมของภาคินเมื่อวานนี้ ทันทีที่พลิกรูปก็เห็นตัวเลขที่อยู่ด้านหลัง
“วันที่?”
สีน้ำเงยหน้ามองปฏิทินที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานแล้วพลิกรูปดูอีกครั้ง
“วันนี้….”
Watercolor
ก่อนจะไปงานนิทรรศการแก๊งลูกเพื่อนแม่ก็นัดกินกินข้าวครบทั้งแก๊ง พอถึงร้านอาหารพอร์ชก็โดนรุมทันทีเนื่องจากรูปที่ส่งมาเมื่อเช้า ส่วนคนส่งรูปอย่างทิมก็เดินตัวปลิวไปที่โต๊ะปล่อยให้แฟนสุดที่รักโดนเพื่อนรุมอยู่อย่างนั้น แก๊งลูกเพื่อนแม่ก็ยังสนุกสนานเฮฮาเหมือนเดิม สำหรับสีน้ำเขายังยืนยันตามเดิมอย่างที่เขาเคยบอก รามิลและต้นไม้ยังคงเป็นสีเขียวถ้ามองจากภายนอกก็เป็นคู่รักในอุดมคติ ภาพที่สีน้ำเห็นอยู่บ่อยๆ ต้นไม้จะคอยฟังรามิลพูด แต่การดูแลเทคแคร์เอาใจใส่ของทั้งคู่ไม่เคยลดลงเลย ไม่ว่าจะเป็นการจัดเสื้อ จัดผม หั่นอาหารหรือว่าเช็ดปากให้
“ซุปข้าวโพด”
“พี่เบนเบื่อจะตายอยู่แล้ว”
“ของโปรดมันจะเบื่อได้ยังไง”
“พี่ทำอร่อยกว่า”
“เข้าครัวไปขอเขาทำเลยนะ”
บทสนทนาที่คุ้นเคยมันทำให้ทุกคนบนโต๊ะอาหารหัวเราะ ถึงแม้จะเถียงกันทุกประโยคแต่ใบหน้าของทั้งคู่มีแต่รอยยิ้ม เบนยกมือขึ้นมาบีบแก้มเจ้าหนูที่นั่งอยู่ข้างๆ จนแก้มยุ้ยๆ นั่นบู้บี้ คีตาทำได้แค่ตีๆ ลงบนแขนของเบนจามินก็เท่านั้น คีตาหัวเราะจนลักยิ้มบุ๋มลงไปมันดูน่ารักดี บรรยากาศรอบๆ ตัวของสองคนนี้ยังคงเป็นสีฟ้าสดใสเหมือนที่เขาเคยคิด มันก็เหมาะสำหรับคู่รักนักดนตรีส่วนคู่สีแดง..
“เล่นเกมกันพอร์ช ทายสิว่าวันนี้ผมจะสั่งอะไร”
“ขอประโยคชวนเล่นเกมอีกรอบซิทับทิม”
“เล่นเกมกันพอร์ช ทายสิว่าวันนี้ทิมจะสั่งอะไร”
“สิ่งที่คนชนะจะได้”
“เลี้ยงข้าวมื้อนี้”
“กระจอก”
“ขับรถให้”
“เบสิคมาก”
“อาบน้ำพร้อมกันทั้งอาทิตย์”
“เริ่มเกมได้เลยครับ”
ถึงเป็นข้อตกลงที่ชาวแก๊งลูกเพื่อนแม่หูผึ่งแถมพอร์ชยังโดนช้อนส้อมที่วางอยู่บนโต๊ะปาใส่ แต่เจ้าตัวก็ดูหน้าระรื่นไม่เลิก ได้ยินคุณเบนบ่นเบาๆ ว่า คู่พวกมึงเป็นอะไรกับเกมนักหนาแข่งกันได้ทุกเรื่องเป็นบ้าเหรอ ที่ผ่านมาน้ำตาตกในไม่พอเหรอไงยังจะเล่นกันอีก ทับทิมที่นั่งเท้าคางหัวเราะอยู่ทำได้แค่ยกมือลูบแก้มพอร์ชเบาๆ หลังจากโดนเบนจามินที่นั่งอยู่ข้างๆ ลงไม้มือเพราะความหมั่นไส้ สีน้ำยังแอบยิ้มเมื่อได้ยินพอร์ชบ่นเบาๆ ว่าเป็นทาสของแก๊งนี้โดนทำร้ายร่างกายตลอด แต่ก็ยังไม่วายแกล้งแหย่ด้วยการเข้าไปหอมทิมให้แก๊งลูกเพื่อนแม่โวยวายไม่เลิก
“น้ำนั่งมองเจ้าพวกนี้แล้วยิ้มทำไม”
“คิดว่าจะเจอกันกี่ครั้งทุกคนก็ยังมีสีเหมือนที่ผมคิดไว้เลย”
“แล้วเมื่อไหร่ผมจะมีสี คู่เราจะเป็นสีอะไร”
“นั่นสิ ทำไมคินไม่มีสี”
“ผมไม่เหมาะกับสีอะไรเลยเหรอครับ”
“ไม่ใช่ไม่เหมาะ แต่สำหรับผมไม่รู้ว่าคินเป็นสีอะไร”
“สีรุ้งหรือเปล่า”
“มินิมอลขนาดนี้”
“แล้วผมไม่ใช่สีเทา สีขาว สีดำเหรอครับมันต้องมีสักสีในสามนี้”
“ไม่ใช่”
สีน้ำส่ายหน้าไปมาจนคินยกมือยอมแพ้เพราะว่าคุยเรื่องนี้อีกสักกี่ครั้ง เขาก็ยังไม่มีสีสักที ยังคงเป็นภาคินนายไร้สีอยู่เหมือนเดิม บรรยากาศบนโต๊ะอาหารวุ่นวายเหมือนทุกครั้งที่รวมตัวกัน พอร์ชกับคีตาแย่งเนื้อที่วางอยู่ตรงหน้ากันไม่เลิก จนต้นไม้ต้องเอามีดตีมือทั้งสองคนให้หยุดไม่งั้นเนื้อคงกระเด็นออกจากจานไม่ได้กินกันพอดี สีน้ำเลยบอกว่าต้นไม้เหมือนพี่คนโตเลยทั้งๆ ที่ตามความจริงแล้วถ้านับตามอายุแล้วเขาเป็นคนที่อายุมากที่สุด รามิลสังเกตว่าคุณสีน้ำเริ่มจะสนิทกับแก๊งลูกเพื่นแม่มากขึ้นเมื่อก่อนยังดูเกร็งๆ ไม่ค่อยกล้าคุยอะไร ตอนนี้ก็กำลังตื่นเต้นที่ต้นไม้ชวนไปเที่ยวที่ร้าน SECRET GARDEN
“มาได้เลยนะครับพี่น้ำ ทุกคนก็มาที่ร้านผมเป็นเรื่องปกติ”
“จริงครับ เวลาที่คีย์แต่งเพลงไม่ได้ก็ไปที่ร้านของพี่ไม้ พอร์ชเวลาตีกับลูกค้าก็ไปขอเต้ขับรถส่งดอกไม้ พี่ทิมก็ชอบมานั่งออกแบบแหวนที่นี่ ทุกคนเวลามีเรื่องไม่สบายใจก็มาที่ SECRET GARDEN”
“ฟังแล้วเหมือนสวนแห่งความลับในนิยายเลย”
“สวนแห่งความลับจริงๆ ครับ มานั่งมองต้นกระบองเพชรของพี่ไม้ก็รู้สึกดี”
“ไว้ผมมีเรื่องไม่สบายใจจะแวะไปหาต้นไม้นะครับ”
“SECRET GARDEN ยินดีต้อนรับครับ”
ต้นไม้พยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้ สีน้ำคิดมานานแล้วว่าต้นไม้เป็นคนที่ยิ้มสวยมากๆ หลังจากนี้คงต้องมีสักวันที่ไปวาดรูปที่ร้านของต้นไม้บ้างแล้ว สัมผัสที่แตะลงบนแขนทำให้สีน้ำต้องเงยหน้าขึ้นมามอง ภาคินตักอาหารใส่จานให้ พอเห็นอาหารที่คินตักก็ยิ้มออกมาเพราะมันเป็นของที่ชอบทั้งหมด ไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญหรือว่าภาคินรู้อยู่แล้ว แต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่คินใส่ใจอยู่เหมือนกัน คินหันไปคุยกับแก๊งลูกเพื่อนแม่ตามเดิม จนถึงตอนนี้เขายังไม่รู้ว่าสำหรับเขาและภาคินทำไมถึงยังไม่มีสีเหมือนคู่อื่นๆ แต่ก็คงมีสักวันละมั้งที่ได้รู้ว่าเราสองคนจะเป็นสีอะไร
Watercolor
หลังจากกินข้าวกลางวันที่แสนจะวุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเสียงโวยวายถกเถียงแย่งของกินของพอร์ชกับคีตา เบนจามินที่เอาแต่แกล้งพอร์ชไม่เลิก ต้นไม้บ่นรามิลเรื่องที่ชอบสั่งอาหารมาเยอะเกินไป หรือแม้แต่ภาคินที่โดนทับทิมถอนหายใจใส่เรื่องที่จำชื่อเรียกขนมหวานไม่ได้สักที แต่สีน้ำก็คิดว่ามันอบอุ่นมากแก๊งลูกเพื่อนแม่ที่คบกันมาตั้งสามขวบเจอหน้ากันแทบบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงยังมีเรื่องคุยกันมากมายขนาดนี้ สี่คนนี้คุยกันทุกเรื่องตั้งแต่เรื่องงาน เรื่องกิน เรื่องเที่ยว หรือแม้กระทั่งเรื่องความรัก สีน้ำเองก็ไม่รู้ว่าเรื่องของเราสองคนภาคินคุยอะไรบ้างกับแก๊งลูกเพื่อนแม่ แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอก เพื่อนสนิทแบบนี้คงหาไม่ได้อีกแล้ว คิดอะไรเพลินๆ ก็ถึงงานนิทรรศการที่ภาคินบอกว่าจะมาวันนี้ ดูจากป้ายหน้างานและสีของนิทรรศการน่าจะเป็นแบบที่คินชอบ เพราะมันสุดแสนจะมินิมอลเหลือเกิน
“นี่เป็นนิทรรศการแบบไหนเหรอครับ”
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพื่อนผมบอกมาถึงก็รู้เองแต่ไม่แปลกหรอกครับ ทุกทีผมมางานแบบนี้บ่อยแต่ส่วนมากจะเป็นภาพถ่ายแนวขาวดำมากกว่า แต่งานนี้เพื่อนบอกเหมือนจะเป็นรูปวาดเส้นดินสอ”
“งานถนัดคินเลยนี่”
“ครับ เพื่อนผมถึงกำชับว่าผมต้องมาให้ได้”
ทั้งๆ ที่มันเป็นประโยคธรรมดาทั่วๆ ไปแต่สีน้ำถึงได้รู้สึกแปลกๆ ภาพแผ่นหลังของภาคินที่เดินนำไปทำให้สีน้ำต้องหยุดเดิน แต่อยู่ดีๆ คนที่มองอยู่ก็หันหลังกลับมาก่อนจะยื่นมือออกมาให้จับ สีน้ำยิ้มให้แล้วยื่นมือไปจับไว้ ตลอดทางเดินคำบรรยายต่างๆ ที่ติดไว้ทำให้ภาคินเริ่มขมวดคิ้วเพราะมันมีทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษและภาษาญี่ปุ่น จนกระทั่งคินมาหยุดอยู่ตรงหน้าซุ้มทางเข้า เพื่อนที่เป็นคนบอกให้มางานก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วก็กอดคินไว้แน่นตบๆ หลังเหมือนไม่ได้เจอกันมานาน ทันทีที่คินเบี่ยงตัวให้เห็นคนที่มาด้วย สีน้ำไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือเปล่าเพื่อนของคินชะงักไปแป๊บหนึ่ง พร้อมกับทำหน้าตกใจที่เห็นเขายืนอยู่ตรงนี้
“กูนึกว่ามึงจะมาคนเดียวซะอีกคิน”
“นี่ครูสอนศิลปะเลยนะเว้ยเหมาะกับงานนี้ที่สุดแล้ว แล้วนี่งานใครเมื่อไหร่มึงจะบอกกูสักที”
“กูอยากให้มึงดูด้วยตัวเอง”
“ลับลมคมในจังวะ”
“เอาน่าเข้าไปได้แล้ว”
เพื่อนผลักหลังคินให้เข้าไปข้างใน ทันทีที่ก้าวขาเข้ามาในงานสีน้ำก็มองไปรอบๆ คนในนิทรรศการค่อนข้างเยอะพอสมควร เพิ่งเห็นว่ามันคือโปรเจกต์จบของนักศึกษาที่จบมาจากมหา’ลัยที่ญี่ปุ่น มิน่าล่ะถึงมีภาษาญี่ปุ่นอยู่ด้วย สีน้ำหันมามองคินที่ค่อยๆ เดินดูเริ่มต้นตั้งแต่ภาพแรก ทั้งๆ ที่มันเป็นภาพลายเส้นดินสอที่ดูแล้วก็รู้สึกว่าสวยมากเลยนะแต่ภาคินกลับขมวดคิ้ว แล้วรีบเดินดูรูปต่อไปโดยที่ไม่ได้หันมามองสีน้ำที่ยังคงหยุดดูรูปอยู่ พอเงยหน้าขึ้นมาภาคินก็คลาดสายตาไปแล้ว สีน้ำเลยหันกลับมามองดูรูปตามเดิม พอไล่ดูรูปมาเรื่อยๆ สีน้ำก็รู้สึกว่าภาพทั้งหมดมันดูคุ้นๆ เหมือนเขาเคยเห็นมาก่อน สีน้ำหยุดเดินแล้วย้อนกลับไปดูตั้งแต่ภาพแรก
ภาพสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในประเทศไทย
ภาพของร้านอาหาร
ภาพต้นไม้และดอกไม้
ภาพของผู้ชายที่ถือดินสอไว้ในมือ
ภาพของผู้ชายที่กำลังถ่ายรูปอยู่
ภาพของผู้ชายกำลังยิ้ม หัวเราะ ร้องไห้
และรูปที่อยู่ตรงหน้าสีน้ำตอนนี้คือรูปที่ผู้ชายคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่หน้ากระดานวาดรูปและในมือถือดินสอไว้
เขารู้แล้วว่าทำไมเขาถึงคุ้นกับภาพวาดทั้งหมดนี้ ทุกภาพทุกอย่างมันเหมือนกับรูปที่เขาเคยเห็นในคอมของภาคิน เพียงแค่รูปเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพวาดลายเส้นดินสอแทน สีน้ำขยับตัวเข้าไปใกล้ๆ ก่อนจะก้มลงมองลายเซ็นที่อยู่มุมภาพ มันเป็นคำว่าอะไรเขาเองก็อ่านไม่ออก
“เป็นรูปเรือค่ะ ลายเซ็นเป็นรูปเรือ”
“เรือเหรอครับ”
“ผลงานทั้งหมดเป็นของนักศึกษาที่จบมาจากหลักสูตรพิเศษที่ประเทศญี่ปุ่นค่ะ ส่วนที่เอามาจัดแสดงเป็นโปรเจกต์จบส่วนผลงานที่คุณกำลังชมอยู่นี้เป็นของนักศึกษาที่ชื่อ..”
“นาวา”“รู้จักเหรอคะ”
“คือ…”
“ค่ะ นาวา ปิติภูวดล”
สีน้ำไม่ได้ตอบคำถามเจ้าหน้าที่ที่กำลังอธิบายเกี่ยวกับผลงานตรงหน้า แต่พยายามมองหาคินว่าอยู่ตรงไหน ทันที่เห็นหลังของภาคินก็ยิ้มออกมาตั้งใจจะเดินเข้าไปหา แต่ก็ต้องยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเพราะภาพที่เขาเห็นตอนนี้คือภาพของคนสองคนที่กำลังยืนดูรูปอยู่ด้วยกัน คนข้างซ้ายคือคนที่เขารู้จักดีอยู่แล้วคนที่เจอหน้ากันอยู่ทุกวันแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมง ส่วนคนข้างขวาคือคนที่สีน้ำไม่เคยเจอมาก่อน แต่จากรูปถ่ายที่เห็นได้เห็นเมื่อวานสีน้ำก็ไม่เคยลืมหน้าได้อีกเลย ขนาดมองจากตรงนี้การแต่งตัวของทั้งสองคนยังเป็นโทนสีเดียวกัน พอเงยหน้ามองไปรอบๆ งาน สีน้ำก็นึกไปถึงตอนที่อยู่ในห้องนอนของภาคิน ตัวเลขที่อยู่ด้านหลังของรูปโพราลอยด์ที่เขาเจอเมื่อเช้า
วันที่ก็คือวันที่จัดนิทรรศการงั้นเหรอ..
พนักงานยังคงอธิบายผลงานให้สีน้ำได้ยินอยู่เรื่อยๆ ก่อนจะปิดท้ายด้วยว่ามีขายของที่ระลึกอยู่ตรงด้านนู้น สีน้ำเอ่ยขอบคุณพนักงานที่ขอตัวเดินไปทางอื่น ตอนแรกตั้งใจจะรอให้ทั้งสองคนคุยกันเสร็จก่อนแต่ท่าทางจะนานกว่าที่คิด สองเท้าค่อยๆ ก้าวเข้าไปหาภาคินและเจ้าของผลงานทั้งหมดในนิทรรศการนี้ แต่บทสนทนาของทั้งคู่ทำให้สีน้ำเลือกที่จะหยุดเดิน
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“เดือนที่แล้ว”
“ไม่เห็นบอกเลย”
“เซอร์ไพรส์ไงไม่ว๊าวเหรอวะจริงๆ ก็เขียนวันที่บอกไว้นะ คินจำไม่ได้เองมากกว่า”
“ก็มันนานมาแล้ว”
“เป็นไงผลงานระดับนี้ ภาคิน..ฝีมือวาดรูปเราดีขึ้นยัง”
“นาวา..”
สีน้ำไม่ได้ฟังบทสนทนานั้นต่อคิดว่ามันคงเป็นเรื่องของเขาสองคนมันคงไม่ดีถ้าเขาจะเข้าไปตอนนี้ ใบหน้าของภาคินที่สีน้ำเห็นอยู่ทุกวันยังคงนิ่งเฉย มีบ้างที่หลุดยิ้มเวลาที่คุณนาวาอธิบายรูปภาพที่ตัวเองวาดให้ฟัง สีน้ำมองไปรอบๆ นิทรรศการ ภาพวาดลายเส้นทั้งหมดในงาน เขาเองก็เห็นบ่อยๆ เพราะมันเหมือนภาพวาดที่วางขายอยู่ที่ร้านของภาคิน ยอมรับเลยว่ามันเป็นงานที่ตัวเองไม่ถนัด จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าตัวเองวาดรูปลายเส้นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
พอมาเห็นด้วยตาตัวเองแบบนี้ เรื่องราวที่คุณรามิลเล่าให้ฟังมันยิ่งทำให้สีน้ำเข้าใจแล้วว่าทำไมคินถึงได้ตัดสินใจที่ก้าวข้ามคำว่าเพื่อน ภาพของทั้งสองคนที่ยังคงยืนดูรูปอยู่ด้วยกันพร้อมกับบทสนทนาที่เขาเองไม่เข้าใจสักนิด สีน้ำเลยเลือกที่จะเดินไปเลี้ยวไปตรงซุ้มขายของที่ระลึกแทน เจ้าหน้าที่แนะนำของที่ระลึกหลายอย่าง ตอนแรกสีน้ำไม่ได้ตั้งใจจะซื้อหรอกแต่พอเห็นเจ้าหน้าที่คิดว่าน่าจะเป็นนักศึกษาอธิบายอย่างแข็งขันก็เลยเปลี่ยนใจ
“มีถุงผ้า แก้วน้ำ แล้วก็โปสการ์ดค่ะสนใจอันไหนเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“โปสการ์ดครับ”
“มีสามสีค่ะ สีขาว สีเทา แล้วก็สีดำ”
สีน้ำมองโปสการ์ดสามสีที่วางเรียงกันอยู่ บอกตามตรงเขาไม่ค่อยมีโปสการ์ดที่มันสีโทนนี้สักเท่าไหร่ ส่วนมากก็เป็นลายที่มีสีสัน ไม่ก็เป็นลายที่เขาวาดเองซะมากกว่า แต่ถ้าจะให้เลือกสีใดสีหนึ่งในตอนนี้ล่ะก็..
“สีดำครับ ผมขอโปสการ์ดสีดำ”ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงเลือกสีนี้ ก็แค่คิดว่าวันนี้สีดำก็สวยดีเหมือนกัน
..................
.........................................