[รบ]
ธนูมันกำลังงอแง...
ผมไม่อยากจะใช้คำที่ขัดกับรูปร่างสูงยักษ์ของมันหรอกนะครับ แต่ไอ้นั่นมันงอแงอยู่จริงๆ เนื่องจากพ่อของมันเทมันกลางคัน มันจึงส่งข้อความมาโวยวายกับผม หนำซ้ำยังเรียกให้ผมไปหาตรงสตูดิโอสำหรับซ้อมตีกลองชุดของมันอีก มันบอกว่าใกล้ๆ ผมขับรถแป๊บเดียวก็ถึง...
แต่กูกำลังทำงานให้มึงอยู่นี่ไง มึงจะมาเอาแต่ใจอะไรวะ
ระหว่างที่ผมกำลังเถียงกับไอ้ธนูอย่างสุดใจผ่าน Dm โฮมก็ยื่นหน้าออกมาจากครัวพร้อมๆ กับส่งข้าวกล่องสองกล่องมาให้ผม
“ข้าวไอ้ธนูอ่ะ” มันพูด ตั้งท่าจะกลับเข้าครัว
“เดี๋ยว…มึงเอามาให้กูทำไม” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ
“ธนูบอกว่ามึงจะเป็นคนเอาข้าวไปส่งมันที่สตูฯ”
ผมรับปากมันตอนไหนวะ…ไอ้บ้านั่นคงไม่ชอบถูกขัดใจล่ะสิท่า ถึงได้มาเอาแต่ใจและก็ลงกับผมแบบนี้
ผมทอดถอนใจก่อนจะมองถุงข้าวกล่องในมือ…แม้ว่าปากจะบอกมันไปแล้วว่าผมไม่ไป แต่ท้ายที่สุดแล้วผมก็ต้องไปอยู่ดี
จะว่าไปแล้วตั้งแต่รู้จักกับแม่งมา…ผมก็ยังไม่เคยเห็นแม่งตีกลองให้เห็นสักทีนะ ตอนเรียนในมอมันก็ชอบเก็บตัวในห้องซ้อม เวลาที่คณะหรือเอกมันมีกิจกรรม…ผมก็ไม่เคยเห็นมันจะเป็นมือกลองให้กับงานอะไรสักที
ไม่แน่ว่า…มันอาจจะเท่ฉิบหายวายป่วงก็ได้
ผมเริ่มมองเห็นประโยชน์จากการไปส่งข้าวกลางวันให้ไอ้ธนูในตอนนี้นิดหน่อยแล้วล่ะ
สตูดิโอแห่งหนึ่ง
มันเป็นสตูดิโอซ้อมดนตรีที่ค่อนข้างหรู เรียบ เงียบ และเป็นส่วนตัว ทันทีที่ผมโผล่หน้าเข้าไป พนักงานสาวที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ก็ต้อนรับผมในทันที
“คุณธนูอยู่ห้องซ้อมที่สี่ค่ะ”
เอ่อ…ทำไมเธอถึงรู้ล่ะ
ผมส่งยิ้มให้เธอก่อนจะเดินไปยังสตูฯ ห้องที่สี่ แม้จะเป็นห้องเก็บเสียง แต่คนที่อยู่ภายในห้องก็ตีกลองเสียงดังมากพอที่จะทำให้คนภายนอกได้ยินอยู่บ้าง
ขอลองแอบส่องผ่านกระจกที่ประตูสักนิดก่อนดีกว่า
ธนูมันกำลังตีกลอง…ไม่สิ เรียกว่ามันกำลังทำร้ายกลองอย่างบ้าคลั่งน่าจะถูก เหงื่อที่ไหลออกมาตามใบหน้าและเส้นผมที่เปียกชุ่มเป็นหลักฐานบ่งบอกเรื่องที่ว่ามันออกแรงตีกลองอย่างหนักหน่วงมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว
โห เซ็กซี่…
เอ่อ ไม่ใช่สักหน่อยยย
ดวงตาของมันมองเห็นผม หลังจากนั้นมันก็โยนไม้กลองทิ้งและก็ลุกมาเปิดประตูให้ด้วยความไวแสง
“หิวขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมท้วงขำๆ มันส่ายหน้าดิก
“เปล่า กำลังเซ็งๆ”
“…”
“เห็นหน้ามึงแล้วหายเซ็ง”
แม่งพูดจริงป่ะเนี่ย…ถ้าจริงอย่างที่มันพูดล่ะก็ ผมจะได้รู้สึกดีขึ้นกับการมาหามันกลางเวลางานแบบนี้หน่อย
มันนั่งลงกับพื้นอย่างคนชิลๆ เปิดกล่องข้าวทั้งสองกล่องเตรียมกิน กล่องแรกเป็นข้าวที่มีแต่ผักและก็ผัก ส่วนกล่องที่สองก็เป็นพวกฟักทองนึ่งอะไรเทือกๆ นั้น
เข้าใจแล้วว่าทำไมมันหุ่นดีขนาดนี้…เพราะมันไม่ยอมปล่อยเนื้อปล่อยตัวสักวินาทีเลย
“งั้น…กูไปนะ” ผมบอกลาอย่างเก้ๆ กังๆ
“จะรีบกลับทำไม”
“งาน…ไง” ทำไมมีแต่ผมที่ห่วงเรื่องงานกันนะ ทั้งๆ ที่หน้าที่นี้ควรเป็นของไอ้ธนูแท้ๆ
มันหรี่ตามองผม…ก่อนจะเอ่ย “กูจะให้มึงทำอะไรสักอย่างก่อนไป”
“อะไรวะ”
“จะนั่งดูกูกินจนเสร็จ หรือจะเข้ามาจูบปากกู…เลือกเอา”
เหี้ยไรวะนั่นน่ะ…
“อย่างหลังทำเสร็จจะได้กลับทันทีเลยนะ” มันนั่งด้วยท่าสบายๆ พร้อมกับมองจ้องเขม็งมาที่ผมคล้ายกับเชิญชวนและรอคอย
ผมที่ยืนอยู่ติดกับประตูถึงกับงงงันปนเคอะเขิน
“อยากอยู่กับกูให้นานกว่านี้หรืออยากกลับทันที…เลือกเอาเองก็แล้วกัน”
“ถ้ากูไม่เลือกล่ะ” ไม่มีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ผมต้องยอมนี่หว่า
ธนูทำสีหน้าที่รู้อยู่แล้วว่าผมจะปฏิเสธมัน...มันเปลี่ยนท่านั่งเป็นขัดสมาธิ จากนั้นก็เริ่มตักข้าวในกล่องขึ้นมากิน
เอ่อ...บทสนทนาระหว่างผมกับมันนี่มันจบลงแล้วเหรอ
แล้วผมต้องทำยังไงต่อ...
ธนูกินข้าวเงียบๆ สลับกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลื่อนไอจีดูเล่นๆ ผมรู้สึกไม่สบายใจที่มันเงียบไป จึงลองเลียบๆ เคียงๆ เข้าไปยืนใกล้ๆ มันดู ดูจากสีหน้าของมันแล้ว...ผมขอสารภาพตามตรงว่าผมไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่
แต่อย่างน้อยในจอมันก็เป็นอินสตาแกรมนักรบสปาตันของผมล่ะวะ
“ส่องไรอ่ะ” ผมแซวแล้วทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ
“ไปไกลๆ เลย” มันทำเสียงงอนในแบบของมัน
มึงไม่ได้น่ารักเลยสักนิดดดดดดด
“เชี่ย งอนไรเนี่ย” แต่ก็นั่นแหละ...มันงอนผมก็ต้องง้อ ยังไงผมก็แคร์มันฉิบหายอยู่ดี
“ไม่อยากอยู่กับกูไม่ใช่เหรอ”
จะให้ผมต้องพูดย้ำเรื่องนี้กี่ครั้งกันนะ... “ที่กูทิ้งมาน่ะมันคืองานที่มึงจ้างกูนะ”
“มึงไม่ต้องเอางานมาอ้างเลย...ในเมื่อมึงไม่สนใจเจ้านายของมึงอย่างกู”
แม่ง...มันงอนจริงๆ หรือว่างอนเล่นๆ กันแน่เนี่ย
ผมพ่นลมออกมาเล็กน้อยก่อนจะใช้นิ้วสะกิดมัน มันหันหน้ามาในองศาที่พอเหมาะพอเจาะกับการที่ผมจะขยับริมฝีปากเข้าไปแตะริมฝีปากของอีกฝ่าย
แต่เมื่อผมทำแบบนั้น...ผมก็ไม่ได้คิดในหัวเลยสักนิดว่าธนูมันจะมีปฏิกิริยาโต้ตอบที่เร็วมาก มันไม่ยอมให้ผมขยับใบหน้าของตัวเองถอยออกไปง่ายๆ หนำซ้ำมันยังรั้งท้ายทายของผมเอาไว้เพื่อให้จูบของเราทั้งคู่เนิ่นนานมากขึ้นกว่าเดิม
มัน...หวานกับผมอีกแล้ว
ราวกับว่าริมฝีปากของผมคือสิ่งที่มันต้องการมากกว่าอาหารสองกล่องนั่นซะอีก เพราะมันเอาแต่ใช้ปากชิมไปทุกซอกทุกมุมของปากผม แถมมันยังใช้ลิ้นเข้ามาสัมผัสรสหวานในโพรงปากของผมอย่างนักจูบมืออาชีพอีกต่างหาก
ผมทรงตัวแทบไม่อยู่...จากที่นั่งยันเข่าสูงกว่ามันตอนนี้ผมต้องขยับตัวลงมาให้นั่งระดับเดียวกันกับมันแล้ว
ธนูผละใบหน้าออกไปตอนที่ผมตั้งใจจะจูบกับมันต่อ...มันยิ้มเผล่เมื่อเห็นสีหน้าเหวอปนงุนงงของผมพร้อมกับเลียริมฝีปากของตัวเองเบาๆ
“รู้สึกอิ่มยังไงไม่รู้” มันทำท่าลูบท้อง “มึงกลับไปได้แล้ว”
ไม่...ยังไงผมก็ไม่มีทางให้มันกระหยิ่มยิ้มย่องในใจได้นานนักหรอก
“ขอสักทีเถอะ” ผมยกเท้าขึ้นมาเตรียมจะถีบมัน แต่ไอ้ธนูมันก็คือไอ้ธนู...แม่งจับขาผมเอาไว้ไม่ให้ผมทำแบบนั้นได้อย่างโคตรไว
“คิดจะทำร้ายร่างกายกูเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“สงสัยอยากจูบอีกสินะ...ก็ได้ มาๆๆ” มันปล่อยขาผมจนตัวของผมเซล้ม ก่อนจะค่อยๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้
“มึงจูบอากาศไปเหอะ” ผมเตรียมลุกหนี แต่ธนูมันดึงแขนผมให้พุ่งกลับเข้าไปหามันอีกรอบ
มันกอดผมไปหมดทั้งตัว จากนั้นมันก็...นั่นแหละ จูบหวานเต็มเม็ดเต็มหน่วยอีกครั้ง
มันผละออกแล้วมองหน้าผมด้วยสายตาเอ็นดู ผมผลักหน้ามันออก ในที่สุดผมก็ลุกขึ้นยืนได้อย่างจริงจังสักที
หัวใจของผมเต้นเร็วอย่างกับจังหวะกลองที่ไอ้ธนูมันตีเมื่อสักครู่นี้
“เจอกันตอนเย็น” มันพูดยิ้มๆ ระหว่างที่ผมเดินไปที่ประตู... “ฝากร้าน...ฝากเพื่อนๆ ด้วยนะ”
“รีบๆ กลับไปเลย” ผมเสียงดังใส่มันทิ้งท้าย
“คิดถึงก็บอก”
ผมยิ้มมุมปาก แล้วยอมรับ... “เออ กูคิดถึงมึง”
หลังจากที่ได้ยิน ไอ้ธนูแม่งทำช้อนหล่นออกมาจากมือ...ฮ่าๆๆๆ
[ก้อง]
ตอนบ่ายนั้นมีความวุ่นวายเกิดขึ้นเล็กน้อย เริ่มจากการที่น้องสาวของไอ้รบกลายมาเป็นลูกค้าในวันนี้หลังจากที่มันกลับมาจากส่งข้าวให้ท่านหัวหน้า น้องมันส่อแววสวยตั้งแต่เด็กๆ เพราะเชื้อฝรั่งในตัว แม้ว่ารบจะทำท่าเป็นรำคาญน้อง แต่ผมก็จับสังเกตได้ว่ามันหวงน้องสาวมาก
ดูเหมือนน้องมันจะไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ว่าพี่ชายหวงน่ะ
‘พี่คะ จริงใช่มั้ยคะที่ว่าพี่ธนูเป็นเจ้าของร้านนี้’
‘ไอ้พี่รบของหนูทำงานร้านนี้จริงๆ ใช่มั้ย ทำไมถึงไม่บอกกันนะ’
‘พี่ชายของหนูต้องแอบชอบเจ้าของร้านของพี่แน่เลยค่ะ เคยเจอกันหนหนึ่งแล้วก็ตามมาสมัครงานถึงนี่เลย หนูรู้!’
‘เสียดายที่ไม่ได้เจอพี่ธนูนะคะ แต่ไม่เป็นไรค่ะ พี่ก็หล่อดีเหมือนกัน พี่ชื่อพี่ยุใช่มั้ยคะ’
ไอ้รบดูปวดหัวกับน้องตัวเองมาก…ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าน้องรันจะกลับไปนั่งที่โต๊ะและปฏิบัติตัวเหมือนลูกค้าปกติ ผมกับเพื่อนแอบหัวเราะขำ มันตลกตรงที่ว่าน้องรันชงไอ้ธนูกับไอ้รบทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปถึงไหนต่อไหนกันแล้ว นี่ถ้าน้องรู้ความจริง…น้องจะไม่ฟินจนดีดดิ้นเลยเหรอ
แต่สิ่งที่ผมเพิ่งเล่าไปนั้น…ยังไม่ใช่ความวุ่นวายของวันนี้อย่างแท้จริง
ผมไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าจะมีกลุ่มนักเลงที่ละม้ายคล้ายคลึงกับกลุ่มของพี่นทีเข้ามาเป็นลูกค้าในร้าน พวกลูกค้าสาวๆ แตกตื่นทันทีเพราะคนกลุ่มนี้ทั้งป่าเถื่อนและก็เสียงดัง รบต้องรีบกันน้องสาวตัวเองกับเพื่อนๆ ให้ออกไปนั่งอยู่ข้างนอกร้านเพราะคนพวกนั้นครองพื้นที่ภายในร้านจนหมด
เด็กๆ ส่งเสียงถามอย่างไม่เข้าใจสถานการณ์…แต่รบมันก็จำเป็นที่จะต้องทำ
ยุมีท่าทีผิดปกติตั้งแต่คนพวกนี้เข้ามาในร้าน ผมสบโอกาสจึงได้เอียงคอไปกระซิบถามว่ามันเป็นอะไรของมัน
“คนพวกนี้เคยเป็นเจ้าหนี้กูว่ะ”
มันสั่นไปทั้งตัวเพราะมันฝังใจกับเหตุการณ์ตอนที่มันเป็นหนี้อยู่มาก มันเล่าให้ผมฟังว่ามีหลายต่อหลายครั้งที่มันนึกอยากจะกระโดดน้ำตายไปซะเสียให้รู้แล้วรู้รอด ฉะนั้นเพราะธนูมาเปลี่ยนชีวิตคนอย่างมันจากหลังมือกลายเป็นหน้ามือ มันจึงเกาะติดไอ้ธนูเป็นตังเม สถาปนาให้ธนูเป็นผู้นำตลอดกาลของมัน…
แม้ผมจะเป็นพละกำลังของกลุ่ม แต่ถ้าผู้นำไม่อยู่ ผมเองก็รู้สึกไม่ค่อยอุ่นใจเท่าไหร่นัก ดวงตาของผมมองไปที่รบผู้ซึ่งเกาะติดกลุ่มของน้องสาวไม่ห่าง…
เมียผู้นำก็พอจะช่วยให้ผมเกิดความอุ่นใจขึ้นมาบ้าง
“เฮ้ย กาแฟน่ะได้หรือยัง ชักช้าจังวะ!”
“ไอ้ร้านนี้มันได้เปิดแอร์บ้างมั้ย ทำไมมันร้อนแบบนี้”
“พนักงานหายหัวไปไหนหมด นี่ลูกค้านะ ทำไมไม่มาดูแล”
คนพวกนั้นไม่เพียงแต่จะส่งเสียงดัง แต่ยังพ่นถ้อยคำที่ไม่น่าฟังออกมาหลายอย่าง ผมรู้ว่าร้านของเรามันไม่มีทางเพอร์เฟ็กต์ แต่ไม่ว่าจะยังไงคนพวกนี้ก็ไม่ควรที่จะมาสบประมาทร้านเราตรงๆ แบบนี้
มือของผมกำแน่น ไม่รู้ว่าผมต้องทนกับคนพวกนั้นอีกนานเท่าไหร่ ผมมองไปที่ไอ้ยุ มันเอาแต่ทำหน้าเจื่อน พยายามมองมาที่ผมอยู่เรื่อยราวกับต้องการหาที่พึ่ง ที่ผ่านมามันคงจะโดนทวงหนี้สารพัดรูปแบบ ทั้งรุนแรงและไม่รุนแรง มันถึงได้แสดงท่าทีแบบนั้นออกมา
เพล้ง!
หนึ่งในคนพวกนั้นเพิ่งตั้งใจทำแก้วกาแฟร้อนหล่นแตก ไอ้ยุที่เพิ่งเป็นคนเอาไปเสิร์ฟถูกคว้าคอเสื้อ ผมเริ่มฉุนขาด…เพราะพวกนี้แม่งตั้งใจทำชัดๆ ผมเห็นเต็มๆ สองตา
“วางลงโต๊ะดีๆ ไม่เป็นเหรอวะฮะ” มันจงใจหาเรื่องยุ
“ผมวางให้พี่ดีๆ แล้วนะครับ” ไอ้ยุตัวสั่นอย่างเห็นได้ชัด “แต่พี่…”
“มึงจะบอกว่ากูตั้งใจปัดกาแฟตัวเองตกเหรอ กูเสียเงินซื้อมันมานะ”
ก็มึงตั้งใจปัดตกนั่นแหละไอ้เวรเอ๊ย!
“สงสัยต้องชกเรียกสติกันหน่อยมั้ง”
“เฮ้ย” ผมร้องเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“อย่านะครับ” การ์ดร้องลั่น
ผมกับเพื่อนตั้งใจที่จะไปห้าม…แต่ทว่าไม่ทันการ ไอ้ยุร่วงลงไปกองกับพื้นด้วยสภาพที่น่าสมเพช พวกนั้นส่งเสียงหัวเราะราวกับถูกอกถูกใจที่ได้ทำร้ายร่างกายพนักงานของร้านสักที
ไม่แน่ว่าไอ้พี่นทีอาจจะเป็นคนส่งเจ้าพวกนี้มาก่อกวนร้านในวันนี้ก็เป็นได้
เมื่อเห็นยุเลือดตกยางออก สติของผมก็เริ่มพร่าเลือน สิ่งเดียวที่ผมคิดในหัวนั่นก็คือผมต้องเอาคืนพวกมันให้สมกับสิ่งที่พวกมันทำ
ผมสาวเท้าเข้าไปหยุดตรงหน้าพวกนั้นก่อนที่จะเริ่มซัดเปรี้ยงใส่หน้าหนึ่งคนในนั้น ราวกับการชกคนอื่นของผมคือจุดเริ่มต้นของการตะลุมบอน เมื่อผมเริ่ม…คนอื่นก็เริ่มทำตามผมทันที
การ์ด ยุ และโฮมเข้ามาผสมโรง เสียงอึกทึกครึกโครมดังไปทั่วบริเวณพร้อมกับเสียงแก้วแตกหลายใบ…
ถ้าไอ้ธนูกลับมาถึง…มันเอาพวกผมตายแน่นอน
[รบ]
สภาพหลังจากที่พวกนักเลงอันธพาลเหลือทิ้งให้ไว้นั่น…ผมใช้คำว่าเละเทะมาบรรยายก็คงจะไม่พอ
ขอบคุณทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้น้องสาวผมยอมกลับบ้านสักที ก่อนหน้าที่จะมีเหตุการณ์วุ่นวายผมบอกลูกค้าคนอื่นๆ ด้วยความสุภาพว่าสถานการณ์ที่ร้านกำลังมีปัญหา ลูกค้าคนอื่นๆ ก็ยอมกลับแต่โดยดี แต่ยกเว้น…ลูกค้าที่เป็นน้องสาวผม
ช่วงระหว่างการตะลุมบอน…ผมต้องตัวติดกับน้องและก็แก๊งเพื่อนสาว จนในที่สุดน้องผมก็ตระหนักได้ว่าสิ่งที่กำลังเจออยู่นั้นคือการชกต่อยกันและมีการเจ็บตัวจริงๆ เกิดขึ้น น้องสาวกับเพื่อนถึงได้ยอมกลับกันไปสักที
ตอนผมกลับมาอีกที…พวกนักเลงอันธพาลนั่นก็กลับไปหมดแล้ว เหลือเพียงแต่ความเละเทะที่พวกมันทิ้งไว้ ไม่ว่าจะเป็นข้าวของในร้านหรือว่าพนักงานของร้าน
วันแรกที่ธนูฝากเพื่อนๆ ของมันไว้กับผม…ผมกลับทำมันพังยับป่นปี้
“กู...ขอโทษ” ผมรู้สึกผิดมาก ถ้าผมอยู่ช่วยพวกมันในร้านล่ะก็...บางทีพวกมันอาจจะเจ็บน้อยกว่านี้ก็ได้
ทั้งสี่คนกำลังขยับตัวทุกคน บางคนก็ทำแผลให้ตัวเอง บางคนก็เริ่มเก็บข้าวเก็บของ ผมช่วยทำความสะอาดไปด้วยพร้อมกับทำหน้ากังวลไปด้วย
“ไม่ใช่ความผิดของมึง” ก้องเป็นคนเอ่ยออกมา
“กูควรจะเข้ามาช่วยพวกมึงอ่ะ”
“ไอ้พวกนั้นมันนักเลงอาชีพ...มึงมันก็แค่เป็นเมียเพื่อนกู...” ก้องส่ายหน้าเบาๆ “กูหมายถึง...เป็นลูกจ้างที่เข้ามาใหม่ในกลุ่ม มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกน่า”
“พวกมึงดูสภาพกูสิ” ผมยืนนิ่งๆ ให้ทุกคนได้ดู “ไร้รอยแผลหรือรวยขีดข่วน...ธนูมันต้องว่ากูหนีหัวซุกหัวซุนตอนที่พวกมึงกำลังโดนเล่นงาน”
สี่คนนั้นส่งยิ้มแห้งๆ ให้กันก่อนที่โฮมจะเริ่มพูด “กูว่า...มึงไม่โดนอะไรนั่นแหละดีแล้ว”
“ความผิดพวกกูจะได้น้อยลงไปกระทงนึง” การ์ดยักไหล่
“ถ้ามึงโดนบ้างนะ...พวกกูเละ” ยุเอานิ้วปาดคอตัวเองพร้อมกับทำหน้าสยดสยอง
สาบานได้ว่าพวกมันกลัวเพื่อนตัวเองมากกว่ากลัวนักเลงพวกนั้นซะอีก...
ผมเตรียมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพราะต้องการโทรไปคุยกับแดดดี้
“ไม่ว่าไอ้ธนูมันจะอาละวาดขนาดไหน...เราทั้งหมดจะโดนไปด้วยกัน”
ผมไม่รู้ตัวว่าทั้งสี่คนลอบส่งยิ้มให้กัน...ระหว่างนั้นแดดดี้ของผมก็รับสายพอดี
[Hello]
“Hey dad, It’s me. I have something to tell you...”
วันนี้ผมคงต้องกลับบ้านดึกมากแน่ๆ...
เวลา 17.05 น.
“การ์ด ทำไมข้างหน้าแขวนป้ายว่าร้านปิด” เสียงของธนูมาก่อนเจ้าตัว...ผมกับเพื่อนๆ ของมันทั้งสี่คนยืนเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดานโดยที่ทุกคนเอามือมาประสานไว้ด้านหน้า ยกเว้นผม...
ผมไม่รู้ตัวว่าเพื่อนทั้งสี่คนของไอ้ธนูนั้นต่างก็พร้อมใจกันก้าวถอยหลังเพื่อให้ผมยืนอยู่ข้างหน้าคนเดียวราวกับรักตัวกลัวตายขึ้นมากะทันหัน
เอาวะ...เป็นไงเป็นกัน
“เกิดอะไรขึ้น” ธนูวางกระเป๋าเข้ายิมของมันลงกับพื้นเสียงดังพร้อมๆ กับมองสภาพร้านที่มีบางจุดพังอย่างเห็นได้ชัด
“มันเป็นความผิดของกูเอง” ผมเป็นคนพูดขึ้นมาก่อน “กูดูแลเพื่อนมึงไม่ดี...”
ธนูจิ๊ปาก...มันเดินชนไหล่ผมเพื่อที่จะตรงไปหาพวกไอ้ก้อง
“เล่า” มันพูดกับก้องที่คอหดไม่ต่างอะไรจากคนอื่นๆ
“มึงมาถามกูนี่” ผมเดินไปขวางหน้ามันอีกรอบอย่างนึกขัดเคือง
“กูให้ก้องเป็นคนเล่า” ธนูพูดเสียงเข้มกับผม
ก้องทำหน้าเสีย ส่วนผมที่ไม่ได้ทำเหี้ยอะไรเลยก่อนหน้านี้นึกอยากเขย่าคอไอ้ธนูแทบบ้า ถ้าจะมีใครสักคนที่โดนบาทาของมันล่ะก็...คนคนนั้นมันต้องเป็นผม ไม่ใช่เพื่อนของมันทั้งสี่คนนี้
“มึงออกไปข้างนอกก่อนไป” ธนูไล่ผม
“ไม่” ผมสวนกลับ “มึงห้ามด่าเพื่อนมึง คนที่ควรโดนด่ามันคือกู...กูที่ปล่อยให้เพื่อนมึงต้องมาเจ็บตัว”
“กูบอกให้มึงออกไปข้างนอก”
“เฮ้ย”
มันตวัดสายตามามองผมด้วยสายตาที่น่ากลัวจนผมไม่กล้าเอ่ยปากพูด...มันพยายามกดอารมณ์โมโหของมันที่คงพร้อมจะปะทุออกมาทุกขณะ ผมมองสี่คนที่เหลือด้วยตาละห้อย ก่อนที่ผมจะเดินคอตกออกไปข้างนอกโดยเลือกที่จะออกทางไปทางห้องครัว
ธนูแม่งโหดสมกับที่เพื่อนมันกลัวจริงๆ ว่ะ...
นี่ผมช่วยอะไรพวกมันไม่ได้เลยเหรอ
ยี่สิบนาทีหลังจากนั้น...ผมนั่งลงกับพื้นห้องครัวโดยใช้หลังพิงตู้เย็นเก็บอาหาร
ผมได้ยินเสียงคนถูกเตะต่อยจากอีกห้องหนึ่ง แน่นอนว่าต้องเป็นฝีมือไอ้ธนูที่ทำร้ายเพื่อนของมัน...มันเป็นสิ่งที่ผมรู้ว่าเป็นเรื่องปกติของคนกลุ่มนี้ (ไม่งั้นไอ้พวกนั้นมันจะกลัวธนูขนาดนั้นได้ยังไง) แต่ที่ผมไม่เข้าใจก็คือ...ทำไมผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการที่ต้องรับผิดชอบ
ผมก็เป็นคนของร้านนี้คนหนึ่งนะ...
เมื่อเสียงเงียบลงไปแล้ว...ผมจึงเดินออกมาจากห้องครัว ภาพที่ผมเห็นคือภาพที่เจ้าสี่คนนั้นใช้ชีวิตปกติ ไม่ได้ซึมกะทือหรือว่าหวาดกลัวตีนของไอ้ธนูที่เพิ่งโดนกันมา
เจ้าคนร้ายกาจนั่นหายไปไหนก็ไม่รู้...แต่ผมขอถามเรื่องราวจากเพื่อนของมันก่อนดีกว่า
“พวกมึง...โอเคมั้ย” ผมถามอย่างรู้สึกผิดที่ช่วยแบ่งเบาไม่ได้
“โอเคขึ้นเยอะ” ก้องส่งยิ้มให้
เดี๋ยวก่อนนะ...มึงเพิ่งโดนตีนจากท่านผู้นำของมึงมาไม่ใช่เรอะ
“ธนูมันด่าว่าไงบ้าง...มันให้พวกมึงชดใช้ค่าเสียหายของร้านมั้ย”
“ใจเย็นๆ นะรบ” การ์ดเดินเข้ามาตบไหล่ผม “เรื่องพวกนั้นมันไม่ห่วงเลยสักนิด”
“แล้วมันโกรธพวกมึงเรื่องอะไรกัน”
“เราบู๊โดยที่เราไม่เรียกมันน่ะ” ยุตอบง่ายๆ
เหี้ยไรนะ...
“มันบอกว่าถ้าจะบวกต้องรอมันก่อน...พวกกูก็เลยโดนถีบคนละทีสองที ไม่ได้เจ็บมากมายอะไร” โฮมหันหลังพร้อมกับแอ่นตูดให้ผมดูว่ามันโดนธนูถีบเข้าที่ตูด
ทำไมให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าสี่คนนี้โดนไอ้ธนูมันบ่นเฉยๆ ...ไม่ใช่โดนมันด่ากราดถึงขั้นด่าพ่อล้อแม่
“ธนูมันเข้าใจไม่ยากนะรบ” การ์ดค่อยๆ พูดให้ผมฟัง “มันแค่อยากให้เราทุกคนปลอดภัย...”
“ต้องขอบคุณที่ทำให้อารมณ์เดี๋ยวนี้ของมันซอฟต์ลงขึ้นเยอะ” โฮมโบกมือเรียกยุให้ไปช่วยยกโต๊ะ
ผมทำสีหน้าหวาดหวั่น “ปกติแล้วพวกมึงต้องโดนอะไรวะ”
“ก็ลูกถีบนั่นแหละ” การ์ดตอบ
“จากคนละสองเพิ่มเป็นคนละสิบ” ยุเสริม
สรุปก็คือสถานการณ์ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดที่ผมต้องกังวลใช่มั้ย ผมกลืนน้ำลายลงคอ...ก่อนที่จะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
ธนูมันเคลียร์กับเพื่อนตัวเองแล้วทุกคน แต่มันไม่ยอมมาเคลียร์กับผม...หรือว่ามันจะโกรธที่มันฝากเพื่อนไว้กับผม แต่ผมกลับยอมให้เพื่อนมันเจ็บตัว...
“แล้วธนูมันไปไหน”
“มันบอกว่ามันมีธุระต่อน่ะ” ก้องตอบผม “แถมมันยังบอกอีกด้วยว่า...มึงกลับไปได้เลย พรุ่งนี้ไม่ต้องมาทำงานด้วย มันสั่งให้หยุด”
ผมช็อกตาค้าง “อะไรนะ...อย่างน้อยกูก็ต้องมาช่วยเก็บร้านดิ” ซากปรักหักพังของบางสิ่งในร้านก็ยังเคลียร์ไม่หมดเลย ผมแม่งไม่เข้าใจว่ะ...
“แหะๆ มึงอย่าคิดขัดคำสั่งมันจะดีกว่า ไหนๆ มันก็เป็นนายจ้าง” การ์ดส่งยิ้มแห้งๆ ให้ผม
แม่งเอ๊ย...ไอ้ควายธนูนั่นมันคงโกรธผมจริงๆ ใช่มั้ย
ให้ตายสิวะ เมื่อตอนกลางวันเรายังจูบกันอยู่เลยนะ
[รปภ. หน้าสถานบันเทิงแห่งหนึ่งของนที]
“ฉิบหายแล้ว”
“-วยนที! มึงออกมาให้กูเหยียบเดี๋ยวนี้!” “น้องชายบอสมาว่ะ”
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
“มึงออกมา!” “จะให้มันพังทุกอย่างไม่ได้นะโว้ยยยย”
to be continued