ตอนที่ 4
“หัวหน้าครับ ผมส่งแผนตลาดของเรื่อง ‘แค้นพิพากษา’ ไว้ที่โต๊ะให้แล้วนะครับ” ผมพูดขึ้นขณะที่กำลังเห็นว่าหัวหน้าฝ่ายขายกำลังเดินเข้ามานั่งประจำโต๊ะตรงหัวมุม
“ตุลย์นี่ทำงานเสร็จเร็วตลอดเลยนะ น่าอิจฉาจริงๆ” พี่ณีที่นั่งทำงานอยู่ในคอกบุผ้าหยาบหน้าตรงข้ามกับโต๊ะทำงานของผม โผล่หัวขึ้นมาล้อผมที่กำลังเก็บข้าวของใส่กระเป๋าทำงาน
“ผมเอาไปทำที่บ้านนะครับ เผลอทำไปทั้งคืนก็เลยเสร็จเร็ว” ผมยิ้มตอบ
“เดี๋ยวฉันดูให้ ถ้าเสร็จเร็วก็คงดูเสร็จพรุ่งนี้นะ” หัวหน้าตอบพลางยกแก้วกาแฟในมือขึ้นจิบ กลิ่นบุหรี่อ่อนๆ ที่โชยมาทำให้พอรู้ได้ว่าเมื่อครู่คงไปห้องสูบบุหรี่ ผมไม่รู้หรอกครับว่างานของหัวหน้าฝ่ายขายจะเยอะหนักแค่ไหน แต่ก็คงหนักพอดู เพราะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลจำนวนมาก การคาดคะเนให้หนังสือของสำนักพิมพ์เราขายออก แข่งกับสำนักพิมพ์อื่นๆ “แล้วนี่จะกลับแล้วใช่ไหม?”
“ครับ หัวหน้ามีงานอะไรเหลือหรือเปล่าครับ?”
“ไม่มีๆ ถามเฉยๆ ทำงานเสร็จเร็วก็ได้กลับเร็ว” หัวหน้าหัวเราะอารมณ์ดีเล็กน้อยก่อนจะหันไปตะโกนบอกกับลูกน้องคนอื่นๆ ที่ยังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานในคอกทำงานของตัวเองไป “ได้ยินไหม ทำงานเร็วก็ได้กลับเร็ว ฉันรู้นะว่าใครแอบไปดอดจีบฝ่ายประชาสัมพันธ์ แอบอู้งานไป กลับตีสี่แน่วันนี้” แล้วหัวหน้าก็หัวเราะ
ผมยิ้มนิดหน่อย พอเก็บของเรียบร้อย ก็บอกลารุ่นพี่ที่ทำงานและหัวหน้า งานของผมเหมือนเป็นวัฏจักรวนลูปกันไป ช่วงที่บรรณาธิการไปรับต้นฉบับ ตรวจ แก้พิมพ์ อะไรก็แล้วแต่ช่วงนั้นฝ่ายขายอย่างผมงานจะไม่หนักอะไร แต่พอถึงช่วงต้นฉบับเรียบร้อยพร้อมตีพิมพ์ ถึงค่อยเป็นหน้าที่ของผม ที่จะเข้าไปประชุมปรึกษาหารือเรื่องจำนวนตีพิมพ์ และการวางแผนการขายไปตามร้านหนังสือต่างๆ
คำว่า ‘วางแผนการขาย’ เนี่ยแหละ ที่เป็นช่วงวุ่นวายที่สุดของฝ่ายผม
ผมหมุนคอไปมา บีบนวดไหล่คลายความปวดเมื่อย ช่วงของการ ‘วางแผนการขาย’ เพิ่งจบลงไป กลับเข้าสู่ยุคของการแทบไม่มีงานต้องทำอีกครั้ง
หลังจากที่ผมเพิ่งได้ถอนหายใจ ผ่อนคลายจากการทำงานเงยหน้ามองภาพตรงหน้าก่อนจะยืนนิ่งเหมือนพลังงานถูกสูบไปอีกครั้ง ภาพตรงหน้าของผมสั่นเครือเป็นระลอกๆ จากไอความร้อนที่พุ่งออกมาจากพื้น ผมตื่นมาทำงานแต่เช้า กลับก็มืด เกือบจะลืมไปแล้วว่าแดดประเทศไทยตอนเที่ยงตรงน่ะแรงแค่ไหน
“หิวแล้วอะ ไปกินข้าวในห้างเถอะ หาไรกินเย็นๆ กัน”
ผมเลื่อนสายตามองคู่รักวัยมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเดินผ่านผมไป บางทีผมก็อิจฉานะ พอผมมีลูก วัยมหา’ลัยของผมก็พลอยหายไปด้วย ผมเลิกหาความสุขใส่ตัวเองตอนนั้น อะไรที่ผมมีผมจะให้ลูกก่อน หาเงินได้ก็ให้ลูกก่อน ได้กินอะไรก็ต้องให้ลูกกินก่อน พอจะดูบอลถ้าลูกร้องขึ้นมาผมก็ต้องรีบลุกไปดูเขา แต่มันก็ช่วยไม่ได้ เพราะตั้งแต่ผมมีลูก ความสุขของผมก็คือการมีเขา
...จะว่าไปผมไม่ได้ไปห้างนานแค่ไหนแล้วนะ
ผมเดินเข้าไปในเซเว่นตั้งใจจะซื้อข้าวกล่องกลับไปกินที่ห้อง ถึงแม้ที่หนึ่งจะอยู่ที่โรงเรียน แต่ตอนต้นก็ยังอยู่ในห้อง ถึงแม้จะมีป้าสร้อยคอยดูแลให้เหมือนทุกที แต่ไม่มีใครทำให้ผมสบายใจเท่ากับดูลูกด้วยสายตาของตัวเอง อีกอย่างป้าสร้อยกับตอนต้นก็ไม่ได้เข้ากันดีสักเท่าไหร่เลย เฮ้อ
“รับโออิชิอีกขวดไหมครับ? ถ้าซื้อสองขวดลดราคานะครับ”
“ไม่ครับ...นาย!”
“ตาแก่!”
ตะ ตาแก่!?
อายุยังไม่ถึงเลขสามเลยนะเว๊ย เรียกผมตาแก่ได้ไงวะ ไอ้เด็กนี่!
เมื่อครู่ผมเงยหน้าขึ้นจากกระเป๋าเงินเพื่อจะตอบพนักงานเซเว่นฯ ว่าผมไม่รับโออิชิอีกขวด แต่พอเงยหน้าก็เจอว่าพนักงานคนนั้นคือเด็กตัวแสบที่ทำผมเปิดข้าง เสยเซ็ตไปด้านข้างหลัง และมีต่างหูสามเหลี่ยมห้อยลง
เด็กคนเดียวกับที่บอกแม่ผมว่าเป็นแฟนผม จนผมต้องนั่งอธิบายให้แม่ฟังจนเข้างานสาย และเมื่ออาทิตย์ก่อนก็เป็นคนว่าตอนต้นต่อหน้าต่อตาผม ถ้าให้ย้อนไปอีกก็ คนที่ลากผมขึ้นแท็กซี่แล้วให้ผมจ่ายค่าแท็กซี่ และคนที่โดนต่อยกระเด็นใส่ผม จนผมต้องตาลีตาเหลือกวิ่งหนีไปพร้อมกันด้วย
ไอ้เด็กเอส!
ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด ตี๊ด
พอเด็กนั่นเห็นว่าเป็นผมก็คว้าของผมไปสแกนบาร์โค้ดอย่างไว ความเร็วระดับที่เล่นเอาลูกค้าที่ต่อแถวอยู่ถึงกับอึ้ง พอผมทำท่าจะพูด ถุงเซเว่นที่ใส่ของผมทุกชิ้นก็ถูกยื่นมาแล้ว
“135 บาทครับ รีบยื่นเงินมาแล้วรีบออกไปเลยครับ มีลูกค้าต่อแถวเยอะครับ!”
“หะ?” ผมร้องเสียงหลง แต่ก็ยื่นเงินให้
มันจะทำท่าทำทางไม่อยากเจอผมทำไม ผมมากกว่ามั้งที่ควรจะทำท่าแบบนั้น ไอ้เด็กนี่ทำชีวิตผมวุ่นวาย พาเรื่องปวดหัวมาให้ผมทุกครั้งที่เจอ ผมนี่ไม่ได้ทำอะไรเลย
“นี่ครับเงินทอน เชิญออกไปจากเซเว่นเดี๋ยวนี้เลยครับ” ไอ้เด็กนั่นว่า ไม่พอยังใช้มือยื่นมาดันต้นแขนผมให้ออกไปจากแถวอีก “เอ้ย เดี๋ยวพี่ชาย! ผมเลิกงานตอนบ่ายโมงอะ รอแป๊บนึงได้ปะ มีเรื่องคุยด้วย!” ขณะที่ผมกำลังจะออกจากเซเว่น เอสก็ตะโกนเรียกเอาไว้ก่อน ผมขมวดคิ้วแต่ก็ยอมพยักหน้า
อะไรวะ เมื่อกี้ยังทำท่าไล่ผมอยู่เลย แล้วมาบอกผมให้รอซะงั้น
“ฉันรอร้านคาเฟ่ที่อยู่ข้างๆ นี่นะ”
“อะเค!” มันทำมือโอเคมาให้ผมก่อนจะกลับไปแสกนบาร์โค้ดลูกค้าคนอื่นต่อ
“รอนานปะ”
“ก็แค่สั่งแก้วที่สามแล้ว”
“บ้าปะ สั่งแก้วเดียวก็พอ แล้วก็รอให้น้ำแข็งละลายกินน้ำเปล่าได้ต่อ ฟรี ไม่เสียตัง น่อววว โง่นะเนี่ย”
“...”
“หยอกนิดหยอกหน่อยต้องทำหน้าดุใส่ด้วย”
“ฉันไม่ได้ทำหน้าดุ”
“ก็คิ้วขมวดกันขนาดนี้ หน้ายิ้มมั้งเนี่ย” เด็กนั่นตัวนั่งลงที่เก้าอี้บุผ้าที่อยู่ตรงข้ามผม ทันทีที่อีกฝ่ายนั่งลงผมได้ยินเสียง ‘เฮ้ย แก’ จากกลุ่มเด็กสาว ม.ปลายที่นั่งอยู่ด้านหลัง ไม่ต้องสงสัยให้มากความก็พอเดาได้ว่าคงแอบกรี๊ดเจ้าเด็กที่ชื่อ ‘เอส’ เนี่ยแหละ
เดิมทีเจ้าเด็กนั่นก็ลุคแบดบอยอยู่แล้วยิ่งใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว ยิ่งทำให้คนตรงหน้าราวกับหลุดออกมาจากการ์ตูนญี่ปุ่น
แต่จริงๆ มันเป็นแค่เด็กแสบ ร้ายกาจเท่านั้นแหละครับ
“ฉันสายตายาว พอนายมาอยู่ใกล้ๆ แล้วมันมองไม่ค่อยชัดก็เลยขมวดคิ้วแค่นั้นแหละ”
“ว๊ายย แก่นะเนี่ยยย” มันทำหน้าล้อผม
ผมขอย้ำอีกที ผมอายุ ’29’ ไม่ใช่ ‘49’
“ฉันไปละ ฝากจ่ายค่าน้ำสามแก้วนี่ด้วยแล้วกัน” ผมทำท่าทุกลุก
หมับ!
“เดี๋ยวดิ พี่ชาย เค้าล้อเล่นนะฮืออ เค้ามิมีตังหรอก ทั้งเนื้อทั้งตัวมียี่สิบบาท พี่ชายอย่าทำกับเค้าแบบนี้เลยนะ~” มันคว้าแขนผม ทำเสียงน่าสงสารพร้อมทำตาปริบๆ มาให้ ผมกลับไปนั่งตามเดิม ผมก็แค่ล้อเล่นแหละครับ ใครมันจะไปทำแบบนั้น
“แล้วนี่นายมีอะไรจะคุยกับฉัน?”
เอสปล่อยมือที่จับแขนผม ก้มหน้ามองตักพูดหมุบหมิบอะไรบางอย่างที่ผมได้ยินไม่ถนัดเท่าไหร่นัก มันเงยหน้าขึ้นมามองท่าทางเหมือนลังเลอะไรบางอย่างทำให้ผมต้องเลิกคิ้วขึ้น
“คือ...”
“...”
“คือ ว่าตอนนี้เราก็ได้นั่งคุยกันดีๆ แล้วนะ”
“อาหะ แล้ว?”
“แล้วที่นี่ก็เป็นที่สาธารณะ...”
“แล้ว?” ผมขึ้นเสียงสูง สาธารณะแล้วยังไง?
“ผมก็คิดมาหลายวันแล้วนะ!”
“เมื่อไหร่จะเข้าเรื่อง”
“คือ ผม...”
Rrrrrrrrrrrrrrrrrr
เสียงโทรศัพท์ของผมดังขึ้นขัดจังหวะ ผมรีบหยิบขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นป้าสร้อยโทรมาก็รีบกดรับ
“ว่าไงครับป้า มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
/ตุลย์จะกลับมาเมื่อไหร่?/
“เอ่อ ตอนนี้กำลังเดินทางกลับอยู่ครับ”
/อ๋อ โอเคคือลูกป้าโทรมาบอกว่ากำลังเดินทางมาเยี่ยมป้ากับลุงน่ะ ป้าก็เลยว่าจะกลับห้องไปเตรียมข้าวปลาให้ลูก แต่ป้าก็ไม่กล้าทิ้งตอนต้นไว้คนเดียวก็เลยโทรมาถามดู/
“ป้าสร้อยช่วยดูตอนต้นให้ผมสักครู่นะครับ เดี๋ยวผมจะรีบกลับครับ”
/โอเคจ๊า/ ผมกดวางสายก่อนจะหันไปถามเอสที่นั่งดูผมคุยโทรศัพท์อยู่
“ที่จะคุยเป็นเรื่องสำคัญหรือเปล่า?”
“ก็...สำคัญ...มั้ง”
“งั้นปะ ฉันต้องรีบกลับบ้านไปดูลูก ย้ายที่คุยไปบ้านฉัน”
“เฮ้ย ไม่ไป!” เด็กนั่นรีบปฏิเสธเสียงดัง จนคนที่นั่งโต๊ะอื่นหันมามอง
“เสียงดังทำไมเนี่ย? ไปบ้านฉันเฉยๆ ไม่ได้ไปป่าช้า ก็เคยไปตั้งสองครั้งแล้วนี่”
“มันก็ใช่...”
“ถ้างั้นก็รีบมาเร็วๆ ลูกฉันรออยู่” ผมไม่คิดสนใจสีหน้าลำบากใจของอีกฝ่าย เดินไปที่เคาเตอร์เพื่อจ่ายเงินค่าเครื่องดื่ม ก่อนจะเดินนำเอสออกมาจากร้าน เด็กนั่นก็ยอมเดินตามมาแต่โดยดี แต่ทำท่าเหมือนผมลากคอให้มาด้วย พอขึ้นแท็กซี่ก็นั่งทำท่าเหมือนพร้อมจะกระโจนออกจากรถตลอดเวลา
อะไรของมัน ฮอร์โมนว้าวุ่น?
“ไอ้อันธพาล! ไอ้คนนิสัยไม่ดี มาหยิกตูดที่หนึ่งทำไม!?”
“ก็แกบังอาจผลักประตูหนีบมือพี่อะ! จะได้รู้ซะบ้างว่าเวลาเนื้อโดนหนีบจะได้เป็นยังไงไง!”
“ก็อยากจะซื่อบื้อยื่นมือมาให้โดนหนีบทำไมละ!”
“แล้วจะยืนบื้อให้โดนหยิกตูดทำไมละ!”
เอสทำท่าที่จะพูดธุระให้เสร็จระหว่างขึ้นลิฟต์มาด้วยกัน แต่เพราะมัวแต่อ้ำๆ อึ้งๆ ยืนอยู่หน้าห้องแล้วก็ยังไม่ได้พูด พอผมเปิดประตูห้องเข้าไปปุ๊บ ก็ทะเลาะกับที่หนึ่งลูกชายคนโตของผมปั๊บทันที ผมไม่ได้สนใจสองคนนั้นมากนัก เดินดุ่มๆ วางสูทกับกระเป๋าทำงานแล้วพุ่งไปหาตอนต้นที่ร้องไห้เสียงดังอยู่ในอ้อมแขนป้าสร้อย
ตอนต้นเป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ป้าสร้อยอุ้ม จะร้องไห้เสียงดังไปถึงห้องอื่น แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงจึงทำได้แค่บอกป้าสร้อยว่าพยายามอุ้มตอนต้นให้น้อยที่สุด
“คือแกคลานเข้ามาในครัวน่ะ กลัวจะเป็นอันตรายก็เลยจะอุ้มไปที่นั่งเล่น”
“อ๋อครับ” ผมโยกลูกชายตัวน้อยทันทีที่อยู่ในอ้อมแขนผมเขาก็เงียบลงซบบ่าสะอึกสะอื้นอย่างน่าเอ็นดู “ขอบคุณมากนะครับป้าที่ช่วยดูแลตอนต้นให้ เอ่อ...ผมถามหน่อย”
“จ๊ะ?”
“ทำไมที่หนึ่งอยู่ห้องละครับ ตอนนี้มันไม่ใช่เวลาเลิกเรียนไม่ใช่หรอ?” พอลูกคนเล็กสงบลงผมก็ถามถึงลูกคนโตที่กำลังเอาดาบของเล่นฟาดฟันกันอยู่ในห้องนั่งเล่น
“คือ...ครูพากลับมาน่ะ บอกแค่ว่าแกร้องจะกลับบ้านอย่างเดียวเลย ถ้าไม่พากลับก็จะกลับเองก็เลยต้องพากลับมา แล้วครูก็ฝากให้บอกตุลย์ด้วยนะว่าถ้าว่างก็ให้ไปที่พบครูสักหน่อย”
“...” ผมเงียบ ก่อนจะถอนหายใจแล้วพยักหน้ารับ “ครับ ป้าสร้อยกลับห้องได้เลยนะครับ เดี๋ยวผมดูลูกเอง ขอบคุณมากนะครับ”
“จ๊า งั้นป้ากลับแล้วนะ พรุ่งนี้ป้าจะมาดูให้ใหม่”
“ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เสียเถิด ท่านจักรพรรดิที่หนึ่ง ตอนนี้เจ้าปราชัยแก่ข้าแล้ว หากยังขัดขืนหัวของเจ้าคงได้หลุดออกจากบ่า”
ผมหันไปตามเสียงที่ถูกดัดให้เข้มนั่นก่อนจะเห็นว่าลูกชายคนโตของผมกำลังนอนราบไปกับโซฟา ดาบของเล่นตกอยู่ที่พื้นโดยมีเด็กแสบที่ชื่อเอสกำลังยืนค่อมแล้วเอาดาบของเล่นอีกอันจ่อคอลูกผมอยู่
“เป็นการสู้แบบเท่าเทียมยิ่งนัก ท่านนักดาบ ตัวของลูกข้ากับตัวของท่านเท่ากันเสียเหลือเกิน” ผมหัวเราะในลำคอพลางส่ายหัว พอได้ยินเสียงผม นักดาบเอสก็หันมาและจังหวะนั่นลูกชายของผมก็ลุกขึ้นแล้วผลักอีกฝ่าย!
“เฮ้ยย!”
ตุ๊บ!
“ตอนนี้เจ้าต่างหากที่ปราชัยแก่ข้าแล้ว เจ้ายักษ์!”
“เล่นทีเผลอนี่หว่า ขี้โกง! ไอ้เด็กเลวว~”
“ในศึกสงคราม ใครกันสอนให้เจ้าละความสนใจจากศัตรู” ที่หนึ่งหัวเราะเสียงดัง นั่งทับกลางลำตัวของผู้เป็นแขก พอเห็นท่าทางสนุกของลูกชายที่ผมไม่ได้เห็นบ่อยนักก็ทำให้เผลอยิ้มออกมา
ครั้งล่าสุดที่เด็กที่ชื่อเอสนั่นมาที่ห้องผม หลังจากกลับไปแล้วผมก็กลับมาถามที่หนึ่งอีกครั้ง ถึงตอนแรกลูกของผมจะทำท่าอึกอักเหมือนคนน้อยใจที่ผมเข้าข้างลูกคนเล็กมากกว่า แต่ท้ายที่สุดเขาก็ยอมเล่าให้ฟัง ว่าตอนต้นเป็นคนแยกของเขาก่อน แถมเอาของเล่นไปทุบกับพื้นจนไฟหน้าแตกและสีถลอก
เพราะผมมัวยุ่งแต่กับการวางแผนการขาย เลยแก้ปัญหาส่งๆ ไป พอผมได้ฟังจึงได้ตำหนิตัวเองไปยกใหญ่ ว่าทำไมผมได้ทำแบบนั้นลงไป
และครั้งนี้ก็เหมือนกัน พอเห็นท่าทางสนุกสนานของที่หนึ่ง ผมก็เพิ่งสังเกตว่า เขาแทบจะไม่ได้ทำหน้าแบบนั้นเวลาอยู่กับผมเลย...
ผมเดินอุ้มตอนต้นเข้าไปในครัว หมายจะนั่งลงโต๊ะอาหารดูสองคนนั้นทะเลาะกัน แต่ไอ้เด็กเอสกลับผละออกจากลูกผมแล้วพุ่งมานั่งที่โต๊ะอาหารกับผมด้วย
“ว่าและ ว่ามาห้องนี้ได้ตีกับเด็กเว...เอ๊ย ตีกับที่หนึ่งก่อน คืองี้นะเรื่องที่ผมจะคุยด้วย...”
“อันธพาลหนีได้ไงอะ เรายังสู้กันอยู่นะ!”
“ไม่ได้หนีเว๊ย เขาเรียกว่าไปตั้งตัว เดี๋ยวจะกลับไปสู้ใหม่ นั่งนิ่งๆ แล้วท่องสูตรคูณไป ชิ่ว!” ไม่วายหันไปทะเลาะกับลูกผมอีก “คืองี้นะ...” สูดลมหายใจอีกหนึ่งที “คือผมจะมาขอโทษเรื่องที่ผมพูดกับแม่คุณอะ!”
“หะ เรื่องนี้หรอที่นายตั้งใจจะพูดกับฉันมาตลอด?” ผมเลิกคิ้ว “นี่คือเรื่องสำคัญแล้วใช่ไหม?”
“เฮ้ย อย่ามาพูดด้วยเสียงดูถูกแบบนี้นะ! ผู้ชายไม่ใช่จะพูดขอโทษง่ายๆ นะครับพี่ชาย ผมพูดขอโทษไม่บ่อยด้วยสิ มันรู้สึกแบบ ปากหนักไรงี้อะ แล้วผมก็ขอยืนยันว่า ผมไม่ผิดนะ ก็ป้าฮาร์ดคอร์ เอ๊ย! คุณแม่พูดกับผมแบบนั้นก่อนนี่ ที่ผมขอโทษนี่ ขอโทษที่เสียมารยาทหรอกนะ!”
อ๋อ ฟอร์มเยอะ
“ไม่เป็นไร แม่ฉันก็ผิดแหละ พอดีแม่ฉันคิดมากกับเรื่องแบบนั้นมากไปหน่อย เรื่องคู่ครอง แฟน หรืออะไรเทือกๆ นั้น ฉันอธิบายให้แม่ฟังแล้ว แล้วแม่ก็ฝากมาขอโทษนายด้วย”
“แล้วก็เรื่อง ที่ไปว่าลูกพี่ชายอ่ะ”
“เลิกเรียกพี่ชายดิ้ ชื่อตุลย์ ไม่รู้สึกขนลุกหรอเวลาเรียก พี่ชายอย่างนู่น พี่ชายอย่างนี้น่ะ”
“เอ้า พี่ชายคงแก่กว่าผมมากแหละ จะเรียกลุงก็ดูเสียมารยาท จะเรียกพี่...อายุก็ห่างมากเกิน เรียกน้า เรียกอา ไม่มีอะไรเวิร์กสักอย่าง”
“แล้วเรียกพี่ตุลย์กับพี่ชายมันต่างกันตรงไหน”
“ต่างกันตรงความรู้สึกเนี่ยแหละ”
“ไหนลองเรียกพี่ตุลย์ดิ้”
“พี่...ตุลย์” เจ้าเด็กเอสเรียกผมเสียงเบา สักพักมันก็ทำน่าพะอืดพะอมแล้วลูบแขนตัวเอง “มันขนลุกอะ ไม่รู้ทำไม!”
“...เออ แล้วแต่เลย”
“กลับเข้าเรื่องๆ คืองี้ผมอยากขอโทษพี่ชาย ที่คราวที่แล้วไปว่าไอ้เด็กนั่นอะ” อีกฝ่ายว่าพร้อมกับชี้มาที่ลูกคนเล็กของผมที่กำลังอุ้มอยู่ ตอนต้นมองอีกฝ่ายตาปริบๆ พอเห็นว่ามีแขนยื่นมาทางตนก็คงคิดว่าขออุ้มละมั้ง เลยดิ้นจากอ้อมแขนผมทำท่าจะไปหาเจ้าเด็กเอสนั่น
“จะไปหาพี่เอสหรอลูก หื้ม?” ผมถามก่อนจะหอมแก้มย้วยๆ นั่นฟอดใหญ่ คำตอบที่ได้เป็นเพียงแค่แรงดิ้นที่มากขึ้น และนั่นก็ทำให้ผมยอมปล่อยเขาลงกับพื้นโต๊ะกินข้าว ทันทีที่ตัวเป็นอิสระจากผมก็คลานดุ๊กดิ๊กไปหาคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามผมทันที!
ป้าสร้อยที่ช่วยเลี้ยงมาตั้งหลายเดือนไม่ยอมให้อุ้ม แต่จะไปหาไอ้คนที่ด่าตนแถมเจอกันแค่สองครั้งอีกเนี่ยนะ!
“อย่าเข้ามานะเว๊ย กูมีพระ!”
“พูดกับเด็กเพราะๆ หน่อยสิ เดี๋ยวตอนต้นก็จำหรอก”
“อ่า...อย่าอย่างกรายเข้ามาหากระผมน่ะขอรับ กระผมมีพระ!”
มันกวนตีนใช่ไหม?
“แอ๊!”
“แอ๊ พ่อง! แอ๊ อะไรละ พี่ไม่ถูกกับเด็กครับ ไปหาพ่อตุลย์ไป๊ ชิ่ว” เจ้าเด็กเอสสะบัดมือไล่ แต่นั่นไม่ทำให้ตอนต้นหยุดเลย เพียงแค่เปลี่ยนจากคลานเป็นนั่งจ้องหน้าเท่านั้น “อย่ามามองด้วยสายตาแบบนั้น เจ้าเด็กอ้วน ไม่น่ารักเลยบอกตรง!”
มีสะบัดหน้าใส่ด้วยนะ
“อันธพาล! นี่รอสู้ด้วยนานแล้วนะ ถ้าจะยอมแพ้ก็เอาหน้ามาให้เขียนว่าขี้ขลาดเดี๋ยวนี้เลย”
“ใจเย็นดิเว๊ย!” มันตะโกนใส่ลูกคนโตของผม “เอ๊ะ! ไอ้นี่ อย่าเข้ามา เกลียดเด็ก เป็นภูมิแพ้เด็ก เข้ามาแล้วหัวใจจะวายเข้าใจไหม พ่อแกอยู่ฝั่งนู่น ไปชิ่วไอ้อ้วน!” มันไล่ลูกคนเล็กของผม
ผมมองภาพตรงหน้าพลางนึกขำกับภาพตรงหน้า เหมือนกับผมมีลูกชายอยู่สามคน แต่ความรู้สึกหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาทำให้ผมต้องถอนใจ
ถ้าแม่ของที่หนึ่งกับตอนต้นยังอยู่กับผม...
ผมคิดมาหลายวันแล้ว ว่าที่จริงแล้วการที่ผมเรียกลูกคนเดียวมันยังไม่ดีพอหรือเปล่า ปัญหาของครอบครัวผมยิ่งคิดก็ยิ่งผุดขึ้นมา จนผมนี่ตราหน้าตัวเองเลยว่าเป็นพ่อที่ห่วยแตกที่สุด
หรือว่าจะถึงเวลาหาผู้หญิงสักคนมาเป็นเมียใหม่ได้แล้วน๊าา
TBC
อย่าสงสัยว่าทำไม ดำเนินช่วงนี้อืด
เพราะว่า อยากจะให้เห็นปัญหาของครอบครัวนึงที่เรียกลูกโดย 'ผู้ชาย' คนเดียว
ให้รู้ที่ไป ที่มา ของพ่อตุลย์และหนูเอส
ส่วนสาเหตุว่าทำไมหนูเอสไปโผล่เป็นพนักงานเซเว่น เจอคำตอบในตอนหน้าา
#daddybelover
ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจที่ผลักดันให้ อัพติดต่อกันมา 5 วันรวด! 555555555555555