Heartless แค้นนี้...มิอาจห้ามรัก
ตอนที่ 54
ไม่อาจฝืนใจตัวเอง
อินทัชตื่นขึ้นมาในช่วงเช้าของวันใหม่ เวลาที่เขาตื่นเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าตามปกติ ความเคยชินนี้เขาเลยไม่จำเป็นต้องใช้นาฬิกาปลุก และไม่ต้องให้คนที่นอนอีกห้องหนึ่งมาปลุก
“โอ้ย!เจ็บ...” เขาลุกขึ้นนั่งแล้วก็ขยับขาแรงไปหน่อยเลยกระทบกับเท้าที่บวม บางทีก็ลืมไป ว่าตัวเองกำลังเจ็บอยู่ แน่ล่ะ...ใครจะไปอยากจำว่าตัวเองช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
เมื่อคืนเขาเสียแรงในการไล่รามินทร์ไปนอนอีกห้องหนึ่งยากมาก เพราะมันจะนอนที่ห้องเดียวกับเขาให้ได้ อ้างเหตุผลต่างๆ นาๆ ว่าถ้าเขาอยากจะเข้าห้องน้ำตอนกลางคืนจะทำยังไง หิวล่ะ แล้วถ้านอนตกเตียงอีกล่ะ กว่าจะยอมไปนอนอีกห้องหนึ่งทำเอาอินทัชหมดแรงข้าวต้มเลยล่ะ
“เจ็บแต่เช้าเลยกู”
“อ้าว? ตื่นแล้วเหรอ ว่าจะมาปลุกพอดี” รามินทร์เดินเข้ามาในห้องเห็นว่าอินทัชกับนั่งอยู่นิ่งๆ ก็เอ่ยทักทายยามเช้าที่รูปประโยคเป็นคำถามกับบอกเล่า
“คนอย่างกูไม่ต้องให้ใครมาปลุกหรอก”
“แล้วนี่จะทำอะไร”
“กูจะเข้าห้องน้ำ”
“จะอาบน้ำ?”
“มึงคิดว่ากูอาบน้ำได้ไหมล่ะ หมอห้ามเฝือกโดนน้ำเนี่ย”
“เดี๋ยวกูอาบให้ รับรองว่าน้ำสักหยดก็ไม่โดนเฝือกแน่นอน”
“ไม่เป็นไร กูเกรงใจ กูอยู่ในนี้ทั้งวัน คงไม่ได้ออกไปไหน และกูเป็นคนเหงื่อไม่เยอะ เพราะฉะนั้น กูอาบน้ำวันละรอบพอ ตอนเย็นค่อยอาบ แต่มึงพากูไปล้างหน้าแปรงฟันหน่อยซิ”
“รับคำสั่งครับผม”
พรึ่บ!!!
“ไอ้เหี้ย อุ้มกูทำไมวะ ประคองก็ได้ กูเดินได้” อินทัชด่าทันทีที่ถูกคนตัวใหญ่กว่าช้อนตัวขึ้นอุ้ม แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้น แต่ก็ดิ้นแรงไม่ได้ ตกมาเจ็บซ้ำสองอีก
“เออน่า...แบบนี้ดีที่สุด เร็วที่สุด”
“ไอ้เลว น่าด้านนะมึงอ่ะ”
“ก็กูเนาะ...”
“เหอะ!!!”
ร่างสูงยิ้มหน้าบาน พาอินทัชเข้าไปในห้องน้ำ แล้ววางเจ้าของห้องบนเคาท์เตอร์อ่างล้างหน้า หันหลังให้กับกระจกและก๊อกน้ำ
“ให้กูล้างหน้า แปรงฟันยังไง?” คิ้วสวยขมวดแน่น ถามรามินทร์ออกไป ส่วนคำตอบที่ได้ก็เป็นรอยยิ้มที่น่าหมั่นไส้ ก่อนที่ตัวของร่างสูงจะขยับไปบีบยาสีฟันลงบนแปรงเปิดน้ำใส่แก้วที่วางไว้ แล้วเอามายื่นให้กับอินทัช
“อ่ะ”
อินทัชมองแก้วกับแปรงนิดๆ แต่ก็รับมันมาบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าก่อน โชคดีที่เขาสามารถก้มลงบ้วนน้ำลงอ่างได้ ไม่งั้นต้องให้รามินทร์ช่วยทุกอย่างแน่ๆ ร่างโปร่งนั่งตัวตรงเอาแปรงเข้าไป ส่งแก้วน้ำให้กับรามินทร์คืนแล้ว
อายชะมัด...ทำไมต้องมาทำอะไรแบบนี้ต่อหน้ามันด้วย
“เสร็จยัง”
“อื้อ” ร่างโปร่งพยักหน้า รามินทร์ยิ้มแล้วอุ้มอินทัชให้มายืนบนพื้นให้เบาที่สุด แล้วจับให้อินทัชหันไปล้างหน้ากับบ้วนปากเอง ทั้งๆ ที่ทำแบบนี้ตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่อง
เมื่ออินทัชล้างหน้า ล้างปากเสร็จแล้ว เขาก็คว้าผ้าเช็ดหน้าใกล้ๆ มาซับน้ำที่หน้าออก โดยที่รามินทร์ยืนอยู่ใกล้ๆ ไม่ห่างไปไหนเผื่อว่าอินทัชช่วยตัวเองไม่ได้
“เสร็จแล้ว...”
“จะฉี่มะ”
“ช่วยพูดเพราะๆ หน่อยซิ!”
“ฉี่ไม่เพราะตรงไหนวะ” รามินทร์ถามกลับด้วยความสงสัย ก็ไพเราะและสุภาพแล้วนะ หรือต้องถึงขั้นพูดคำว่าปัสสาวะ?
“เออ...อะไรที่ออกจากปากมึงไม่มีอะไรเพราะหรอก”
“ไปเอาไม้เท้ามา กูจะเดินเอง มึงไปเตรียมอาหารเช้าให้กูไป”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวกูจะพาไปเอง เพราะอาหารกูเตรียมแล้วเรียบร้อย”
“ไม่เอา!!”
“จะอายอะไรวะ” รามินทร์ถาม
“ไม่ได้อาย แค่ไม่สะดวกใจ”
ก็ความหมายคล้ายๆ กันหรือเปล่าวะ...
“เออน่า คนกันเอง”
“ใครบอกว่าคนกันเอง มึงนี่มันมโนของแท้เลยว่ะราม” บางทีเขาก็เริ่มเหนื่อยใจที่ต้องรับมือกับนิสัยแบบนี้ของรามินทร์อ่ะนะ
คนอะไรไม่รู้ เถียงกลับทุกคำเลย
“ไม่มโนนะ...ระหว่างเรามันเป็นยังไงก็รู้ๆ กันอยู่”
“พอๆ เลิกพูด แม่ง พูดแบบนี้ทำเอากูขี้ไม่ออกเลย ไม่ขี้แล้ว พากูไปกินข้าว!!” อินทัชโมโหกลบเกลื่อนความเขิน ยิ่งรามินทร์มาทำให้ตนแบบสามีภรรยากันแบบนี้เขาก็จั๊กจี้จะหายห่าอยู่แล้ว
“มึงจะขี้ก็ได้นะ”
“ไม่เอา!! ไม่ปวดแล้ว หิว!!”
“โอเคๆ งั้นเราไปกินข้าวเช้ากัน วันนี้กูทำโจ๊ะให้มึงกิน”
“กูไม่ได้ป่วยนะ ทำอะไรที่มันหนักท้องกว่านี้ไม่ได้หรือไง”
“ก็กูทำเป็นอยู่แค่นี้!! กูให้ป้ารีสอนให้แค่นี้นี่หว่า ข้าวต้ม โจ๊ก หรือจะเอาไข่เจียวด้วย?” รามินทร์เลิกคิ้วถาม แต่ก็ยังไม่พาร่างบางออกจากห้องน้ำเสียที
“กูกินโจ๊กก็ได้ ไม่เรื่องมาก”
“ไป...อึ๊บ!!”
ร่างของอินทัชถูกช้อนขึ้นมาอุ้มอีกครั้ง จนบางทีอินทัชก็เบื่อที่จะด่าแล้วเหมือนกัน อยากอุ้มก็อุ้มไป เดี๋ยวก็หมดมแรงอุ้มไม่ไหวไปเองนั่นแหละ
“เดี๋ยวๆ ให้กูเปลี่ยนชุดก่อนเพราะเดี๋ยวจะไปนั่งทำงานในห้องทำงานเลย”
“เออๆ เดี๋ยวเอาชุดไปให้ที่เตียง” รามินทร์วางอินทัชลงบนเตียงแล้วัวเองก็เดินไปเลือกชุดสี่ใส่ง่ายๆ มาให้กับคนหน้าสวยที่ยังทำหน้านิ่งๆ ไม่ยอมยิ้มให้กับเขาสักที
ไม่เป็นไร ถ้ามันไม่ยิ้มให้ เขาก็จะยิ้มเอง
“กางเกงนี้ขากว้างอยู่ คงใส่ผ่านเฝือกนี้ไปได้”
“อือ...หันหน้าไปทางอื่น กูใส่เองได้”
“ก็ได้ๆ”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากทำให้กับอินทัชนะ แต่เขาก็อยากให้คนเจ็บช่วยเหลือตัวเองในบางเรื่องบ้าง ถ้าทำให้ทั้งหมด มันไม่เป็นผลต่ออินทัชเลยสักนิด
เขารักมัน...เขาถึงไม่คิดทำร้ายมัน ไม่ว่าจะเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ก็ตาม
“เรียบร้อย”
“เก่งนี่หว่า” รามินทร์เอ่ยปากชมเมื่อหันกลับมาเห็นคนหน้าสวยใส่เสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว
“ไม่ใช่เด็ก ไม่ต้องมาชม”
“ทำหน้าบูดแต่เช้าเชียว โมโหหิวเหรอครับ” ยักคิ้วถามกวนๆ
“กูโมโหแต่เช้าเพราะมึงนั่นแหละไอ้ราม พอแล้วเลิกพูด เลิกกวนตีน พากุไปกินข้าว แม่งเลยเวลาอาหารเช้ากูมาเยอะแล้วเนี่ย กูต้องกินยานะเว้ย”
“คร้าบๆ ทราบแล้วครับ”
แล้วในที่สุด อินทัชก็ได้ทานข้าวทานยาเสียที เป็นเช้าวันแรกของขาที่ใช้งานมากไม่ได้ ไม่คิดว่าทุกอย่างจะช้าไปหมดแบบนี้ ไหนจะงานที่เลขาเอามาให้กองพะเนินอยู่บนโต๊ะทำงาน ไหนจะตามเรื่องของเทพากรอาของเขาอีก ถ้าอาของเขาขู่มาแบบนั้นแล้ว แล้วเล่นกะเอาชีวิตอย่างเมื่อวานมันก็ชัดพออยู่แล้วว่าเทพากรเอาจริง
แบบไม่สนความเป็นอาเป็นหลานเลยด้วย
“อิน...กูถามจริงๆ นะ ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง ทำไมมึงถึงโดนทำร้าย”
“เรื่องภายในของกู คนนอกไม่เกี่ยว” อินทัชที่นั่งอ่านเอกสารอยู่ตอบ โดยไม่สนใจที่จะมองหน้าของรามินทร์ที่นั่งมองเขาทำงานอย่างเงียบๆ ทำตัวดีๆ ตามคำสั่งแต่ก็ดีแตกเพราะความอยากรู้อยากเห็นมันรบกวนจิตใจ
“กูก็ถือเป็นคนๆ เดียวกับมึงนะเมีย”
“หุบปากสักทีเถอะ กูไม่ใช่เมียมึง”
“มึงเป็น”
“ไอ้ราม!!!”
“ว่าไง? ไอ้อิน!!”
เอาสิ...ไม่มีใครยอมใครจริงๆ เสียงดังมาก็เสียงดังกลับ ไม่โกง
“เลิกรบกวนกูสักที ถ้ามึงจะมารบกวนการทำงานของกูมึงก็ออกจากห้องทำงานของกูไปเลย แต่ถ้ามึงอยากจะอยู่ในนี้ ก็นั่งอยู่อย่างเงียบๆ ธุรกิจกูมีค่าหลายร้อยล้านนะเว้ย”
“ขอโทษก็แล้วกัน...” รามินทร์หน้าเศร้า นั่งเงียบไป เรียกความสนใจจากอินทัชให้เงยหน้าขึ้นมองทันที แต่ก็หลงกลมันจนได้ เพราะทันทีที่เขาสบตากับมัน รามินทร์ก็ยิ้มกว้างมาหะจนอยากลุกขึ้นไปถีบ
“ไอชั่ว!!”
“เคยมีใครบอกหรือไงว่าคนเป็นเมียห้ามด่าสามี มันจะไม่เจริญ”
ร่างโปร่งกัดฟันแน่น มองหาของบนโต๊ะที่พอจะฟาดหัวของคนข้างหน้าได้ อินทัชทำงานไม่รู้เรื่องแน่ๆ ถ้าไม่ได้ฟาดไอ้คนปากเสียเนี่ย
“เฮ้ยๆ นั่นมันปากกานะเว้ย แล้วปากกานั่นไม่ใช่พลาสติกด้วย โดนแล้วหัวกูแตกได้นะอิน”
“ดี!! มึงจะได้หุบปากหมาๆ ของมึงสักที” มือขาวทำท่าจะขว้างไป แต่ก็ต้องชะงักเมื่อรามินทร์ยกมือสองข้างขึ้นมาเท่าอก เหมือนกับบอกว่าตนเองยอมแล้ว
“โหย...อิน ถ้ามึงอยากจะปิดปากกู มันมีวิธีง่ายๆ อยู่วิธีเดียว รับรองว่าปิดสนิทไม่ปริปากพูดอีกเลย”
ดวงตาสวยจ้องร่างสูงอย่างพินิจวิเคราะห์ท่าทีกับสีหน้าเจ้าเล่ห์นั่นว่ามันจะมาไม้ไหนอีก เพราะรามินทร์มันเป็นคนเจ้าเล่ห์ เจ้าเล่ห์ในแบบที่เดาทางยากมาก ไม่คิดเลยว่านิสัยที่แท้จริงของมันจะคนละขั้วกับไอ้คนใจร้ายที่ตลอดหลายเดือนเขาเห็นแต่มุมแบบนั้นของมัน แต่พอได้รู้จักอีกมุม รามินทร์ก็เป็นคนที่กวนๆ เจ้าเล่ห์ ที่สำคัญมันให้เกียรติเขา สุภาพขึ้นและอ่อนโยนมากด้วย
แต่ใช่ว่ามันจะทิ้งลายคนใจร้ายนั่นไปนะ...
“ยังไง บอกมาซิ! กูอยากจะปิดปากมึงจะแย่อยู่แล้ว”
รามินทร์ลุกขึ้น เดินมาหาร่างโปร่งด้วยรอยยิ้มที่ไม่น่าไว้ใจ แต่อินทัชก็ไม่ได้คิดจะป้องกันตัวเองแต่อย่างใด จนกระทั่งมันมาหยุดยืนตรงหน้าโต๊ะทำงานของเขาเนี่ยแหละ แผ่นหลังบางของอินทัชก็เลยเอนพิงกับเก้าอี้ทำงานด้วยท่าทางสบายๆ แต่มองหน้าของรามินทร์ที่อยู่สูงกว่าอย่างต้องการคำตอบ
“วิธีนี้ไง”
จุ๊บ!!
“อื้อ...”
ดวงตาของอินทัชเบิกตากว้างอย่างตกใจที่จู่ๆ ก็ถูกรามินทร์จู่โจมเข้าที่ริมฝีปากด้วยอวัยวะเดียวกันอย่างรวดเร็ว ดวงตาคมมองสบกับตาหวานของเขา อินทัชนิ่ง ยอมให้รามินทร์สัมผัสอยู่อย่างนั้นโดยไม่ขัดขืน ร่างสูงเองก็ใช้ปากของตัวเองสัมผัสค้างอยู่แบบนั้นไม่มีการรุกล้ำ
มันเป็นการปิดปากจริงๆ แต่ปิดด้วยปากของอินทัชนะ
“กูไปแล้ว เดี๋ยวตอนกลางวันจะมาพาไปกินข้าว”
ร่างสูงยักคิ้วให้ก่อนจะหันหลังเดินจากห้องทำงานของอินทัชไป ทิ้งให้เจ้าของห้องนั่งนิ่งค้างอยู่แบบนั้น แต่พอได้สติ ร่างโปร่งบางก็เอานิ้วมาแตะปากตัวเองเบาๆ แล้วยิ้ม
ส่ายหน้าไปมา...และเริ่มทำงานต่อเมื่อหมดตัวกวนแล้ว
“ไอ้บ้า...”
จริงๆ แล้วเขาไม่ได้รำคาญอะไรรามินทร์หรอก แค่ทำงานไม่รู้เรื่องเท่านั้น สาเหตุดันถูกจ้องมองด้วยสายตาที่เขาไม่ค่อยมีภูมิต้านทานกับมันเท่าไหร่จ้องเอาๆ
“ฝืนตัวเองเนี่ย...มันยากจริงๆ ว่ะธีร์”
เขารักมัน...รักตั้งแต่ตอนไหนเขาก็ไม่รู้เหมือนกัน รู้ตัวอีกทีก็รักมันแล้ว...
แต่มันก็แปลกนะ...ที่ดันรักคนที่แม่งไม่เคยดีกับตัวเองเลยสักนิด ทำร้าย ขืนใจ พูดจาด่าทอต่างๆ นาๆ ไม่คิดว่าตัวเองจะมารักคนที่เคยเกลียดแบบนี้เลย
จริงๆ เขาแพ้ใจตัวเองมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะถ้าเขาไม่อยากให้รามินทร์มาเกาะแกะวุ่นวายในชีวิตเขาจริงๆ เขาก็ทำได้ จะกันใครไม่ให้เข้ามาในชีวิตมันง่ายมาก จะหนีไปให้ไกลแค่ไหนก็ทำได้
แต่นี่อินทัชไม่ทำเอง เป็นคนเปิดโอกาสให้เอง ใจอ่อนเอง...
“กูให้โอกาสแล้วนะ”
อย่าทำให้กูผิดหวังล่ะ...
...
...
...
ช่วงเย็น รามินทร์พาอินทัชมาทานอาหารเย็นที่ร้านอาหารด้านล่างของคอนโด เพราะรามินทร์ทำอาหารอย่างอื่นไม่เป็นเลยนอกจากอาหารง่ายๆ แล้วจะได้เป็นการพาอินทัชสูดบรรยากาศข้างนอกบ้างเพราะอยู่แต่ในห้องแล้วก็ทำงานแบบนั้น กลัวจะเครียดจนเป็นบ้า
“มึงเคยมากินที่นี่ไหม” รามินทร์ถาม
“ก็มาบ้าง แต่ไม่บ่อย ปกติก็กินมาจากข้างนอกเลย ถามทำไมอ่ะ ไม่อร่อยเหรอ กูก็เห็นมึงกินจนหมดอยู่นะ แล้วกูก็ว่ารสชาติมันก็ดีออก”
“เปล่า...กูไม่ได้หมายความว่ามันไม่อร่อย มันอร่อยนั่นแหละ แค่ถามเฉยๆ”
“อ๋อ...” อินทัชครางรับ เงยหน้ามองท้องฟ้าที่ไม่ค่อยมีดาวเท่าไหร่ ตอนนี้พวกเขาสองคนกำลังเดินเล่นอยู่ในสวนของคอนโด ค่ำคืนที่ลมหนาวเริ่มพัดเข้ามาแล้ว อากาศเย็นสบายจนรามินทร์ชักจะเป็นห่วงกลัวว่าอินทัชจะไม่สบาย แต่พอเห็นว่าอีกคนกำลังผ่อนคลายและเหมือนจะชอบก็เลยไม่อยากขัด
เขาเข็นวิลแชร์ที่มีอินทัชนั่งอยู่ไปเรื่อยๆ ตามทางเดินของสวนที่พวกเขาจะสามารถเดินเล่นได้ แม้ว่าจะเป็นคอนโดหรูใจกลางเมือง แต่ก็มีพื้นที่จัดสวนสำหรับผ่อนคลายหรือพักผ่อน ให้กับผู้ที่อยู่อาศัยได้เหมือนกัน
“ราม...”
“ฮึ?”
“กูฝากบอกน้องจอมได้ไหม ว่าที่วานให้กูช่วยน่ะ กูไปได้นะ เมื่อวานน้องโทรมายกเลิกเรื่องที่จะให้กูช่วยเพราะขากูเจ็บ”
“ช่วยอะไรวะ ทำไมกูไม่รู้เรื่อง เจ้าจอมไม่ให้กูช่วยล่ะ”
อินทัชส่ายหน้า
“น้องจอมต้องไปหาพ่อแม่ตามคำสั่ง แล้วก็กลัวว่าจะถูกบังคับก็เลยจะพาจักรไปเปิดตัวโดยที่จะให้กูไปด้วย”
อินทัชพูดบอก เขารับปากว่าจะช่วยเขาก็ต้องช่วย แต่เจ้าจอมนี่สิ พอรู้ว่าเขาบาดเจ็บก็ไม่อยากรบกวนโทรมาขอยกเลิกซะงั้น แค่ขาเจ็บนิดเดียว ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเดินทางไปไหนมาไหนไม่ได้
แล้วเขาก็มีรามินทร์อยู่ด้วย...
“เดี๋ยวกูจะพาไปเอง ต้องเป็นเรื่องดูตัวแน่ๆ เห็นพวกคุณอา”
“พ่อแม่ของน้องจอมนี่เลเวลไหนวะ จะได้รับมือถูก”
“ระดับที่ไม่ฟังใครว่ะ แต่ถ้าคนรวยพวกแกจะฟังอยู่ ความคิดตัวเองเป็นใหญ่ แล้วก็รักลูกเกินไป รักแบบผิดๆ รักแบบไม่แสดงออกให้ลูกรู้ว่ารัก”
“ก็พอจะเข้าใจล่ะนะ” ร่างโปร่งพยักหน้า
ฟังคนรวยงั้นเหรอ? คนแบบนี้ก็มีด้วย? แล้วเขารวยหรือไงเจ้าจอมถึงได้อยากให้เขาไปช่วย ถ้าจะเอาทั้งรวย ทั้งมีอำนาจ ต้องเพื่อนสนิทเขาโน่น...
“ถ้าให้ไอ้ธีร์ไป รับรองว่าง่าย”
“กูว่ามึงไปก็ง่าย เพราะมึงเป็นเจ้านายของไอ้จักรด้วย”
“นั่นสินะ แต่สภาพกูตอนนี้คงจะลบความน่าเชื่อถืออกไปประมาณห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ”
“จริง...อันนี้กูไม่เถียง ฮ่าๆ” รามินทร์หัวเราะออกมาเสียงดัง
อินทัชชักจะเริ่มชินแล้วล่ะ ในเมื่อมันยั่วโมโหมาบ่อยๆ การที่เขาจะไปดิ้นตามมันก็ทุกครั้งมันเปลืองแรงเปล่า ปล่อยให้มันพูดไป อยากจะทำอะไรก็ทำ อยากจะพูดอะไรก็พูดไป
ให้โอกาสเต็มที่
“มึงจะไม่กลับไปทำงานทำการหรือไง ช่วงไฮซีซั่นไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีกูพวกพนักงานก็ทำงานกันเองได้ แล้วทุกสาขาก็มีผู้จัดการที่มีประสบการณ์อยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า”
“ใครบอกว่ากูเป็นห่วง กูแค่สงสัยว่าทำไมเจ้านายถึงได้ทิ้งเหล่าลูกน้องมาสุขสบายทั้งๆ ที่งานเยอะ”
“แขวะกูเหรอ” ถามยิ้มๆ
“เออ! อยากคิดไงก็เชิญเลย”
“ไม่เป็นไรหรอกน่า กูไม่ได้ทิ้ง กูก็ยังทำงานอยู่ตลอดนะ”
อินทัชไม่รู้หรอกว่ารามินทร์เอาเวลาไหนไปทำงาน อาจจะเป็นช่วงที่เขาทำงานอยู่ มันเองก็ทำเหมือนกัน แต่ช่วงนั้นมันก็เอาของว่างเข้ามาให้บ่อยๆ แล้วก็เตรียมอาหารทุกมื้ออีก ช่วงที่เขาพักมันก็มาพักกับเขาแต่ก็ไม่เห็นจะรับโทรศัพท์หรือทำงานเลย
“เอาเวลาที่ไหนวะ”
“กูมีเวลาทำก็แล้วกัน แล้วนี่มึงจะขึ้นไปข้างบนหรือยัง หรือว่าอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
“เพิ่งจะทุ่มกว่าๆ เอง ขึ้นไปก็ไม่มีอะไรทำ”
“แล้วอยู่ที่นี่มึงจะทำอะไรล่ะ เดินเองก็ไม่ได้ แขนก็ยังเจ็บอยู่ จะนั่งอยู่เฉยๆ แบบนี้ก็น่าเบื่อไม่ต่างกับขึ้นไปอยู่บนห้องหรอกน่า” รามินทร์ว่า
“อ๋อ...มึงอยากขึ้นไปแล้วใช่ไหม”
“ใช่!!”
“แต่กูไม่อยาก จบนะ เข็นไปตรงนั้นเร็ว” รามินทร์อยากจะฟัดแก้มนุ่มให้หายหมั่นเขี้ยวที่โดนเอาคืน เขาอยากจะขึ้นห้องเร็วๆ เพราะกลัวว่าอินทัชจะไม่สบาย
แต่เขาก็ไม่กล้าจะพูดออกไปตรงๆ บางทีบางครั้งมันก็มีช่วงที่เขาเขินหรืออายเหมือนกันนะ
“เออๆ จะพาไปตามบัญชาเลยครับ”
ร่างสูงพูดแล้วจัดการเข็นพาอินทัชไป แต่คนละทิศทางที่อินทัชอยากให้พาไป จนร่างโปร่งโวยวายออกมาทันที
“มึงจะพากูไปไหน กูบอกแล้วไงว่าจะไปตรงนั้น” นิ้วเรียวชี้ไปทางสถานที่ที่ตัวเองอยากไป หากแต่ร่างสูงกลับไม่ยอมฟัง ไม่สนใจ เข็นพาร่างโปร่งกลับคอนโดทันที
“ไอ้ราม!!”
“จะเสียงดังทำไม ไม่อายเขาเหรอ”
“กูไม่อาย! มึงพากูกลับไปคืนเดี๋ยวนี้นะ” อินทัชสั่งอย่างเอาแต่ใจ
“อย่าดื้อดิอิน อากาศมันเย็นแล้ว เดี๋ยวมึงจะไม่สบายเอานะ”
“มึงเนี่ยนะเป็นห่วงกู ทั้งๆ ที่ผ่านมาทรมานกูสารพัด กูไม่สบายเพราะมึงมาก็หลายครั้ง จะแคร์อะไรวะ”
“อย่ารื้อฟื้นดิ ตอนนี้กับตอนนั้นความรู้สึกกูมันเหมือนกันที่ไหนล่ะ”
“เหมือนไม่เหมือน มึงก็ทำร้ายกูอยู่ดี”
“เพราะงี้ไงกูถึงพามึงกลับห้อง เพราะกูไม่อยากเป็นสาเหตุที่ทำให้มึงไม่สบายอีก” น้ำเสียงของรามินทร์จริงจังมาก แม้จะไม่เห็นสีหน้าแต่ก็รับรู้ได้ว่าคนพูดจริงจังขนาดไหน
อินทัชรู้สึกว่าตัวเองงี่เง่า และรู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายหาเรื่องรามินทร์ก่อนก็เลยปิดปากนั่งเงียบๆ ปล่อยให้รามินทร์พาตัวเองกลับห้องไปแบบไม่โต้แย้งอะไรอีก
...
มีต่อค่ะ
....
..
.