CHAPTER 18: Even If Saving You Sends Me Into Heaven (Part II) ผิวน้ำสีคล้ำเบื้องหน้าสะท้อนประกายแดดแวววาวอยู่ในที ลมที่โบกพัดมาก่อให้เกิดระลอกคลื่นน้อยๆ
อ่างแก้วเหมือนเดิม.. เหมือนที่พชรเคยเห็นมาเทอมกว่า
ทุกอย่างเหมือนเดิม.. มีเพียงตัวเขาเอง ที่รู้สึกว่าไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
พชรไม่รู้ว่าการร้องไห้นั้นเป็นอย่างไร เพราะเขาเองก็จำไม่ได้เสียแล้วว่าครั้งสุดท้ายที่ร้องไห้นั้นมันเมื่อไหร่ หรือต้องเจ็บปวดแค่ไหนคนเราถึงจะร้องไห้ออกมา
ฝ่ามือแกร่งกำนิ้วเข้าหากันแน่น บางอย่างพริ้วไหวคลอภายในดวงตาไม่ต่างจากผิวน้ำที่เป็นระลอกจากสายลม
ทำไมเขาถึงต้องมาที่นี่..
ไม่รู้สิมันไม่เคยช่วยให้รู้สึกดีขึ้น ไม่เคยแก้ปัญหา ไม่เคย.. แต่เขาก็ยังมา
เราทุกคนคงต้องการสักที่ แค่สักที่ที่จะมาอยู่ มานั่ง มายืน มานอน
ไม่ได้ต้องการคุณสมบัติอะไรมากมาย นอกจากเป็นที่ที่หนึ่ง ..ที่มีอยู่ ..เท่านั้น
และเขาก็มาอ่างแก้วอีกแล้ว..
“ทำไมต้องกลับล่ะ”
“เพราะไม่มีเหตุผลที่จะต้องอยู่”
“ปรัชญาเชื่อมั่นในเหตุผลเหรอ..”
“แล้ววิศวฯเครื่องกลเชื่อมั่นในอะไร..”ถึงตอนนี้.. พชรไม่มั่นใจเลยว่าปรัชญาเชื่อมั่นในเหตุผล
ริมฝีปากหนาขบเข้าหากันแนบสนิท ฝ่ามือยังกำแน่น จิตใจเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ย้อนแย้งแย้ง
มันมากกว่าการโกหก..
มันยิ่งกว่าการคืนคำ..แขนเรียวที่โอบเอวตอบรับอ้อมกอด ณ อ่างแก้วแห่งนี้ เป็นสิ่งเดียวที่ปลอบประโลมเขา พอๆกับที่เป็นสิ่งที่ตอกย้ำความทรยศต่อตัวเองของเขาเช่นกัน
นี่เป็นวันจันทร์ที่ห่าเหวที่สุดที่พชรเคยเจอ..
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
เพชรลดาอาบน้ำแต่งตัวด้วยชุดที่ปกติไม่ได้ใส่ในสวน เพราะวันนี้เธอไม่ได้เข้าสวน ทว่า จะขับรถไปเชียงใหม่ ไม่ได้บอกลูกชายล่วงหน้าหรอกว่าจะไป อยากทำให้ประหลาดใจ อยากให้ดีใจ
ครั้งหลังๆ ที่พชรกลับบ้าน เขาดูตึงเครียดมากเหลือเกิน พชรบอกว่าวันพุธไม่มีเรียน เธอจึงเลือกจะไปวันพุธ..
ขับรถเพียงชั่วโมงกว่าก็เข้าเขตเมืองเชียงใหม่แล้ว เพชรลดาขับต่อมาจนเข้าเขตมหาวิทยาลัย พยายามมองหาหอสามชายที่เคยมาเมื่อคราแรกส่งพชร ..และแล้วก็มองเห็นป้ายเพียงไม่นานหลังจากผ่านสี่แยกเล็ก
เธอจอดรถเอาไว้อีกฟากถนน ค่อยๆก้าวเข้ามาในบริเวณหอพัก มือหิ้วตะกร้าผลไม้ อีกข้างกดโทรหาลูกชาย
ทว่า.. ไม่มีคนรับสาย
เพชรลดาเลิกคิ้ว ก้าวเข้าประตูหอ มองเห็นโต๊ะรักษาความปลอดภัยหน้าบันไดทางขึ้น นักศึกษาเดินลงมาหยิบบัตรบนโต๊ะและออกไป ..ในทางตรงข้าม คนที่เพิ่งเข้ามาก็เสียบบัตรก่อนขึ้นบันไดเป็นเช่นกัน
“อืม.. ถ้าบัตรเสียบอยู่ก็แปลว่านักศึกษาอยู่บนหอหรือคะ?” เสียงหวานถามป้ายามยิ้มๆ
“ใช่ค่ะ” สาวใหญ่พยักหน้าตอบ “ลูกคุณแม่อยู่ห้องไหน เดี๋ยวป้าดูให้”
“สามสามแปดค่ะ” เพชรลดาจำได้แม่น เพราะคนงานในสวนเคยถามลูกชายเพื่อเอาเลขไปซื้อหวย เธอขำจริงๆ
“สามสามแปด..” ป้ายามพึมพำ ไล่ดูในช่องเสียบบัตร
“ลูกคุณแม่ชื่ออะไรคะ ตอนนี้อยู่สองคน กวีกานต์ ทัศนศุภกฤษณ์กับ-”
“ชื่อพชรค่ะ พชร เพชรหละปูน” เพชรลดาตอบเสียงดังฟังชัด
..ซึ่งชื่อนั้นมีผลให้สองร่างที่เพิ่งลงบันไดมามองหน้ากัน
“อ้อ ไม่อยู่ค่ะ” ป้ายามอ่านบัตร พลางเอ่ยเสริม “เพราะอีกคนชื่อม่อ-”
“คุณแม่พชรหรือครับ?” เสียงเล็กถามขึ้นมา จนไม่ทันได้ยินคำหลังของป้ายาม
เพชรลดาหันไปตามเสียง เด็กหนุ่มผิวขาวร่างเล็กสองคนเดินลงมายกมือไหว้
“สวัสดีครับ พวกผมอยู่ห้องสามสามแปด เป็นรูมเมทพชร!”
เด็กหนุ่มที่ตัวเตี้ยกว่าอีกคนเอ่ยน้ำเสียงกระตือรือร้น รอยยิ้มสดใสนั้นทำให้เพชรลดายิ้มตาม
“ใช่จ้ะ น้าเป็นแม่พชร”
“คุณน้านิภา!” เด็กหนุ่มเรียกพลางยิ้มร่า
หืม? พชรลดาเลิกคิ้ว
นิภานี่ใคร..“ผมม่อนครับ นี่ไอดิล” เด็กคนนั้นแนะนำตัว พลางพยักพเยิดไปที่อีกคน และเอ่ยเสริมอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวผมโทรหาพชรให้นะครับ!”
ไอดิลกลอกตาไปมาขำๆ
บอกได้เลยว่าม่อนแจ่มนั้นตื่นเต้นถึงขีดสุด คู่ซี๊ได้เบอร์พชรจากเขาเองซึ่งก็ขอเอาไว้เผื่อกรณีฉุกเฉิน และยังไม่เคยมีเหตุจำเป็นให้ต้องโทร
“แหม.. เต็มใจช่วยเหลือสุดๆไปเลยนะครับม่อน” หนุ่มสิ่งแวดล้อมกระซิบล้อเลียน
“มึงปล่อยๆกูเถอะครับไอ้ดิ้ล ไม่ต้องถือเป็นธุระมึงทั้งหมดก็ได้ กูเกรงใจ” ม่อนแจ่มกวนตีนกลับ ขณะกดเปิดหน้าจอโทรศัพท์หาเบอร์ที่ตั้งเป็นหมายเลขโทรด่วน หูยังได้ยินเสียงไอดิลพึมพำเบาๆ
“ไม่เป็นไร กูถือเป็นหน้าที่เสมอที่ต้องเสือกเรื่องเพื่อนรักอย่างมึงครับม่อน”
..
..
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
กรุณา..
“แหงะ”
ม่อนแจ่มเบ้หน้าเล็กน้อย ทำสีหน้าขอโทษขอโพย เมื่อรอสายเรียกนานจนสัญญาณตัดไป
“ไม่รับสายอ่ะครับคุณน้านิภา สงสัยพชรไม่ได้หยิบโทรศัพท์ออกไปแน่ๆเลย ขอโทษ ขอโทษนะครับ แหะๆ..”
เอ่อ..
พชรไม่หยิบโทรศัพท์ออกไป แล้วมันใช่ความผิดเราเสียทีไหน? เพชรลดากลั้นขำ
“พชรไม่น่าออกไปไหนนานหรอกครับ อาจจะซุ่มปลูกต้นไม้อยู่แถวนี้อย่างเคย เดี๋ยวผมวิ่งออกไปหาให้นะครับ
อ้อ ไปดูมอเตอร์ไซค์ก่อนดีกว่า ถ้า Kawasaki D-Tracker ป้ายลำพูนจอดอยู่ พชรก็ต้องอยู่!”
…
เอ่อ.. อะไรจะพูดยืดยาวได้ไม่หยุดหายใจขนาดนั้น
ไม่กลั้นแล้ว เพชรลดาขออนุญาตหัวเราะออกมาด้วยความขำ
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” สาวใหญ่ยกมือเบรก เมื่อร่างเล็กตั้งท่าจะวิ่ง
“เดี๋ยวน้านั่งรอแถวนี้แหละ อ้อ..” เพชรลดายื่นตะกร้าให้ “ลำไยจ้ะ น้าเอามาฝาก”
“ว้าววว!” ม่อนแจ่มลั้ลลา
“จากสวนคุณน้าใช่ไหมครับ พชรบอกว่าที่บ้านทำสวนผลไม้ น่ากินมากเลยครับ ลูกโต อวบอิ่มสุดๆ!”
เพชรลดาพยักหน้ารับพลางหัวเราะ
“ขอบคุณครับ คุณน้านิภา” ม่อนแจ่มยกมือไหว้และรับตะกร้ามา
“คุณน้านิภาทานอะไรมาหรือยังครับ? หิวหรือเปล่า? ไปรอที่โรงอาหารก่อนไหมครับ? มีของกินอร่อยๆเยอะเลย”
ฮ่ะๆ
“จ้ะ” เพชรลดาที่เพื่อนลูกชายคงจำผิดว่าชื่อนิภาตอบสั้นๆเพียงเท่านี้ เพราะแค่ฟังอีกฝ่ายพูด เธอก็รู้สึกว่ายาวพอแล้ว
โรงอาหารหอสามชายไม่กว้างมากนัก แต่ก็ดูเหมือนมีแทบทุกอย่างที่นักศึกษาต้องการ
ที่เพชรลดาต้องทำก็เพียงนั่งรอที่โต๊ะ แล้วรูมเมทลูกชายก็บริการเองยิ่งกว่าเข้าภัตตาคาร ทำเอาคนเป็นแม่แปลกใจ
เพราะความสนิทสนมที่เด็กๆให้กับเธอก็สะท้อนถึงสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับลูกชายเธอด้วย
พชรเป็นผู้ใหญ่และมีเหตุผล แต่ไม่ช่างคุยและเข้ากับใครได้ไม่ง่ายนักหรอก
“อยู่หอสบายกันดีนะ กับพชรก็..คุยกันดีสิ” เพชรลดาสอบถาม ขณะที่ทีแรกกังวลอยู่ว่าพชรจะเก็บตัว
“ดีครับ พชรเท่ ขยัน นิสัยดี มีน้ำใจมาก” เด็กม่อนโฆษณา
ถึงแม้จะฟังดูเกินๆไปบ้าง ทว่า น้ำเสียงจริงใจและแววตาใสซื่อคู่นั้นบอกให้เธอรู้ว่าหนุ่มน้อยผู้นี้พูดตามความรู้สึกตัวเองจริงๆ
“ผมกินลำไยเลยนะครับ คุณน้านิภา” มือขาวแงะลำไยออกมาลูกหนึ่ง ส่งให้เพื่อนนามไอดิล ก่อนจะแกะของตัวเอง
เพชรลดาพยักหน้ายิ้มๆ ตักก๋วยเตี๋ยวลุยสวนตรงหน้าทาน
เด็กคนนี้มีบุคลิกบางอย่างที่แม้แรกพบในระยะเวลาสั้นๆ ทำให้อดเอ็นดูไม่ได้เลย“หืมม อร่อย อร่อยครับ ฉ่ำมาก เนื้อเยอะด้วย ต้องได้ราคาดีแน่เลยใช่ไหมครับ” ม่อนแจ่มถามอย่างสนใจ
เพชรลดาจึงพยักหน้าอีกครั้ง “เป็นลำไยอินทรีย์นะ พชรเขาไม่ยอมใช้ยาฆ่าแมลงจ้ะ”
“โอ้ ดีจัง!” ม่อนแจ่มยิ้มจนตาหยี เคี้ยวลำไยตุ้ยๆ ..ท่านพชรของเขาน่ารักที่สุดอยู่แล้วล่ะ!
“ขอบคุณคุณน้านิภามากนะครับที่อุตส่าห์หิ้วมาฝาก ผมจะขอบคุณคุณน้ายังไงดี..” ม่อนแจ่มหันรีหันขวาง
“ไม่ต้องจ้ะ ไม่ต้อง” เพชรลดารีบโบกมือ แต่ม่อนแจ่มลุกไปฉวยเอากระดาษเปล่าที่เอาไว้เขียนสั่งอาหารมาแล้ว และล้วงเอาดินสอจากกระเป๋ากางเกงออกมา
“สองนาทีครับ!”
“อะไรนะจ๊ะ?” เพชรลดาไม่ใคร่เข้าใจ
“ผมขอสองนาทีครับ” เด็กหนุ่มตรงหน้ายิ้มกว้าง ก่อนจะมองผู้ใหญ่สลับกับก้มลงลากเส้นบนแผ่นกระดาษ
..
และแล้ว..
อาจจะเลยสองนาทีไปสักสองหรือสามวิ..
“นี่ครับ”
มือเล็กยื่นกระดาษให้ “ผมให้คุณน้านิภา เป็นอย่างเดียวที่ผมทำได้”
เพชรลดารับมา
เส้นดินสอถูกลากเป็นรูปผู้หญิงผูกผมหางม้า ใส่เสื้อเชิ้ตและกระโปรงทรงบานปลายคลุมเข่า ในมือหิ้วตะกร้าลำไย
พร้อมด้วยข้อความด้านล่าง..
‘ขอบคุณครับ เป็นลำไยที่อร่อยที่สุดที่ผมเคยทาน’
มุมล่างขวากำกับอักษรภาษาอังกฤษตัวเขียน..
‘Mon Cham of Mechanical Engineering’
เพชรลดาเพ่งมองอยู่อึดใจหนึ่ง
บังเกิดความคุ้นเคยอย่างประหลาด เธอรู้สึกเหมือนเคยเห็นอะไรทำนองนี้มาก่อน..
‘Ride Carefully’
‘Mon Cham of Mechanical Engineering’
อ่า..
ฮ่ะๆ..
แล้วปากเรียวก็คลี่ยิ้มออกมา
ไม่ใช่พชรหรอกที่วาด..
เพชรลดาเงยขึ้นมองดวงหน้าขาวฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
..เป็นคนนี้เอง..“ขอบใจจ้ะ วาดน่ารักจริง เรียนคณะศิลปะ อะไรพวกนี้หรือเรา?”
“อ๋อ เปล่าครับเปล่า” ม่อนแจ่มส่ายหน้า “ผมแค่ชอบวาดครับ”
“อ้าว แล้วเรียนอะไรกันบ้างล่ะ?”
“เราสองคนเรียนวิศวฯครับ ไอดิลเรียนสิ่งแวดล้อม ผมม่อนแจ่มแห่งวิศวฯเครื่องกล”
ชินเสียแล้วกับบรรดาศักดิ์ตัวเอง
ชิน.. จนต้องเอ่ยออกมาเต็มๆ และชื่อเต็มนั้นทำให้ผู้ฟังชะงัก
“ม่อนแจ่ม..” เพชรลดาทวนคำ
เด็กม่อนหัวเราะแหะๆ ยอมรับอายๆ “ครับ.. ผมชื่อจริงชื่อม่อนแจ่ม”
..
‘ม่อน’ เป็นชื่อเล่นที่ไม่แปลก แต่.. ถ้าชื่อจริงคือ ‘ม่อนแจ่ม’
“ชื่อ.. ชื่อน่ารักดีจ้ะ สมตัว” เพชรลดาพูดอย่างลังเล
ม่อนแจ่ม.. ถึงจะเป็นชื่อสถานที่ ทว่า ดูไม่ใช่สถานที่ที่จะเอามาตั้งเป็นชื่อจริงได้ซ้ำๆเลย
“ม่อนแจ่ม นามสกุลอะไรหรือจ้ะ”
...
...
ม่อนแจ่มเลิกคิ้ว ไหล่เล็กยักน้อยๆอย่างงงๆ ทว่า ก็เอ่ยตอบเสียงสดใสเหมือนเดิม
“ประดิษฐาพงศ์ครับ
ผมม่อนแจ่ม ประดิษฐาพงศ์”
มันมีผลกับผู้ฟังอย่างที่คนพูดไม่ได้คาดคิด
เพชรลดานิ่งค้าง เบิ่งตามองเด็กหนุ่มผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม
เธอจำได้ขึ้นมาทันที ใช่แล้ว.. เธอเคยเห็นนี่นา เด็กหนุ่มนาม ‘ม่อนแจ่ม ประดิษฐาพงศ์’
และม่อนแจ่ม ประดิษฐาพงศ์คนนี้
เป็นรูมเมท พชร เพชรหละปูน ..ลูกชายของเธอ
“อ้าว นั่นพชรนี่!”เป็นไอดิลที่มองเห็นร่างสูงซึ่งเดินเข้ามาซื้อน้ำ สีหน้าที่ชื้นเหงื่อเรียบเฉยตามปกติที่เป็น
ม่อนแจ่มหันไปมอง รอยยิ้มกว้างประดับใบหน้า
“เดี๋ยวผมไปบอกพชรให้ครับว่าคุณน้านิภามา พชรต้องดีใจแน่เลย!”
ร่างเล็กเลื่อนเก้าอี้ หันหลังกลับรวดเร็ว ส่งเสียงเรียกคำประจำตัว
“พชร!”และก็อย่างเคย..
โครม! “โอ๊ย!”
หน้าแข้งม่อนแจ่มน่ะสิที่เตะเอาขาเก้าอี้จนต้องร้องโอดโอย
พชรหันมาตามเสียงเรียก ชะงักไปเพียงเสี้ยววินาที ก่อนรีบก้าวยาวๆแทบจะวิ่งเข้ามาหา
“จะมีสักวันที่มึงไม่ชนอะไรไหม เครื่องกล?” เสียงเข้มดุไม่จริงจังนัก
ร่างสูงย่อเข่าลง ข้างหนึ่งคุกลงกับพื้น อีกข้างชันขึ้นทรงตัว มองสำรวจรอยขูดบริเวณหน้าแข้งที่ไม่ยาวนัก และไม่มีเลือดซึม
ม่อนแจ่มยืนนิ่ง.. ก้มลงมองตาม สีหน้าแดงจัดอย่างขัดเขิน รอยกอดที่อ่างแก้วกลับมาย้ำเตือนในใจอีกครั้ง..
“พชร.. ไม่เจ็บแล้ว” เสียงเล็กเอ่ยแผ่วๆ เพราะหายเจ็บ ..หายแล้วตั้งแต่พชรมาอยู่ตรงนี้
“จะรีบไปไหน” พชรเลิกคิ้ว ลูบรอยแผลเบาๆให้ขาเนียนผ่อนคลาย บนข้อมือขวายังคล้องด้ายสีขาวเอาไว้
ม่อนแจ่มดีใจจัง..
“เอ่อ.. กูจะบอกว่าคุณน้านิภามาหา”
คุณน้านิภา..
ใคร?
หน้าคมขมวดคิ้วงงๆ
ดวงตาสีเข้มหันตามสายตารูมเมทเครื่องกลไปยังโต๊ะซึ่งมีไอดิล และ..
ไม่เคยเห็นมารดาแล้วตกใจเท่านี้
อะไรบางอย่างในแววตาที่มองมาทำให้พชรรับรู้ว่าเธอรู้จักชื่อเสียงเรียงนามของคนข้างตัวเขาแล้ว
สองคนได้แต่มองตากัน.. เพชรลดาไม่อาจลุกขึ้นเดินมาหา และ.. พชรก็ไม่กล้าเดินเข้าไป
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .
“เห็นช่วงหลังพชรดูเครียดมาก แม่ก็เลย.. มาเยี่ยม เผื่อจะรู้ว่าลูกเป็นอะไรไป”และคิดว่ารู้แล้ว.. เพชรลดาต่อในใจ
ที่สุดก็ค่อยๆเดินมากับลูกชายหน้าหอ สองรูมเมทยกมือไหว้ลาเพื่อปล่อยให้แม่ลูกได้พูดคุยกัน
‘ปกติคุณพชรเงียบ เพราะไม่ค่อยพูดอยู่แล้ว คุณพชรเป็นคนถนัดคิดแล้วทำมากกว่าจะพูด
แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกเหมือนกัน ว่าคุณพชรเงียบ เพราะมีเรื่องทุกข์ใจ’คำพูดของแสงรวียังก้องอยู่ในใจ เพชรลดาถอนหายใจน้อยๆ
“พชร..” เธอบีบไหล่หนาเบาๆ รับรู้ความรู้สึกที่เสียงเข้มไม่ได้พูดออกมา
ม่อนแจ่มชนเก้าอี้ เธอก็ตกใจ.. แต่ตกใจไม่เท่ากับการเห็นท่าทีของพชร
น้ำเสียง แววตา ท่าทาง ความห่วงใย ..ทั้งหมดนั้นบ่งบอกให้คนเป็นแม่ซึ่งผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนรับรู้ได้ว่าลูกชายรู้สึกอย่างไรกับเด็กหนุ่มอีกคน
“ผมเป็นลูกอกตัญญู..”
หลังจากการเงียบที่ยาวนาน นั่นคือสิ่งแรกที่พชรพูดออกมา สิ่งที่ทำให้เพชรลดาส่ายหน้า..
“ผมเจอพ่อแล้ว” เสียงเข้มเอ่ยเสริมหนักๆ
เพชรลดาเบิ่งตา “พชรบอกว่ายังไม่ได้ไปพบนี่นา?”
“เขามาที่นี่..” ร่างสูงกลืนน้ำลาย “มาเยี่ยมลูกชาย”
พชร..
เพชรลดาไม่รู้จะเอ่ยคำใด
“เขาถามว่าผมรู้จักเพชรลดาหรือเปล่า หลังจากที่ลูกเขาบอกนามสกุลผม”
พชรกัดฟัน แค่นเสียงเอ่ย “ผมควรจะบอก ..บอกว่าผมเป็นลูกแม่”
...
...
“แต่ผมบอกว่าไม่รู้จัก..”
ร่างสูงกำยำคุกเข่าลงตรงหน้ามารดา วอนขอการอภัยจากความไม่ซื่อสัตย์นี้
“ผมบอกว่าแม่ชื่อนิภา..”
..
“ผมมันอกตัญญู”
พชรควรพูด.. ควรบอกให้นายพจน์ ประดิษฐาพงศ์รับรู้ว่าเพชรลดา เพชรหละปูนมีบุตร
เพชรลดาผู้มีใจมั่นเพียงนายพจน์และถูกเพิกเฉยมาตลอดสิบเก้าปี
หญิงวัยสี่สิบสองมองลูกชายนิ่ง..
แต่ไหนแต่ไรมา.. พชรคือของขวัญล้ำค่า
นับตั้งแต่เริ่มมีเรี่ยวมีแรง ลูกชายคนนี้ก็ช่วยเหลือเธอทุกอย่าง ไม่ว่าจะงานบ้านหรืองานสวน
พชรเป็นที่สุดที่แม่คนหนึ่งพึงปรารถนาให้ลูกชายเป็น
แล้วพชรคิดได้อย่างไร ..คิดได้อย่างไรว่าเขาจะอกตัญญูเพียงเพราะอยากปกป้องคนที่ตัวเอง..
“คุณพจน์อาจเป็นคนสำคัญของแม่..” เพชรลดาเอ่ย
ใช่.. คุณพจน์ยังคงสำคัญ ใช่.. เธออยากจะเป็นภรรยาที่มีสามีเหมือนกัน ..อยากให้บุตรชายมีบิดาเหมือนกัน
ความอยากนี้ทำให้ไม่ห้ามปรามในสิ่งที่พชรตั้งใจจะทำ ..สิ่งที่เธออ่อนแอเกินกว่าจะทำด้วยตัวเอง
แต่..
“แต่ตอนนี้คนที่สำคัญที่สุดคือลูก คือพชร ..ไม่มีอะไรมีความหมายเลย ถ้าพชรต้องเสียใจและไม่มีความสุข”
สาวใหญ่ย่อตัวลง จับไหล่ลูกชายยืนขึ้น
“แม่ขอย้ำอีกครั้งว่าแม่ไม่เคยขอให้พชรไปหาพ่อ ไปเปิดเผยความจริงอะไรทั้งนั้น แต่หากพชรอยากทำ แม่ก็ไม่ห้าม”
เธอเอ่ยอย่างเข้มแข็ง “แล้วในเมื่อวันนี้ พชรมีเหตุผลที่จะไม่ไป ก็แค่ไม่ต้องไป”
“ผมไปหาคุณระมิงค์แล้ว ผมอยากเลือกให้เธอสารภาพด้วยตัวเธอ แต่เธอทำไม่ได้ ..เธอให้ผมไปบอกคุณพจน์เอง”
ใบหน้าคมสันมองมารดา เอ่ยอย่างเจ็บปวด “ซึ่งผมก็ทำไม่ได้เหมือนกัน”
ถ้าไปบอกว่าเขาเป็นลูก
คำถามคือ.. เหตุผลอะไรที่แม่ต้องจากไปทั้งๆที่ตั้งครรภ์
คำตอบคือ.. เพราะระมิงค์ก็ตั้งครรภ์
และในเมื่อก่อนแต่งงาน นายพจน์กับระมิงค์ไม่เคยมีอะไรกัน ก็หมายถึง..
“ผมพูดไม่ได้ว่าม่อนแจ่มไม่ใช่ลูกชายเขา..”
สำหรับพชร เขาอยู่แบบไม่มีพ่อมาได้เกือบยี่สิบปี ไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขาที่จะไม่มีต่อไป แต่สำหรับม่อนแจ่มนั้นไม่ใช่
มือแกร่งค่อยๆล้วงหยิบกระเป๋าสตางค์จากกระเป๋ากางเกง หยิบเอากระดาษสีครีมเหลืองหม่นออกมายื่นให้
“ผมเสียใจครับแม่..”
พชร..
เพชรลดาได้แต่กลั้นน้ำตา แม่กับลูก.. ช่างเหมือนกันอะไรเช่นนี้
“แม่เก็บไว้มานาน แต่ก็ไม่ได้อยากเก็บไว้อีกแล้ว”
ไม่อยากเก็บไว้แล้ว เพราะพชร ..ลูกชายหนึ่งเดียวคนนี้ คนที่มีความรู้สึกบางอย่าง ความรู้สึกซึ่งเธอเข้าใจดี
เพชรลดาดันมือแกร่งของลูกชายกลับไป “แม่ยกให้พชร.. อยากจะเก็บไว้ ทิ้งหรือเอาไปไหน ..ก็ตามแต่ใจพชร”
“ผม..” พชรไม่รู้จะนิยามความรู้สึกตนเองต่อม่อนแจ่มอย่างไร ทว่า เพชรลดาเพียงลูบหัวลูกชาย เอ่ยเบาๆ “แม่รู้ลูก..”
. . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . .