เพลงรักที่หายไป
เพลงพิเศษ 14 Endless story
ศิลปิน YUNA ITO
(หนูด้วง & โอบอุ้ม)
(หนูด้วง) ‘หนูกำลังจะตกเป็นของพี่โอบ’
หนูได้รับคำอนุมัติจากทุกคนแล้วฮะ หนูยอมรับว่าหนูดีใจมากที่เรื่องราวของหนูและพี่โอบได้รับการยอมรับจากทุกคนเสียที โดยเฉพาะยุงพญา บุคคลที่เป็นเหมือนโลกทั้งใบของพี่โอบ เป็นคนเดียวที่ชี้เป็นชี้ตายให้กับพี่โอบได้ หนูเข้าใจเหตุผลของยุงและก็เข้าใจพี่โอบเหมือนกัน
พี่โอบไม่เคยเล่าเรื่องในวัยเด็กให้หนูฟัง แต่หนูรู้ว่าพี่โอบรู้เรื่องในวัยเด็กของหนูทุกเรื่อง หนูก็อยากรู้เรื่องของพี่โอบบ้าง ต้องไปอ้อนวอนพี่ก้านอยู่นานถึงยอมเล่าให้หนูฟัง
‘พี่เคยเห็นคุณโอบเดินขายของอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นพี่ก็นึกว่าเป็นลูกของไอ้สามารถ แต่ผิวพรรณหน้าตาไม่ได้มีส่วนคล้ายกันเลย พี่เคยได้ยินมาว่าไอ้สามารถมันไปลักพาตัวคุณโอบกับเด็กๆ อีกหลายคน ตอนนั้นตำรวจก็ทำอะไรมันไม่ได้เพราะมีคนหนุนหลังมันอยู่ จนมันย้ายมาหากินแถวเกาะของเรา นายพญาจึงให้พี่คอยตามดูมันอยู่ห่างๆ หลายครั้งที่คุณโอบโดนไอ้สามารถทำร้ายร่างกาย เด็กตัวแค่นั้นโดนทุบโดนตี บางทีตบหัวจนล้มคว่ำไปกับพื้น พี่เคยเข้าไปปรามมันหลายทีแต่มันไม่สนใจ ได้ยินมาว่ายิ่งมีใครเข้าไปเตือนมัน มันจะยิ่งใช้ความรุนแรงเพื่อระบายอารมณ์กับเด็กที่มันดูแลอยู่ คงเป็นโชคดีของคุณโอบหรือไม่ก็ชะตาลิขิตเอาไว้ นายพญาไปเจอตอนที่คุณโอบถูกทำร้ายอยู่พอดี แถมยังรู้สึกถูกชะตาจนให้พวกพี่ไปจัดการไอ้สามารถแล้วพาคุณโอบมาดูแล ไม่แค่คุณโอบเท่านั้น เด็กอีกหลายคนที่มันกดขี่ก็ได้รับความช่วยเหลือด้วย’
หนูฟังแล้วยอมรับว่ารู้สึกหม่นหมองในใจ ภาพของพี่ดาวเรืองที่เคยทำร้ายหนู หนูยังไม่เคยลืมเลยสักวัน แล้วพี่โอบจะจำฝังใจเหมือนอย่างหนูรึเปล่า แต่ต่อให้พี่ดาวเรืองทำร้ายหนู บางครั้งเธอก็ยังโอบกอดหนู ร้องไห้ขอโทษหนู เธอยังแสดงความอ่อนโยนต่อหนูอยู่บ้าง แต่กับผู้ชายที่ชื่อสามารถคนนั้นคงไม่อ่อนโยนต่อพี่โอบแน่ๆ พี่โอบจะเจ็บปวดแค่ไหน ลึกๆ หนูก็หวังว่าพี่โอบจะลืมมันไป
‘รู้ได้ยังไงว่ากับพี่โอบแล้วมันคือความรัก ความรักที่ไม่ใช่แบบพี่น้อง’
มัมเคยถามหนู หลายๆ คนก็เคยถามหนู หนูยังเคยถามตัวเองบ่อยครั้ง
หนูอยากเป็นน้องของพี่โอบ พี่ชายที่ช่วยหนูจากการจมน้ำในวันแรกที่เราได้เจอกัน พี่ชายที่เข้ามาถึงตัวหนูก่อนใครทุกครั้งที่หนูล้ม พี่ชายที่มีคำปลอบโยนให้หนูสบายใจ ในขณะเดียวกันหนูก็อยากให้พี่โอบกอดหนู อยากให้ริมฝีปากของพี่โอบจูบหนูเพียงคนเดียว อาน้องบอกว่า...การกระทำแบบนั้นมันไม่ใช่สิ่งที่น้องชายกับพี่ชายเขาทำกัน
งั้นหนูไม่เป็นน้องชายก็ได้ก็ได้ หนูจะเป็นแฟนของพี่โอบ เพราะพี่โอบจะได้จูบหนูเพียงคนเดียว
‘ครั้งแรกมันเจ็บนะ’
มัมกับยุงพญาชอบขู่หนูอยู่บ่อยๆ ถึงหนูจะยิ้มสู้แต่หนูก็กลัวเป็นนะ ขู่หนูอยู่ได้ แต่ต่อให้กลัวแค่ไหนหนูก็จะตกเป็นของพี่โอบ แด๊ดดี้เคยสอนเสมอว่า ‘คนเราต้องมีความมุ่งมั่น ต้องรู้จักวางแผน ต้องรอบคอบค้นคว้าหาข้อมูล ตระเตรียมความพร้อม แล้วงานที่หวังจึงจะประสบความสำเร็จอย่างราบรื่น’
ได้เลยฮะแด๊ดดี้ หนูจะมุ่งมั่นที่จะตกเป็นของพี่โอบ หนูจะวางแผนให้ดี หนูจะรอบคอบและค้นคว้าหาข้อมูล หนูจะตระเตรียมร่างกายให้พร้อม แล้วทุกอย่างจะได้ประสบความสำเร็จอย่างที่แด๊ดดี้สอน
สิ่งแรกที่หนูต้องทำ...
‘หนูด้วง! นกฮูก! ทำอะไรกันเนี่ย’
สิงโตโวยวายเมื่อเห็นหนูกับนกฮูกเอาหนังโป๊ที่สิงโตซ่อนไว้มานั่งดู หนูจำได้ว่าไม่ได้ตอบคำถามของเพื่อนเพราะกำลังตื่นตระหนกกับภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า ผู้ชายสองคนที่โรมรันพันตูจนแยกไม่ออก บทรักที่เร้าร้อนมันเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วพี่โอบจะดุดันเหมือนคนในจอภาพไหม หนูต้องส่งเสียงดังๆ อย่างเขารึเปล่า หนูพยายามจดจำข้อมูลที่กำลังค้นคว้าเอาไว้ให้ได้มากที่สุด
‘ไม่อ่อนโยนเลย ไม่เห็นจะน่าดูตรงไหน ไปกันเถอะหนูด้วง เราว่ามันไม่สมจริง ก็แค่นักแสดง’
นกฮูกบอกแบบนั้น หนูก็สงสัยว่านกฮูกรู้ได้ยังไงว่ามันไม่สมจริง หรือนกฮูกจะเคยเห็นของจริงมาแล้ว ใช่แน่ๆ นกฮูกต้องมีข้อมูลดีๆ ที่ปิดบังหนูอยู่ ใช่แน่ๆ...
‘ดีใจไหมที่ทุกคนอนุญาตแล้ว อาน้องจะบอกอะไรให้นะ ครั้งแรกอย่าง่ายเกินไปนัก ให้มีอะไรยากๆ บ้าง’
ทำไม ‘ครั้งแรก’ มันจะต้องมีอะไรที่หนูต้องกังวลเต็มไปหมด แล้วพี่โอบจะตื่นเต้นเหมือนหนูไหมนะ ถึงหนูจะไม่ใช่ครั้งแรกของพี่โอบ แต่หนูเป็นผู้วิเศษเชียวนะ หนูว่า...พี่โอบก็ต้องตื่นเต้นบ้างแหละ
“หัวเราะอะไรอยู่คนเดียวหนูด้วง” นกฮูกแหวกผ้าใบเต็นท์เข้ามา คงเห็นหนูยังไม่นอนเลยเข้ามาทัก
“นกฮูก ตกใจหมดเลย เรากำลังคิดอะไรเพลินๆ แล้วทำไมนกฮูกยังไม่นอน ไหนว่าเมาแล้วไง”
“แกล้งเมาไปอย่างนั้นแหละ ไอ้ที่ว่าคิดเพลินๆ แล้วยิ้มจนตาเยิ้ม มันต้องเรื่องทะลึ่งแน่ๆ ใช่ไหม แล้วนั่นอะไรน่ะ”
“แผนที่”
“แผนที่อะไร”
“ก็วันนี้เราจะตกเป็นของพี่โอบแล้ว อาน้องบอกว่าต้องทำอะไรให้ยากๆ เราเลยทำแผนที่”
“ด้วยการให้พี่โอบตามหาอะนะ”
“อือ มันง่ายไปเหรอ” หนูเริ่มกังวล นกฮูกแย่งแผนที่จากมือของหนูไปดูก่อนจะหัวเราะ
“ฮ่าๆ ไม่ง่ายหรอก เรายังดูไม่ออกเลย ขืนเดินตามเส้นที่หนูด้วงวาด ถึงเช้าก็คงไม่ได้เจอกันหรอก”
ขนาดคนฉลาดอย่างนกฮูกยังบอกว่าดูไม่ออก แล้วถ้าพี่โอบหาหนูไม่เจอล่ะ หนูก็จะอดตกเป็นของพี่โอบ พอคิดแล้วก็เหงื่อแตก รีบแย่งเอาแผนที่คืนมาแล้วเอาปากกาสีแดงวงตรงจุดหมายสุดท้ายที่ตัวเองตั้งใจไปซ่อนตัวจนหนา พร้อมกับเขียนอะไรลงไปด้วยนิดหน่อย หนูหวังว่าพี่โอบจะเข้าใจคำใบ้ของหนูนะ
“นกฮูก...”
“ว่าไง”
“มันจะเจ็บมากไหม”
“นึกว่าจะไม่กลัว”
“อย่าขำสิ ใครจะไม่กลัวบ้าง แต่เราไม่อยากให้พี่โอบรู้ว่าเรากลัว เดี๋ยวพี่โอบก็ไม่กล้าทำอะไรอีก”
“เราก็ไม่รู้ บางคนก็ว่าเจ็บ บางคนก็ว่าดี แต่กับคนที่รัก เราว่ามันคงดีจนลืมเจ็บ”
“จริงด้วย ขอบใจนะ เราต้องไปซ่อนตัวแล้ว พี่โอบลงไปส่งน้องแฝดที่บ้านมัม ต้องรีบทำภารกิจให้เสร็จก่อนพี่โอบจะกลับขึ้นมา”
“ยังมีภารกิจอื่นอีกเหรอ”
“อื้อ เราจะเป็นหนูด้วงคนยากไง”
“ฮ่าๆ ยากมากๆ งั้นเราไปนอนดีกว่า ขอให้เป็นคืนที่ดีสมกับที่รอคอยนะหนูด้วง” นกฮูกอวยพรก่อนที่เราสองคนจะแยกย้ายกันไป
นอกจากความยากที่อาน้องสอนแล้ว มัมยังสอนอีกว่าอย่าถอดเสื้อผ้าจนล่อนจ้อนหมด ให้เหลืออะไรติดตัวไว้บ้าง จะได้ดูไม่แก่แดดจนเกินไป พอหนูถามมัมกลับไปว่า...ตอนมัมตกเป็นของแด๊ดดี้ มัมใส่อะไรเอาไว้ เผื่อคำตอบของมัมจะช่วยให้หนูคิดออกว่าต้องใส่อะไร มัมตอบหนูมาว่า...มัมใส่ต่างหู
แต่หนูไม่ได้เจาะหูนี่นา แล้วหนูจะใส่อะไรดี?
เมื่อมองไปรอบๆ สุดท้ายก็ต้องเอาสิ่งใกล้ตัวที่สุด จากนั้นหนูก็แค่รอคอย พี่โอบจะหาหนูเจอไหมนะ หนูตื่นเต้นที่สุดที่สุดเลยฮะ
(โอบอุ้ม)หลังจากให้ใบไม้กับใบหม่อนกินจนอิ่มและเล่นอยู่กับกลุ่มพี่ๆ จนดึกพอประมาณ ผมลงไปส่งน้องแฝดที่บ้านของน้าตัง ทั้งน้าตังกับน้าคุณบอกว่าอากาศบนผามันหนาวมาก กลัวว่าเด็กๆ ทนความหนาวเย็นไม่ไหวแล้วจะไม่สบาย น้องแฝดเองก็ดูจะติดน้าตังมาก สำหรับใบหม่อนผมยังไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไหร่ แต่กับใบไม้ที่ไม่เคยยอมไปไหนกับใครง่ายๆ ก็ยังยอมตกลงแต่โดยดี ผมก็รู้สึกอุ่นใจและโล่งใจที่เห็นว่าเด็กทั้งสองเป็นที่รักของใครหลายๆ คนที่นี่
อากาศบนผาฟ้าครามหนาวมากอย่างที่น้าตังเตือนเอาไว้ ยิ่งพอข้ามเส้นเวลาที่บ่งบอกถึงวันใหม่ อุณหภูมิก็ดูจะลดลงจนผมนึกห่วงหนูด้วงที่นอนอยู่ในเต็นท์ตามลำพัง ต่อให้มีเสื้อกันหนาวแต่กังวลว่าจะเอาไม่อยู่
สิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจเมื่อมาถึงเต็นท์ก็คือความว่างเปล่า หนูด้วงไม่ได้นอนหลับอยู่อย่างที่ผมคิดเอาไว้ มีเพียงกระดาษหนึ่งใบวางอยู่ที่หมอน ผมหยิบมันขึ้นมาพร้อมกับเปิดไฟฉายที่พกติดตัวมาด้วย บนกระดาษถูกวาดเป็นเส้นระโยงระยางเต็มไปหมด น้องคงวาดแผนนี้เพื่อให้ผมค้นหาอะไรสักอย่าง ผมคงดูไม่ออกว่าจุดหมายปลายทางอยู่ตรงไหนถ้าไม่มีปากกาสีแดงวงรอบจุดนั้นเอาไว้ มีตัวหนังสือตัวเล็กๆ กำกับว่า ‘หนูอยู่ตรงไหนน้า หนูอยู่ตรงนี้รึเปล่าน้า’
“หึหึ” ผมหลุดขำเพราะคำใบ้ที่น่ารักของน้อง
ผมเดินตรงไปยังโรงเรียนสอนทำอาหารของน้าตังซึ่งเป็นจุดที่หนูด้วงวงสีแดงเอาไว้ ประตูโรงเรียนไม่ได้ล็อก และข้างในค่อนข้างมืด มีดวงไฟดวงเล็กๆ ที่เปิดทิ้งเอาไว้ให้พอเห็นทางเดินลางๆ ผมตัดสินใจเดินเข้าไปดูในห้องนอนขนาดเล็กที่น้าตังทำเอาไว้สำหรับพักในช่วงกลางวันเป็นอันดับแรก แต่ผมไม่เจอหนูด้วงที่นั่น ลองเดินไปดูในห้องเรียนที่น้าตังเอาไว้สอนก็ยังไม่พบ เหลือที่สุดท้ายก็คือครัวใหญ่ บอกตรงๆ ว่าผมชักจะตื่นเต้นเหมือนกันว่าเจ้าหนูอะไดของผมคิดจะทำอะไร
ในที่สุดผมก็เจอน้องในห้องนี้จริงๆ ในห้องไม่ได้มืดขนาดที่มองไม่เห็นอะไร แต่ก็ไม่ได้สว่างจนเห็นทุกอย่างชัดเจน น้องนอนขดตัวหันหลังให้ผมอยู่บนเคาน์เตอร์ตัวใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางห้อง ผมรีบเดินเข้าไปหาเพราะอากาศมันเย็นมาก แต่น้องกลับมานอนอยู่บนแผ่นสแตนเลสแบบนี้ คงไม่ต้องบอกว่าผิวบางๆ จะได้รับความเย็นจากแผ่นสีเงินนั่นขนาดไหน
“หนูด้วง ทำไมมาหลับอยู่ตรงนี้” ผมพยายามจะปลุกน้อง ไม่รู้ว่ารอผมนานแค่ไหน ผมก็มัวแต่คุยอยู่กับน้าคุณจนเพลิน
“พี่โอบหาหนูเจอแล้ว” หนูด้วงพลิกตัวแล้วลุกมานั่งขยี้ตา ก่อนจะพึมพำเบาๆ ตามประสาคนที่ยังโดนความง่วงเข้าครอบงำอยู่
“ต่อให้หนูไม่ทิ้งคำใบ พี่ก็ต้องหาหนูให้เจอ แล้วนี่หนูแต่งตัวอะไรครับ” ผมยังมองไม่ถนัดเพราะยังไม่ได้เปิดไฟ รู้แต่ว่าการแต่งกายของหนูด้วงไม่ปกติ
“หนูขอไปล้างหน้าก่อนนะฮะ” เมื่อหนูด้วงบอกผม ผมจึงอุ้มน้องให้ลงมาเพราะเคาน์เตอร์เพราะมันสูงพอสมควร กลัวว่าอีกฝ่ายยังไม่หายง่วงแล้วจะพลิกตกเอาได้
ผมเลิกคิ้วมองตามหนูด้วงไปด้วยความสงสัย แผ่นหลังของหนูด้วงเปลือยเปล่า ด้านหน้าห้อยอะไรเอาไว้เป็นก้อนๆ ส่วนด้านล่างที่ว่าแปลก ถ้าผมเดาไม่ผิดผมว่ามันเป็นกุนเชียงหรือไม่ก็ไส้กรอกที่น้องเอามาห้อยไว้ที่เอว ด้วยความอยากรู้ผมจึงเดินไปเปิดไฟ พอหนูด้วงหันมาผมถึงได้เห็นอีกฝ่ายเต็มตา คราวนี้ผมยอมรับเลยว่ากลั้นไม่อยู่จริงๆ ผมไม่เคยหัวเราะได้มากขนาดนี้มาก่อนเลย หัวเราะจนอีกฝ่ายวิ่งเข้ามาแล้วโผกอดผมเอาไว้
“พี่โอบอย่าหัวเราะหนูนะ”
“แล้วหนูแต่งตัวแบบนี้ทำไมครับ”
“ก็...มัมบอกว่าครั้งแรกไม่ควรโป๊หมด ให้มีอะไรสักอย่างปกคลุมร่างกายเอาไว้บ้าง หนูไม่ได้เตรียมมาก่อน ก็เลย..”
“เลยเอาขนมปังมาทำยกทรง แล้วก็เอาไส้กรอกมาร้อยเป็นกระโปรงเหรอครับ” ผมถามพลางกลั้นขำ
“ก็ตรงนี้มันไม่มีอะไร ถ้าเอาผักมา หนูกลัวว่ามันจะเหี่ยวก่อนพี่โอบเจอหนู” หนูด้วงพูดพลางทำหน้ามุ่ย
“ดูสิ เปื้อนตัวหมดแล้ว มา...พี่ถอดให้ อากาศหนาว เช็ดตัวก็พอ”
“ยังไม่ต้องเช็ดก็ได้”
“ทำไมครับ”
“ก็...ก็...”
“หื้ม”
“พี่ไม่อยากกินขนมปังกับไส้กรอกเหรอฮะ”
ผมรู้ว่าน้องกำลังจะสื่ออะไร ผมยื่นชั่งใจอยู่พักหนึ่งจนเห็นว่าดวงตาของน้องดูหวั่นไหว เจ้าตัวคงกำลังลุ้นว่าผมจะหยุดหรือไปต่อ น้าตังเล่าให้ผมฟังแล้วเรื่องที่น้องไปขออนุญาตจากทุกคน ต่อน้องไม่ต้องทำอะไรให้ ผมก็รักเขาจนหมดหัวใจ น้องหยิบยื่นความรักความหวังดีให้ผมเท่าที่คนๆ หนึ่งจะทำให้เห็นได้ ผมต้องใช้คำไหน ต้องทำยังไงที่จะบอกกับน้องว่าผมรักเขามากจนขาดเขาไม่ได้
“ถ้าพี่ไม่อยาก คือ...หนู”
ผมตอบคำถามด้วยการช้อนตัวเขาขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์อีกครั้ง ขนมปังสองก้อนที่ห้อยคอของน้องอยู่ถูกผมดึงออก ตุ่มไตสีหวานคู่นั้น เมื่อมันสัมผัสกับอากาศเย็นเข้าก็ชูชัน ดูคล้ายทับทิมเม็ดเล็กๆ ประดับอยู่ที่กลางอก มือของผมลูบไปที่ข้างลำตัวของน้องอย่างแผ่วเบาจนน้องเกร็งและเริ่มกัดริมฝีปาก
“อ้าว หยุดทำไมฮะ” หนูลืมตาขึ้นมาจากความเคลิบเคลิ้มเมื่อเห็นผมหยุดสัมผัสตัวเขา
“หนูไม่ควรเอาของกินมาเล่น ถ้าน้าตังรู้จะโกรธ”
“จริงด้วย” หนูด้วงหน้าเสียเขาเคยเล่าว่ามัมกับแด๊ดดี้จะสอนให้รู้คุณค่าของของกินเสมอ แต่ผมรู้ว่าน้องคงคิดไม่ออกว่าจะเอาอะไรมาใช้ในแผนการตกเป็นของผม จึงเลือกเอาของใกล้ตัว
“เราต้องช่วยกันกินให้หมด ทิ้งไม่ได้”
“ก็ได้ก็ได้ฮะ”
หนูด้วงหยิบขนมปังขึ้นมาบิกิน ส่วนผมก็เอื้อมมือไปปลดเชือกที่เอวของน้อง ระหว่างนั้นอดไม่ได้จึงคลอเคลียอยู่แถวซอกคอหอมๆ ผิวของหนูด้วงนุ่มลื่นจนไม่อยากถอนตัวเองออกมา
“พี่จะเอาไส้กรอกไปล้างแล้วแช่เก็บเอาไว้ก่อน พรุ่งนี้เราต้องจัดการมันให้หมด” ผมรู้ว่าให้น้องกินหมดนี่คงไม่ไหว รับผิดชอบแค่ขนมปังสองก้อนนั้นก็คงแทบจุก โชคดีที่ไส้กรอกถูกหุ้มด้วยถุงพลาสติกอีกทีจึงไม่เปื้อนอะไร
“พี่โอบมาช่วยหนูกินด้วยนะ” น้องอ้อนผม ผมจัดการเก็บไส้กรอกเสร็จแล้วจึงหยิบแยมในตู้เย็นติดมาด้วย
“หนูชอบแยมราสเบอร์รี่” หนูด้วงท้วงเมื่อผมหยิบแยมส้มมา
“แต่พี่ชอบแยมส้มนี่ครับ หนูจะให้พี่ช่วยกินไม่ใช่เหรอ”
“ก็ได้ก็ได้ อ๊ะ!”
เมื่อแยมส้มเย็นเฉียบถูกป้ายไปที่เม็ดทับทิมคู่นั้น น้องถึงกับสะดุ้งและส่งเสียงร้องอย่างตกใจออกมา ผมลอบยิ้มก่อนจะหยิบขนมปังในมือน้องมากัดหนึ่งคำ จากนั้นผมก็จัดการเลียแยมส้มของโปรดตรงตำแหน่งที่ผมป้ายเอาไว้ ใช้ปลายลิ้นละเลียดกวาดเนื้อแยมจนเกลี้ยง แถมยังอ้อยอิ่งอยู่กับติ่งเนื้อที่ยื่นออกมาท้าทายสายตา
“พี่โอบ...ไหนว่า..ของกินไม่ให้เอามาเล่นไงฮะ...อื้ออ” น้องระบายลมหายใจแรง แต่ก็ยังไม่วายเถียงผม
“พี่ไม่ได้เล่นครับ พี่กินอยู่”
“หนูเปิดเพลงเอาไว้ดีกว่า สร้างบรรยากาศ” หนูด้วงกดรีโมทเปิดเพลง น้องคงกลัวเสียงตัวเองดังเล็ดลอดออกไป ท่าทางจะเตรียมการเอาไว้เป็นอย่างดี ผมนึกขำการเตรียมพร้อมของน้อง และผมก็ตื้นตันกับสิ่งที่น้องทำเพื่อผม
มีต่อด้านล่างค่ะ V
V