6
ก่อนอื่นคงต้องยอมรับตามตรงว่าผมตกใจ... ไม่ใช่เพราะรู้ว่าเขากำลังคบใคร
...แต่เพราะมันเป็นเครื่องยืนยันว่าเวลาไม่เคยทำให้เขาเปลี่ยนไป
เพราะเขาไม่ใช่คนเจ้าชู้ หว่านเสน่ห์ออกหน้าออกตาถึงไม่เคยระแคะระคาย ไม่มีสัญญาณว่าเขากำลังหมายตาใคร ผมถึงได้ใจว่าที่ผ่านมามีเพียงตัวเองที่อยู่ในสายตา
แต่ผมลืมไปซะสนิทว่าเตวิชญ์ไม่ใช่ผู้ล่า... เขาเป็นราชา
เพียงนั่งเฉยๆ ก็มีคนพร้อมจะส่งตัวเองมาเป็นเครื่องบรรณาการ
ดังนั้นถ้าให้เดา เรื่องราวคงเริ่มจากความลึกลับอันเย้ายวนใจของเขา... แสงจันทร์ยามราตรีที่ล่อแมลงเล็กจ้อยมาติดกับ...หยอกเย้า เล่นล้อกับความลุ่มหลงที่ถูกมอบให้ครั้งแล้วครั้งเล่า... คล้ายการตอบรับ
แต่แมลงโง่เขลาไม่มีทางบินถึงดวงจันทร์... สิ่งที่เขาทำเป็นเพียงแค่ใช้แสงนวลอาบไล้พวกมัน ทั้งที่ดวงจันทร์ไม่มีแสงเป็นของตัวเองด้วยซ้ำ สักวันความจริงจะปรากฏว่าสิ่งเหล่านั้นคือภาพมายา ดวงจันทร์ที่มันหลงรัก เป็นเพียงก้อนหิน เย็นชืด ...ไร้หัวใจ
ทีนี้... ลองเดากันไหมว่าตอนจบของเรื่องนี้จะเป็นยังไง
“ปาไม่เข้าใจ ปาทำอะไรผิด”
“...”
สุดท้าย ปีกแสนบอบบางจะค่อยๆ กร่อนสลาย
“เตเบื่อเหรอ ไม่รักปาแล้วเหรอ ทำแบบนี้ทำไม”
“...”
ความอ่อนล้าจะทำให้ร่างของพวกมันร่วงหล่นลงมา
“เต! อธิบายมาสิ ปาจะได้รู้ว่าตัวเองผิดอะไร”
“...”
...ความเย็นชาที่ได้รับตอกย้ำว่าไม่อาจเอื้อมคว้าสิ่งใด
บอกแล้วไงว่าสำหรับเตวิชญ์ ความสัมพันธ์มีสูตรสำเร็จ ตายตัว
“เตวิชญ์...!” น้ำเสียงอ้อนวอนเปลี่ยนเป็นกราดเกรี้ยวเมื่อพยายามจะร้องขอคำอธิบายเท่าไหร่อีกฝ่ายกลับไม่ปริปากและคงจะไม่แสดงท่าทางยินดียินร้ายอะไร เจ้าของเสียงหวานถึงได้ระเบิดอารมณ์ออกมา
ผมไม่รู้ว่าคนอื่นจะจัดการเรื่องนี้ยังไง แต่สำหรับเขา...
“เธอไม่ผิดหรอก ขอโทษนะ” มันง่ายดาย
บางที อาจเป็นเรื่องดีที่เวลาไม่อาจทำลายความเย็นชาของเขาลงได้... การเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอาจทำให้การเริ่มต้นใหม่ยากเกินไป
ผมยังต้องใช้ความร้ายของเขาในการถ่วงเวลา... ฟูมฟักให้ปีกที่เคยผุพังกลับมาแข็งแรงพอจะบินขึ้นไป... แข็งแรงพอที่จะไม่ตกลงมาใหม่... ไม่เปราะแตกหรือบุบสลายเมื่อสัมผัสผิวเย็นชืดของดวงจันทร์
“เลว!” หลังจากนั้นผมได้ยินเสียงร้องไห้ฟูมฟาย เสียงฝีเท้าหนักๆ ที่ดังไกลออกไป และเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา...
“ขอบุหรี่หน่อย”
ถูกจับได้ซะแล้ว
คงเพราะมวนนิโคตินในปากที่กำลังเผาไหม้ส่งกลิ่นควันลอยออกไปบ่งบอกตำแหน่งของคนที่ไม่ควรจะมาอยู่ในสถานการณ์
“ดราม่าชะมัด” ผมว่ายื่นซองบุหรี่พร้อมไฟแช็กให้ ตัดความหวังที่เขาจะมาต่อไฟจากปลายบุหรี่ตัวเองด้วยการสูดเข้าปอดเพียงครั้งแล้วดับมัน
“ทำไมไม่บอกไปว่าไม่รัก” เอนหลังพิงขอบระเบียง มองอีกฝ่ายจุดไฟ ละเลียดควันอ้อยอิ่งขณะมองไปข้างหน้านิ่งนาน คงเพราะคำถามแทงใจ
เหตุผลที่เขาไม่ยอมเอ่ยออกไป คนนอกอย่างผมสัมผัสมันได้ชัดเจน
“แบบนั้นมันคงทำร้ายจิตใจ” ปล่อยให้มวนนิโคตินถูกสายลมเผาไหม้ไปกว่าครึ่งเขาจึงตอบคำถาม
“หา?” ผมชะงัก ถึงกับเบิกตากว้าง ก่อนจะหัวเราะ... หัวเราะเสียงดังจนตัวเองตกใจ
คงเพราะความหมายของมันกรีดแทงกว่าคำถามแกมประชดของผมหลายเท่า
...นี่น่ะเหรอความอ่อนโยนที่พี่เลือกใช้ ผลักไสโดยไร้คำอธิบาย ยอมรับความผิดไว้ แล้วหายไป
“ผมว่าแบบนี้เจ็บกว่า” หลุดปากพูดสิ่งที่คิด ไม่คิดหลบหลีกยามนัยน์ตาสีรัตติกาลหันกลับมาสบตา มองประกายแสงระยับ และรอยยิ้มมุมปากขณะที่ฝ่ามือหนาวางลงมาบนศีรษะ
“งั้นก็เจ็บทั้งสองทาง” ลูบผ่านเรือนผมก่อนเลื่อนไปจับกระเป๋าผ้าใบโตบนบ่า “กูควรเลือกทางที่ตัวเองพอใจ” ใช้นิ้วเรียวเกี่ยวมันออกมา ดับบุหรี่แล้วเดินนำหน้าออกไป ทิ้งผมไว้กับประโยคสุดท้ายที่ผมทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจ
ทั้งที่ความหมายตรงตัว ไม่ซับซ้อนแต่กลับไม่อยากยอมรับมันง่ายดาย... ตั้งใจหาข้อถกเถียง แต่สุดท้ายก็จบลงด้วยถ้อยคำจำนน
มันก็จริง...
คำชวนของเขามันเหมือนการล่อลวง แต่ผมไม่คิดจะปฏิเสธมัน
แน่ล่ะ ในเมื่อมันไม่ใช่โอกาสที่หาได้ง่ายๆ แม้ว่าผมจะไม่ใช่คนแรกที่เขาหยิบยื่นโอกาสให้ก็ตาม
การรู้ว่าตัวเองต้องใช้สถานที่ซ้อนทับคนเก่าที่เขาเพิ่งทิ้งหมาดๆ ทำเอาผมหงุดหงิดไม่น้อย การถูกตอกหน้าว่าไม่ได้เป็นคนพิเศษทำให้ผมจำใจถอยหนึ่งก้าวเพื่อไม่ให้เจ็บตัว
“น่าจะเอาเงินไปซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่” คิดออกมาดังๆ เมื่อเห็นว่าเจ้าของรถมอเตอร์ไซค์บุโรทั่งที่ผมเพิ่งนั่งซ้อนมามีที่ซุกหัวนอนโอ่อ่าขนาดไหน
เพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดฯ ถูกตกแต่งด้วยโมเดิร์นลอฟต์สไตล์ ดิบด้วยสัจวัสดุแต่ทิ้งคราบความหรูหราไว้ด้วยการจัดวางองค์ประกอบแต่ละชิ้นอย่างประณีตเล่นล้อแสงไฟ เฟอร์นิเจอร์ราคาแพงเพียงไม่กี่ชิ้นราวส่วนหนึ่งของงานศิลปะที่เจ้าของห้องบรรจงคัดสรรมาประดับไว้ไม่ให้บรรยากาศแห้งแล้งจนเกินไป
แล้วสระว่ายน้ำนี่มันอะไร...
“ก็เอาเงินจ่ายค่าห้องหมดไง ถึงไม่มีซื้อมอเตอร์ไซค์ใหม่” เขาว่า ยักไหล่ไม่ยี่หระก่อนจะเอาของของผมไปวางไว้บนโต๊ะดราฟข้างโซฟารับแขกให้ เมื่อผมเอาแต่สำรวจห้องและกำลังชะโงกหน้ามองส่วนของสระว่ายน้ำที่อยู่ต่ำลงไปครึ่งชั้นอย่างให้ความสนใจ
ดูเหมือนข้างล่างนั่นจะเป็นส่วนที่เขาใช้ชีวิตมากกว่าตรงนี้ที่คงถูกใช้ต้อนรับใครก็ตามที่เขาอนุญาตให้เข้ามาสัมผัสพื้นที่ส่วนตัวเพียงผิวเผินขณะที่ซุกซ่อนเกือบทั้งหมดไว้
...แต่ขอโทษด้วยที่ผมมันเอาแต่ใจ
“งั้นน่าจะลองขายห้องไปซื้อมอเตอร์ไซค์” ทำเป็นยอกย้อนให้เขายิ้มขำกลบเกลื่อนที่ตัวเองกำลังถือวิสาสะก้าวลงบันได
ทำเมินเจ้าของห้องที่ยกมือขึ้นกอดอกมองตาม สีหน้าคล้ายกำลังหยั่งเชิงว่าผมจะทำอะไร เดินลงมาสำรวจพื้นที่หวงห้ามโดยไม่คิดจะขออนุญาตใดๆ
ถัดจากสระว่ายน้ำที่พาดตัวยาวตามแนวหน้าต่างบานสูงที่เชื่อมกับระเบียงเป็นห้องนั่งเล่นที่กว้างขวางกว่า ฝั่งตะวันออกมีประตูสองบานที่ผมเดาได้ว่าเป็นห้องนอนกับห้องน้ำ มีครัวอยู่อีกฝั่ง ไฮไลท์คือพื้นยกระดับที่มีเครื่องดนตรีชุดหนึ่งวางไว้ติดหน้าต่างบานสูงที่เปิดม่านสีครึ้มไว้ครึ่งหนึ่ง
ที่บอกว่าเป็นไฮไลท์เพราะมันเดาได้ไม่ยากเลยจะเกิดภาพที่สวยแค่ไหน ยามที่เขานั่งอยู่ตรงนั้น จับเครื่องดนตรีสักชิ้นให้แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านกระทบร่างสมบูรณ์แบบจนเกิดเงา
สมเป็นอาณาจักรราชา
“ไม่มีใครกล้าลงมาถ้ากูไม่อนุญาต” ประโยคบอกเล่าที่แฝงด้วยความตำหนิจางๆ ทำให้ผมหลุดขำ หันไปมองหน้าเขาแล้วยกยิ้มมุมปาก
“ถ้าพี่ไม่อนุญาตควรห้ามตั้งแต่เห็นผมลงบันได” แต่ไม่รับปากหรอกว่าเขาจะห้ามผมได้
บอกแล้วไงว่าผมมันเอาแต่ใจ...
คนตัวโตกว่าไม่ว่าอะไร เพียงสบตาผมคล้ายรอดูว่าผมจะหาลูกเล่นอะไรมายื้อไม่ให้ตัวเองถูกไล่กลับขึ้นไป
ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องยากนักหรอก
“ผมหิวอ่ะ” ว่าพลางเดินไปที่ครัว กวาดสายตาหาบางอย่างแล้วหยิบมันขึ้นมา
“ต้มมาม่ากินได้มั้ย” ปั้นหน้าซื่อทำเป็นเกรงใจทั้งที่รู้ดีว่าเขามองออกว่าผมจงใจ
มันไม่ใช่ภาพที่ผมคิดว่าชาตินี้จะได้เห็น...
ภาพที่ตอกย้ำซ้ำๆ ว่าเขาช่างเพอร์เฟ็กต์... กระทั่งเรื่องเล็กๆ
ภาพของผู้ชายตัวโตเดินไปเดินมาอยู่ในครัวที่ดูแคบไปถนัดตา เสื้อยืดคอกว้าง กับกางเกงยีนขาดๆ ทำให้ผมจินตนาการภาพเขาอยู่ในนิตยสารสตรีทแฟชั่นมากกว่ายืนอยู่หน้าเตา ง่วนกับการโยนส่วนผสมลงไปในเมนูสปาเกตตี้ไวท์ซอสด้วยท่าทางชำนิชำนาญ...
แต่ต้องยอมรับว่าช่างเป็นความขัดแย้งที่ลงตัว
“ไม่ยักรู้ว่าพี่ทำอาหารได้” กระโดดขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์พลางมองซอสในกระทะที่กำลังส่งกลิ่นหอมได้ที่อย่างประหลาดใจ เขาไม่ตอบอะไร แค่ยักไหล่แล้วโยนเส้นสปาเกตตี้สุกลงไป
ตอนที่เขาพูดว่ามีของดีกว่ามาม่า ผมไม่ได้คาดหวังว่ามันจะกลายเป็นอาหารจริงจัง อย่างมากก็เมนูสำเร็จรูปสักอย่างกระทั่งเขาทำให้รู้ว่าผมเผลอประเมินเขาต่ำเกินไป
“ชิมหน่อยสิ” ยื่นหน้าเข้าไปหาเมื่อเห็นว่าเขาหยิบเส้นสปาเกตตี้ที่คลุกเคล้ากับซอสจนได้ที่ขึ้นมา คุณพ่อครัวเลิกคิ้วมอง ก่อนยกยิ้มพร้อมขยับมายืนแทรกระหว่างขา เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้น อ้าปากรอส้นสปาเกตตี้ที่เขาจะส่งเข้ามา
แล้วเส้นเหนียวนุ่มก็แตะลงมาที่ลิ้น ให้ผมรับรู้รสชาติกลมกล่อมของซอส... ตามด้วยสัมผัสของนิ้วร้อนๆ ที่เจ้าของบรรจงป้อนอย่างจงใจ
เขาหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหยุดแกล้งเพื่อปล่อยให้ผมได้พิจารณารสชาติ ขณะที่ตัวเองชิมมันจากปลายนิ้วที่ดึงกลับไป ผมเลิกคิ้วเมื่อเห็นปลายลิ้นของเขาแตะลงบนนิ้วโป้งที่คงจะเหลือเพียงรสชาติจางๆ ผสมน้ำลาย ก่อนกระโดดลงจากเคาน์เตอร์เพื่อซุกซ่อนใบหน้าที่กำลังเห่อร้อนของตัวเองไว้
“เดี๋ยวผมหยิบจานให้”
มื้อเย็นแสนเรียบง่ายไม่ได้ทำให้รู้สึกพิเศษน้อยลงเมื่อผมตระหนักได้ว่ามันเป็นการกินข้าวร่วมโต๊ะครั้งแรกของเรา ยิ่งเป็นในห้องเขา และอาหารฝีมือเขา...
สารภาพว่าผมเผลอให้ตัวเองลิงโลดขึ้นมาชั่วขณะ ก่อนจะเกิดคำถามว่าผมเป็นคนที่เท่าไหร่ที่ได้กินมัน เขาเคยทำเมนูเดียวกันนี้ให้ใครกินบ้าง... อย่างน้อยก็คงพี่ปา...
“ไม่ชอบเหรอ” กว่าจะรู้ว่าเผลอทำหน้าไม่พอใจ ก็ตอนที่เขาเอ่ยทักเมื่อเห็นผมเอาแต่ใช้ส้อมม้วนเส้นไปเรื่อยๆ ไม่ยอมกินมัน
“มึงจะต้มมาม่าก็ได้” พอผมไม่ตอบเขาเลยเสนอ สีหน้าที่คล้ายเป็นกังวลของเขาทำให้ผมประหลาดใจ
“ปกติกูทำกินเอง ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นชอบรสชาติยังไง” ยิ่งประหลาดใจกับประโยคต่อมา
...ยังกับอ่านใจกันออกเลยนะ
“หึ” ผมหลุดหัวเราะ เสียงดังพอให้เขาเลิกคิ้วสงสัย แต่แทนที่จะตอบว่าหัวเราะทำไม ผมตักสปาเกตตี้คำโตเข้าปากแล้วเอ่ยในสิ่งที่ทำให้พ่อครัวยิ้มออกมา “ผมชอบมัน”
ทุกอย่างดูราบลื่นและเป็นธรรมชาติเกินไป จนน่ากลัวว่าในความเรียบง่าย เขาอาจซุกซ่อนมีดแหลมไว้
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จเขาก็เก็บจานไปล้าง ไล่ผมไปทำงาน เปิดเพลงเพื่อไม่ให้บรรยากาศในห้องเงียบเกินไป น่าแปลกที่เขาไม่ได้ไล่ผมกลับขึ้นไปยังส่วนรับแขก ซ้ำยังอนุญาตให้ผมใช้ห้องนั่งเล่นด้านล่างทำงานได้ ชิ้นส่วนของโมเดลที่กระจัดกระจายเต็มพื้นไม่ได้ทำให้เขาหงุดหงิดหรือต่อว่าอะไร เจ้าของห้องยังใช้ชีวิตราวกับว่าไม่มีผมนั่งอยู่ให้รกหูรกตา
อากาศธาตุ... อืม คำนี้คงบอกสถานะตอนนี้ของตัวเองได้
“สูบบุหรี่ได้มั้ย” และก่อนที่จะกลายเป็นอนุภาคเล็กจ้อยไร้ความหมาย ผมควรทำให้เขารู้ว่าตัวเองยังมีตัวตน
“เมื่อเย็นมึงเพิ่งสูบ” ได้ผล... คนที่วุ่นวายอยู่กับกีตาร์ในมือเงยหน้าขึ้นมามอง เตือนผมถึงปณิธานที่ตัวเองตั้งไว้
บุหรี่วันละมวน... ผมอนุญาตให้ตัวเองได้เท่านั้น แรงจูงใจในการหักดิบคือการมีเขามาทรมานร่วมกัน
“อา...” แกล้งส่งเสียงเหมือนนึกขึ้นได้ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ
จะลืมได้ยังไงในเมื่อผมเองที่ลากเขาเข้ามาด้วยคำท้าทาย... และเขายอมตกลงเพื่อทำลายคำปรามาสของผมที่บอกว่าเขาจะอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีมัน
“อยากได้กาแฟจัง” ผมลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย ถือวิสาสะเดินไปที่ครัวมองเครื่องชงกาแฟที่ตั้งอยู่บนเคาน์เตอร์อย่างเก้ๆ กังๆ
“ไปนั่งรอไป” เจ้าของห้องเดินมายืนข้างๆ ดันให้ผมหลีกทาง เปิดตู้เหนือหัวแล้วหยิบผงกาแฟออกมาพร้อมแก้วสองใบ
ผมปล่อยให้เขาวุ่นวายอยู่กับมันแล้วหันไปหยิบน้ำเปล่าออกมาจากตู้เย็น ดื่มมันจากขวดแล้วหันกลับมายืนมองแผ่นหลังกว้างที่กำลังรอเครื่องชงกาแฟทำงาน เสียงเครื่องจักรดังแทรกเสียงเพลงอยู่ไม่นาน เขาก็หันพร้อมเอสเพรสโซ่ร้อนๆ หอมกรุ่นในแก้วเซรามิคทรงสวย
มันช่าง... เป็นธรรมชาติเกินไป
ถ้าเขาตะขิดตะขวงใจกับการมีอยู่ของผมสักนิด ถ้าเราแสดงความประดักประเดิดใส่กันสักหน่อย ผมคงไม่คิดมากอย่างนี้
มันแย่ตรงที่ ผมชอบมัน... ชอบทั้งที่รู้ว่านี่มันอันตราย
“ผมอยากได้สระว่ายน้ำแบบนี้ในห้องบ้าง” ผมปัดความรู้สึกเหล่านั้นออกไป หยิบกาแฟมาจิบเพียงครั้ง แล้วผละออกมา เบี่ยงเบนความสนใจตัวเองด้วยสระไว้น้ำสีมรกตที่กำลังสะท้อนแสงจันทร์
หน้าต่างที่สูงจรดเพดานทำให้พระจันทร์ดวงโตดูใกล้จนคล้ายกับว่าผมจะแตะมันได้เพียงเอื้อมมือออกไป
ทั้งที่ในความจริงมันเป็นไปไม่ได้...
“ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วจะมีสระว่ายน้ำไปทำไม”
แต่แล้วคำตอบของเขาทำให้ผมชะงักฝีเท้าที่กำลังแตะลงไปบนผิวน้ำ หันกลับไปมองร่างสูงที่ยังอยู่ในครัวอย่างตกใจ เขาหันหลังอยู่คงไม่รู้ว่าผมกำลังมีสีหน้าแบบไหน
...คงไม่รู้ตัว ว่าคำพูดเพียงผ่านของตัวเองกลายเป็นคำเฉลยของปริศนาที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้
ยังจำได้ไหมที่ผมบอกว่าคำพูดร้ายๆ ของเขามันกระตุ้นให้ระแคะระคาย... คนเราเลือกความทรงจำไม่ได้ และในเมื่อเขาไม่ได้ความจำเสื่อม เหตุผลก็เหลือข้อเดียว...
เขาโกหก
ตูม!
และตอนนี้ผมรู้แล้วว่าจะพิสูจน์มันยังไง
“พิชญ์!” เสียงตะโกนเรียกชื่อผมดังขึ้นหลังจากเสียงผิวน้ำแตกกระจาย ร่างของผมหนักอึ้งด้วยมวลของเหลวที่โอบอุ้มรอบกาย... ไม่คิดดิ้นรนตะเกียกตะกาย ปล่อยให้มันกระชากผมสู่ก้นสระ ฉุดรั้งให้จมดิ่งลงไป กินระยะเวลานานพอจะทำให้รู้ว่าน้ำมันลึกกว่าที่ผมคิดไว้
ไม่ต้องห่วง... ผมจะไม่เป็นไร
ตูม!
ยืนยันได้จากเสียงผิวน้ำที่แตกกระจายอีกครั้ง ร่างของใครอีกคนแหวกผืนน้ำดำดิ่งตามลงมาในเวลาอันรวดเร็ว ผมเงยหน้าขึ้นไป... เห็นเงาของเขาบดบังแสงไฟ
ภาพในอดีตย้อนเข้ามา... ภาพในวันที่ผมเกือบถูกพญามัจจุราชพรากวิญญาณไป ไม่เคยลืมว่าใครคือคนเอื้อมมือมาคว้าร่างผมไว้ ยื้อชีวิต... คืนลมหายใจ
ไม่เคยลืมว่า ‘เขา’ คือคนที่ฉุดรั้งผมขึ้นมาจากความตาย
แต่คราวนี้สถานการณ์มันแตกต่าง... และผมยังไม่จนตรอกถึงขนาดต้องใช้ชีวิตตัวเองพิสูจน์อะไร
ผมมองร่างที่แหวกว่ายลงมาแล้วเริ่มนับถอยหลัง
บอกแล้วไงว่าผมจำได้ดีว่าการจมน้ำมันทรมานแค่ไหน... สิ่งเดียวที่จะทำให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานนั้นได้ คือการหัดว่ายน้ำให้เป็น
"...!" ไม่แปลกใจเลยที่เห็นผู้ช่วยชีวิตเบิกตากว้างมองผมที่เป็นฝ่ายถีบตัวเองขึ้นไปหาก่อนที่เขาจะว่ายมาถึงตัว ฟองอากาศพรั่งพรูเมื่อผมหยุดกลั้นหายใจ แทรกตัวระหว่างใบหน้าอีกคนที่ดูตกตะลึงเมื่อผมไม่มีท่าทีของคนใกล้ตาย...
วินาทีต่อมาเขาคงรู้ตัวว่าโดนหลอกเข้าเต็มเปา คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันขณะที่ผมลอบยิ้มพลางเอื้อมมือไปประคองใบหน้าเขา... สีหน้างุ่นง่านยิ่งทำให้ผมอดใจไม่ไหว ตัดสินใจทำตามความปรารถนาที่ตัวเองกักเก็บไว้ พรูลมหายใจเฮือกสุดท้าย
...แล้วประกบริมฝีปากลงไป
ลงโทษคนโกหกด้วยการขโมยอากาศหายใจ
"...!"
ในทีแรกเขาคล้ายจะตกใจ แต่ไม่มีทีท่าจะผลักออกหรือถอยหนี ซ้ำยังคล้อยตามเมื่อริมฝีปากที่แตะกันนำพาสู่รสจูบลึกล้ำ... ตักตวงช่วงชิงลมหายใจกันและกันอย่างไม่กลัวว่าจะสำลักตาย
และก่อนที่จะจมดิ่งลงไปอีกครั้ง มือข้างหนึึ่งของเขาก็เอื้อมมารั้งร่างผมไปกอดไว้... ค่อยๆ พาแหวกว่ายขึ้นไปทั้งที่ริมฝีปากยังคงสัมผัส...แนบสนิทอยู่อย่างนั้น กระทั่งผุดขึ้นมาปะทะกับอากาศบริสุทธิ์เหนือผิวน้ำ
เราผละออกจากกัน เสียงหอบหายใจของอีกฝ่ายดังชัดเมื่อหน้าผากยังคงแนบชิด... ใกล้พอให้ผมจ้องลึกเข้าไปในดวงตาสีรัตติกาลเพื่อเฉลยว่าเขากำลังติดกับ
“ผมไม่เคยบอกใครว่าว่ายน้ำไม่เป็น”
“...”
“ทีนี้... เราจะเลิกเล่นเป็นคนแปลกหน้ากันได้หรือยัง"
เกมนี้ผมชนะ...
‘มึงโง่หรือไง’ นั่นไม่ใช่คำถามที่ผมคิดว่าจะได้ยินหลังจากลืมตา
‘ว่ายน้ำไม่เป็นจะกระโดดลงไปทำไม’ น้ำเสียงหยาบกระด้างที่ไม่เข้ากับซะเลยกับฝ่ามือหนาที่กำลังลูบหัวผมราวปลอบประโลม
‘หมาว่ายน้ำได้มึงไม่รู้หรือไง’
เรื่องมีอยู่ว่าผมเห็นลูกหมาตัวหนึ่งตกน้ำเลยหวังดีจะช่วยชีวิตมัน... ผมไม่ได้โง่กระโดดลงไป แต่การพลาดพลั้งพลัดตกลงไปก็ฟังดูโง่ไม่น้อยไปกว่ากัน
ผมว่ายน้ำไม่เป็น เลยเกือบจมน้ำตาย... โชคดีที่พี่เตมาช่วยไว้
‘มันยังเล็ก อาจจะหมดแรงก่อนถึงฝั่งก็ได้’ ผมเถียง แต่พี่ส่ายหน้าท่าทางเหนื่อยหน่าย
‘ถ้ากูมาไม่ทันจะเป็นยังไง’ สีหน้างุ่นง่านทำให้ผมหัวเราะ ดึงมือที่ลูบหัวลงมาแนบแก้มตัวเองไว้
‘ดีจังที่พี่มาทัน’ ท่าทางไม่สะทกสะท้านทำให้พี่ยิ่งขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจ
‘แล้วมันเป็นไงบ้าง’ ผมเอ่ยถาม ปล่อยให้นิ้วโป้งเกลี่ยแก้มไปมา
‘กูเอาไปปล่อยวัดแล้ว’
‘...’
‘กล้าดียังไงเกือบฆ่าแฟนกู’ หลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งเพราะรู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องจริง
ถึงจะไม่ใช่เจ้าของ แต่เขาก็เฝ้าเลี้ยงมันมานาน ทะนุถนอมเกินกว่าจะให้โทษหนักกับมัน
รู้ดีว่าสิ่งมีชีวิตเล็กๆ นั้นสำคัญแค่ไหน ผมเลยไม่ลังเลที่จะช่วยมันไว้
ถึงจะพลาดจนเกือบตายแต่ก็ไม่นึกเสียใจ
‘พิชญ์’
‘...’ ถึงไม่ต้องพูดผมก็เดาได้ว่าพี่กำลังจะบอกอะไร
‘ขอบใจ’ แต่การได้ยินจากปาก ก็น่าดีใจกว่าเป็นไหนๆ
‘ไม่เป็นไร’ ผมยิ้ม รู้สึกว่าใบหน้าร้อนจัดทั้งที่อากาศออกจะเย็น พี่คงสังเกตเห็นมัน ถึงได้หัวเราะเบาๆ สบตาผมด้วยสายตาอ่านยากก่อนจะย้ายขึ้นมานั่งข้างกันบนเตียง
‘ก่อนหน้านี้มึงดันฟื้นเร็วเลยไม่ทันได้ผายปอดให้’
‘...’ ผมได้แต่ชะงักงันตอนที่พี่โน้มตัวลงมาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ
‘หวังว่าจะยังไม่สายไป’
‘...’ แทบหยุดหายใจตอนที่ริมฝีปากร้อนจัดทาบลงมา...
จูบแรกของเราคือการผายปอดที่อยู่นอกตำรา...
จำได้ว่าตกใจแค่ไหนตอนที่เรียวลิ้นชื้นแทรกเข้ามา ได้แต่ทักท้วงในใจว่าจูบแรกของพี่มันร้อนแรงเกินไป ความไม่ประสีประสาทำให้หัวใจเต้นโครมครามจนน่ากลัวว่ามันจะทำให้ผมตาย เผลอขยุ้มอกเสื้อคนที่คร่อมอยู่เหนือร่างตัวเองไว้แน่น จนได้ยินเสียงหัวเราะในลำคอก่อนพี่จะถอนริมฝีปากออกปล่อยให้ผมได้ตั้งตัว
'พิชญ์' ดวงตาที่ผมหลงใหลจ้องมาในระยะที่ทำให้ผมไม่กล้าหายใจ ก่อนกดริมฝีปากลงมาอีกครั้ง... คราวนี้เพียงจูบแผ่วเบา พร้อมกระซิบถ้อยคำที่ฝังตรึงลงมาในใจ
‘ขอบคุณที่ปลอดภัย’
-------------------------------------------------------------
ทุกครั้งที่เขียนเรื่องนี้มักจะมีความกังวลแปลกๆ เกิดขึ้นมา
อยู่ๆ ก็ไม่มั่นใจว่ามันจะดีอะไรทำนองนั้นน่ะค่ะ 5555
ดังนั้นติดขัดหรือบกพร่องตรงไหนรบกวนบอกหน่อยนะคะ น้อมรับไปแก้ไขเสมอเลยค่ะ
ฝาก #เกมท้ารัก ด้วยน้า
ขอบคุณมากๆ ที่ยังอยู่ด้วยกัน