“พี่ดินซ้อมเสร็จแล้ว มารับด้วย” ผมพูดกับคนปลายสาย ก่อนจะกดวางเมื่ออีกฝ่ายตอบตกลงกลับมา
ตั้งแต่คืนนั้นคืนที่ถูกพี่ดินมันขโมยจูบไป มันก็ไม่พูดถึงอีกเลย แถมพี่มันก็พยายามให้ผมทำหน้าที่ไม้กันหมาให้มันอย่างหนักหน่วง ไอ้พี่ดินมันเอาแต่ตามจิกตามโทร เดี๋ยวมารับเดี๋ยวมาส่ง หิ้วผมไปไหนต่อไหนด้วยเกือบทุกเวลา หนำซ้ำกลางคืนมันยังโทรหาผม ชวนคุยนู่นคุยนี่ พอผมถามว่าโทรมาทำไมมันก็ชอบบอกว่า มันเบื่อคนที่เอาแต่โทรหามันไม่หยุด มันเลยให้ผมรับผิดชอบด้วยการคุยกับมันเกือบค่อนคืน วันไหนลองไม่รับโทรศัพท์มันสิ ไอ้พี่บ้ามันก็ตะโกนเรียกให้ผมไปยืนคุยกับมันตรงระเบียงบ้านชั้นสอง ผมก็บ้าจี้ทำตามมันนะ ยังไม่พอมันยังบังคับให้ผมโทรหามันทุกครั้งที่ซ้อมการแสดงเสร็จด้วย เพราะมันจะเข้ามารับผม พอผมถามว่าทำไมช่วงนี้วอแวจัง มันก็บอกว่าช่วงนี้สาวๆเข้ามาวุ่นวายกับมันเยอะ ถ้ามีผมไปไหนด้วยสาวๆจะไม่เข้ามา ผมไม่เห็นจะมีใครมาวอแวมันเลย... คิดไปเองสิท่า
ทุกวันนี้เราคุยกันตลอดทั้งทางไลน์ทางโทรศัพท์ พอวันไหนพี่มันไปกินเหล้าดึกๆ พอมันไม่โทรมาผมก็รู้สึกแปลกๆ จนต้องทักมันกลับไปบ้างอะไรบ้าง เวลานี้ผมเริ่มจะไม่แน่ใจกับความสัมพันธ์ของผมกับไอ้พี่ดินมันแล้วแหละ ว่าผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่
เพียงไม่นานไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมรู้สึกสับสนก็มาอยู่ตรงหน้า
“ทำไมวันนี้เลิกเร็ว” พี่ดินมันถาม ผมมองสภาพพี่มันที่เนื้อตัวเปื้อนฝุ่นเปื้อนดินเต็มตัว
“พี่นางเอกไม่สบาย พี่เขาเลยให้พักวันหนึ่ง” ผมพูดพลางเดินไปนั่งซ้อนท้ายมัน อย่าคิดว่าผมจะรังเกียจมันนะ เพราะมันยังเคยมารับผมทั้งๆที่เนื้อตัวมันมอมแมมมากกว่านี้อีก
ทุกวันนี้พี่ดินมันเทียวรับเทียวส่งจน พี่ๆน้องๆในคณะเลิกแซวผมไปแล้ว คือถึงพวกมันจะแซวยังไงผมก็คงจะแกล้งตอบแบบดารากลับไปเหมือนเดิม ซ้ำไม่มีใครอยากมีเรื่องกับไอ้พี่ดินหรอก เพราะพี่มันคนจริง จริงไม่จริงมันก็เป็นหมอผีมาได้สองปีกว่าล่ะกัน ถึงหล่อแต่มันก็ดุใครไปมีเรื่องกับมันระวังมันเสกความธนูเข้าท้องโดยไม่รู้ตัวนะ แต่กับสาวๆพี่มันไม่กล้าไปมองตาขว้างใส่หรอกนะครับ เห็นพี่มันบอกว่าคณะมันสอนให้เป็นสุภาพบุรุษ ห้ามรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ผมก็อยากจะเถียงมันกลับไปว่า กุก็อ่อนแอ มึงปล่อยกูไปสักทีเถอะ!!!!
“เหนื่อยไหม”
“ไม่อ่ะ แล้วนี่ไปทำอะไรมาเนี่ย เนื้อตัวเปื้อนไปหมด”
“อ๋อ เข้าแปลง ไปใส่น้ำข้าวโพด”
“ที่จริงถ้าไม่ว่าง ไม่ต้องมารับก็ได้นะ”
“ไม้กันหมา”
“สภาพนี้ไม้กันหมาก็ไม่มีประโยชน์อะไรแล้วล่ะ เปื้อนทั้งตัว”
“....”
“แล้วนี่จะพาไปไหน”
“ไปฟาร์ม”
“อยากกลับบ้าน ผมหิวข้าว เย็นแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลย”
“เดี๋ยวพาไปกินที่คณะเกษตร”
“ไปคณะเกษตรบ่อย จนพวกพี่เขาเบื่อหน้าผมไปแล้วมั้ง”
“พวกมันชอบสิไม่ว่า”
เพียงไม่นานพี่ดินก็พาผมมาถึงฟาร์มของคณะเกษตร ก่อนจะไปทำงาน พี่มันพาผมเดินตลาดนัดเกษตรที่มีแค่ช่วงต้นเดือน ผมเดินดูของซื้อขนมนู่นนี่มากิน ส่วนไอ้พี่ดินมันก็ยิ้มทักทายพวกน้องๆในคณะ ไม่ก็เพื่อนๆของมันไป ไอ้พ่อคนของประชาชน
“ดินจ๋า” สิ้นเสียงหวาน ผู้หญิงหน้าตาสละสวยก็เดินออกมาจากร้านแมลงทอด อีกฝ่ายเดินเข้ามาควงแขนพี่ดินอย่าถือวิสาสะ ส่วนไอ้พี่ดินก็ได้แต่ยิ้มรับ
“ไงทิน่า”
“คิดถึงดินที่สุด” หญิงสาวทำสายตาอ้อนกับพี่ดิน ซึ่งผมก็ได้แต่ยืนมองด้วยความงุนงง ทุกคนในบริเวณนั้นก็มองพี่สองคนกันเป็นตาเดียว ก็เล่นสวยหล่อเหมาะสมกันขนาดนั้นนิ ยิ่งพี่ทิน่าหรือพี่บุญเจิมที่ไอ้เต๋ากับไอ้สิงห์เคยชมนักชมหนาว่าสวย พอมาเห็นตัวจริงวันนี้พี่เขาสวยสมเป็นดาวคณะจริงๆ
“วันนี้ว่างขนาดมาขายของได้ด้วยเหรอ เห็นวันๆ เอาแต่วิ่งไล่จับแมลง”
“อือ จับมาให้ดินกินไง”
“เราเกรงใจ เธอเก็บไว้กินเองดีกว่านะ”
“ไอ้บ้า แล้ว นั่นใครใช่คนที่เขาลือๆกันอยู่เปล่า”
“ก็ประมาณนั้น”
“อืม” พี่ทิน่าอะไรนั้นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะกระซิบกระซาบคุยอะไรกับพี่ดิน จนพี่มันหัวเราะออกมา ผมได้แต่มองพวกมันคุยกันด้วยความหงุดหงิด ก็ถ้าจะพามา แล้วมาสวีทหวานกับคนอื่นต่อหน้าต่อตาผมแล้วล่ะก็ วันหลังไม่ต้องพามาเลยดีกว่า ไม่ชอบ!!
พอเห็นพี่มันคุยกับสาวสวยไม่เสร็จสักที ผมเลยเดินหนีพี่มันไปดูของทางอื่น ถ้าขืนยืนอยู่ตรงนั้นนานๆ มีหวังผมได้ปาลูกชิ้นที่อยู่ในมือใส่พี่มันแน่ๆ โมโหที่อีกฝ่ายมันทำอะไรไม่ไว้หน้าไม้กันหมาอย่างกูเลย
“น้องครับ พี่ให้” ผู้ชายจากร้านดอกไม้ เดินออกมาพร้อมยื่นดอกโรสแมรี่มาให้ผม ผมมองอีกฝ่ายก่อนจะรับมันมาด้วยท่าทางเก้ๆกังๆ ก็พวกเพื่อนๆของอีกฝ่ายเล่นโห่แซวจนผมทำอะไรไม่ถูก เลยกะจะรับแล้วรีบๆเดินหนีไป แต่ก็ดันถูกผู้ชายอีกคนเดินมาขวางหน้าเอาไว้ก่อน
“เรียนเกษตรไม่ได้เก่งแค่ปลูกผัก ปลูกต้นรักก็ถนัดเหมือนกันนะครับ สนใจมาปลูกต้นรักกับผมไหม”
“ไอ้กันกูเจอก่อน มึงไปเลย น้องอยู่คณะอะไรอ่ะ พี่ไม่เคยเห็นหน้าเลย”
“นะ..นิเทศ”
“ว้าว ถึงว่าทำไมน่ารัก เออ...ดอกโรสแมรี่ที่พี่ให้เรา มันมีความหมายด้วยนะ”
“...”
“มันหมายความว่า การเข้ามาในชีวิตผมของคุณ ทำให้ผมมีชีวิตชีวา”
“หิ้ววววววววววววววววว” ร้องหิ้วกันแบบนี้ มึงจะไปหิ้วอะไรของมึงก็ไป พวกมึงปล่อยกุไปเถิด ผมเดินถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะชนใครบางคนเข้าให้
“แต่การเข้ามาในชีวิตคนของกู ทำให้มึงตายเร็วได้นะไอ้น้องเวร”
“พะ..พี่ดิน” พวกผู้ชายที่แซวผมเมื่อครู่หันมามองทางต้นเสียง ก่อนจะร้องออกมาด้วยความตกใจ
“เออ กูเอง”
“นี่เด็กพี่เหรอ”
“เออ” ไอ้พี่ดินตอบพวกขี้แซวกลับไป คำตอบแค่คำเดียวของพี่มัน เล่นเอาผมรู้สึกร้อนๆขึ้นมาได้ยังไงก็ไม่รู้
“ขอโทษครับพี่!!!!”
“พรุ่งนี้พวกมึงมาหากูที่ฟาร์มด้วย กูจะซ่อมพวกมึงรายตัวเลย”
“ครับ!!!” พวกขี้แซวตะโกนรับเสียงดังลั่น
“อีกอย่างไอ้หมาตัวนี้มันอยู่ปีสอง ปีเดียวกับพวกมึง ริอย่ามาทำตัวเป็นพี่มัน”
“พี่ได้ยินด้วย”
“เออ!!!”
“ขอโทษครับ”
“พวกมึงนิแสบจริงๆ เออเอาดอกโรสแมรี่ของพวกมึงคืนไป ไอ้หน้าหมามันเหมาะกับดอกกล้วยไม้มากกว่า” พี่ดินโยนดอกโรสแมรี่คืนไอ้พวกรุ่นน้องตัวแสบ ก่อนจะหยิบดอกกล้วยไม้มาให้ผมแทน แล้วมันก็ลากผมไปทางอื่นต่อ แต่ก่อนไปผมเห็นไอ้พวกรุ่นน้องของมันหันไปยิ้มกรุ่มกริ่มกัน กูว่าชักแปลกละ
พอเดินออกมาจากตลาดนัดเกษตร ไอ้พี่ดินมันก็ปล่อยมือผม แล้วเดินนำผมไปอย่างเงียบๆ
“นี่ พี่เงียบทำไมอ่ะ พี่โกรธผมเหรอ”
“กูจะโกรธมึงเรื่องอะไร”
“จะรู้พี่เหรอ”
“วันหลัง อย่าเดินหนีกู อยู่ใกล้ๆกูไว้ นี่ถ้ากูไปไม่ทันไอ้พวกรุ่นน้องตัวแสบคงแทะเล็มมึงจนเหลือแต่กระดูก”
“ก็พี่เล่นคุยเล่นกับพี่สาวคนสวยจนลืมผมไปเลยนิ ผมก็ต้องเดินไปดิ” มันพูดขึ้นเสียงใส่ผมได้ ผมก็ขึ้นเสียงใส่มันได้เหมือนกัน
“ทิน่าเขาแค่คุยเล่นกับกูธรรมดา”
“ธรรมดาแล้วทำไมต้องกระซิบกระซาบอย่างกับจะกินหูกันยังไงยังงั้น”
“มึงอย่าพูดแบบนั้นนะ ผู้หญิงเขาจะเสียหาย”
“ก็มันจริงนิหน่า!”
“มึงหึงกูเหรอ”
“ทำไมผมต้องหึงพี่ด้วย เราไม่ได้เป็นอะไรกันสักหน่อย พี่จะคุยอะไรกับเพื่อนพี่ก็ไม่เกี่ยวกับผม”
“...”
เราสองคนเดินต่อไปเงียบๆไม่แม้จะเอ่ยปากคุยกัน จนกระทั้งพี่ดินมันพาผมมานั่งกับพวกพี่ในคณะเกษตรตรงด้านหน้าแปลงข้าวโพด แถมพอผมเดินไปถึง ผมก็เจอไอ้เพื่อนตัวดีสองคนของผมกำลังนั่งกินข้าวโพดย่างกันอร่อยปาก
“ไอ้สิงห์ ไอ้เต๋า มึงมาทำไรเนี่ย” ผมเอ่ยถามเพื่อนสนิท ก่อนจะเดินเข้าไปนั่งบนเสื่อด้านข้างมัน แต่สายตาผมก็ไม่วายแอบเหล่ไอ้พี่ดินมัน ที่ตอนนี้เดินเข้าไปดูน้ำในแปลงข้าวโพดที่ปลูกใหม่แล้ว ผมเห็นมันหยิบจับท่อน้ำนู้นท่อนี้ เปลี่ยนไปเรื่อย พอเห็นมันหันมามองผม ผมเลยแกล้งทำหน้าบึ้งใส่มันแล้วหันไปมองทางอื่นแทน
“ไอ้ฟ้ามึงทำหน้าเชี่ยอะไรของมึงเนี่ย”
“เปล่าหน้ากูก็ธรรมดา ออกจะหล่อ.. แต่พวกมึงนิเดี๋ยวนี้กลายเป็นเด็กเกษตรไปเลยนะ”
“พวกพี่เขาชวนกูมากินข้าวโพดย่าง กูก็มา”
“ฟ้าก็กินสิ พวกพี่เพิ่งย่างเสร็จ” พี่เมืองส่งข้าวโพดมาให้ผม
“ขอบคุณครับ” ผมรับข้าวโพดย่างมากิน ตอนแรกมันร้อนจนผมจับไม่ได้ พี่เมืองเลยเอาไปเสียบตะเกียบพร้อมปอกเปลือกให้ผมเสร็จสรรพ และพอผมกินข้าวโพดย่างเท่านั้นแหละ ผมถึงตะโกนออกมาลั่นเพราะความอร่อย
“ว้าว โคตรอร่อย” ผมอุทานออกมา พร้อมมองข้าวโพดในมือ “ทำไมหวานได้ขนาดนี้นะพี่” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนจะแอบเห็นไอ้พี่ที่ยืนอยู่กลางไร่ข้าวโพดแอบยิ้มออกมา
“ก็พวกเราปลูกเอง ดูแลกันเองไม่ได้ฉีดหรือใส่สารเคมีอะไรเลย รสชาติมันก็จะออกหวานแบบธรรมชาติ” พี่ในคณะเกษตรอธิบายให้ผมฟัง
“โคตรอร่อย”
“ถ้าอยากกินก็บอกไอ้ดินมัน เดี๋ยวให้ไอ้ดินมันเอาไปให้กินตอนซ้อมละคร” ไอ้พี่ภูพูดขึ้นมา
“ผมไม่อยากรบกวนพี่ดินหรอกครับ พี่เขาอยากทำอะไรก็ทำไปเลย!”
“งอนมันเหรอ”
“เปล่า ผมจะงอนพี่มันทำไม”
“โอเคๆ ไม่งอนก็ไม่งอน วันนี้พวกพี่ว่าจะย่างปลากิน อยู่กินด้วยกันเลยนะ”
“ครับ”
พี่ดินมันใส่น้ำเสร็จ มันก็เนียนเดินมานั่งข้างๆผม ก่อนจะหยิบน้ำในแก้วที่พี่เมืองรินให้ผมไปกิน
“ข้าวโพดอร่อยไหม” พี่มันหันมาถาม
“อือ ก็ดี”
“ได้ลองกินตำข้าวโพดของพวกสาวๆยัง” พี่ดินมันชี้ไปที่บรรดาจานอาหารที่อยู่กลางวง
“ลองแล้ว”
“ชอบอ่ะดิ”
“ก็...นะ”
“นี่ยังงอนกูไม่หายอีกเหรอ กูสิต้องงอนมึงมากกว่า”
“พี่จะงอนผมทำไม”
“ก็มึงไปยืนล่อเป้า ให้พวกน้องกูแซว”
“แต่พี่ก็เดินเข้าไปห้ามแล้วไง”
“ถ้ากูไม่เข้าไปมึงเสร็จรุ่นน้องกูไปแล้ว”
“อะไร เสร็จๆวะ ไอ้ดิน มึงเสร็จน้องเขาไปแล้วเหรอ” ไอ้พี่ภูที่นั่งฝั่งตรงข้ามถามขึ้นมาเสียงดัง
“ว๊ายยยยย ตั่ยแล่ววววววว ไอ้ดินมีผัวเหรออออ” เพื่อนในคณะทั้งที่อยู่กลางแปลงข้าวโพด และด้านข้างตะโกนแซวกลับมา
“เรื่องของกูอีกอ่ะ พวกมึงเงียบๆไปเลย ส่วนมึงไอ้ภู ไปช่วยไอ้เมืองย่างปลาไป”
“เอ้า ก็กูอยากรู้ว่าเพื่อนกูเสร็จๆ อะไร”
“เสือก ถ้าขืนมึงยังพูดมาก เดี๋ยวกูจะไปย่างปลาให้พวกมึงกินเอง”
“โอเคครับเพื่อนดิน มึงนั่งนิ่งๆนะ กูไปเอง” พี่ภูรีบลุกขึ้นออกไปทันทีที่พูดจบ จากที่ผมรู้พวกพี่เขาคงไม่กล้าให้พี่ดินมันทำอะไรเกี่ยวกับการปรุงอาหารแน่นอน เพราะคงกลัวความชิบหายวายวอดที่จะเกิดตามขึ้นมา ก็ไอ้พี่ดินมันทำอาหารได้ที่ไหน มันทำไม่เป็น
เพียงไม่นานปลาย่าง หรืออาหารอื่นๆที่พวกพี่มันทำก็เสร็จ พวกผมทั้งไอ้เต๋าไอ้สิงห์นั่งกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ก่อนที่พี่มิ่งปีสาม ที่พวกพี่ในคณะเขาเรียกกันว่าเป็นสเมิร์ฟของเกษตรศาสตร์เดินเข้ามาร่วมวงพร้อมกับขวดอะไรบางอย่าง
“มึงเอาอะไรมาวะไอ้มิ่ง”
“เมื่อวานกูขึ้นเขามา พี่ชาวเขาให้เหล้าข้าวโพดกูมาเว้ย”
“ได้ของดีมานี่หว่า” พี่ภูยิ้มพร้อมกลืนน้ำลายลงคอเอือกใหญ่
“เออ พี่ๆ บอกแก้วเดียวสลบ”
“เอามาลองดิ” พี่เมืองกวักมือให้พี่มิ่งรินให้ คราวนี่พี่มันเลยรินใส่แก้วให้ทุกคนที่นั่งล้อมวงได้ชิมไม่เว้นแม้แต่ผม
“ฟ้ามันกินไม่ได้ พรุ่งนี้มันยังต้องซ้อมละครเวที” พี่ดินแย่งแก้วที่อยู่ในมือผมออก
“แต่ผมอยากลองอ่ะ”
“ให้น้องมันลองดิดิน”
“อีกสามวันมันจะขึ้นแสดงจริงแล้วนะ อย่าให้มันกิน ไอ้เต๋ามึงเป็นเพื่อนมันมึงกิน”
“ได้อยู่แล้วพี่ ผมอยากลองพอดี” ไอ้เต๋ารับแก้วเหล้าข้าวโพดจากมือพี่ดินไปกิน ก่อนจะกระดกเข้าปากอย่างรวดเร็ว
“เป็นไง”
“กลิ่นหอมลอยมาเลย แต่พอลงคอเท่านั้นแหละโคตรร้อนอ่ะพี่” ไอ้เต๋าอธิบาย ก่อนทำหน้าเหยเก และเพียงไม่นานไอ้เพื่อนร่างบึกของผม ก็นั่งตาลอยไม่รู้เรื่องรู้ราว
“เหล้าข้าวโพดมันก็เหล้าขาวดีๆนี่แหละ แรงอยู่” ไอ้พี่ภูที่ตอนนี้หน้าเริ่มแดงพูดขึ้นมา
“นี่กูแดกไปสองแก้วนะ แม่งมึนชิบหาย ไอ้ดินมึงแดกยัง” ไอ้พี่เมืองส่งแก้วเหล้ามาทางพี่ดิน พี่ดินก็รับมากินแบบไม่มีอิดออด เขาว่าเด็กเกษตรกินเหล้าเก่งคงจะเป็นเรื่องจริง
“อืม หมักใช้ได้เลยวะ กลิ่นหอมดี”
“ขอกินมั้งดิ” ผมสะกิดพี่ดิน ก็จะไม่ให้ยากกินได้ไง ตอนนี้ในวงมีผมไม่ได้กินอยู่คนเดียว ขนาดพี่ผู้หญิงยังได้กินเลย แล้วผมแมนๆเตะบอลทำไมไม่ได้กินบ้าง
“ไม่ได้!”
“ขี้เหนียววะ” ผมมองค้อนพี่มัน ก่อนที่พี่มันจะหยิบแก้วน้ำอัดลมส่งมาให้ผมแทน
“แดกอันนี้ไป”
“ไม่แดก! อ้วน!”
“ไอ้เด็กนี่”
“พอๆ เลิกทะเลาะกัน ไอ้ดินเอาสักตัวม่ะ” พี่เมืองหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุด ก่อนจะหันไปถามเพื่อนตัวเอง
“ไม่อะ คนแถวนี้มาชอบกลิ่นมัน มึงก็ไปดูดไกลๆเลย” ผมมองไอ้พี่ดินมันสะบัดมือไล่พี่เมืองให้ออกไปดูดไกลๆ อีกอย่างผมควรจะดีใจไหมนะ ที่มันจำได้ว่าผมไม่ชอบกลิ่นบุหรี่
“ไอ้เชี่ยดิน นิมึงกำลังจะเลิกดูดบุหรี่จริงเหรอวะ”
“เออ คิดว่าจะเลิก แต่ให้เลิกเลยมันคงเลิกไม่ได้ กูจะค่อยๆลดลงมา มึงก็ควรจะเลิกพร้อมกูนะเมือง”
“ขอคิดก่อน” พี่เมืองลุกขึ้นไปสูบตรงแปลงนา
“เห้ยดิน ไปเอากีตาร์มาเล่นดิวะ บรรยากาศกำลังดี” ไอ้พี่มิ่งพูด
“กูไม่อยากเล่น”
“กับข้าวก็ไม่ได้ทำ รอแดกอย่างเดียว ทำอะไรให้เป็นประโยชน์หน่อยดิวะ” พี่ภูไล่ให้พี่ดินมันไปหยิบกีตาร์มา ตอนแรกก็เห็นพี่มันจะไม่ยอม แต่สุดท้ายมันก็ทนโดนเพื่อนบ่นไม่ไหว มันเลยเดินไปหยิบกีตาร์มาเล่น
ตอนนี้ฟ้ามืด อากาศโคตรจะเป็นใจในการกินเหล้าเป็นอย่างมาก ต้องย้ำอีกครั้งเลยว่าอากาศแม่งดีมาก (ก ไก่ล้านตัว) อากาศเย็นกำลังดี ลมพัดเบาๆโคตรสบายตัว พวกพี่ๆมันเริ่มก่อกองไฟกลางวงเหล้า ผมเห็นพี่ภูโยนมันม่วงลงไปเผา ส่วนไอ้พี่ดินตอนนี้ก็นั่งร้องเพลงให้เพื่อนๆฟัง คือต้องยอมรับเลยว่า พี่ดินมันร้องเพลงเพราะจริงๆ เสียงทุ้มของมันสะกดทุกคนให้ร้องตามร้องคลออย่างสนุกสนาน แต่เพลงที่มันร้องส่วนใหญ่ก็เป็นเพลงเพื่อชีวิต อย่างมาลีฮวนน่า พงษ์สิทธ์ คัมภีร์ หรือคาราบาวอะไรทำนองนั้น ถึงผมจะไม่ค่อยได้ฟังแนวนี้สักเท่าไร แต่พอได้ฟังไอ้พี่ดินร้อง กลับบ้านไปผมคงต้องแอบโหลดมาฟังบ้างแล้วแหละ
“ดินมึงไม่ร้องเพลงวัยรุ่นๆ ให้น้องคณะนิเทศมันมั้งวะ”
“กูไม่ค่อยได้ฟังเพลงไทยสากลเท่าไร”
“เลองร้องสักเพลงดิ เอาเพลงล่าสุดที่มึงฟังอ่ะ ย้ำกูขอล่าสุดนะ”
“เออๆ แต่กูขอร้องท่อนฮุคนะ”
“โอเช” สิ้นเสียงเพื่อน พี่ดินมันก็ดีดกีตาร์ แล้วร้องเพลงสตริงที่มันเพิ่งฟังมาให้พวกผมฟัง
อย่าบอกว่าเธอรักคนอื่นเลย
อย่าบอกว่าเธอเห็นเขาดีมากเท่าไร
ได้โปรดอย่ามาย้ำว่าเธอมีใจ
กลัวมันจะร้องไห้ออกมา
**แร็พเตอร์ อย่าพูดเลย
ร้องจบพวกพี่ๆ มันก็ร้องโห่ขึ้นมา
“โห่!!!! ไอ้สัดโคตรเก่าอ่ะ”
“ก็กูเพิ่งฟังเมื่อวาน”
“ไอ้ห่า จัดซะสมัยกูเพิ่งเกิดเลยนะมึง”
ผมหัวเราะเพราะท่าทางของไอ้พี่ดินมัน เห็นหล่อๆแบบนี้มันก็มีมุมเปิ่นๆกากๆของมันเหมือนกัน
“งั้นเอาเพลงนี้ กูได้ยินเด็กข้างบ้านมันเปิดฟังบ่อยๆ” พี่ดินมองมาทางผม ก่อนจะดีดกีตาร์ในจังหวะที่คุ้นหู และพอพี่มันเริ่มร้อง ผมก็เหมือนถูกมันสะกดด้วยอะไรบางอย่างที่ไม่สามารถละสายตาออกไปจากพี่มันได้
ก็ไม่รู้เลยว่าฉันต้องเริ่มอย่างไร
คงเป็นเพราะฉันกลัวว่าอาจจะเสียเธอไป
หากว่าฉันถามเธอ
แต่ความรู้สึกมันล้นจนทนไม่ไหว
ยิ่งเวลาที่เธอยิ้มมาและจ้องมองตา
มันเกิดคำถามมากมาย
ฉันไม่รู้และยังคงไม่แน่ใจ
รักไม่รักใจจริงเธอต้องการแบบไหน
มันยังคงไม่ชัดเจน
เธอกับฉันเราเป็นอะไรช่วยบอกฉันที
อยากรู้สายตาที่เธอมีให้กัน
มันหมายความว่าอะไร
เป็นแค่เพียงอารมณ์อ่อนไหวที่คงหายไป
หรือซ่อนความรักที่มีเอาไว้
เธอคิดยังไงกับฉันช่วยบอกฉันที
***mean หมายความว่าอะไร
[/i]
พอพี่ดินร้องจบ พวกเพื่อนๆก็รีบตบมือให้พี่มัน แต่ทว่าสายตาของพี่มันยังคงมองผม มองจนผมต้องหลบตามันไปทางอื่น จ้องเข้าไป จ้องจนหัวใจผมเต้นผิดจังหวะไปหมดล่ะ ไม่รู้ว่าจะตื่นเต้นอะไรกับมันนักหนา
“ไอ้ห่าดิน มึงเลิกจ้องน้องเขาได้แล้ว น้องเขาเขินมึงจนหัวหูแดงไปหมดล่ะ” ไอ้พี่เมืองปาฟักข้าวโพดในมือใส่เพื่อนตัวเอง
“กูเห็นสายตามันแล้ว กูอยากจะเอากาแฟราด ไอ้ห่าหวานจนเลียน” ไอ้พี่มิ่งแซวขึ้นมาอีกคน
“...” ไอ้พี่ดินมันไม่เถียงอะไร มันแค่ยักไหล่ ก่อนจะนั่งเกลากีตาร์ไปพลาง
“ไอ้สัสนิ ทำลอยหน้าลอยตา” ไอ้พี่เมืองมันพูด พร้อมเหล่มองเพื่อนตัวเองอย่างระอา ส่วนผมก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเขินจนมือไม้หยิบนู่นนี้ขึ้นมากิน
“จีบเพื่อนผมยากหน่อยนะพี่” ไอ้เต๋าพูดขึ้นมา “ไอ้นี่คนจีบมันเยอะ”
“แต่ผมเชียร์พี่นะพี่ดิน เพื่อนผมมันจะได้มีแฟนสักที” ไอ้สิงห์เสริม คราวนี้เอฟซีพี่ลมอย่าไอ้เต๋าเลยขึ้น มันยกนิ้วกลางให้ไอ้สิงห์ทันที
“ฟ้า” พี่เมืองเรียกชื่อผม
“ครับ”
“เพื่อนพี่มันกาก แต่ก็ลองพิจารณามันด้วยละกัน” ทุกคนในกลุ่มร้องโห่แซวแทบจะทันที บางคนเป่าปาก บางคนกรี๊ด แต่ละคนพูดแซวจนผมไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ทีไหน ส่วนไอ้คนที่ถูกแซวอีกคนยังทำหน้านิ่ง ไม่สนโลกอะไรเอาแต่เกลากีตาร์ไม่ก็ยกแก้วเหล้าขึ้นมาแดก
“เลิกเสือกเรื่องกูกับน้องมันสักที” ไอ้พี่ดินมันพูดขึ้นมา คนในวงเงียบกริบทันที “ส่วนฟ้า มึงเลิกเขินได้แล้ว วางแก้วเหล้าในมือมึงด้วย” ไอ้พี่ดินหันมาจ้องผมเขม่ง
“ฮิ้วววว มีเป็นห่วงกันด้วยโว้ยยย”
“ก็มึงแซวมันจนมันหยิบอะไรต่อมิอะไรมาแดกแก้เขิน ดูตอนนี้ดิแดงทั้งตัว” ไอ้พี่ดินวางกีตาร์ลง ก่อนจะเดินมานั่งข้างๆผม แล้วแย่งแก้วที่อยู่ในมือไป
“นิมึงแอบมองน้องมันตลอดเลยเหรอวะเพื่อนดิน มึงนิแม่งไม่ธรรมดาวะ” ไอ้พี่ภูพูดแซวขึ้นมาอีกคน
“เพื่อนกูแม่งร้ายเงียบนิหว่า” พี่ดินมันหันไปชูนิ้วกลางให้พวกเพื่อนๆ ก่อนจะหันมาถามผม
ไหวเปล่าเนี่ย”
“ไหวดิ แค่เหล้าเอง”
“ตัวแม่งแดงไปหมดละ เอาน้ำไปกินล้างปากหน่อยไป”พี่ดินหยิบแก้วน้ำมาให้ผมดื่ม
“แดงเพราะเขินมึงรึเปล่า ไอ้เชี่ยดิน” ไอ้มิ่งพูดแซวขึ้นมาอีก
“ฟ้า ดอกกล้วยไม้ไอ้ดินมันให้ฟ้าใช่ป่ะ” พี่ภูถาม ผมเลยพยักหน้าพร้อมมองดอกกล้วยไม้สีขาวปนส้มที่วางอยู่บนตัก
“ไอ้ห่าดินแม่งไม่ธรรมดา” พี่เมืองพูดขึ้นมาอีกคน ผมเลยได้แต่ขมวดคิ้วมองพี่มันด้วยความสงสัย
“ฟ้ารู้ไหม ดอกกล้วยไม้มันเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ความรัก และความสง่างาม” พี่เมืองพูดอธิบายขึ้นมา “ในหมู่ชาวกรีกสมัยก่อนดอกกล้วยไม้แสดงถึงการสืบเผ่าพันธุ์ แต่สำหรับชาวจีนเรียกดอกกล้วยไม้ว่าเป็นพืชแห่งกลิ่นกษัตริย์”
“แถมยังเป็นดอกไม้ที่ไว้บอกรัก ความหมายของดอกกล้วยไม้เวลาให้สาวมันหมายความว่าอะไรนะ ไอ้ดิน” ไอ้พี่เมืองพูดโบย ผมเห็นมันทำสายตาเจ้าเล่ห์ใส่เพื่อนรักของมัน เออ วันนี้พวกพี่มันกะจะเต๊าะผมให้พรุนไปเลยมั้ง สึดดด
“กูไม่รู้ มึงไปถามไอ้ภูดิ” ไอ้พี่ดินมันไม่ยอมตอบ มันเฉไฉไปเรื่อย
“อย่ามา..... กูรู้ว่ามึงรู้” พี่เมืองยังคะยั้นคะยอเพื่อนตัวเอง
“ก็กูไม่รู้จริงๆ”
“งั้นฟ้ามึงเอาดอกไม้ที่ไอ้ดินให้ไปทิ้งเลย รับแบบไม่รู้ความหมายมันก็เท่านั้นล่ะวะ”
“ทิ้งได้เหรอ” ผมถามพี่ดิน
“ลองทิ้งดิกูเตะ”
“โหดวะ” ผมละอยากจะหนีจากความโหดของไอ้พี่ดินมันเหลือเกิน พอไม่พอใจก็จะเตะจะถีบ ไอ้พวกชอบใช้กำลัง ไอ้คนป่าเถื่อน ได้แต่คิดในใจแต่ไม่กล้าด่ามันออกไป
“ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้”
“อะไรนะ?” ผมถาม ก็พี่มันพูดห่าอะไรของมันก็ไม่รู้
“ความหมายของดอกกล้วยไม้ไง มันหมายความว่า
ฉันไม่อาจห้ามใจให้คิดถึงเธอได้” พี่มันมองหน้าผม ก่อนจะผลักหน้าผากผมเบาๆ “จำไว้ได้ไอ้หมาหน้าโง่”
ไอ้พี่ดินพูดจบเพื่อนมันก็ต่างพากันร้องโห่แซวกันอย่างสนุกสนาน ส่วนไอ้คนพูดก็ยังทำหน้าตาย พี่มันหันมองไปทางอื่น ส่วนผมก็ได้แต่นั่งหน้างุด ไอ้เชี่ยโคตรเขิน กูอยากจะบ้าตาย
“ไอ้สัด ชัดเจนยิ่งกว่าสี่จี”
“ไอ้ห่าก็มึงชง เลิกพูดได้ล่ะ แดกเหล้าต่อไปเลยป่ะ”
“กลัวไก่ตื่นรึไงวะ ไอ้เพื่อนดิน”
“มึงเล่นปั่นขนาดนี้ ไก่กูตื่นนานแล้วเปล่าวะ” ไอ้พี่ดินยกแก้วเหล้าพลางเหล่มองผม ผมเลยทำหน้าบึ้งใส่มันไปที ไอ้เชี่ยรู้สึกตุ๊ดก็วันนี้
“พอๆ ชงเป็นพิธี เอาแค่เบาๆพอ เดี๋ยววันหลังจะไม่เหลือให้ชง... เออกูมีความคิดว่า วันนี้พวกเราลองโต้รุ่งกันดีกว่าม่ะ” ไอ้พี่เมืองรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“โต้เพื่อ?”
“กูจะชวนพวกมึงจับหัวขโมย”
“ขโมย?”
“ก็ช่วงนี้ไข่ไก่คณะเกษตรเราหายบ่อยๆ กูว่าวันนี้เรามาจับขโมยกันดีกว่า” พี่เมืองเสนอไอเดีย
“ก็ดี กูเห็นด้วย” ไอ้พี่มิ่งกับพี่ภูพยักหน้าเห็นด้วย
“น่าสนุกผมอยู่ด้วย” พวกผมไอ้เต๋าไอ้สิงห์ยกมือขอรวมขบวนการ
“ไอ้เต๋ากับไอ้สิงห์ได้ แต่มึงไม่ได้” พี่ดินชี้มาทางผม
“ทำไม ก็ผมอยากอยู่”
“พรุ่งนี้มึงต้องซ้อมละครเวที อีกสองวันก็แสดงแล้วมึงควรพัก”
“แต่ผม...”
“ไม่มีแต่ เดี๋ยวกูไปส่งที่บ้าน”
“ไม่เอาอ่ะ ผมอยากอยู่”
“ไอ้ดิน มึงจะบังคับน้องมันทำไม”
“ใช่ ผมกลับไปผมก็อยู่คนเดียว ให้ผมอยู่ที่นี่ จับพวกหัวขโมยด้วยดิ”
“ไม่ก็คือไม่”
“ไอ้พี่ดิน!!!”
“อย่าดื้อ”
“พวกมึงเลิกจีบกันได้แล้ว! ไอ้ดินน้องมันจะอยู่ก็ให้มันอยู่อีกอย่างกลับไปมันก็ต้องอยู่คนเดียว” ไอ้พี่เมืองช่วยผมพูด แต่พี่ดินก็มีทีท่าว่าจะไม่ยอม มันจ้องผมแบบดุๆ
“ใช่ว่าวันนี้พวกหัวขโมยมันจะมา พวกไอ้เมืองมันก็บ้าไปงั้นแหละ อีกอย่างถึงมันจะมา มันก็คงมาเกือบเช้า แล้วมึงไหวเหรอ”
“ไหวดิ ไหวจริงๆ” ผมมองหน้าพี่มัน ก่อนจะจับแขนของมันเขย่าไปมา พี่มันมองหน้าผม ผมเลยแกล้งช้อนตามองพี่มัน แล้วทำหน้าหงอยๆ
“โอเค! งั้นอยู่ก็อยู่” กูว่าแล้วพี่มันต้องแพ้ลูกอ้อนของผมแบบนี้ ผมจับสังเกตมานานแล้ว ทุกครั้งที่มองมันแล้วจับแขนเขย่าแบบง้องๆแง้งๆ มันมักจะยอมผมตลอด กูชนะมันก็คราวนี้แหละ
“ไอ้มิ่ง” พี่ดินเรียกเพื่อนตัวเล็กของเขา
“อะไร”
“ไปเอาเสื่อให้กูที่ดิ เผื่อฟ้ามันหลับกูจะได้ให้มันนอนบนเสื่อ”
“ห่วงเหลือเกิน ห่วงกันเหลือเกินครับ”
“กูจะไม่ใช้มึงเลย ถ้าวันนั้นมึงไม่ใช่คนเก็บ”
“เออๆ ใช้กูอย่างกับเป็นพ่อกูเลย”
“กูไม่มีลูกเป็นสเมิร์ฟแบบมึง”
“มึงนิมัน!” ไอ้พี่มิ่งลุกขึ้นยืน “ไอ้ดินกูมีไรจะบอก”
“อะไร?”
“ฟ้าแม่ง สเป๊คกูเลยวะ กูขอได้ไหม!!!” พูดจบพี่มิ่งก็รีบวิ่งหลบรองเท้าพี่ดินทันที
[อ่านต่อด้านล่าง]