ไม่มีหลาย P ค่ะ ลองย้อนๆกลับไปอ่านซีรีย์นี้จากเรื่องก่อน ๆ ดูนะคะ สนุกมากกกก และจะได้รู้ว่า ไม่ 2 3 4 5 P แน่นอนค้า ^____^
เผื่อใครงงค่ะ ถ้าเห็นไม่สมควรแจ้งลบได้นะคะ อยากให้ย้อนอ่านทุกคู่เลยคุณจิ๊บเขียนดีและสนุกจริง ๆ
ชอบธาราอ่ะ นึกถึงภาพสาวทอมก๋ากั๋นหน่อยๆ อิอิ
เอารูปผังบ้านจอมไตรมาฝาก ^^ ((เอ่อ...ถ้าเห็นว่าไม่ควรแปะบอกได้นะคะ เดี๋ยวมาลบให้ค่ะ))
ขอบคุณ iamnan ที่มาตอบแทนค่า ตามนั้นเลยค่ะ
ขอบคุณสำหรับผังตัวละครบ้านจอมไตรด้วยค่ะ ใครจำไม่ได้นึกไม่ออกกดไปดูกันนะค่า
ขอบคุณสำหรับคำชมด้วยค่ะ อิอิ
ตอนที่2
ปารมีกดอินเตอร์โฟนหน้าประตูรั้วด้วยใจกลัวๆกล้าๆ ป้ายบอกชื่อ บ้านจอมไตร ติดอยู่บริเวณกำแพงข้างประตูรั้วอัลลอย เนื้อที่บ้านเหลือประมาณยิ่งทำเอาปารมีใจไม่ดี ในรั้วบ้านมองเห็นบ้านห้าหลังเรียงรายกันอยู่ รูปทรงของบ้านแต่ละหลังแตกต่างกันไป
“มาหาใครครับ”
เสียงคนด้านในตอบกลับออกมา ปารมีแจ้งชื่อตัวเองและจุดประสงค์การมา ไม่นานประตูก็เปิดออก พร้อมกันลุงคนหนึ่งขับรถกอล์ฟมารับ
รถจอดลงตรงหน้าบ้านหลังกลางซึ่งดูเก่าแก่ที่สุดในบรรดาบ้านทุกหลัง เลขาสาวที่สัมภาษณ์ปารมียืนรออยู่ตรงหน้าบ้านก่อนแล้ว
“สวัสดีครับ”
ปารมีทักทายหญิงสาวและได้รับรอยยิ้มกลับมาแทนคำตอบรับ
“วันนี้คุณหนูๆหยุดพอดี เดี๋ยวก็จะได้เจอกันเลย แต่ตอนนี้กำลังไปว่ายน้ำกับน้องชายท่านประธาน”
เธอชี้แจงโดยลอบมองปฏิกิริยาของปารมีไปด้วย เมื่อเห็นว่าปารมีเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรกับการบอกเล่าถึงน้องชายท่านประธานก็แอบโล่งใจที่ดูเหมือนคราวนี้ตัวเองจะเลือกคนไม่ผิด เธอเดินนำปารมีขึ้นไปยังชั้นสองของบ้านและพามาหยุดยังห้องหนึ่ง
“นี่คือห้องพักของคุณ ขอชี้แจงเรื่องการทำงานอีกครั้งนะคะ วันธรรมดาทำงานช่วงเช้าก่อนคุณหนูทั้งสามคนไปโรงเรียนและตอนเย็นหลังจากที่กลับมาจากโรงเรียน ดูแลอาหารเช้าเย็น จนถึงเวลาสามทุ่มซึ่งเป็นเวลาเข้านอนของทั้งสามคน ส่วนเสาร์-อาทิตย์และวันหยุดอื่นๆ ให้คุณช่วยดูแลช่วงอาหารเที่ยงเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น นอกนั้นเหมือนวันธรรมดา มีอะไรสงสัยไหมคะ”
ปารมีสั่นหัวแทนคำตอบทั้งๆที่ฟังที่หญิงสาวพูดแทบไม่ทัน
“งั้นดิฉันขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวน้องชายท่านประธานจะเป็นคนแนะนำคุณให้คุณหนูทั้งสามเอง”
ว่าแล้วเธอก็เดินจากไปอย่างรีบร้อน แต่ก่อนออกไปก็ยังไม่วายหันมาพูดอวยพรว่า ขอให้โชคดี ปารมียิ้มรับ แต่ยังสงสัยสายตาของคุณเลขาไม่หาย เหมือนจะสงสารปารมียังไงไม่รู้
ปารมีวางตาหวานลงบนที่นอน เด็กชายนอนหลับมาตั้งแต่อยู่บนรถแท็กซี่และยังไม่มีวี่แววว่าจะตื่น ร่างบางเริ่มจัดข้าวของเข้าที่ไปพลางๆในขณะที่ว่าง ไม่นานก็ได้ยินเสียงเด็กดังมาจากชั้นล่าง จึงหยุดมือและลงไปเพื่อแนะนำตัวเอง
“คุณคงเป็นคุณปารมี ผมวฏะฮะ เรียกไม้ก็ได้”
ไม้แนะนำตัวด้วยท่าทางเป็นมิตรและขี้เล่นตามแบบฉบับของเขา แต่เด็กสามคนกลับมองผ่านเลยปารมีไป ไม่สนใจสักนิด พอปารมีหันไปมองด้วยความสงสัย คุณไม้เลยยิ้มอย่างเห็นใจมาให้
“พวกเด็กๆไม่ค่อยชอบพี่เลี้ยงน่ะครับ”
ปารมีพยักหน้าเข้าใจ กลอนเคยมาพูดให้ฟังว่าลูกท่านประธานดื้อ แถมหวงพ่อและอาๆที่สุด
ไม้อยู่ไม่นานก็ขอตัวกลับ เด็กๆหายขึ้นไปยังชั้นสองบ้าน ไม้บอกว่าไม่ต้องตามไป หากปารมีก็ยังลังเลว่าจะเอายังไง แต่แล้วเสียงร้องของตาหวานก็ดังขึ้นมาซะก่อน เพราะกลัวว่าจะเป็นการรบกวนคนอื่นๆปารมีจึงรีบวิ่งขึ้นไปดู ในห้องไม่ได้มีเพียงตาหวานที่นอนร้องไห้จ้าอยู่บนเตียง รอบๆเตียงยังมีเด็กชายทั้งสามยืนอยู่ไม่ห่าง ท่าทางของเด็กๆเหมือนคนทำอะไรไม่ถูกและแตกตื่นตกใจ เด็กชายที่ดูจะเป็นน้องคนเล็กก็กำลังตั้งท่าจะร้องไห้ตามตาหวานไปอีกคน
“พวกเราไม่ได้ทำอะไรนะ”
พวกเด็กๆรีบแก้ตัว ซึ่งปารมีก็ไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เดินไปชงนมและนำมาป้อนตาหวานเท่านั้น อันที่จริงเด็กชายตัวน้อยจะตื่นขึ้นมาเวลานี้และร้องไห้ก็ไม่แปลกนักเพราะได้เวลาดื่มนมอยู่แล้ว แต่เด็กทั้งสามคนไม่รู้จึงกลัวจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนทำให้น้องร้องไห้ เด็กสามคนจ้องมองน้องตัวเล็กๆดื่มนมจากขวดตาแป๋ว
“คนนิ่”
“บอกแล้วว่าไม่ใช่ตุ๊กตา”
เด็กชายสองคนที่หน้าเหมือนกันราวกับพิมพ์เดียวเถียงกันเบาๆ
“น้อง... ของคุณเหรอฮับ”
เด็กชายซึ่งตัวเล็กกว่าเพื่อนเดินเข้ามาเกาะแขนปารมีแล้วถาม ปารมียิ้มให้และพยักหน้า
“นินขอได้ไหม นินอยากมีน้อง”
ปารมียิ้มอย่างเอ็นดู เด็กน้อยพูดไปทำท่าอ้อนไปโดยลืมท่าทางเป็นอริเมื่อแรกเจอจนหมด ฝ่ายพี่ชายทั้งสอง พอเห็นน้องขอก็เลยเรียกร้องขอบ้าง
“ทำยังนั้นไม่ได้หรอกนะครับ น้องไม่ใช่สิ่งของจะให้กันไม่ได้หรอก”
ปารมีเอ่ยอธิบายอย่างใจเย็น เด็กๆท่าทางน่าเอ็นดูไม่เห็นจะดื้อ ซน หรือมีอะไรอย่างที่นึกกลัวเลยสักนิด ปารมีดันลืมนึกไปว่า เหตุใดเด็กทั้งสามคนจึงมาอยู่ในห้องนี้ จะอะไรเสียอีก หากไม่ใช่ทั้งสามวางแผนจะสร้างความแตกตื่นในห้องนอนด้วยสารพัดสัตว์ปลอมเป็นการต้อนรับพี่เลี้ยงคนใหม่ และเป็นการเริ่มต้นแผนขับไล่พี่เลี้ยงอย่างทุกครั้ง
แต่ครั้งนี้มันต่างไป เมื่อเด็กทั้งสามเดินเข้ามาแล้วมองเห็นสิ่งมีชีวิตตัวน้อยๆที่นอนหลับอยู่บนเตียง สองแฝดเถียงกันว่าสิ่งที่เห็นเป็นคนหรือตุ๊กตา ในขณะที่น้องคนเล็กขยับเข้าไปใกล้และตั้งใจจะอุ้มกลับห้องเพราะนึกอยากได้ หากแต่ตาหวานราวกับรู้ เด็กชายแผดเสียงร้องลั่นจนทั้งสามคนผงะถอยออกห่างแทบจะทันที จนปารมีวิ่งขึนมานี่แหละ
“แต่นินอยากได้นิ่”
น้องคนเล็กยังไม่ยอมแพ้ ตั้งท่าแบะปากจะร้องไห้เพราะโดนขัดใจ
“ผมด้วย”
“ผมด้วย”
ดูเหมือนอธิบายอะไรไปก็ไม่ได้ทำให้เด็กๆรู้เรื่องเลย ปารมียิ้มอย่างอ่อนใจแล้วเปลี่ยนจากการปฏิเสธเป็นการยื่นข้อเสนอ
“เอางี้ไหมครับ น้องจะไม่เป็นของใคร แต่ว่าเรามาช่วยกันเลี้ยงน้องดีไหมครับ น้องก็จะเหมือนเป็นของทุกคนไง”
ทั้งสามคนหยุดคิด พี่ชายสองคนซุบซิบปรึกษากันโดยมีน้องสุดท้องจ้องมองพี่ชายอย่างมีความหวัง เมื่อพี่ชายพยักหน้าก็ยิ้มกว้างดีใจ
ทั้งสามจึงสัญญาว่าจะช่วยดูน้องเพราะน้องเป็นของทุกคน
“คุณชื่ออะไรคับ แล้วน้องชื่ออะไร”
“น้องอายุเท่าไหร่ฮะ”
“น้องกินขนมได้ไหม”
“น้องกินน้ำหวานได้ไหม”
คำถามมากมายที่ทั้งสามคนแย่งกันถามโดยไม่รอฟังคำตอบทำเอาปารมีอดยิ้มไม่ได้ ปกติเขาไม่ได้ชอบเด็กเป็นพิเศษ แต่รู้สึกว่าตั้งแต่เลี้ยงตาหวานเขาจะมองเด็กๆว่าน่ารักขึ้นยังไงไม่รู้
เด็กๆสามคน คือ ปฐพี ปฐวี เป็นแฝดที่เหมือนกันมาก ใบหน้าคมคายอย่างคนไทย แต่ดวงตากลับเป็นสีเขียวมรกต แล้วก็ธรณิน ที่หน้าเหมือนพี่ชายทั้งสอง หากธรณินมีสิ่งเห็นได้ชัดเลยว่าไม่ใช่คนไทยแท้ ผมสีชานั้นบอกได้เป็นอย่างดี แต่ที่แปลกคือ สีตาที่ดำสนิท ทั้งสามคนดูจะเห่อตาหวานมาก ขนาดอาสาเฝ้าให้ตอนที่ปารมีลงไปทำอาหาร และเพราะตาหวานนี่เองที่ทำให้เด็กๆญาติดีกับปารมี แต่ก็ไม่วายขู่ไว้ว่า
“ถ้าคิดจะมาจับพ่อล่ะก็ เป็นเรื่องแน่”
ปารมีฟังภาษาพูดของเด็กๆแล้วอ่อนอกอ่อนใจ จับเนี่ยนะ ใครสั่งใครสอนภาษาแบบนี้กันล่ะเนี่ย
“ก็ได้ยินพี่เลี้ยงคนก่อนๆพูดในโทรศัพท์ว่างั้นนิ่ฮะ”
ชักจะเข้าใจแล้วว่าทำไมสมควรไล่ออกไปจริงๆ ก็พี่เลี้ยงที่พูดคำแบบนี้ให้เด็กๆได้ยิน มันก็ไม่น่าให้อยู่ใกล้เด็กๆ
ปารมีลงมาทำอาหารโดยฝากตาหวานให้อยู่กับพี่ๆ อันที่จริงถึงจะพูดว่าทำอาหาร แต่หน้าที่ที่ต้องทำจริงๆก็แค่คิดเมนูสำหรับเด็กๆและบอกแม่ครัว แต่ปารมีคิดว่าแค่นั้นมันดูไม่คุ้มค่าจ้างจึงตั้งใจจะลงมือทำอาหารเอง จากที่คิดอยู่นานว่าจะทำอะไรดีก็ตกลงใจทำ ต้มจืด กับหมูหวาน ตอนแรกว่าจะทำแค่สองอย่างแต่ก็ทำไก่ราดซอสเพิ่มอีกจนได้ ส่วนของหวานปารมีเลือกทำวุ้นผลไม้ให้เด็กๆกิน หลังจากทำอาหารเสร็จก็ได้เวลาทานอาหารเย็นพอดี ปารมีออกมาตามเด็กๆแต่ได้รับคำตอบว่า จะรอกินพร้อมคุณพ่อ
“คุณพ่อสัญญาว่าจะมากินด้วยวันนี้”
ปฐวีกล่าวหนักแน่นและไม่มีใครยอมไปกินข้าวก่อนสักคน ในที่สุดปารมีก็ยอมแพ้ จำใจยกวุ้นผลไม้มาให้เด็กๆได้รองท้องกันก่อน
สองทุ่มครึ่ง
ยังไม่มีวี่แววว่าพ่อของเด็กๆจะมาตามที่สัญญาไว้ ธรณินหน้าเบ้เหมือนจะร้องไห้เมื่อรู้สึกหิวมากแล้ว
“ไปกินกันก่อนเถอะนะครับ เดี๋ยวไม่มีแรงอุ้มน้องนะ”
เมื่อได้ยินปารมีพูดแบบนั้น และดูท่าทางว่าพ่อของตนจะไม่มาตามนัดเสียแล้ว เด็กๆทั้งสามคนเลยยอมกินข้าว แต่ก็แตะเพียงไม่มากเพราะมันเลยเวลาอาหารมามากแล้ว เมื่อกินเสร็จก็ต้องไปอาบน้ำเข้านอนเลย
หลังจากที่ส่งเด็กๆและเอาตาหวานเข้านอนแล้ว ปารมีก็ลงมานั่งข้างล่าง รอการกลับมาของเจ้านาย เวลาเที่ยงคืนกว่า เสียงรถเข้ามาจอด และการปรากฏของร่างสูงใหญ่สมชายอย่างที่ปารมีนึกอยากให้ตัวเองเป็นแบบนั้นบ้างเดินเข้ามายังตัวบ้าน เพราะไม่ได้เปิดไฟไว้คนมาใหม่จึงไม่ได้สังเกตเลยว่ามีคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก
“คุณวสุธา”
ปารมีส่งเสียงเรียกเพื่อให้ฝ่ายนั้นรับรู้การมีอยู่ของตน
ขาที่กำลังจะก้าวขึ้นบันไดชะงักค้าง วสุธาหันมามองทางต้นเสียงเมื่อเห็นร่างของปารมีเป็นเงาตะคุ่มอยู่บนโซฟา จึงหันหลังเดินกลับลงมา
“คุณ พี่เลี้ยงคนใหม่หรือ”
ปารมีมองสายตาเย็นชาที่ส่งตรงมายังตนอย่างไม่ค่อยพอใจนัก มันมืดก็จริง แต่พอเข้ามาในระยะสายตาแบบนี้แล้ว เห็นชัดทีเดียวล่ะ แล้วเรื่องอะไรต้องมามองกันแบบนั้นด้วย เพราะคิดว่าการนั่งนั้นทำให้ดูเสียเปรียบอีกฝ่าย ปารมีจึงลุกขึ้น แต่ดูเหมือนเขาจะคิดผิด เพราะยิ่งลุกขึ้น ก็ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนถึงความแตกต่างด้านรูปร่าง
“ครับ ผมปรามี”
ปารมีพยายามพูดด้วยความเป็นมิตร พยายามคิดว่าความเย็นชา ไม่ค่อยพอใจที่อีกฝ่ายแผ่ออกมาในทุกอนูรอบๆตัวนั้นเป็นการคิดไปเองของตน
“แล้วมานั่งทำอะไรมืดๆดึกๆแบบนี้ ... หรือว่า… รอผม?”
สูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อนระงับความไม่พอใจจากน้ำเสียงระอาเหมือนรำคาญเต็มทนของอีกฝ่าย คิดไปเอง เราคิดไปเอง ปารมีท่องไว้ในใจ เขาไม่ได้ทำแบบนั้นหรอก เราคิดไปเอง
“ครับ มารอคุณ”
ปารมีตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ร่างของปารมีก็ลอยหวือเข้ากระแทกอกของคนตรงหน้าทันที
“เอานะ อุตส่าห์นั่งรอตั้งค่อนคืน จะสนองให้สักครั้งแล้วกัน”
สนอง สนองอะไรกัน ปารมียังมึนๆแต่คิดว่าท่าทางแบบนี้ไม่ดีแน่ พยายามจะดันตัวออกเพื่อพูดกันให้รู้เรื่อง แต่ยังไม่ทันทำได้สำเร็จ มือหนาก็ดันคางปารมีให้เงยหน้าขึ้น ริมฝีปากโดนทาบทับในทันใด ปารมีไม่ได้ตั้งตัวสักนิด มือที่ดันคางเฉยๆเปลี่ยนเป็นบีบอย่างแรงเมื่อปารมีไม่ให้ความร่วมมือในการรุกราน ร่างบางจำใจต้องเปิดรับลิ้นร้อนๆเข้าในโพรงปากเมื่อไม่สามารถต้านทานความเจ็บได้ หายใจไม่ออก คิดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก แน่ล่ะ ปารมีเคยมีประสบการณ์แบบนี้ที่ไหน เขาไม่เคยมีแฟน เพราะต้องทำงานตัวเป็นเกลียวอยู่ตลอดเวลา ผู้หญิงที่ไหนจะมาสนใจ
“อือ”
ลิ้นร้อนเข้าสำรวจไปทั่วทั้งโพรงปาก เกี่ยวกระหวัดเรียกร้องให้ปารมีตอบสนองการรุกรานนั้นอย่างช่ำชอง ปารมีแทบจะหมดสติอยู่แล้วตอนที่วสุธาผละออกไป ขาที่ยืนอยู่ไม่มีแรงจนทรุดลงไปนั่ง พยายามกอบโกยลมหายใจเข้าปอดอย่างเต็มที่
“หึ”
เสียงจากลำคอของอีกฝ่ายทำให้ปารมีต้องเงยหน้าขึ้นมอง สายตาดูถูกเหยียดหยามที่ได้รับทำให้สติกลับคืนมาในทันที เร็วเกินกว่าที่อีกฝ่ายจะทันตั้งตัว ปารมียืนขึ้นและตวัดมือลงไปยังใบหน้าแกร่งเต็มแรง ทุกอย่างสงบนิ่ง นิ่งเกินไปจนน่ากลัว ปารมีนิ่งเพราะตกใจตัวเองที่ทำได้ขนาดนั้น ส่วนวสุธานิ่งไปเพราะไม่คิดว่าจะมีใครกล้า
ปารมีได้สติก่อนและถอยหลังหนีอย่างรวดเร็ว น่ากลัว สัญชาตญาณตัวเองบอกอย่างนั้น
“คุณทำไม่ดีก่อนนะ”
คำพูดนี้ดูเหมือนจะไม่ทำให้วสุธาลดความโกรธลงเลย
“ทำไม ก็นายต้องการแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ถึงได้มานั่งรอ”
ปารมีมองอีกฝ่าย ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีใครหลงตัวเองได้ขนาดนี้
“จะบ้าเหรอ”
แหวสุดเสียงลืมความกลัวไปทันทีเมื่อนึกถึงเรื่องที่เด็กๆไม่ยอมกินข้าวเมื่อตอนเย็น สาเหตุที่ตัวเองต้องมานั่งรออีกฝ่ายจนค่อนคืน
“ทำไมคุณถึงเพิ่งกลับ”
“เรื่องนั้น ไม่ใช่เรื่องที่คุณต้องมาเกี่ยว”
วสุธาหงุดหงิดเมื่อนึกว่าพี่เลี้ยงคนนี้ก้าวก่ายเรื่องที่ไม่ใช่หน้าที่ของตัวเองอยู่
“ไม่เกี่ยว? พูดออกมาได้ไงครับ เพราะคุณสัญญาแต่ไม่มาเด็กๆเลยไม่ยอมกินข้าวตรงเวลา แล้วผมจะไม่เกี่ยวได้อย่างไร”
พอพูดถึงลูกๆดูวสุธาจะระงับอารมณ์ลงได้บ้าง
“เรื่องนั้นเป็นหน้าที่ๆคุณต้องจัดการไม่ใช่หรือ”
แต่ดูเหมือนจะเป็นพวกเอาอะไรต้องได้อย่างใจ และไม่เคยผิดเลยสักครั้ง ถึงได้โยนเรื่องการที่ตัวเองผิดสัญญากับลูกให้คนอื่นจัดการแบบนี้
“อย่ามาตลกนะครับ ถ้าทำไม่ได้ก็อย่าสัญญาสิ”
“เพราะคิดว่าจะทำได้ถึงสัญญาต่างหาก แต่พอมีงานเข้ามาก็ช่วยไม่ได้”
วสุธาไม่คิดแก้ตัว แต่เริ่มง่วงนอนและรำคาญจึงยอมบอกเหตุผลที่ตัวเองมาตามนัดไม่ได้
“โทรมาบอกไม่ได้หรือไงเล่า”
“ไม่ว่างพอหรอกนะ”
“คุณนี่มัน”
การปะทะคารมของทั้งคู่ดูเหมือนจะไม่มีใครยอมใคร
“ถ้าแค่สัญญากับลูกยังทำไม่ได้ แล้วไปทำสัญญาใหญ่ๆได้ยังไง ไม่รู้ว่าบริษัทของคุณอยู่รอดมาได้ยังไง แต่ก็ตามใจคุณเถอะ”
ว่าแล้วก็เดินหนีขึ้นไปข้างบนเสียก่อน ดูเหมือนปารมีจะยอมถอย แต่ในความคิดของวสุธา เหมือนตัวเองแพ้ยังไงไม่รู้ ที่จริงวันนี้เขาไม่ได้สัญญากับลูกไว้สักหน่อย แค่พูดว่า ถ้างานเสร็จจะมาให้ทัน ก็แค่นั้น แต่ดูเหมือนสำหรับเด็กๆนั่นคือการสัญญาสินะ ยังไงก็เถอะ ทำไมเขาต้องมานั่งฟังพี่เลี้ยงของลูกๆตำหนิตัวเองด้วยเนี่ย อยู่กันไม่ได้แน่ๆแบบนี้
…………..
“สงสัยโดนไล่ออกแน่ๆ”
ปารมีมานั่งทบทวนตัวเองในห้องแล้วได้บทสรุปแบบนั้น
ปกติปารมีเป็นพวกหลีกเลี่ยงการต้องมีเรื่องกับคนอื่นแท้ๆ แต่มันก็อดโมโหไม่ได้จริงๆเมื่อนึกถึงการกระทำต่างๆของอีกฝ่าย ทั้งคำพูดคำจา ทั้งการผิดนัดผิดสัญญา แล้วยังมาจูบเขาเสียอีก
“เฮ้อ...”
เอาเถอะ ถ้าเพราะเรื่องนี้ต้องออกก็ช่าง ดีกว่าทำงานกับเจ้านายที่ไม่รักษาสัญญากับลูกตัวเอง
คิด คิด คิด คิดจนหลับไปในที่สุด
.............................
มีต่อข้างล่างค่ะ