คนโปรด 23.2
"มิทตี้...มิทตี้ตื่นเถอะ จะสายแล้วนะ"แรงสะกิดเบาๆ ที่ต้นแขนปลุกผมให้รู้สึกตัวจากการหลับไหล ผมงัวเงียด้วยความหงุดหงิดเพราะรู้สึกนอนไม่พอเลยหลับตาลงอีกรอบ
"อื้ม ง่วง! "
"เพื่อนรออยู่นะ"เสียงทุ้มต่ำเอ่ยอย่างอ่อนใจ
"ก็ให้รอไปดิ"ผมบอกอย่างหงุดหงิดแล้วพลิกตัวไปอีกทาง
"ถ้าไม่ตื่นตอนนี้พี่จะโทรบอกให้เพื่อนมิทตี้กลับเมืองไทยไปก่อน"
"ไม่เอา! "ผมพลิกตัวกลับมาทำหน้าหงุดหงิดใส่ลูคัส แต่มันกลับยื่นมือมาขยี้ศีรษะผมเบาๆ
"งั้นก็ตื่นได้แล้วครับ"
"เพราะมึงคนเดียวเลยทำให้กูนอนไม่พอ"ผมบ่นๆแต่ก็ยอมฝืนสังขารลุกขึ้นจากเตียงดูดวิญญาณ
"ก็พี่คิดถึง"
"คิดถึงบ้าอะไร ไม่เจอกันแค่4-5วันเอง"ผมผลักอกมันเบาๆ ให้พ้นทาง แต่ลูคัสกลับสอดมือโอบเอวผมไว้หลวมๆ แล้วจูบเข้าที่ริมฝีปากผมเร็วๆ หนึ่งที
"เดี๋ยวก็ไม่ได้เจอกันอีกตั้งหลายวัน พี่ก็ต้องกักตุนความน่ารักของมิทตี้ไว้ก่อนสิ"มันเอาตาข้างไหนมองว่าผมน่ารักวะครับ?
"พูดเหมือนกูเป็นอาหารแห้งเลยเนอะที่ต้องกักตุนเนี่ย ปล่อยยย! "ผมดิ้นและพยายามแกะมือมันออกจากตัวเอง ตัวมันก็ไม่ได้ใหญ่กว่าผมมากมายอ่ะ ทำไมแรงเยอะนักวะ
"มิทตี้น่าสดเสมอสำหรับพี่"มันว่ายิ้มๆ ผมเลยชกแขนมันไปทีกับคำพูดส่อลามกของมัน ลูคัสจึงดูดริมฝีปากผมแรงๆ เป็นการเอาคืนก่อนจะปล่อยผมเป็นอิสระได้
ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จในเวลา15นาที จากนั้นมันก็พาผมไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม ผมซัดแหลกเหมือนคนอดอยาก มันให้ลูกน้องไปตักอาหารมาให้ผมเรื่อยๆ พอมันอิ่มมันก็ลุกไปตักให้ผมเอง
ผมกินอิ่มมากชนิดที่ว่าเรอออกมาไม่เบานักอย่างไม่เกรงใจใคร ลูคัสมองผมนิดหน่อยแต่ไม่ได้ว่าอะไร
"ยังพอมีเวลาอยู่นิดหน่อย มิทตี้อยากได้อะไรหรือไปไหนไหม? "ลูคัสยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาแล้วเอ่ยถาม
"อืม อยากได้รองเท้า"ผมนิ่งคิดแล้วนึกได้ว่ามีรองเท้าที่อยากได้เพิ่งวางขายที่อังกฤษวันนี้
"โอเค ช็อปอยู่ใกล้ๆ ที่นี่ เดินย่อยไปก็แล้วกัน"ผมพยักหน้าตอบรับคำพูดลูคัส คือกินอิ่มจนจุกมากจริงๆ สมควรที่จะเดินย่อยสักหน่อยก่อนขึ้นเครื่องดีกว่า
ลูคัสคว้ามือผมไปจับแล้วพาเดินออกจากโรงแรม ผมดึงออกแต่มันไม่ยอม
"จับทำไมเนี่ย! "ผมโวย
"เดี๋ยวหลง"
"กูโตแล้วนะ-_-"
"พี่เป็นห่วง ไปเถอะ"มันบอกแล้วกระชับฝ่ามือแน่นขึ้น ผมขี้เกียจโวยวายเลยยอมเดินตามมันไปเงียบๆ
"ช้าหน่อย"ผมกระตุกมือมันนิดๆ เมื่อเดินตามไม่ทัน คือผมจุกไงถ้าเดินเร็วไปมากกว่านี้คืออ้วกอ่ะ
"เข้าร้านนี้กัน"มันลดฝีเท้าลงแล้วพาผมเดินเข้าช็อปนาฬิกาชื่อดังก่อนจะถึงช็อปรองเท้าผม ไปๆ มาๆ ผมเลยได้นาฬิกาเรือนละเป็นล้านมาใส่เล่น
จริงๆ ผมไม่อยากรับหรอกแต่มันทำท่าจะจูบผมกลางร้านนี่สิ ไปไม่เป็นเลยกู...ก็เลยยอมๆ ใส่ไปก่อน (ไม่อยากได้จริงๆ นะ!) หลังจากนั้นมันก็พาผมไปซื้อรองเท้าที่อยากได้ ระหว่างที่นั่งรอพนักงานเอารองเท้าไซส์ผมมาให้ลอง ผมเลยถ่ายรูปนาฬิกาบนข้อมืออัพลงไอจี
Smith_jaja บอกว่าไม่เอายังจะบังคับ : (
Zent_LJD เอามาให้กูถ้าไม่อยากได้ -*-
Kevin_Midnight มึงอยู่ไหนไอ้สาสสส พวกกูรออยู่สนามบินจนรากจะงอกอยู่ละ
Manee นาฬิกาสวยมากเลยค่า รุ่นนี้กี่ล้านคะสมิธ
Jomtup_Ch โอโห! มึงเล่นรุ่นนี้เลย! อิจฉาเว้ย อยากได้ๆ ๆ
Smith_jaja @ Zent_LJD ถ้ามึงกล้าเอาไปใช้ก็ได้อยู่
Smith_jaja @ Kevin_Midnight กูอยู่ช็อปรองเท้าไอ้ฟาย รอแปปกำลังไปละๆ
Smith_jaja ไปงอแงกับพ่อมึงไป๊! @Jomtup_Ch
Zent_LJD @ Smith_jaja มึงอย่าหาเรื่องให้กู! เฮียยิ่งน่ากลัวๆ อยู่ แล้วก็ฝากซื้อรองเท้ารุ่นG สีขาวมาให้กูด้วย เคนะ!
Primmz สวยมากเลยค่ะพี่สมิธ
Smith_jaja @ Primmz ไม่สวยเท่าปริมหรอก -_<
JAIDee.LZ อยู่ช็อปรองเท้าแต่เสือกได้นาฬิกา มึงนี่ยังไงแน่? @Smith_jaja
Zent_LJD @ JAIDee.LZ นั่นสิๆ
Thossakan บอกพี่กูว่าฝากซื้อรุ่น CC เรือนหนึ่ง
Smith_jaja โว้ยยยย! พวกมึงเลิกเสือก แยกๆ
Smith_jaja ไปบอกมันเอง! ขี้เกียจพูดด้วยแล้ว @Thossakan
“เป็นอะไร? ” ไอ้คนที่นั่งข้างๆ เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านจากผม
“เปล่า เมื่อไหร่จะได้เนี่ย เพื่อนตามแล้ว”ผมเก็บโทรศัพท์ยัดใส่กระเป๋ากางเกงแล้วบ่นแบบขอไปที
“อืม เดี๋ยวพี่ให้โยไปตามให้” มันกำลังจะบอกให้โยไปตามพนักงาน แต่ผู้จัดการร้าน (ดูป้ายชื่อ) ก็รับกุลีกุจอหอบรองเท้ามาให้ผมลองไซส์ทั้งสองสี ผมลองแล้วชอบมากแต่เลือกสีไม่ถูก ถ้ามากับเพื่อนก็จะได้ถามความเห็นพวกมันได้ สุดท้ายลูคัสก็จ่ายให้ผมสามคู่ ของผมสองเป็นรุ่นเดียวกันแต่คนละสีน่ะ ส่วนอีกคู่ให้ไอ้ตี๋เซนท์ค่าปิดปากมันกับตอบแทนที่มันเก็บเสื้อผ้าที่โรงแรมให้
เมื่อออกจากช็อปรองเท้าเราก็รีบขึ้นรถไปที่สนามบิน ใช้ระยะเวลาระมาณ20นาทีก็ถึง
“วันศุกร์พี่ไปหา”ลูคัสเอ่ยบอกเมื่อรถหยุดนิ่ง ผมก็พยักหน้าให่มันเนือยๆ เพราะรู้สึกง่วงนิดๆ เลยโดนมันขโมยจูบไปแบบไม่รู้ตัว พอมันถอนจูบออกผมถึงลืมตาสบกับนัยน์ตาสีเขียวเข้มชัด ผมเผลอมองนานมากเหมือนสติกำลังถูกดูดไปหามัน แต่เมื่อมืออุ่นๆ ของลูคัสสัมผัสเข้าที่แก้มผมถึงได้รู้สึกตัว
“เอ่อ ไปนะ”ผมบอกแล้วยื่นมือจะเปิดลงจากรถแต่มือเรียวแข็งแรงของลูคัสก็ยื่นมาจับไว้ก่อน
“เดี๋ยว การ์ดที่พี่ให้ไปใช้เมื่อคราวก่อนยังอยู่ไหม? ”แบล็คการ์ดมันน่ะเหรอ? เออว่ะ! ลืมไปเลยว่ายังไม่คืนมัน
“อยู่ในกระเป๋าเดินทางอ่ะ จะไปเอาไหม? ”ผมกลัวทำหายไม่ใช่อะไรหรอก
“ไม่ต้องคืน เก็บไว้ใช้ อยากได้อะไรก็ซื้อเลย ถ้าบัตรนั่นรูดไม่ได้ก็บอกพี่ พี่จะหามาให้มิทตี้เอง”มันลูกหัวผมไปด้วยและพูดไปด้วยน้ำเสียงวบายๆ แต่หัวใจผมนี่ไม่สบายด้วยเลยสักนิด
“ไม่กลัวกูรูดบัตรจนวงเงินเต็มหรือไง”ผมส่งยิ้มท้าทายให้ลูคัส แม้จะไม่รู้ว่าแบล็คการ์ดมันวงเงินเต็มได้รึเปล่า
“ถ้าคิดว่าทำให้มันเต็มได้ มิทตี้ก็ลองดู”กูเกลียดรอยยิ้มมั่นใจของมันมากเลยครับ
“เออ ใช้แน่”จะผลาญเล่นให้มันป๋าไม่ออกเลยคอยดู!
“หึๆ ไปได้แล้วเด็กดี ตกเครื่องขึ้นมาจะโทษพี่ไม่ได้นะ”มันว่ายิ้มๆ แล้วกระชับเสื้อโค๊ทให้ผม
“โทษมึงแหละ”มึงผิด ผิดทุกอย่าง เพราะมึงคนเดียวเลย!
ผมทำหน้าบึ้งๆ ถือของลงจากรถ จริงๆ ลูคัสจะให้ลูกน้องถือของไปส่งแต่ผมไม่ยอมมันเลยต้องเป็นคนยอมแทน
พอไปเจอเพื่อนที่รออยู่ก็เจอพวกมันบ่นกันยับ แต่พอผมยื่นของที่ซื้อมาให้มันถึงได้พากันสงบลงบ้าง ไอ้เซนท์กับไอ้ดีไม่ได้พูดอะไรมาก แต่ไอ้เหี้ยวินกับไอ้เหี้ยเต๋อนี่แหละที่สงสัยผมหนักทั้งเรื่องไม่กลับห้องแล้วก็เรื่องนาฬิกา ผมก็แถๆ ว่าไปหาพี่ (ที่เป็นผัว) นี่ผมยอมปวดตูดนั่งเครื่องกลับพร้อมพวกมันเลยนะ เกิดกลับด้วยเครื่องบินส่วนตัวของลูคัสตามที่มันเสนอให้ตอนแรก ไอ้เควินกับไอ้เต๋อได้สงสัยยิ่งกว่านี้แน่ว่าพี่ที่ว่าเป็นใคร
ผมขี้เกียจอธิบาย…ให้เป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีแล้วล่ะ
+++++++++++
4 ปีต่อมา
กาลเวลานี่ผ่านไปเร็วจริงๆ เผลอปรับเดียวเวลาก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว เหมือนหลับไปตื่นหนึ่งเท่านั้นเอง
ตอนนี้ผมเรียนปริญญาโทปีสุดท้ายแล้วครับ ก็เรียนที่ไทยนี่แหละครับ ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายไปตามทางของตัวเอง ไอ้ทศไปทำงานที่อังกฤษ (แต่เมียยังอยู่ไทย) ไอ้เซนท์กับไอ้ดีไปเรียนต่ออเมริกา ปีนี้น่าจะจบแล้วกลับไทยในปีหน้า ส่วนผมมีแผนจะเรียนต่อปริญญาเอก คืออยากเรียนไปเรื่อยๆ ล่ะนะ
แทบไม่น่าเชื่อว่าคนที่โง่ที่สุดในกลุ่มอย่างผมจะดั้นด้นเรียนมาได้ถึงขนาดนี้ บอกตรงๆ ว่าผมก็มีเหตุผมที่อยากเรียนไปเรื่อยๆ แบบนี้
ส่วนหนึ่งเป็นสิ่งที่ผมอยากทำและอีกส่วนหนึ่งคือผมยังไม่อยากไปอยู่กับมัน
ความสัมพันธ์ระหว่างผมและลูคัสแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น...ไม่สิ ต้องบอกว่ายิ่งนานวัน ลูคัสยิ่งใจดี
ผมคิดว่าผมรู้ว่ามันกำลังรู้สึกอย่างไรต่อตัวผมเพราะผมก็เคยเป็นมาก่อน เพียงแต่ผมก็ไม่มั่นใจว่าที่มันรู้สึกนั้นจะมากน้อยแค่ไหนเท่านั้นเอง
“พี่สมิธเย็นนี้ว่างไหมคะ? ”เสียงหวานใสดังขึ้นจากด้านหลัง ผมหันหลังไปยิ้มให้เธอก่อนจะเอ่ยตอบ
“ไม่ว่างเลย ปริมมีอะไรรึเปล่าคะ? ”
“อ้อ ไม่มีอะไรค่ะๆ ปริมแค่อยากชวนพี่สมิธไปหาอะไรกินด้วยกัน”
“วันนี้พี่ไม่ว่าง เอาไว้วันหลังนะคะ”
“โอเคค่า”
ผมบอกลาปริมแล้วเดินแยกไปที่รถตัวเอง อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่แม้ผมจะมาเรียนต่อ ป.โท อีกมหาวิทยาลัย ปริมก็ยังมาเป็นรุ่นน้อง ป.โท ผมที่นี่อีก เราค่อนข้างได้คุยกันมากกว่าเดิม สนิทกันมากขึ้น แต่ผมก็ยังไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์กับปริมไปมากกว่าเดิมนัก ผมรู้สึกว่าเป็นแบบนี้มันโอเคกว่า อีกอย่างผมไม่กล้าด้วย กลัวใจลูคัสมาก มันใจดีกับผมก็จริง แต่กับคนอื่นนี่ไม่รู้ว่ะ
Rrr Rrr Rrr
ผมเสียบบลูทูธใส่หูเพราะกำลังขับรถอยู่ และกดรับสายไอ้ตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมไปทานข้าวกับปริมเย็นนี้ไม่ได้
(อยู่ไหน?)
“บนรถ กำลังขับกลับคอนโดฯ ”
(อยากกินอะไร?)
“ปิ้งย่าง”ผมตอบออกไปทันที เพราะอยากกินมา2-3วันแล้วแต่ไม่มีเพื่อนไปกิน
(อืม เลือกร้านไว้ อีกสักประมาณชั่วโมงครึ่งพี่คงถึง)
“มึงอยู่ไหน? ”
(ถนน R)
“รถติดอะดิ”
(มาก ย้ายไปเรียนอังกฤษเถอะ อเมริกาก็ได้) น้ำเสียงมันแสดงออกว่าเซ็งอย่างชัดเจน คนที่เวลาทุกวินาที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำอย่างมันจะรู้สึกไม่โอเคก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่มันก็ทนมาได้ถึงสี่ปีแล้วอ่ะนะ
“พูดมาก รีบมากูหิวแล้ววว” ผมทำเป็นไม่สนใจคำพูดของลูคัส มันบ่นเบาๆ อีกไม่กี่คำก็วางสายไป
ผมกลับถึงคอนโดฯ (ของลูคัส) ในอีก20นาทีต่อมา จากนั้นจึงไปอาบน้ำชำระร่างกายให้สดชื่นขึ้นหลังจากที่ออกไปผจญภัยมลพิษมาทั้งวัน
ขณะทีกำลังเช็ดผมตัวเองให้แห้งเสียงออดหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมขมวดคิ้วนิดๆ เมื่อมันมาเร็วก็ที่บอก และปกติมันไม่เคยกดออด
ถึงอย่างนั้นผมก็เดินไปเปิดประตูห้องเพื่อเผชิญหน้ากับผู้มาใหม่…
คนที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้ทำให้ผมตกใจมากนัก เพราะผมก็เผื่อใจไว้อยู่แล้วว่าสักวันอาจจะต้องเผชิญหน้ากัน
คาร่า เกร็นเดล...คู่หมั้นของลูคัส
เธอใช้สายตาคมสวยมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่ผมไม่เคยถูกมองแย่ขนาดนี้มาก่อน ขาเรียวสวยก้าวเข้าห้องกระแทกไหล่ผมเข้าไปโดยที่ผมไม่ทันได้เอ่ยปากพูดอะไร ชายชุดดำสามคนที่ตามเธอมาก้าวเข้าไปในห้องสองคนโดยมีอีกคนรออยู่ข้างนอก
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปิดประตูก่อนจะเดินตามเธอเข้าไป
คาร่ากวาดสายตาไปทั่วห้อง แต่ไม่ได้เสียมารยาทในการเดินค้นห้องอย่างที่ผมคาดไว้ เธอทรุดตัวลงนั่งโซฟาตัวโปรดของผม ขาเรียวยาวยกขึ้นไขว่ห้างแล้วกอดอกเชิดหน้าเหมือนนางพญา แล้วเหลือบสายตากดข่มผมอีกรอบ
“นั่งสิ”เธอเอ่ยสั่ง แต่ผมไม่นั่งเพราะผมไม่ใช่ลูกน้องเธอ คาร่าจึงส่งสายตาให้ลูกน้อง การ์ดร่างยักษ์สองคนพุ่งเข้าชาร์ตตัวผมแล้วกดลงกับพื้นอย่างรวดเร็วโดยที่ผมไม่ทันได้ขัดขืน ยิ่งผมดิ้นพวกมันยิ่งใช้แรงกดผมลงกับพื้นมากกว่าเดิม คาร่าลุกขึ้นจากโซฟาเดินมาใกล้จนรองเท้าส้นสูงสีมุกแทบจะชิดหน้าผมอยู่แล้ว
“อย่าคิดลองดีกับฉัน”พูดเธอก็ยกเท้าเหยียบลงมาที่ศีรษะผมแล้วขยี้แรงๆ ผมโกรธจนตัวสั่น ทั้งคำรามในลำคออย่างดุร้ายและดิ้นรนขัดขืนสุดแรง
เจ็บที่ตัวยังไม่ถึงเศษเสี้ยวในใจผมตอนนี้เลย
“นี่เป็นบทเรียนสั่งสอนขั้นแรกที่แกกล้าเป็นชู้กับคนของฉัน”คาร่าเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบทั้งๆ ที่รองเท้ายังเหยียบอยู่บนศีรษะผมอยู่
ผมพูดอะไรไม่ออก เพราะสถานะผมตอนนี้มันก็เป็นอย่างที่เธอว่าจริงๆ ผมมัวแต่หลงระเริงอยู่ในความฝันเพราะมันมอมเมาผมไว้ โดยที่ผมไม่ทันได้ฉุกนึกถึงโลกแห่งความเป็นจริง โลกที่ฝันไม่มีทางเป็นจริง
“ถ้ายังไม่ยอมหยุด แกไม่ตายดีแน่”เธอยกเท้าออกแล้วสั่งให้ลูกน้องปล่อยตัวผม
คาร่าไปแล้ว เหลือบาดแผลในใจที่ไม่มีทางลบได้ไว้ให้...ตั้งแต่โตมานี่เป็นครั้งแรกที่ผมร้องไห้หนักขนาดนี้ เสียใจมากซะจนหาเหตุผมมาอธิบายไม่ถูก
หยดน้ำตาเม็ดแล้วเม็ดเล่าที่พรั่งพรูออกมา ยิ่งเช็ดก็ยิ่งไหล เหมือนความรู้สึกที่พยายามลืมมากเท่าไหร่ก็ยิ่งจำมากขึ้นเท่านั้น
“ฮึก ฮือ”
ผมไม่รู้ตัวเลยว่านั่งร้องไห้อยู่ที่เดิมนานแค่ไหน จนกระทั่งประตูห้องถูกเปิดออกอีกครั้ง
“มิทตี้...เป็นอะไร! ”
++++++++++++++
อย่าเพิ่งโกรธเปรมที่อาจจะจบค้างไปสักนิดแต่เค้าจะรีบมาน้า><
ป.ล.เรื่องราวอาจจะดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ตามให้ทันนะๆ มาดูกันว่าอิพี่จะจัดการยังไงต่อปาย