ผมลังเลอยู่นานที่จะเอื้อมมือขึ้นไปสัมผัสที่แผ่นหลังพี่เอก
ในที่สุดผมก็ตัดสินใจที่จะทำมัน ผมลูบที่แผ่นหลังที่เอกเบาๆ
เหมือนคนที่กำลังถ่ายผ่านความอบอุ่นไปให้ใครอีกคนที่กำลังอ่อนแอ
และตอนนี้ผมก็เต็มใจที่จะทำ ถ้าอีกฝ่ายหนึ่งได้รับความสบายใจนั้น
ผมยังคงลูบที่แผ่นหลังพี่เอกต่อไป เรื่อยๆ ตราบใดที่พี่เอกยังต้องการ
ถึงแม้ว่าวันพรุ่งนี้ผมจะเสียอะไรไปก็ตาม ………
ตอนที่ 18 ...............
หลังจากวันนั้นผ่านไป ทุกคน ต่างล้มหายตายไปจากชีวิตผมอีกแล้วครับ
พี่เอกเพิ่งพรากจากนางชะนีอันเป็นที่รัก คงต้องการเวลาทำใจให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ
ส่วนใครอีกคนที่ผมไม่รู้สาเหตุว่าทำไม เขาถึงหายเงียบไปแบบนี้……ทองอาจทับตายแล้ว
ดูช่างไม่มีเหตุผลเอาซะเลย คนอะไรจะมาก็มา จะหายก็หายไปเลยหายไปในอากาศ
อย่าให้ได้เจออีกนะ จะเล่นละครให้สมบทบาทมากว่าครั้งที่แล้วเลย...555
ในที่สุดช่วงเวลาอันแสนยาวนานของช่วงปิดเทอมใหญ่ก็ผ่านไป
ผมได้อะไรมาไม่น้อยจากช่วงเวลานี้..........ได้มาถึง2 คน 55
อย่างน้อยที่สุด มันทำให้ผมรู้ว่าผมเป็นใคร ต้องการอะไร
และจะก้าวเดินต่อไปทางไหนในอนาคต………เหมือนเจอเนื้อคู่แล้ว
ผมได้ชีวิตวัยเรียนของผมกลับมาอีกครั้ง หลังจากที่เป็นเด็กเสิร์ฟมานาน
และครั้งนี้เป็นหนึ่งปีสุดท้ายที่ผมจะได้ใช้ชีวิตในฐานะ
นักศึกษา เอก โฆษณา โทการตลาด….เริศเชียว
มีคนเขาบอกว่าช่วงชีวิตในวัยเรียนเป็นอะไรที่สบายที่สุด
และเป็นช่วงที่มีค่าที่สุด ควรเก็บเกี่ยวเวลาและความสุขนี้ไว้
เพราะถ้าผ่านเวลาไปแล้ว ไม่มีใครสามารถย้อนกลับไปเรียกร้องให้มันหวนกลับมาได้อีก
สิ่งที่ทำได้คือคิดถึงมัน ยิ้ม และเดินหน้าต่อไป
วันนี้ผมกับไอ้เดชเพื่อนเลิฟ นัดเจอกันเพื่อไปมหาลัยด้วยกัน
มันบอกจะขับรถมารับผมในตอนเช้าที่ปากซอยหน้าบ้าน
ผมเตรียมตัวเสร็จก่อนเวลา นิดหน่อย เผื่อเวลาเดินออกไปรอ
ไอ้เดชเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเพียงคนเดียวที่ผมมี
ไม่ว่าผมเป็นยังไง เพื่อนคนนี้แคร์ความรู้สึกผมเสมอ
หลายครั้งที่มันดูแลผมมากเกินไป จนทำให้มันดูไม่ดีในสายตาคนอื่น
แต่มันก็ไม่เคยแคร์คำพูดของคนพวกนั้นเลย
เสียงแตรดังมาแต่ไกล เป็นอันรู้กันว่ามันมาถึงแล้วครับ ท่านผู้อ่าน
แล้วรถคันเล็กๆ จอดอยู่ตรงหน้า ผมเปิดประตูก้าวขึ้นรถมันอย่างคุ้นเคย
“ว่าไงที่รัก” มันทักผมด้วยคำพูดเก่าๆ ที่ผมได้ยินมาจนชิน
“ที่รักสบายดีครับ ไอ้เหี้... ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมตอบกวนไปหนึ่งที
เสียงหัวเราะที่มุมปากมันดังเบา ๆ บอกให้รู้ว่าพอใจในคำชมของผม
เสียงแตร ดังอีกขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้กับไม่ใช่จากรถไอ้เดชแต่อย่างใดครับ
ไอ้เดชก็ออกรถทันทีตามเสียงแตรไล่ของรถคันหลัง
เราขับรถผ่านเส้นทางที่เราคุ้นเคยดี ข้ามสะพานเพื่อไปยังอีกฝั่ง
สายตามองบรรยากาศทั้งสองข้างทางอย่างคิดถึง นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้เจอ
ผมปล่อยให้ไอ้เดชเพื่อนเลิฟขับรัถของมันไป อย่างเงียบ ๆ
“ดูแม่งดิ ขับรถเหี้..ไรวะ”
ผมหันมองหน้ามันบ้าง คอยเตือนมันบางเวลา
“เอาอีกละ เมิงดูไอ้คนข้างหลังสิ ก็รู้อยู่ว่ามันไปไม่ได้ แม่งจะบีบทำห่าไรกันนักหนาวะ”
เป็นเรื่องปกติครับถ้าใครขับรถประจำจะขี้บ่นแบบนี้ละ
“กรูว่าคนหลังนี่มันตามมาจากที่ๆกรูจอดรับเมิงแล้ววะไอ้ปอร์” ไอ้เดชมันช่างสังเกต
“ไม่ใช่มั้ง รถคงเหมือนกัน” ผมมองผ่านกระจกข้างไปยังรถคันที่จอดต่อจากรถเราสองคน
รถคลื่อนตัวไปได้เรื่อย ๆ
“อีกละ เมิงดูมัน มึงดูมัน บีบ หาพ่..... มันเปล่าวะ” อารมณ์ไอ้เดชดูจะเพิ่มมากขึ้น
ผมก็ได้แค่เตือนมันให้ใจเย็น ๆแล้วมองผ่านกระจกออกไปมองสองข้างทางตามเดิม
“เมิงคอยดูนะ ถ้ามีอีกครั้งกรูลงไปต่อยมันแน่” มันพูดด้วยท่าทีจริงจังจนผมกลัว
ผมก็ภาวนาอย่าให้มีอีกเลยไม่อยากเห็นมวยคู่เอก ท่ามกลางจราจรที่ติดขัด
ความคิดยังไม่ทันจางหายไปดี
เสียงแตรครั้งที่สี่ ห้า ตามกันมาติด ๆ ยิ่งเพิ่มความโมโหให้กับไอ้เดชมากโข
มันไม่รอช้าที่จะเปิดประตูแล้วตรงไปยังรถคันหลัง…..เป็นไงครับเพื่อนผม
ส่วนผมตอนนี้กลัวหดอยู่ในรถนะสิครับ กล้าที่จะเผชิญหน้าแบบนี้ที่ไหนละ
ผมมองผ่านกระจกหลังด้วยความเป็นห่วงว่าจะเกิดอะไรกับมัน..ห่วงจริงๆนะ
แต่คู่กรณีก็ยังอยู่ในรถ ไม่ได้ออกมาตอบโต้แต่อย่างใด
ผมคิดว่าจะดีกว่าไหมถ้าผมไปอันเชิญมันกลับมาขับรถอย่างเดิม
เพราะตอนนี้รถคันหน้าก็เลื่อนไปไกลพอควรแล้ว
ไอ้เดชยังคงยืนอยู่ที่ประตูบานหน้าของรถนั้นอย่างจะเอาเรื่อง
ผมตัดสินใจลงไปตามมัน ขืนให้มันอยู่อย่างนั้นยิ่งจะมีปัญหากับคนอื่นไปด้วย
ผมตรงไปหาไอ้เดช ด้วยท่าทีที่เร่งรีบ เพื่อหวังลากมันออกมาจากที่ตรงนั้น
คนที่นั่งในรถทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมพยายามที่จะลากไอ้เดช แต่ด้วยความที่มันเป็นตัวใหญ่ มันจึงยากที่จะทำเช่นนั้นได้
เวลาผ่านไป ๆ
ผมหันหน้าไปตามเสียงปิดประตูของรถคนนั้น
โอ้วไม่นะ ไม่อยากเชื่อเลย ว่าชายคนนั้นจะเป็นไอ้ลุง
ไอ้ลุงก้าวออกจากรถ ตอนนี้มันอยู่อยู่ข้างๆ ผมกับไอ้เดชแล้ว
ไอ้ลุงเดินเข้ามาหาผมสองคน ทำให้ผมคิดว่าต้องมีเรื่องกันแน่ๆ...……ใจเย็น ๆ ได้ทุกคนอย่าแย่งกัน55
แต่กลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิดครับ ไอ้ลุงจับแขนผมแน่นมากจนผมรู้สึกได้ว่ามันเจ็บ
แล้วลากผมไปอีกฝั่งของตัวรถ เปิดประตูออกแล้วผลักผมเข้าไปนั่งลง ปิดประตูเสียงดัง
ผมได้แต่มองตามไอ้ลุงกลับไปที่ประตูคนคับอย่าง งง งง
ไม่คิดว่าคนที่ บีบแตรนั้นจะเป็นคนเดียวกับที่ไอ้เดชบอก
เหตุการณ์ตรงนี้สร้างความ งวย งง กับไอ้เดชเป็นอย่างมากเช่นกัน
ไอ้ลุงเลี้ยวรถออกจากตรงนั้น ผมหันมองดูเพื่อนรักของผมผ่านกระจกหลัง ตอนนี้มันเอ๋อแดกเอา
เห็นมันค่อยๆ เดินขึ้นรถ ขับตามออกมา
บรรยากาศตอนนี้ถูกครอบงำด้วยความเงียบ ดูอึดอัดจัง
รถวิ่งไปอย่างช้า ๆ ท่านกลางรถที่ติดบนถนน
สีหน้าอีกคน นิ่งเชยไม่บ่งบอกอารมย์
“คุยกันหน่อยไหม” ผมเริ่มบทสนทนาเผื่อว่าอะไรจะดีขึ้น
เงียบ ไม่มีเสียงตอบรับ
“ทำไมนายต้องทำแบบนี้ด้วย” ผมพูดเบาๆ
เวลาผ่านไปผมก็ยังไม่ได้คำตอบ
“งั้นจอดรถได้ไหม เราจะลง” รถยังเลื่อนช้าๆ
“จะกลับไปหาไอ้หมออีกใช่ไหม” ลุงถามด้วยสีหน้าไม่บอกอารมย์อีกครั้ง
“ใช่ เรามากับเขา เราก็ต้องไปกับเขา” ผมพอจะมองออกแล้วว่าไอ้ลุงคิดยังไง อยู่ในอารมย์ไหน
“นายนี่เป็นคนยังไงกันนะ” เจอประโยคนี้จากลุงเข้าไป เป็นใครจะไม่อึ้ง
แล้วเราเป็นคนยังไง ไอ้ลุงมันพูอะไรของมัน เริ่ม งงอีกครั้ง
“เราเป็นคนยังไง ขอโทษนะ เราไม่เข้าใจว่านายพูดถึงอะไร” ผมทวนคำถาม
เวลาเดินช้า ๆ
“กลางคืนกอดอยู่กับอีกคน พอกลางวันนั่งรถไปกับอีกคน มันจะดูไม่มากไปหน่อยเหรอ”
อึ้งครับ ผมอึ้ง “เงียบทำไม” ตายล่ะ แสดงว่าวันก่อนไอ้ลุงมันเห็นพี่เอกกอดผม
“นายเห็นใช่ไหม” ผมแกล้งถามทั้งที่รู้คำตอบแล้ว ด้วยเสียงตอบเบา ๆ ไอ้ลุงเงียบ
“แล้วทำไมนายต้องมาทำเหมือนหึงเราด้วย ทั้ง ๆ ที่เราก็ยังไม่ได้เป็นไรกัน
เราว่านายนั้นล่ะที่ทำอะไรมากเกินไป” ไอ้ลุงเงียบ
“นายรู้เหตุผลเหรอว่าทำไมคืนวันก่อนทำไมเราทำแบบนั้น แล้ววันนี้คนที่นายลากเรามาจากเขา
เขาเป็นใครนายรู้หรือเปล่า” ไอ้ลุงเงียบ
“เรารู้สึกดีนะ กอล์ฟที่นายทำให้เราวันที่เราไม่สบาย แต่วันนี้นายกับทำให้เรารู้สึกตรงกันข้าม”
ระฆังช่วยชีวิตดังขึ้น เมื่อเสียงมือถือผมดังขึ้น
“.....................................”
“เออกรูไม่เป็นไร ไม่ต้องเป็นห่วง” ผมตอบอย่างเบา ๆ
“.....................................”.
“เออ กรูรู้จัก ขอโทษนะเดชที่ทำให้ตกใจ
ขอบใจมากเพื่อนที่เป็นห่วง แล้วเจอกันที่มหาลัยนะ”
ผมวางสายไปแล้วทุกอย่างก็กลับเข้าโหมดเงียบเหมือนเดิม
ตอนนี้ไอ้ลุงน่าจะรู้แล้วว่าคนที่มันเพิ่งลากผมมาจากเขานั้นเป็นใคร
เพราะผมย้ำให้มันได้ยินชัดเจนไปแล้วเมื่อกี่
ผมกับไอ้ลุงถึงมหาลัย ผมก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยว่ามันรู้ได้อย่างไรว่าผมเรียนที่นี้
แต่ก็ช่างเถอะ ไม่อยากถาม เป็นห่วงก็แต่เพื่อนเดชนะสิ ว่าป่านนี้จะถึงไหนแล้ว อาการเอ๋อหายหรือยัง55
“เรียนตึกไหนเดี๋ยวไปส่ง” คำพูดเบาๆ จากไอ้ลุง .........ถ้าเมิงแน่จริงน่าจะรู้ว่ากรูเรียนวิชาอะไร55
“ส่งเราลงตรงนี้ก็ได้ นายก็ควรกลับไปมหาลัยนายได้แล้ว เดี่ยวเข้าเรียนสายนะ”
“ไม่สายหรอก เราเดินไป 5 นาทีก็ถึงแล้ว” สิ้นเสียงไอ้ลุงพูด สมองผมเริ่มประมวลผล
ผมมองกลับไปไอ้ลุงอีกครั้ง สำรวจการแต่งกายของมัน อุปกรณ์ หนังสือ สมุด
ที่อยู่ในรถ แอฟรีติง แล้วผมแถบอยากร้อง กรี๊ด เป็นภาษารัก55
อะไรของเมิงอีกไอ้ลุง บ้านใกล้กันกับกรู เกิดวันเดียวกันกับกรู แล้วมึงยังเจือกเรียนที่เดียวกับกรูอีก มึงจะสะใภ้ เอ้ย เซอร์ไพรส์ กรูมากไปแล้วนะ555
ต่างกันที่แตงแค่มันเรียน คณะพานิชย์เท่านั้น อกอีปอร์จะแตก55555
มันจะเกินไปแล้วนะ เมิงย้ายมหาลัยด่วนเลย นี่คือคำสั่ง
“หรือว่าวันนี้จะข้ามมาเรียนฝั่งนี้ดีนะ” ไอ้ลุงมันพูดยียนกวนทีน
ผมยิ้มที่มุมปากอีกที อย่างพอใจ
“ตามใจนะ ถ้าไม่อยากเจอเรายืนกอดกับใครตอนเช้า และตอนบ่ายนั่งรถออกไปกินข้าวกับอีกคน” ผมยียวนกวนมันกับไปก็คนมันสวยช่วยไม่ได้
ตกลงนี้มันหายโกรธผมแล้วหรืออย่างไร ผมเริ่มงง ผีเข้าผีออก
ผมมองผ่านกระจกหน้ารถเห็นไอ้เดชกำลังเดินมา จึงขอตัวลงจากรถ
เพื่อปล่อยให้ไอ้ลุงได้กลับไปยังที่ๆ มันสิงห์สถิต
ผมปิดประตูรถเบาๆ พรางกระจกก็เลื่อนลงช้า ๆ...................เอาอีกแล้วกรูไม่ได้ส่งเนื้อย่างนะ55
“เดี่ยวเย็นนี้มารับ” กระจกค่อยๆ เลื่อนขึ้นแล้วขับออกไป ทั้งที่ผมยังไม่ได้อนุญาตอะไรเลย
แล้วเย็นนี้น้องปอร์จะไปลั้นล้าที่ไหนได้ไหมนี้..........
***
***
ตอนนี้ งดปรุงครับ