ผมกำลังจะกลับบ้าน
บทที่1
“เหลือแต่แถวสุดท้ายแล้วครับน้อง”
“อะไรกันพี่ ไม่ใช่วันศุกร์เสียหน่อยทำไมเต็มเร็วอ่ะ เที่ยวอื่นยังมีหรือเปล่า”
“เหลือเที่ยวนี้แหละ วีไอพี32ที่นั่ง สบายนะน้อง ที่นั่งกว้างเชียวแต่ละแถวก็ห่างกันวางเท้าสบายมีปุ่มนวด
หลังด้วยนะ รับรองน้องหลับได้เต็มตื่นไม่มีเมื่อยขบแน่ๆ เที่ยวอื่นเต็มก่อนหน้าไปแล้ว ตกลงซื้อป่าว อีกครึ่ง
ชั่วโมงรถจะออกแล้ว”
“ก็ได้ ที่เดียวครับ”
ไม่ใช่เพราะโฆษณาชวนเชื่อหรอกแต่มันเป็นเพราะผมอยากจะไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ผมจึงได้ตอบตกลง
ชายร่างท้วมที่นั่งอยู่ในคอกสี่เหลี่ยมสำหรับขายตั๋วรถโดยสารผลุบหน้าเข้าไปอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ไม่นาน
ผมก็ได้ตั๋วรถโดยสารมาหนึ่งใบ
“แถวสุดท้ายขวามือริมหน้าต่างนะครับ รถออกห้าโมงเย็นจะไปถึงเชียงรายตอนเจ็ดโมงพรุ่งนี้ ขอบคุณ
คร้าบ”
ผมเดินออกมาทรุดตัวลงนั่งที่เก้าอี้รอผู้โดยสาร ยกเป้ใส่เสื้อผ้ามาวางไว้บนตักแล้วก้มหน้าซบมันอย่างหมด
แรงกับปัญหาชีวิตที่ถาโถมมาพร้อมกันทั้งเรื่องงานและความรัก ขอบตาชื้นร้อนผ่าวจนไม่กล้าเงยหน้ามา
มองผู้คนที่เดินผ่านไปมา
“ทำไมล่ะน้ำ ผมทำผิดอะไร ทำไมน้ำถึงได้เลิกรักผมง่ายดายขนาดนี้”
ผมตะโกนถามผู้หญิงที่ผมรักขณะที่เรากำลังถกเถียงกันอยู่ในห้องพักของพนักงานที่ผมอาศัยอยู่ ลำคอ
ของผมแห้งผากเมื่อจ้องหน้าหญิงสาวสวยสะดุดตาซ่อนเรือนร่างอยู่ในอาภรณ์เข้ารูปที่กำลังยืนกอดอกจ้อง
หน้าผมตอบด้วยสีหน้าละเหี่ยใจ
“ชินไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก แต่เป็นเพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้นมาเลยมากกว่า”
น้ำพูดออกมา
“ผู้หญิงน่ะต้องการความมั่นคงในชีวิต ไม่มีใครทนกับคนที่อยู่ไปวันๆ อย่างไร้อนาคตหรอก”
“ผมไม่ได้อยู่ไปวันๆนะ”
ผมเถียงกลับ
“ผมก็มีงานทำ เป็นวิศวะโรงงานอยู่นี่ไง เงินเดือนที่ได้มาผมก็เก็บออมเอาไว้ในวันแต่งงานของเราไงน้ำ”
เสียงแหบของผมเรียกร่องรอยเสียใจในแววตาของน้ำแวบหนึ่ง แวบเดียวจริงๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นดวงตา
แน่วแน่ของคนที่ตัดสินใจแล้ว
“น้ำถามชินหน่อย ตั้งแต่ชินมาทำงานที่นี่สามปี ชินก้าวหน้าขึ้นจากเดิมบ้างไหมนอกจากเป็นวิศวะธรรมดา
ชินลองดูคนอื่นที่เขาเข้ามาพร้อมชินสิ อย่างเดชไง ชินเห็นไหม เดชเขาก้าวหน้าจนจะได้เป็นผู้จัดการแล้ว”
“ไอ้คนที่แย่งผลงานคนอื่นมาเป็นของตัวเอง น้ำจะเรียกมันว่าทำงานก้าวหน้าได้ไง รู้หรือเปล่าว่าไอ้เดชมัน
เหยียบหัวคนอื่นมากี่คน”
รวมทั้งผมด้วยที่ถูกมันเหยียบหัวแย่งผลงานไปโชว์จนเจ้าของชื่นชม ทั้งที่มันเป็นชิ้นงานที่ผมและเพื่อน
คนอื่นช่วยสร้างกันมา และมันก็ทำให้ผมถูกตำหนิเรื่องความเฉื่อยชา
แต่ผมเพิ่งรู้ว่า ผู้หญิงอย่างน้ำก็ชื่นชมมันไม่แพ้เจ้าของกิจการ
น้ำถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายที่ดูท่าทางว่าผมจะไม่ได้เข้าใจเธอง่ายๆ
“สรุปว่าน้ำต้องการอนาคตที่ดีกว่าคบกับชิน ที่ผ่านมาน้ำขอบคุณละกันที่ชินก็ทำให้น้ำมีความสุขอยู่บ้าง
โชคดีนะชิน”
ร่างเพรียวที่ผมเคยกกกอดไว้ยามค่ำคืนเปิดประตูและก้าวจากไป ผมยังตะโกนเรียกชื่อเธอพร้อมกับวิ่งตาม
ไปนอกห้อง ไปเกาะอยู่ที่ขอบระเบียงทางเดินเพื่อที่จะเห็นว่าน้ำก้าวลงจากบันไดชั้นสองของหอพักตรงไป
ยังรถยนต์คันหรูที่จอดรออยู่ด้านล่าง
รถยนต์คันหรูที่มีไอ้เดชยืนพิงและสูบบุหรี่พ่นปุ๋ยๆ แถมยังเงยหน้ามามองผมพร้อมกับเลิกคิ้วและรอยยิ้ม
หยัน ก่อนที่มันจะเปิดประตูให้น้ำเข้าไปนั่งชูคอและขับออกไปจากหอพัก
ผมก้าวกลับเข้าไปในห้องพิงตัวกับประตูทรุดนั่งอย่างหมดแรง ปล่อยให้น้ำตาของคนอกหักไหลเป็นทาง
จนกระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ผมจึงได้ซมซานไปคว้ามัน
“แม่”
ผมสะอื้นกับปลายทางที่ตกใจเมื่อได้ยินเสียงของผม ผมเล่าให้แม่ฟังอย่างไม่ปิดบังจนแม่เศร้าตามไปด้วย
“ช่างมันเต๊อะ”
แม่ปลอบผม
“ถ้ายะก๋านทางนั้นแล้วมันอิดขนาด ก็ปิ๊กบ้านเฮา” (ถ้าทำงานทางนั้นแล้วเหนื่อยมาก ก็กลับบ้านเรา)
“ส่วนแม่ญิงแถวนี้มีปะเลอะ ขี้คร้านจะวิ่งหาสู”
คำพูดของแม่ทำให้ผมตัดสินใจยื่นใบลาออกและจำหน่ายจ่ายแจกข้าวของในหอพักอย่างรวดเร็ว เพื่อวันนี้
วันที่ผมจะเดินทางกลับบ้าน
ผมหยิบตั๋วรถโดยสารขึ้นมาดู
ระยอง-เชียงราย
หวังว่าการเดินทาง 14 ชั่วโมงเพื่อกลับบ้านของผมจะเป็นไปโดยสวัสดิภาพ
รอจนนาทีสุดท้ายผมถึงจะขึ้นรถเพราะรู้ว่ามันเป็นการเดินทางที่ยาวนาน ผมขี้เกียจไปนั่งงอขาอยู่บนนั้น
แต่จะว่าไปก็ไม่เคยขึ้นรถวีไอพีเหมือนกันนะเคยขึ้นแต่ปรับอากาศธรรมดา พอขึ้นไปถึงได้รู้ว่าด้านในมันดู
ดีกว่าจริงๆ กับภาพเก้าอี้แออัดคุ้นตาแต่กับรถคันนี้มันโล่งกว่า ก็แหงล่ะ มันวีไอพีนี่
ส่งตั๋วให้พนักงานรับไปฉีกแล้วก็เดินก้าวเข้าไปด้านใน ก่อนจะมาหยุดยืนอยู่ตรงแถวสุดท้ายขวามือ ที่มี
ผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังนั่งอ่านนิตยสารการเมืองอยู่ตรงริมทางเดิน
“ขอโทษครับ ผมได้ที่นั่งด้านใน”
ชายคนนั้นเงยหน้าจากนิตยสารขึ้นมามองผม เราชะงักเมื่อสบตากันครั้งแรก และกับรอยยิ้มแรกที่เขามีให้
เขาคนนั้นลุกจากเก้าอี้อย่างรวดเร็ว พอยืนเต็มตัวเขาสูงกว่าผมเป็นคืบแถมร่างกายยังแน่นไปด้วย
กล้ามเนื้อที่แทบจะทะลุเสื้อยืดออกมา
“เชิญเลยครับน้องชาย มา พี่ช่วยเอากระเป๋าเก็บด้านบน”
คว้าเป้ไปจากมือแล้วยกใส่ที่ว่างเหนือหัวอย่างสบายๆ ผมพึมพำขอบคุณแล้วก้าวเข้าไปนั่งเก้าอี้ติดหน้าต่าง
พลางทอดสายตามองไปด้านนอก รถกำลังเคลื่อนออกจากชานชาลา การเดินทางกลับบ้านของผมเริ่มต้น
แล้ว
“พี่ชื่อวัน น้องล่ะ”
คำแนะนำตัวอย่างง่ายๆ ดังขึ้นจากด้านข้างเรียกสติให้ผมหันหน้ากลับไปหาเขา
“ชินครับ”
เขาพยักหน้าทำนองว่ารับรู้แล้วจึงถามต่อ
“ลงไหนล่ะ ปลายทางเชียงรายหรือเปล่า”
ผมเป็นฝ่ายพยักหน้าบ้าง พี่วันยิ้มกว้างขวาง
“ดีเลย ลงพร้อมกันพี่ก็ลงที่เชียงราย แล้วไปเชียงรายทำไม ไปเที่ยวหรือ”
ผมว่าพี่วันจะเป็นคนอัธยาศัยดีเกินไปแล้วไหมครับกับการชวนคุย หากอยู่ในภาวะปกติผมก็คงไม่คิดอะไร
มาก เพราะผมเองก็เป็นพวกคุยเยอะอยู่ แต่กับห้วงแห่งการอกหักแม้แต่กับใจตัวเองผมยังไม่อยากคุยด้วย
เลย
“กลับบ้านครับ ผมเป็นคนเชียงราย แต่มาทำงานที่ระยอง”
“เฮ้ย จริงดิ สลับกับพี่เลยนะ พี่เป็นคนระยองแต่ไปทำงานที่เชียงราย นี่กลับบ้านมาพักผ่อนได้ไม่กี่วันก็ต้อง
กลับไปทำงานแล้ว”
ชักเยอะแล้วพี่ ผมเริ่มตีหน้าบึ้งพลางหันหน้าเข้าหากระจก ไม่ทันเห็นใบหน้าเจื่อนของเขาหรอก ผมหลับตา
ลง ปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับความบอบช้ำที่ยังกลืนกินความรู้สึก จนกระทั่งแขนถูกสะกิดยิกๆ
“ชิน ชิน”
อะไรอีกล่ะวะ ยุ่งกับกูจริง
“อะไรครับพี่วัน”
“กินข้าวมาหรือยัง พนักงานแจกข้าวแล้ว กินเสียก่อนกำลังอุ่นๆเลย”
ผมนึกเสียใจอยู่เหมือนกันที่ทำท่าหงุดหงิดใส่พี่เขาก็เลยฝืนยิ้มและรับกล่องข้าวมาถือไว้ กลิ่นอาหารเรียก
น้ำย่อยจนกระเพาะลั่นดังโครก ผมอายจนหน้าแดงเมื่อเห็นพี่วันกลั้นยิ้มยกใหญ่
ไอ้กระเพาะบ้า ไม่รักษาหน้ากูบ้างเลย
“หิวก็รีบกินเถอะ ถ้าไม่อิ่มพี่มีแซนวิชอีกอัน เอาไปกินสิ”
ยัดเยียดแซนวิชใส่มือ ผมไม่ปฏิเสธเพราะเพิ่งรู้สึกถึงความหิว เมื่อตลอดทั้งวันแทบไม่มีอะไรตกถึงท้อง
นอกจากชาเขียวที่ซื้อไว้
นึกเขินอยู่เหมือนกันเมื่อเหลือบมองด้านข้างเห็นพี่วันเคี้ยวข้าวตุ้ยๆ แล้วหันมายิ้มให้ผมเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดู
เด็ก ก็เลยทำทีเบนสายตาไปมองทางอื่นบ้าง
ที่นั่งด้านตรงข้ามเป็นคู่หนุ่มสาวคุยกันหนุงหนิง เขยิบไปด้านหน้าท่าทางเหมือนนักธุรกิจที่กำลังคุยโทรศัพท์
เสียงดังโล้งเล้ง ส่วนเบาะหน้าของผม ผมมองไม่เห็น แต่จากเสียงเบาๆ ที่ลอดมาฟังเหมือนคนแก่ที่กำลังนั่ง
คุยกัน รถวีไอพีนี่ก็ดีเหมือนกันนะ เบาะมันห่างจากกันจนไม่ดูเป็นการรบกวน จะเว้นก็แต่เบาะที่นั่งมาคู่กัน
นี่แหละ
“มีเรื่องอะไรในใจหรือเปล่า พี่เห็นคิ้วเราขมวดตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว”
ผมมองพี่วันแบบงงๆ นี่ใบหน้าของผมมันฟ้องถึงขนาดนี้เลยหรือ ผมฝืนยิ้มเจื่อน
“ไม่มีอะไรหรอกพี่ ก็เรื่องหัวใจนิดหน่อยเดี๋ยวก็หาย”
สบสายตาอาทรคู่นั้น ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาอีกรอบ มิหนำซ้ำไอ้ฝนเจ้ากรรมดันเทลงมาจนท้องถนน
ภายนอกเปียกปอนเจิ่งนองในยามค่ำที่ดวงอาทิตย์ใกล้ตกดินเต็มที ยิ่งเพิ่มอารมณ์เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างจน
ต้องหลับตาลงและกอดตัวเองไว้
อยู่ๆ ก็รู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นว่าพี่วันกำลังคลี่ผ้าห่มผืนบางของรถทัวร์อยู่บนตัวของผม
ดวงตาที่อยู่บนใบหน้าคร้ามเข้มด้วยไอแดดมีแววปรานีจนผมไม่อาจละสายตา
เราสบตากันเนิ่นนาน ก่อนที่พี่วันจะกะพริบตาเรียกสติกลับคืนมาและยิ้มเขินๆ
“ฝนมันตก แอร์มันเย็น กลัวว่าชินจะหนาว”
“ขอบคุณครับพี่วัน”
เป็นคำขอบคุณที่ผมกล่าวจากใจ พี่วันยิ้มรับแล้วเอนตัวกลับไปที่เบาะของเขาหยิบมือถือมาเล่นเกมส์
ผมผล็อยหลับไปท่ามกลางอากาศเย็นฉ่ำของรถโดยสารประจำทางปรับอากาศวีไอพี
รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกที รถจอดอยู่ตรงที่พักรถโดยสาร เคยนั่งรถระยะไกลกันไหมครับเขามีกฎว่าจะต้องพัก
ทุกๆ 4 ชั่วโมงให้ผู้โดยสารได้เข้าห้องน้ำเหยียดแข้งเหยียดขา และให้คนขับรถได้พักด้วย ผมเหลียวมอง
ด้านข้างก็ไม่เห็นพี่วันแล้ว คงจะลงไปเข้าห้องน้ำด้านล่างผมเลยรีบลงมายืดขาบ้างเพราะแม้ว่าระหว่าง
เบาะจะกว้างแต่นั่งอยู่ท่าเดียวก็เมื่อยอยู่เหมือนกัน
ไม่เจอพี่วันในห้องน้ำ ผมรีบธุระให้เสร็จแล้ววิ่งกลับมาที่รถเพราะได้ยินเสียงพนักงานตะโกนเรียกผู้โดยสาร
ผมขึ้นมาเกือบเป็นคนสุดท้าย เห็นพี่วันนั่งอ่านนิตยสารเล่มเดิมอยู่ก่อนแล้ว
“ชิน เข้าไปเลย พี่ขี้เกียจลุก”
พี่วันเขยิบขาชิดเบาะให้ผมก้าวผ่านช่องว่างเข้าไปด้านใน แต่อาจเป็นเพราะพี่วันตัวสูงใหญ่ ช่องว่างที่เหลือ
เลยน้อยนิด ตัวผมเฉียดพี่เขาไปหน่อยเดียวเมื่อก้าวเข้าไปนั่งที่เดิม
หัวใจเต้นเร็วจังแฮะ ผมยกมือจับหน้าอกข้างซ้าย อาจเป็นเพราะผมวิ่งมาเร็วก็ได้นะ
“เห็นชินหลับสบาย เลยไม่ได้ปลุกให้ลงไปพร้อมกัน”
พี่วันแก้ตัว พลางส่งขวดน้ำให้ผม
“อ่ะ น้ำที่รถแจกหมดแล้วไม่ใช่เหรอ พี่ซื้อมาเผื่อ”
“ขอบคุณครับพี่ เดี๋ยวผมให้เงิน”
“ไม่ต้อง เอาไปเหอะ”
พี่วันโบกมือปฏิเสธ ก่อนที่จะวางนิตยสารลงเมื่อไฟในรถดับอีกครั้ง
ผมมองนาฬิกา สามทุ่มครึ่งแล้ว ทอดถอนใจออกมาอีกครั้ง หากเป็นเวลานี้ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมยังมีน้ำ
อยู่ในอ้อมกอดบนเตียงเล็กในห้องพัก ยอมรับว่าเราอยู่ด้วยกันและมีอะไรกันแล้วตามประสาคู่รักยุค
ปัจจุบัน นี่ผมยังไม่รู้เลยว่าน้ำลอบไปรักใคร่ชอบพอกับไอ้เดชเมื่อไหร่ ในเมื่อน้ำก็อยู่กับผมแทบทุกคืน
ผมหลับตาลงในความเงียบอีกครั้ง พวกคุณเป็นกันไหมครับเวลาขึ้นรถโดยสาร เจอแอร์เย็นๆ มันชวนให้
หลับอยู่ตลอดเวลา แล้วสติผมก็สิ้นสุดลงอีกครั้งหนึ่ง
มีต่ออีกนิด