บทส่งท้าย : คนของใจ
ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆที่เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความคิดถึง คนสองคนนอนกกกอดแนบชิดมอบไออุ่นให้กันอยู่บนเตียงนอนนุ่ม ศีรษะของคนตัวเล็กหนุนซบอยู่บนแผ่นอกกว้าง ส่วนคนตัวโตกว่าตอนนี้กำลังกดจมูกโด่งหอมหัวคนน่ารักที่นอนเบียดติดเขาไม่ขยับไปไหน
“มะลินายหายไปไหนมา?”
พินเอ่ยถามพลางซุกใบหน้าฟังเสียงหัวใจที่กำลังเต้นของมะลิไปด้วย
“เราไปสิงร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังผ่าตัดสมองมาน่ะ...”
มะลิเกลี่ยเส้นผมสวยของคนที่กำลังกอดเขาแน่นก่อนจะเอ่ยต่อ
“เด็กคนนี้ชื่อนับ เพิ่งจะเรียนจบมัธยมปลายแต่ต้องเข้ารักษาตัวก่อนจะมีโอกาสได้เรียนต่อ หลังจากผ่าตัดเสร็จเราต้องใช้เวลาฟื้นฟูนานมาก ทั้งต้องพักฟื้น ทั้งกายภาพ กว่าจะแข็งแรงดีกลับมาใช้ชีวิตตามปกติได้ก็กินเวลาไปตั้งสามปี”
“น่าสงสารน้องเค้าเหมือนกันเนอะ...”
พินเอ่ยขึ้นด้วยความเห็นใจที่เด็กหนุ่มเจ้าของร่างไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตที่ควรจะสดใสได้นานกว่านี้
“อืม...พ่อกับแม่ของนับเป็นคนดีมาก พวกเค้าดูแลเราอย่างดี อดทนกับเราที่ทำตัวเป็นลูกความจำเสื่อม พาเราไปเปิดหูเปิดตาเรียนรู้จักโลกมากมายในระยะเวลาแค่นี้ เป็นช่วงเวลาสามปีที่มีค่ามาก เราได้อะไรจากพวกท่านมามากจริงๆ ...”
ได้ฟังแบบนั้นพินก็ดีใจ แต่เมื่อกลับมามองตัวเอง ตอนที่มะลิอยู่กับเขา เขากลับไม่อาจดูแลนกหนุ่มให้ดีได้เลย
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะพิน?”
“ชั้น...รู้สึกผิดต่อนายน่ะ...ที่ไม่ดูแลเอาใจใส่นายให้มากกว่านี้”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิ แค่พินยอมให้เราอยู่ในร่างของพิมพ์ เราก็ดีใจมากแล้วนะ”
ริมฝีปากอิ่มจุมพิตลงบนหน้าผากของคนหงอยเบาๆ สัมผัสที่ห่างหายไปนานทำให้พินรู้สึกจักจี้เล็กๆ
“ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้มะลิก็ต้องทำตัวเป็นลูกที่น่ารักเพื่อชดเชยในสิ่งที่พวกเค้าเสียไปด้วยนะ”
“อืม...ตอนนี้เรามีโอกาสได้เรียนหนังสือแล้วนะ ที่สำคัญสมองของเด็กคนนี้ดีมากเลยทีเดียวล่ะ รับรองว่าอนาคตสดใสแน่นอน”
มะลิสบตามองดวงตาคมสวยลึกซึ้งก่อนจะพูดต่อ
“แล้วเราก็จะไม่ให้พินต้องมาคอยดูแลเราอยู่ฝ่ายเดียวอีกแล้ว เราก็จะเป็นฝ่ายดูแลพินด้วยเหมือนกัน”
“เก่งใหญ่แล้วนะมะลิ เรียนให้จบซะก่อนเถอะ”
พินอดหยอกไม่ได้เมื่อเห็นเจ้านกน้อยของเขาทำปีกกล้าขาแข็ง ถึงแม้ว่ามะลิจะเรียนช้ากว่าคนอื่นอยู่โข เนื่องจากเพิ่งจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่งตอนอายุยี่สิบ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรที่เขาจะต้องกลัวอีกแล้ว เมื่อเขาได้พินกลับมาอยู่เคียงข้าง
“พินรู้มั้ยว่าเราคิดถึงพินขนาดไหน? เรากลัวมากว่าพินจะลืมเราไปแล้ว กลัวว่าหัวใจของพินจะกลายเป็นของใคร แต่เราไม่อยากยอมแพ้ เราเลยพยายามอดทนรักษาตัวให้หายไวๆจะได้รีบกลับมาหาพิน”
ดวงตาที่มักจะสดใสฉายแววหมองเศร้าให้เห็น คำพูดที่พรั่งพรูออกมาคือความรู้สึกที่นกหนุ่มเก็บกดไว้ในใจมาตลอดสามปี
สามปีแห่งความกลัว...
กลัวว่าพินจะไม่รักเขาอีกต่อไป...
“เรารักพินนะ...”
มือเรียวลูบสัมผัสใบหน้าเนียนสว่าง พินส่งจมูกแตะเคลียปลายจมูกโด่งของร่างสูงก่อนจะเอ่ยกระซิบรักอ่อนหวาน
“ชั้นก็รักมะลินะ...”
ร่างสูงประคองคนตัวบางไว้ใต้อ้อมกอด แขนผ่ายผอมคล้องลำคอของคนที่คร่อมอยู่บนร่างก่อนจะพูดต่อเสียงแผ่ว
“ตั้งแต่ที่มะลิจากชั้นไป...ไม่มีวันไหนเลยที่ชั้นจะไม่คิดถึงนาย...”
พินโน้มร่างชายหนุ่มเข้าหา ดวงตาคมช้อนมองคนตรงหน้าที่แสนคิดถึง ริมฝีปากหยักยังคงพร่ำเอ่ยไม่หยุด
“มะลิรู้มั้ยว่าชั้นกลัวมาก กลัวว่าจะได้แต่หวังลมๆแล้งๆว่านายจะกลับมา”
มะลิตั้งใจฟังทุกถ้อยคำที่คนที่เขาสุดแสนจะรักอยากจะบอกกับเขา
“ชั้นดีใจมากเลยนะที่ในที่สุด ความหวังของชั้นก็เป็นจริง”
รอยยิ้มสุขใจประดับอยู่บนใบหน้า นกหนุ่มทิ้งตัวลงกอดคนน่ารักแนบแน่น ตอนนี้ความรู้สึกอยากฟัดให้จมเขี้ยวเริ่มก่อกวนหัวใจของเขาอีกแล้ว สามปีที่ผ่านไปทำให้พินของเขาดูเป็นหนุ่มขึ้นมาก แต่ไม่ว่ายังไง สำหรับมะลิคนๆนี้ก็ดูนุ่มนิ่มน่าทะนุถนอมไม่เคยเปลี่ยน
มะลิหอมแก้มพินฟอดใหญ่ ก่อนจะไล้จมูกลงมาจรดลำคอระหง ทำเอาคนบ้าจี้หัวเราะขึ้นเสียงดัง
“มะลิ จั๊กจี้”
ยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุ ริมฝีปากอิ่มงับเข้าติ่งหูของร่างบางเบาๆ จากนั้นจึงส่งลิ้นร้อนลากไล้ให้พินต้องวูบไหว
“มะลิ...”
พินที่ไม่ขัดขืนแบบนี้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสนุกสักเท่าไหร่ คนขี้แกล้งอย่างเขาชอบนักที่จะเห็นพินโวยวายทำหน้าหงิกหน้างอใส่
“มีอะไรหรอมะลิ?”
พินเอ่ยถามเมื่อเห็นมะลินิ่งไปเสียดื้อๆ
“ไม่มีอะไร...”
“...?”
“ก็เมื่อกี้...”
“อะไรหรอ?”
“เอ่อ...เปล่า...”
เริ่มได้ผล เหมือนเป็นการแกล้งรูปแบบใหม่ที่มะลิจะได้ทำเป็นครั้งแรก ดูเหมือนว่าการที่เขาไปกระตุ้นอารมณ์พินขึ้นมาแล้วปล่อยทิ้งไว้เฉยๆแบบนี้จะทำให้เขาได้ทำอะไรสนุกๆบางอย่าง
“พินคิดว่าเราจะทำอะไรหรอ?”
“หา? ...เอ่อ...เปล่าซะหน่อย”
มะลิยิ้มยียวน ตอนนี้ร่างสูงขึ้นมาคร่อมอยู่บนตัวของคนที่กำลังทำหน้าเลิ่กลั่ก ดวงตาสุกใสจ้องลึกลงไปในตาคู่สวย
“พิน...”
มะลิเลื่อนใบหน้าเข้าไปใกล้พินอีกครั้ง พินหลับตาลงเมื่อรู้สึกได้ว่าริมฝีปากของอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ปากหยักเผยอรอรับรสจูบน้อยๆทว่า...
“มะลิ! นายงับจมูกชั้นทำไม?!”
นกหนุ่มหัวเราะจนตัวคลอน เขาตลกท่าทางของคนที่กำลังทั้งอายทั้งโมโห ส่วนคนที่กำลังทำหน้าหงิกอยู่นั้นตอนนี้คว้าหมอนขึ้นมาตีคนขี้แกล้งแบบไม่ยั้ง
“สนุกนักใช่มั้ย? ไอ้นกบ้า!”
“ฮ่าๆๆๆพอแล้วพิน หยุดตีเราได้แล้ว”
มะลิห้ามไปขำไป ส่วนคนโดนแกล้งก็ยังไล่ฟาดอยู่อย่างนั้น ร่างสูงจึงคว้าแขนคนตัวเล็กแน่นหยุดการทำร้ายร่างกาย ก่อนจะกดพินล้มลง
“ถ้าพินอยากจูบเราก็จูบสิ”
“...”
หน้าเนียนตอนนี้กำลังร้อนวูบฉาบสีแดงระเรื่อ พินเขินจนต้องหันหน้าหนี แต่มือใหญ่ก็ยังไม่วายจับแก้มเขาให้หันกลับมา ก่อนจะทำปากตุ่ยๆใส่พินดูน่ารักพิกล
“อ่ะ...จูบสิ”
ริมฝีปากอิ่มนุ่มนิ่มที่เย้ายวนอยู่ตรงหน้าทำให้ชายหนุ่มเช่นพินอดใจไม่ไหวแล้วเหมือนกัน พินผู้แสนขี้อายมักจะไม่เป็นฝ่ายเริ่มแต่หนนี้คงไม่ได้แล้วจริงๆ มือเรียวโน้มคอของร่างสูงเข้าหา ปากกระจับบดเบียดราวกับอยากจะกลืนกินคนตรงหน้า ทำเอามะลิอดตกใจไม่ได้ ทั้งเร่าร้อนทว่าอ่อนหวาน แขนบอบบางป่ายรัดแผ่นหลังกว้างเพื่อแนบสัมผัสระหว่างกันให้แน่นยิ่งขึ้น
ลิ้นอุ่นรุกสัมผัสความร้อนชื้นหอมหวาน ริมฝีปากแดงสั่นจากการดูดดุลของคนตรงหน้า มือซุกซนไล้ผ่านใต้ร่มผ้าสัมผัสผิวเย็นที่ค่อยๆร้อนขึ้น หัวใจเต้นแรงไม่เป็นระส่ำเมื่อฝ่ามือร้อนไล่ลงต่ำ...
“อ๊ะ...”
ร่างสูงชะงักมือเมื่อคนน่ารักส่งเสียงครางหวานให้ได้ยิน รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แต้มบนริมฝีปาก คนคิดไม่ดีกำลังจะแกล้งคนรักของเขาอีกแล้ว
“พินอยากให้เราทำอะไรหรอ?”
คำถามน่าอายแบบนี้พินคงตอบออกไปไม่ได้แน่ๆ เขาคู้ตัวลงซุกเจ้าคนตัวดี พลางบ่นอุบอิบไปด้วย
“ทำไมต้องถามด้วย...?”
“ก็เราอยากรู้นี่”
พินปิดปากแน่นไม่พูดอะไร เขารู้ตัวขึ้นมาทันทีว่าไอ้ผู้ชายบ้าคนนี้กำลังจะแกล้งกันอีกแล้ว
“บอกเราหน่อยสิ”
“...”
“นะ”
พูดไปมือก็ไม่วายซุกซนไปด้วย กระดุมเสื้อเม็ดแล้วเม็ดเล่าถูกปลดออก โดยที่พินเองก็ไม่ได้ต่อต้านแต่ปากก็ไม่วายยังปิดแน่นไม่พูดอะไร
“ไม่พูดกับเราหรอ...งั้นก็ได้...”
ริมฝีปากอิ่มจูบลงบนผิวเนียนไปทั่วร่าง ตามด้วยลิ้นร้อนลากไล้ให้คนที่กำลังนอนเงียบอยู่นั้นสติกระเจิดกระเจิง ร่างบางบิดไปตามความวาบหวาม ดวงตาสวยฉ่ำน้ำ ใบหน้าเย้ายวนกระตุ้นอารมณ์
“มะลิ...ชั้น...”
‘ก๊อก ก๊อก ก๊อก’
‘ใครมาวะ?’
ถึงจะมีคนมาขัดจังหวะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่หยุดสิ่งที่กำลังทำ ก็พินของเขากำลังตอบรับรสรักอย่างเต็มที่ขนาดนี้ ใครจะไปอดใจปันเวลาไปต้อนรับคนอื่นได้เล่า
“มะลิมีคนมา...อ๊ะ”
ปากอิ่มบดลงปิดปาก ตอนนี้มะลิไม่ต้องการให้พินสนใจการมาเยือนของใครทั้งสิ้น
“เราก็ทำเป็นไม่อยู่ก็ได้นี่พิน...”
“แต่ว่า...อื้อ”
จูบแล้วจูบเล่าบดเบียดกระชากลมหายใจให้หอบครวญ ทว่าคนด้านนอกก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกันที่จะรัวมือลงกับบานประตูเสียงดัง
‘ก๊อกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ’
‘รำคาญจริงโว้ย!’
ชายหนุ่มระเบิดความหงุดหงิดเป็นรสจูบแสนเร่าร้อนรุนแรง ปากอิ่มดูดลิ้นนุ่มจนเกินเสียงขึ้นเคอะเขิน แขนแข็งแรงดึงตัวบอบบางคร่อมลงบนตัก มือใหญ่ถอดเสื้อเนื้อดีของคนตรงหน้าออกอย่างบรรจง
‘Rrrrrr’
โทรศัพท์มือถือของพินดังขึ้นขัดจังหวะอารมณ์แสนรุ่มร้อน เขารีบคว้ามามันขึ้นมาดูและปรากฏชื่อของ “ดาวเหนือ” ขึ้นบนหน้าจอ
‘ไอ้งูงั่ง! เดี๋ยวนี้มันมีมือถือกับชาวบ้านเค้าแล้วหรอวะ?’
แม้ว่าเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดที่สุดในโลกสำหรับมะลิที่ถูกพวกอมนุษย์สุดบื้อมาขัดจังหวะการลิ้มรสคนรักแสนหอมหวานที่ห่างหายไปนานถึงสามปี ถึงอย่างนั้นตอนนี้เห็นทีจะต้องหยุดเรื่องนั้นเอาไว้ก่อนแล้วออกไปเจอหน้า “เพื่อน” ที่เขาเองก็คิดถึงอยู่ไม่น้อยเสียที
“ทำไมไม่เห็นมีใครออกมาเปิดประตูซักทีวะ? นี่ไอ้เจ้างู แกแน่ใจนะว่าพินไม่ได้ออกไปไหนน่ะ”
นินจาเอ่ยถามดาวเหนือเมื่อเขายืนรออยู่หน้าประตูห้องพินมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และตอนนี้ยุงทั้งหลายกำลังเป็นฝ่ายแห่แหนมาต้อนรับพวกเขาแทนเจ้าของห้อง
“ต้องอยู่สิ ก็พินเป็นคนส่งข้อความมาบอกผมเองว่าให้รีบมา มีข่าวดีจะบอก”
“ข่าวดี” ที่พวกเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเรื่องอะไร สิ่งเดียวที่รู้คือพินเซ้าซี้พวกเขาทั้งสองให้มาหาให้ได้ แม้จะเย็นย่ำแล้วก็ตาม
“เดี๋ยวผมลองโทรหาพินดูก็ได้ ตอนนี้ผมมีมือถือแล้ว”
ดาวเหนือหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาอวดนินจาก่อนจะรีบโทรหาพิน ครู่เดียวปลายสายก็ตอบรับ
[มาแล้วหรอดาวเหนือ...]
เสียงปลายสายที่งูหนุ่มได้ยินดูหอบอึกอักชอบกล
“ใช่ครับผมมาแล้ว พินมาเปิดประตูให้หน่อยสิ”
[ได้สิรอเดี๋ยวนะ]
พินวางสายไปพร้อมๆ กับเสียงประตูที่ดังขึ้น ชายหนุ่มผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับย่นรีบออกมาต้อนรับผู้มาเยือนทั้งสอง
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
“พินทำอะไรอยู่ทำไมดูเหนื่อยๆ?”
นินจาถามขึ้นเมื่อเห็นสภาพน่าสงสัย ถึงจะดูเหมือนคนเพิ่งตื่นก็ไม่น่าใช่เพราะดูเหงื่อซึมน้อยๆแถมยังหน้าแดงๆฉ่ำๆพิกล
“พินไปออกกำลังกายมาหรอ?”
“เอ๊ะ?!”
“ก็ดูพินดูเหนื่อยๆ แล้วทำไมถึงติดกระดุมหยักรั้งแบบนั้นล่ะ?”
ดาวเหนือร้องถามพลางชี้นิ้วยาวๆไปทางเสื้อที่ติดกระดุมไว้แบบลวกๆ ทำเอาพินเหวออายจนแทบแทรกแผ่นดินหนี
ไม่ใช่เพราะติดกระดุมผิด...
แต่เพราะกลัวจะถูกจับได้ว่าเพิ่งจะไปทำอะไรมา...
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอก...”
“พวกแกนี่ชอบถามซอกแซ่กเรื่องชาวบ้านไม่เคยเปลี่ยนเลยนะ”
เสียงทุ้มต่ำพูดแทรกขึ้นมา มะลิปรากฏตัวขึ้นเบื้องหลังของพินด้วยสภาพยับยุ่งไม่แพ้กัน
แต่ตอนนี้ใครจะไปสนใจเรื่องนั้นกัน...ในเมื่อ...
“แก...ไอ้นกโง่!”
นินจาแทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเดินเข้าไปหานกหนุ่มก่อนจะทุบกำปั้นลงบนแผ่นอกหนาเสียงดัง ดวงตาที่มักจะซุกซนนั้นเจิ่งนองไปด้วยน้ำตาแห่งความดีใจ
“หายหัวไปไหนมา?”
มะลิส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้แมวหนุ่มที่ทำท่าเหมือนจะร้องไห้ ส่วนดาวเหนือก็เดินเข้ามาพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความปีติ เขาตบลงบนบ่ากว้างอย่างเบามือ
“ผมคิดไว้อยู่แล้วเชียว...ว่าวันนึงนกมะลิจะต้องกลับมา”
ใช่...เขากลับมาแล้ว...
บรรยากาศแห่งความสุขรายล้อมชายทั้งสี่ ทุกคนต่างก็ยินดีกับการกลับมาของอมนุษย์หนุ่มผู้นี้
ในที่สุดมะลิก็ได้กลับมาพบกับคนที่เขารัก...
กลับมาพบมิตรแท้ที่คอยอยู่เคียงข้าง...
กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุข...
ท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้นหน้าเตาปิ้งย่าง มื้อเย็นวันนี้พินตัดสินใจเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองที่มะลิกลับมา นินจากับดาวเหนือช่วยกันคีบเนื้อสัตว์ต่างๆลงแนบกับตะแกรงเสียงดังฉู่ฉ่าส่งกลิ่นหอมชวนกิน ส่วนมะลิตอนนี้กำลังถูกสัมภาษณ์โดย “เมฆ” ชายขี้สงสัยผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเช่นคนอื่นเขา
“เออน้อง น้องเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกับพี่ใช่ป่ะ? พี่ว่าพี่เคยเห็นหน้า”
“ใช่ครับพี่ ผมเรียนอยู่คณะเศรษฐศาสตร์”
“แล้วน้องชื่ออะไร?”
“ผมชื่อนับครับ”
“น้องนับหรอ พี่ชื่อเมฆนะอยู่คณะแพทยศาสตร์”
‘พี่เมฆงั้นหรอ หึ! เมื่อก่อนยังเรียกเราว่าพี่อย่างนั้นพี่อย่างนี้อยู่เลย’
มะลินึกขำอยู่ในใจเมื่อเห็นแมฆทำตัวเป็นรุ่นพี่สุดชีวิต ทั้งๆที่เมื่อก่อนเมฆมักจะทำตัวนอบน้อมเป็นน้องน้อยต่อหน้าเขาตลอดเวลา
“แล้วน้องนับพักอยู่ที่ไหนหรอ?”
“ผมออกมาอยู่คนเดียวที่คอนโดที่เดียวกับพี่พินน่ะครับ”
“อ้าวทำไมไปอยู่แถวนั้นล่ะ? ไม่เห็นจะใกล้มหาวิทยาลัยตรงไหนเลย”
“ถามอยู่นั่นแหละ รีบๆกินเข้าไปได้ละ”
นินจาพูดแทรกเมื่อเห็นคนคอยจะถามซอกแซ่กไม่หยุด แมวหนุ่มคีบเนื้อสัตว์ชิ้นแล้วชิ้นเล่าใส่จานตัวเอง แต่ก็ไม่วายมีน้ำใจคีบฟักทองกับเห็ดย่างเผื่อเมฆด้วย
“อ้าวทำไมไม่คีบเนื้อให้เมฆบ้างอ่ะ ใจคอจะให้กินแต่ผักอ่อ?”
“อยากกินก็ปิ้งเองดิ”
“แล้วนินจะไม่กินผักบ้างหรอ?”
“ไม่กิน ไม่ชอบ”
นินจาโต้ตอบไปพลางยัดเนื้อใส่ปากเคี้ยวตุ้ยไปพลาง เมฆได้แต่หรี่ตามองคนนั่งข้างหมั่นไส้ไม่ใช่น้อย
“ถึงว่าทำไมตัวไม่โต แล้วก็ระวังเถอะจะขี้ไม่ออก”
นินจาหันมาแยกเขี้ยวใส่คนปากเสียบนโต๊ะอาหาร แต่ดูเหมือนว่าสมาชิกจิตแข็งทุกคนจะไม่ได้ถือโทษอะไร
“กินเยอะๆนะมะลิ”
พินพูดขึ้นพลางคีบเนื้อสัตว์กับผักให้นกหนุ่มไปด้วย ส่วนมะลิก็หันไปยิ้มหวานจ๋อยให้คนรักของเขา
“อ้าว...ทำไมพี่พินเรียกน้องนับว่ามะลิเหมือนที่เคยเรียกพี่พิมพ์เลยล่ะครับ?”
เมฆขี้สงสัยถามขึ้นอีกครั้ง ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับมาจากนินจา แถมยังไม่น่าฟังสักเท่าไหร่
“เสือก!”
“อะไรของนินวะครับ เกรี้ยวกราดจัง พูดกับเมฆดีๆมั่งมันจะตายรึไง?”
“นกมะลิกินอันนี้สิผมปิ้งให้”
คราวนี้ดาวเหนือพูดขึ้นบ้างก่อนจะคีบกุ้งตัวใหญ่ใส่จานของนกหนุ่ม
“อ้าว...พี่ดาวเหนือก็เรียก ถ้างั้นพี่ขอเรียกน้องนับว่ามะลิด้วยคนได้ป่าว?”
มะลิอมยิ้มขำเล็กๆที่เห็นเมฆทำหน้าเหรอหราใส่
“ได้สิพี่ อยากจะเรียกผมว่าอะไรก็เรียกไปเถอะ”
นอกจากกลิ่นหอมๆของมื้อเย็นแสนอร่อยแล้วก็ยังมีกลิ่นอายแห่งความสุขและความอบอุ่นคละคลุ้งอยู่ไปทั่ว ทุกคนกินไปคุยไปอย่างสนุกสนาน การกลับมาของนกหนุ่มทำให้พินกลับมายิ้มได้อย่างสดชื่นอีกครั้ง
หลังจากที่ทุกคนกินอิ่มจนแทบลุกไม่ขึ้น ตอนนี้คงถึงเวลาแยกย้ายกันกลับเสียที เมฆคว้ากระเป๋าพลางลุกขึ้นยกมือไหว้เจ้ามือของมื้อนี้อย่างสุภาพ
“พี่พินขอบคุณมากนะครับ มื้อนี้อร่อยมากๆ”
“อื้มไว้เจอกันใหม่นะเมฆ แล้วเมฆกลับยังไงล่ะ?”
“เดี๋ยวเมฆจะไปเล่นบอร์ดเกมกับเพื่อนต่อครับพี่พิน เออนินไปด้วยกันป่ะ?”
เมฆหันไปเอ่ยชวนเพื่อนนินผู้แสนลึกลับ ส่วนนินจาก็ได้แต่ทำหน้างง
“บอร์ดเกมคืออะไร?”
“อ้าวไม่รู้จักหรอ? งั้นยิ่งต้องไป”
โดยไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับเมฆก็ลากแขนเด็กหนุ่มนินจาออกไป พินโบกมือลานินจาพลางยิ้มส่ง
“แล้วดาวเหนือล่ะ พี่คิมมาถึงแล้วยัง?”
พินถามไปไม่ทันขาดคำ ชายที่ถูกพูดถึงก็ปรากฏตัวขึ้น
“ดาวเหนือกลับบ้านกัน”
“คิม”
ดาวเหนือลุกขึ้นเดินไปหาคิมท่าทางดีอกดีใจ พินกับมะลิเองก็เดินตามไปทักทายชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอมส้มสดใสเด่นหรา
“สวัสดีครับพี่คิม”
“หวัดดีน้อง วันนี้หน้าตาสดชื่นจังนะ ไปทำอะไรมา?”
พิมยิ้มเขินๆไม่ตอบอะไร ดาวเหนือเลยรีบตอบคำถามให้แทน
“ก็นี่ไงคิม มะลิกลับมาแล้ว คิมจำมะลิได้มั้ย”
ดาวเหนือผายมือไปยังชายหนุ่มร่างสูงดูอ่อนวัย ในสายตาคิม “มะลิ” คนนี้เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี ผิวพรรณสดใส ดวงตาเล็กเรียว ใบหน้าเป็นมิตร
“จำได้สิ...ถึงจะดูไม่เหมือนเดิมก็เถอะ ทั้งหนุ่มขึ้นแถมยังหน้าตาดีซะด้วย”
คิมยิ้มล้อนกหนุ่ม ก่อนจะพูดต่อด้วยความยินดีจากใจ
“ดีใจด้วยนะที่นายกลับมาอย่างปลอดภัย”
คิมตบบ่าร่างสูงเบาๆก่อนจะเอ่ยลา
“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอตัวกลับก่อนนะน้องพิน มะลิ เดี๋ยวจะดึกไปกว่านี้”
“ครับพี่คิม ไว้เจอกันครับ”
“ผมไปก่อนนะพิน นกมะลิ”
คนทั้งสองผละตัวไป ดาวเหนือเดินตามคิมแจดูน่าเอ็นดูเหมือนเคย ตอนนี้ทุกอย่างได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว ในที่สุดคนทั้งสองก็ได้มีเวลาส่วนตัวอยู่ด้วยกันเสียที มะลิจึงนึกครึ้มอยากจะชวนคนน่ารักของเขาเดินย่อยเสียหน่อย
“ก่อนกลับเราไปเดินเล่นด้วยกันมั้ย?”
“เอาสิ”
มือใหญ่คว้ามือเรียวกุมแน่น ทั้งสองเดินจูงมือกันออกมานอกร้าน พลางเดินเรื่อยเปื่อยบนทางเท้าที่บริเวณโดยรอบมีผู้คนมากมายครึกครื้นสมกับเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์
“พิน...”
“หืม...มีอะไรหรอมะลิ?”
“ตอนนี้เราไม่ได้อยู่ในร่างพิมพ์อีกต่อไปแล้ว เราทำตัวเป็นคนรักกับพินได้แล้วใช่มั้ย?”
มะลิดึงร่างบางให้แนบชิดกับตัวเขามากขึ้นอีกนิด มือที่จับไว้เมื่อครู่เปลี่ยนมาโอบบนไหล่เล็กๆทำให้เห็นได้ชัดว่าคนในอ้อมแขนของเขากำลังเขินอยู่
“อื้ม...”
ถึงแม้จะเป็นคำตอบที่ดูอึกอักขัดเขิน แต่มะลิก็อดยิ้มกว้างด้วยความดีใจไม่ได้
“ถ้างั้น...”
ใบหน้าสุกสว่างเลื่อนเข้าไปใกล้หวังจะลิ้มรสริมฝีปากหยักของคนที่เดินก้มหน้าก้มตาอายอยู่
“เดี๋ยวๆๆ มะลิจะทำอะไร? !”
“ก็จะจูบพินไง”
“มะ...ไม่ได้! คนเยอะแยะอายเค้า!”
“งั้นถ้าไม่มีคนมองก็จูบได้ใช่มั้ย?”
“เอ๊ะ?”
พูดจบมะลิก็ยกกระเป๋าที่ตนสะพายมาบังใบหน้าก่อนจะประทับจูบลงบนริมฝีปากของคนรักอย่างอ่อนหวาน
“มะลิ...!”
พินทำหน้าเลิ่กลั่กทั้งเขินทั้งประหม่า ตอนนี้ถึงแม้ภายนอกจะมืดแล้วก็ตาม แต่ถ้าสังเกตดูดีๆจะเห็นได้ว่าใบหน้าเนียนกำลังแดงแจ๋เหมือนสีพระอาทิตย์ตอนตกดิน มะลิลดมือลงก่อนจะส่งยิ้มน่ารักให้พลางเอ่ยขึ้นเสียงอ่อน
“เรารักพินนะ...”
สายตาหวานจ้องลึกซึ้งมาหา ทำเอาพินที่เขินอยู่แล้วยิ่งเขินไปกันใหญ่ ทว่า...เขาเองก็อยากจะพูดคำๆนั้นให้อีกฝ่ายได้ฟังเช่นกัน
“ชั้นก็รักมะลิเหมือนกัน”
ร่างสูงกอดคนตรงหน้าแน่นอย่างมีความสุข จมูกโด่งจรดลงหอมเส้นผมสลวยด้วยความคิดถึง เวลานี้พินเองก็ลืมความอายไปหมดสิ้นแล้วเหมือนกัน เขากอดตอบคนที่รักแนบแน่นราวกับชดเชยเวลาสามปีที่สูญไปให้คุ้มค่า
สามปีที่ดวงใจถูกพลัดพราก...
สามปีที่พิสูจน์ความรักของพวกเขา...จนในที่สุดวันนี้ความรักก็ได้กลับมาอีกครั้ง
แม้ชีวิตไม่อาจคงอยู่ได้ชั่วนิรันดร์ แต่ความรักของทั้งสองนั้นจะยังคงอยู่...
ตราบเท่าที่พวกเขายังมีลมหายใจ...++++++++++++++++
เรื่องราวดำเนินมาถึงตอนจบแล้วค่า ในที่สุดตัวละครทั้งหมดก็มีความสุขกันซักทีนะคะ ขอขอบคุณรีดทุกท่านที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้ คอยคอมเม้นให้กำลังใจ กดไลค์ให้ต่างๆ อยากบอกว่าเป็นกำลังใจที่ดีมากๆเลยค่ะ