ตอนพิเศษ
ทีระวิท
ในห้องเรียนสี่เหลี่ยมสีขาวสะอาดตา เด็กชายวัย 12 ปี มีชื่อว่า ทีระวิท หรือเรียกง่ายๆสั่นๆว่า ที กำลังนอนฟุ่บใบหน้าลงไปกับโต๊ะไม้ที่เปรอะคราบปากกาลบคำผิดมากมาย ท่ามกลางกลุ่มเพื่อนในห้องที่กำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน บ้างก็หยอกล้อกัน บ้างก็นั่งจับกลุ่มเล่นตบแปะ เหลือทิ้งไว้เพียงเด็กชายคนนี้ที่นอนรอเวลาเลิกเรียนอยู่เพียงคนเดียว
กริ๊งงงงงงงงงง
เสียงเตือนหมดคาบเรียนสุดท้ายดังขึ้น เด็กๆที่เล่นกันอย่างสนุกสนานในตอนแรก หยุดชะงักกิจกรรมลงทันทีและต่างลุกขึ้นยืนแยกย้ายกันไปคว้ากระเป๋าขึ้นมาสะพายกันจ้าละหวั่น ไม่ต่างอะไรกับผึ้งแตกรัง
ส่วนเด็กหนุ่มที่นอนฟุ่บหน้าลงกับโต๊ะที่ไม่สนใจจะเล่นกับใครแม้สักคนเดียว ค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อมกับยกแขนข้างที่มีนาฬิกาสีดำรุ่นใหม่ยี่ห้อดังเพื่อดูเวลา เด็กหนุ่มถอนหายใจเล็กน้อย เอื้อมมือคว้าเอากระเป๋าขึ้นมาสะพายและเดินออกจากห้องพร้อมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน
ในขณะที่สองเท้าเล็กก้าวเดินไปด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย ทว่ามือถือในกระเป๋ากางเกงสีดำกำลังสั่น เด็กน้อยชะงักเท้าหยุดเดินและเอื้อมมือหยิบมันขึ้นมารับสาย
“ครับพ่อ”
“ที...วันนี้ไปรับช้าหน่อยนะ รอที่ห้องสมุดไปก่อนนะลูก”
“ครับ”
อีกแล้วหรอ...ไหนว่าวันเกิดปีนี้จะพาไปกินเค้กไง
เด็กหนุ่มถอนหายใจยาวเหยียดและหันหน้าเดินกลับเข้าไปในโรงเรียนอีกครั้ง มุ่งหน้าเดินไปยังห้องสมุดที่ยังคงเปิดให้บริการอยู่ โดยห้องสมุดจะปิดในช่วงเวลาประมาณหนึ่งทุ่มตามเวลาที่เด็กนักเรียนเลิกเรียนพิเศษพอดี
ในห้องสมุดเต็มไปด้วยหนังสือเกี่ยวกับการเรียนมากมาย เพราะโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ซึ่งดูจะเน้นเรื่องเรียนเป็นพิเศษ ตัวเขาเองก็เช่นกัน แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไงเกรดเฉลี่ยที่มักจะตั้งเป้าเอาไว้ก็ไม่เคยได้มันมาสักที แม้จะเรียนพิเศษมาตั้งแต่ป.1 จนพ่อตัดสินใจให้เลิกเรียนเมื่อตอนป.5 ที่ผ่านมา
อยากทำให้พ่อรู้สึกภูมิใจว่ามีลูกชายที่เรียนเก่งบ้างจัง..เด็กน้อยพึมพัมกับตัวเองในใจ
18:30 น.
จู่ๆเสียงมือถือในกระเป๋ากางเกงก็สั่นขึ้นมาอีกครั้ง พ่อคงมารับแล้วสินะ เด็กน้อยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรกในรอบวันสำหรับวันนี้ แต่ทว่าเมื่อกดรับสายกลับต้องหุบยิ้มลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงจากปลายสาย
“หนูทีจ๊ะ...คุณพ่อติดประชุม เดี๋ยวน้าไปรับหนูทีเองนะจ๊ะ”
“....ไม่ต้อง! จะกลับเอง!”
เด็กน้อยกดวางสายมือถือลงทันทีและยัดเก็บใส่กระเป๋ากางดังเดิม มือหนึ่งเอื้อมหยิบเอากระเป๋าที่วางเอาไว้ข้างลำตัวขึ้นมาสะพาย และสาวเท้าก้าวเดินออกจากห้องสมุดมุ่งหน้าออกจากโรงเรียน
ก่อนที่ใครคนหนึ่งที่ตนเองไม่อยากเห็นหน้าจะมารับเสียก่อน
สองเท้าเล็กเดินออกมาจากโรงเรียน สองมือกำสายกระเป๋าแน่น ขอบตาแดงก่ำเนื่องจากเพิ่งผ่านการร้องไห้มาหยกๆ จะไม่ให้เขาร้องได้อย่างไร ในเมื่อพ่อให้น้าผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเมียน้อยของพ่อออกมารับเองแบบนี้
แม่ที่เพิ่งเสียไปได้ไม่ถึงปีด้วยซ้ำ พ่อกลับมีคนใหม่มาควงได้อย่างไม่อายสายตาคนและคนที่พ่อเอามาควงกลับเป็นน้องสาวแท้ๆที่เป็นแฝดกับแม่ของเขาอีก ไม่มีใครรู้ว่าแม่ของเขาตายไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเมียใหม่ของพ่อเป็นน้องสาวแท้ๆของแม่ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากผม
ใครหลายๆคนมักอิจฉาผมที่เกิดมาเพียบพร้อม ทั้งฐานะร่ำรวย ไม่ว่าจะอยากได้อะไรก็มักจะได้ตามใจคิดและปารถนา แม้แต่คุณครูที่สอนยังไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากดุหรือว่ากล่าว
เพราะแบบนี้เลยทำให้คนอย่างผมไม่มีเพื่อนเลยสักคน แต่ถึงจะมีก็คบหากันได้ไม่นานนักหรอก เป็นผมเองที่ทำให้เพื่อนไม่อยากเข้ามาพูดคุยด้วย
ทีระวิทเดินออกมาไกลพอสมควร แถวนี้มักจะคุ้นตาเป็นอย่างดีเพราะมันเป็นตลาดที่พ่อของทีระวิทเป็นเจ้าของ ตลาดแห่งนี้ถ้าหากเป็นตอนกลางวันจะมีร้านค้ามาตั้งขายของสดต่างๆเต็มสองข้างถนน จนต้องสร้างกฎไม่ให้มีรถยนต์ขับผ่าน เนื่องจากคนสัญจรไปมาหนาแน่นจนเกินพอดี
แต่ทว่า...จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่แถวบริเวณข้างหน้า เสียงใครกัน เสียงผีหรอ?
เด็กน้อยหยุดเท้าลงทันที ไม่กล้าเดินต่อ เวลาผ่านไปไม่นานเสียงร้องไห้ก็เงียบลง จากนั้นมีเด็กสามคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับผมวิ่งหอบกระเป๋าหัวเราะชอบใจออกมาจากซอยมืดนั้น
สงสัยหูคงจะฝาดไปเอง ทีระวิทคิดแบบนั้นและจึงก้าวเท้าเดินต่อไป โดยเลิกที่จะสนใจเรื่องเสียงร้องไห้นั่น
ฮือ....ฮือ
อีกแล้ว เสียงร้องไห้อีกแล้ว แต่เสียงร้องไห้ที่ว่า มันดังออกมาจากซอยมืดที่เด็กสามคนนั้นวิ่งออกมานี่นา พอคิดได้แบบนั้นนั้นก็รีบวิ่งเข้าไปในซอยแคบทันทีอย่างไม่รอช้า
“พี่กัสหรอ...”
นั่นคือคำพูดคำแรกที่ผมได้ยินจากปากของเด็กชายตัวเกือบเปลือยเปล่า เหลือไว้เพียงกางเกงชั้นในสีขาว เสื้อผ้าที่ควรจะอยู่บนตัวกลับตกหล่นอยู่ข้างๆกระจัดกระจาย สองมือของเด็กคนนั้นกอดกระเป๋าไว้ที่หน้าอกแน่นไม่ยอมปล่อย
ผมจำเด็กคนนี้ได้ เด็กแว่นคนนี้...เป็นลูกของคุณลุงเฉลิม!!
“เซน? นั่นใช่เซนหรือเปล่า?”
“ใคร... ไม่ใช่พี่กัสหรอ”
“ไม่ใช่ มาเดี๋ยวพี่ช่วยนะ”
ทันทีที่พูดกลับไปทีระวิทรีบพุ่งตัวเข้าไปหาร่างกึ่งเปลือยตรงหน้าทันที พร้อมกับหยิบเศษเสื้อผ้าข้างตัวเด็กชายผิวคล้ำ ยื่นเข้าไปให้เพื่อจะได้ใส่เอาไว้ก่อนที่จะมีคนมาให้ความช่วยเหลือ
ไม่ทันที่เด็กน้อยใส่ชุดเสร็จดีด้วยซ้ำ มีรถตำรวจสองคันวิ่งมาจอดอยู่แถวหน้าปากซอยแคบอย่างรวดเร็ว แสงไฟสาดสว่างวาบไปทั่วบริเวณ พร้อมกับตำรวจที่เปิดประตูรถลงมา
“ปลอดภัยแล้วนะ ตำรวจมาแล้ว”
“ขอบคุณมากครับ...พี่ที”
เด็กคนนี้รู้จักชื่อของเขาด้วยหรอ...
ไม่เคยเลย ไม่เคยรู้สึกใจพองโตเท่านี้มาก่อนเลย ทำไมกันนะ รอยยิ้มที่มักเกิดขึ้นยากบนใบหน้าของเด็กอย่างทีระวิทตอนนี้มันกลับเกิดขึ้นมาอย่างง่ายดายเพียงแค่เด็กแว่นคนนี้พูดชื่อของเขาเท่านั้น
ไม่เคยรู้สึกมีความสุขแบบนี้มาก่อนเลย ทีระวิทได้แต่รู้สึกอิ่มเอมในใจ...
หลังจากเรื่องในวันนั้น ผ่านไปแล้วเกือบสองอาทิตย์
ภายในบ้านหลังใหญ่...
“ลูกรู้ไหม ตั้งแต่วันที่ลูกช่วยหนูเซนที่ตรอกวันนั้น คุณเฉลิมเขาชมลูกไม่ขาดปากเลยนะ”
“จริงหรอครับพ่อ...แต่ว่าช่วงนี้ทีไม่เห็นน้องเซนเลย น้องเซนไม่ได้เรียนที่โรงเรียนเดิมแล้วหรอครับ”
“ทียังไม่รู้อีกหรอลูก เจ้าเซนน่ะย้ายโรงเรียนมาได้อาทิตย์นึงแล้ว ไปเรียนกับพี่ชายที่กรุงเทพเลยนะ”
ทีชะงักนิ่งและไม่มีเสียงพูดเปล่งออกมาอีก...
เป็นเรื่องราวของเด็กชายชื่อเซนที่ทำให้รู้สึกน่าน้อยใจแปลกๆ อย่างน้อยๆก็น่าจะมาบอกกันบ้างไม่ใช่หรอ ว่าจะไปเรียนที่อื่นแบบนี้ แล้วจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ล่ะ แต่เอาเถอะเซนเป็นลูกคุณลุงเฉลิม ยังไงก็ต้องได้เจอกันอีกบ่อยๆแน่
1 ปีผ่านไป...
วันเปิดเทอมสำหรับการเรียนมัธยมในโรงเรียนประจำจังหวัดแห่งเดิม วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่แสนจะน่าเบื่อ แต่ทว่าสายตาดันเหลือบไปเห็นเด็กผู้ชายหน้าใหม่ตัวขาวแถมยังรุ่นราวคราวเดียวกันอีก ว่าแต่คนๆนั้นกำลังทำอะไรอยู่กันนะ
เด็กชายผิวขาวที่เขากล่าวถึงกำลังเดินด้อมๆมองๆบริเวณใต้ต้นมะม่วง เหมือนกำลังหาอะไรสักอย่าง
ซึ่งตอนนี้ ไม่รู้ว่าตนเองเดินเข้ามาอยู่ใต้ต้นมะม่วงต้นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เหมือนกัน เผลอเดินมาดูเจ้าคนขาวคนนี้อย่างนั้นหรอ ทีได้แค่คิดในใจ แต่สองเท้ากลับหยุดเดินและยืนจ้องมองคนตรงหน้าที่กำลังงุ่นง่านอยู่กับการหาของ
จู่ๆอีกฝ่ายมันก็ตะโกนดังลั่นและแถมยังขยับตัวยืนขึ้นมาอย่างรวดเร็วจนเขานั้นยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลยสักนิด
“อ๊ะ! เจอแล้ว! เจ้าหนอนน้อย”
“เหวอออออ!”
ทันทีที่เจ้าคนขาวนั่นเจอสิ่งที่ตนเองกำลังหาอยู่นาน กลับลุกขึ้นพรวดพลาดและหันหน้าเดินมาที่ทียืนมองอยู่พอดี จนเป็นเหตุให้ทีล้มหงายหลังก้นจูบพื้นอย่างที่เป็นอยู่ในขณะนี้
“ไม่ได้ตั้งใจ”
ดูท่าทางแล้วน่าจะอายุเท่ากันเลยแฮะ สีหน้าที่ตอบออกมาแบบนั้นไม่ได้ดูรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย ให้ตายเถอะ
“ไม่เป็นไร แล้วในมือของนายถืออะไรอยู่หรอ”
ด้วยความที่อยากรู้อยากเห็นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงชะโงกหน้าไปมองสิ่งที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะไม่อยากให้ยุ่งกับของของตัวเองเท่าไหร่นัก เพราะในขณะที่เขาชะโงกหน้าไปมอง อีกฝ่ายก็ขยับมือหนีทันที แต่ก็ไม่วายที่จะตอบกลับมา ยังดีที่มันตอบ...
“หนอนที่เลี้ยงไว้น่ะ มันดันหลุดออกจากกล่องตอนเปิดมาดูอะดิ”
“ประหลาด”
“ใช่ เราประหลาด”
เป็นเรื่องที่น่าแปลก ถ้าหากเป็นในยามปกติละก็ คนที่ได้ยินคำพูดจำพวกนี้จากเขาจะต้องโกรธคนอย่างเขาไปแล้ว อย่างน้อยก็อาจจะโดนมองแบบโกรธๆ หรือไม่บางทีก็เดินหนีไม่ก็ด่าว่าไม่มีมารยาทเหมือนทุกครั้ง
แต่เจ้าคนขาวคนนี้กลับตอบกลับมาด้วยใบหน้าที่ไม่คิดอะไรและออกจะนิ่งเฉยด้วยซ้ำ แปลกคน..
“นายมีไรพูดอีกเปล่า งั้นไปแล้วนะ”
ดูท่าทางของหมอนั่นมันคงจะไม่อยากเสวนากับเขาสักเท่าไหร่ แต่เพราะอะไรไม่รู้ที่ทำให้เขาเลือกที่จะทักและถามชื่อออกไปเสียอย่างนั้น นี่ก็นับเป็นเรื่องน่าแปลกใจสำหรับตัวเขาเองเช่นกัน
“เดี๋ยวก่อน ชื่ออะไร”
“...กัส”
ในตอนแรกอีกฝ่ายทำท่าทางอึกอักเหมือนจะไม่กล้าตอบ แต่สุดท้ายก็ตอบกลับมาจนได้ พอสิ้นสุดคำพูด คนที่ชื่อกัสก็เดินออกไปพร้อมกับกอดกล่องหนอนที่อ้างว่าเลี้ยงไว้ออกไปด้วย
แต่ว่าชื่อนี้...คุ้นๆเหมือนได้ยินที่ไหนมาก่อนเลย
“พี่กัสหรอ...”
คงไม่ใช่คนที่เซนเรียกในคืนนั้นหรอกมั้ง คนชื่อกัสมีตั้งมากมายหลายคนบนโลกใบนี้
คาบเรียนที่หนึ่งสำหรับการเรียนในวันแรก ปกติวันแบบนี้ควรจะน่าเบื่อ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทีระวิทไม่เบื่ออีกต่อไป เมื่อเจ้าคนผิวขาวชื่อกัสคนนั้น จู่ๆก็มาขอร้องให้คนอย่างเขาเป็นเพื่อนด้วย
เป็นคนที่แปลกอย่างที่คิดเอาไว้จริงๆ ในตอนแรกไม่ได้พูดอะไรออกไปหลังจากที่โดนร้องขอมาหรอกนะ แต่หลังจากที่ไม่ได้ตอบกลับไปนั่นล่ะ เจ้าตัวมันก็ทำหน้าบูดเสียอย่างนั้น
ไม่เข้าใจจริงๆ เด็กนักเรียนที่เรียนกันอยู่ในห้องนี้มีกันอยู่ตั้งหลายคน แต่เจ้านี่กลับเลือกที่จะเข้าหาคนอย่างเขา เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆแล้ว จะยอมเป็นเพื่อนให้ก็แล้วกัน
“จริงหรอ? พูดแล้วห้ามคืนคำนะ สัญญาก่อน!”
ไม่เข้าใจว่าจะทำท่าทางดีใจแบบนั้นไปเพื่ออะไร ทำอย่างกับคนไม่เคยมีเพื่อนอย่างนั้นแหล่ะ พอคิดถึงจุดนี้ ตัวเขาเองก็ไม่เคยมีเพื่อนเหมือนกันนี่นา จะบอกว่าหมอนี่เป็นเพื่อนคนแรกก็คงไม่แปลกอะไรสินะ
“ไม่คืนคำ”
ยอมรับตรงๆเลยว่าภายในใจก็แอบรู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย การมีเพื่อนครั้งแรกมันก็ออกจะรู้สึกแปลกๆเหมือนกัน ต้องเริ่มยังไง คุยยังไง เดินไปกินข้าวด้วยกันไหม อะไรแบบที่คนอื่นทำกันมันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก
หลังจากการเรียนในวันแรกที่คิดว่าจะเบื่อ กลับกลายเป็นวันที่ทีสนุกสนานมากที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะการที่ได้เพื่อนคุย ได้เพื่อนไปกินข้าว หรือแม้กระทั่งเพื่อนที่ไปเข้าห้องน้ำด้วยกัน มันทำให้ทีระวิทรู้สึกไม่เหงาเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
ณ ตอนนี้ทั้งทีระวิทและกัสก็ยังคงเป็นเพื่อนกันอยู่มาตลอด อาจจะมีทะเลาะกันอยู่บ้างช่วงแรกๆ แต่แปลกที่การทะเลาะกันแต่ละอย่างไม่เคยทำให้ทั้งเขาและเพื่อนอย่างกัสลดความสนิทสนมลงได้
จวบจนมาถึงตอนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย...
ช่วงนี้เป็นช่วงที่ทีเครียดที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะทีระวิทยังสอบไม่ติดมหาลัยที่ตัวเองคาดหวังเอาไว้ ผิดกับกัสที่สอบติดไปตั้งแต่รอบรับตรงแล้ว ก็หมอนั่นมันเรียนเก่งและแถมยังหัวดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
หลายครั้งที่ทีระวิทมักจะขอการบ้านลอกอยู่เสมอ เพราะยามที่เอากลับไปทำที่บ้านไม่เคยทำได้เลยสักครั้ง บางครั้งกัสก็ทำให้หงุดหงิดเพราะมันไม่ค่อยให้ลอก เอาแต่อ้างว่าหัดทำเองบ้างจะได้เรียนเก่งๆ
บางทีการพูดจาเถรตรงของกัสในบางครั้งก็ทำให้ทีระวิทรู้สึกโกรธเคืองไม่น้อย
แต่เพราะเป็นทีระวิท...คนที่มักจะเก็บความรู้สึกได้เป็นอย่างดี ค่อยๆเก็บเอาความรู้สึกเจ็บปวดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาปะปนอยู๋ในใจกองสุมรวมเอาไว้ทีละเล็กทีละน้อย จนตอนนี้มันเริ่มเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
สักวันมันจะต้องระเบิดออกมาแน่....
ครั้งนี้ก็เหมือนกัน ยอมรับว่าตนกำลังอิจฉาที่กัสสอบติดคณะที่ตัวเขาเองก็อยากเข้าเหมือนกัน แต่เพราะความสามารถที่มีมันไม่มากพอ ถึงแม้จะไปสอบพร้อมกันกับกัส รายชื่อที่ถูกประกาศผลกลับไม่มีชื่อของเขาอยู่ในนั้น
มันน่าโมโห...ยิ่งกัสโทรมาถามว่าสอบติดเหมือนตนเองหรือเปล่า ก็ยิ่งทวีความรู้สึกไม่ดีมากขึ้นไปอีก ได้แต่ปิดซ่อนความรู้สึกพวกนั้นเอาไว้ในอกและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงติดตลก ว่าเขายังสอบไม่ติด
เพราะความที่หัวไม่ดีเป็นทุนเดิมทำให้ต้องบากหน้าไปพบกับพ่อที่ไม่ค่อยอยากจะขอร้องให้ช่วยเหลือเสียเท่าไหร่ เพราะในยามที่ตนไปพบกับพ่อก็มักจะเจอกับน้าสาวผู้ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่แท้ๆคอยนั่งประกบอยู่ผู้เป็นพ่อของทีระวิทอยู่เสมอ
“ว่าไงที มีอะไรหรือเปล่า”
“ผมขอคุยกับพ่อแค่คนเดียวได้ไหมครับ”
แน่นอนว่าน้าสาวไม่ได้ติดใจอะไรนอกจากยิ้มและเดินออกไปจากห้องหลังจากที่เขาเอ่ยคำร้องขอนั้น โดยที่พ่อได้แต่ส่ายหัวระอากับนิสัยของเขา ทำไมต้องใส่ใจด้วยล่ะ ไม่สนหรอก....ใครจะคิดยังไง
“ไหนว่ามาสิ”
“ผมอยากจะขอ...”
“ขออะไรล่ะ”
“อยากขอเข้ามหาลัยนี้ และก็คณะนี้ พ่อช่วยได้ไหม”
แน่นอนว่าพ่อทำหน้านิ่งไปครู่ใหญ่ คงจะอึ้งไม่น้อยที่โดนร้องขอในเรื่องแบบนี้ ช่วยไม่ได้ในเมื่อพยายามแล้วแต่มันเข้าไม่ได้นี่นะ อย่างน้อยก็จะได้ไม่อายคนอย่างกัส หมอนั่นจะได้เลิกถามเขาเสียที ว่าติดหรือยัง มันน่ารำคาญ
“พ่อช่วยได้ แต่ต้องมีข้อแม้หนึ่งข้อ”
“อะไรล่ะครับ ผมทำได้หมดนั่นแหล่ะ”
“เลิกเรียกคุณน้าว่าน้า แต่เรียกว่าช่วยเรียกว่าแม่จะได้ไหม”
เป็นคำพูดที่บาดลึกเข้าไปในจิตใจ มันเจ็บปวดข้างในส่วนลึกไปหมด นี่พ่อต้องการอะไรกันแน่ ผู้หญิงคนนี้มันมีดีอะไรทำไมถึงต้องแคร์นักแคร์หนาขนาดนั้น รักมันมากขนาดนี้เลยหรอ แล้วแม่ของเขาล่ะ
ถึงแม้ว่าจะคิดอะไรในหัวต่างๆนาๆ แต่ทีระวิทเลือกที่จะตอบตกลง เพราะสิ่งที่ตนเองต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือมหาลัยแห่งนั้น และจะต้องเป็นคณะนั้นด้วย จึงจำให้ต้องยอมเรียกคนที่ไม่เคยคิดจะเรียกแบบนั้น
หลังจากที่มีรายชื่อในคณะที่ตนเองต้องการ แน่นอนว่าเขาจะต้องโทรไปอวดให้กัสมันรู้สักหน่อย ถึงแม้ว่าเขาจะได้เข้ามาในวิธีที่แสนจะสกปรก แต่มันก็เป็นหน้าเป็นตาให้กับตัวเองได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
“ว่าไงไอ้ที มึงได้มหาลัยยัง”
คำถามเดิมๆที่มักจะบาดลึกในจิตใจเขาเสมอ แต่ตอนนี้เขากลับยิ้มร่าเพราะความสุขที่มีมากมายต่างหาก คำถามพวกนั้นไม่สามารถบาดลึกเข้ามาภายในจิตใจของคนอย่างทีระวิทได้อีกแล้ว
“ติดแล้ว”
“เห้ยจริงดิ ที่ไหนคณะอะไร บอกมาเลยนะ!”
“ที่เดียวกับมึงแหล่ะ คณะเดียวกับมึงด้วย”
“เอาจริงดิ ดีใจด้วยนะไอ้ที กูเห็นมึงอยากเข้ามานานแล้ว สอบก็ตั้งหลายครั้ง คราวนี้เป็นคราวของมึงแล้วจริงๆ”
ย้ำกันอยู่ได้ ไอ้เรื่องสอบหลายครั้งนั่น ทำไมล่ะ หรือว่ากำลังจะอวดว่าตัวเองสอบติดภายในครั้งเดียวอย่างนั้นหรอ
“อือ โทรมาบอกว่าติดแล้ว ไว้เจอกันที่มหาลัยนะ”
“ได้เลย เจอกันนะมึง”
1 ปีผ่านไป
ณ ตึกเรียนของคณะหนึ่ง เด็กนักศึกษามากมายที่เพิ่งทำการสอบเสร็จต่างจับกลุ่มเดินออกมาจากตึกด้วยใบหน้ายิ้มแย้มมีความสุข เนื่องจากในวันนี้เป็นวันสอบไฟนอลวันสุดท้ายของมหาวิทยาลัยแห่งนี้
“แม่งทำไม่ค่อยได้เลยว่ะ มึงทำได้ป่าวไอ้กัส”
เสียงพูดของทีระวิทที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดใจ เพราะอุตส่าห์อ่านหนังสือมามากมายแต่กลับไม่มีออกสอบเลยสักตัวเดียว เพราะแบบนั้นถึงได้แสดงอาการไม่พอใจออกมาขนาดนี้
“ไม่ยากนะ เหมือนในชีทอาจารย์อะ”
“ชีทไหนวะ ทำไมกูไม่มี”
“อ้าวมึงไม่มีทำไมไม่บอกกูอะ เขาอ่านชีทนี้กันทั้งนั้น กูก็นึกว่ามึงมีแล้ว”
“จริงดิ”
อีกแล้ว มักจะเป็นตัวเขาอีกแล้วที่มักจะตามคนๆนี้ไม่ทันอยู่เสมอ เมื่อตอนช่วงกลางเทอม กัสมันก็สอบได้คะแนนติดท้อปอันดับต้นๆของคลาส จนอาจารย์เรียกเข้าไปพบและยื่นข้อเสนอให้ทุนวิจัยกับมัน แต่มันกลับปฎิเสธเรื่องดีๆแบบนั้นเสียดื้อๆ
อาจารย์คนอื่นๆก็ดูจะชอบมันไม่น้อย ผิดกับเขาที่อาจารย์มักจะลืมว่ามีตัวตนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่าจะนั่งชิดติดกับกัสสักเท่าไหร่ อาจารย์ก็ไม่เคยเอ่ยชื่อเลยหรือเรียกขานสักครั้ง
ความรู้สึกแปลกๆแบบนี้มันสุมอยู่ในอกจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่รอมร่อ เริ่มชักจะทนไม่ไหวเข้าไปทุกที
ช่วงปิดเทอมใหญ่ ทีระวิทกลับมาพักผ่อนที่บ้านของตนเอง นักศึกษาคนอื่นๆก็เช่นกัน แต่การกลับมาพักผ่อนที่บ้านในช่วงปิดเทอมนี้มันช่างเป็นอะไรที่ทีระวิทรู้สึกอิ่มเอมใจไม่น้อย
เมื่อคุณลุงเฉลิมพาลูกชายมาที่บ้านถึงสองคน คนหนึ่งเป็นพี่มีชื่อว่าซิน หล่อเหลาเอาการอยู่เหมือนกันเขาเคยเห็นอยู่บ้างในบางครั้ง แต่คนๆนั้นไม่ใช่คนที่เขากำลังสนใจเลยแม้แต่น้อย
เพราะคนที่เขากำลังมองอย่างไม่ละสายตาคือชายรูปร่างสูงสีผิวคล้ำแทนสวมแว่นซึ่งเป็นผู้น้อง เขาจำชื่อคนๆนี้ได้เป็นอย่างดีไม่มีวันที่จะลืมไปได้.....เซน......
มันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับเซนมากยิ่งขึ้น เมื่อเซนขอตัวไปเดินเล่นในสวนหลังบ้าน แน่นอนว่าเขาอาสาพาไปเดินชมด้วยตัวเอง จนพ่อเอ่ยปากชมว่าดูเป็นมิตรผิดปกติ เพราะในยามปกติเขามักไม่สนใจอะไรเลยด้วยซ้ำ แม้แต่ต้นไม้ในสวนก็ไม่เคยได้เข้าไปแตะต้องหรือพยายามจะทำความรู้จักกับมัน
“พี่ที ต้นนี้คือต้นอะไรหรอครับ”
เสียงเข้มทุ้มต่ำแต่ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหลอย่างบอกไม่ถูกของคนตรงหน้าที่กำลังหันหลังให้กับเขาอยู่นั้น เอ่ยทักขึ้นมา จนทำให้เกิดอาการลนลานที่จะตอบ
“พี่ที ได้ยินไหมครับ”
...ยื่นหน้าเข้ามาแบบนี้หมายความว่ายังไง มันออกใกล้จนเกินพอดีไปเสียหน่อย
“ได้ยิน พอดีกำลังนึกอยู่น่ะ”
“ถ้านึกไม่ออกก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้สนใจมันแล้วละ”
ตอนเด็กกับตอนโตช่างแตกต่างอะไรขนาดนี้ ตอนเด็กดูจะเป็นเด็กที่มักจะโดนแกล้งอยู่เสมอจนถึงขนาดต้องย้ายโรงเรียนถึงสองโรงเรียนด้วยกัน
แต่พอโตเป็นหนุ่มกลับกลายเป็นคนนิ่งขรึมเสียอย่างนั้น ออกจะดูน่าค้นหาเสียด้วย แตกต่างจากเดิมไปมากเหลือเกิน
“จริงด้วยสิ เซนจะขึ้นปีหนึ่งแล้วนี่นา เลือกเอาไว้หรือยังว่าจะเข้าที่ไหน”
“ว่าจะเข้าที่กรุงเทพ”
แปลกคน...ไหนว่าคุณลุงเฉลิมบอกว่าเซนสอบติดที่มหาลัยที่เขาเรียนไง แล้วทำไมจึงเลือกไปเรียนกรุงเทพกัน
“เห็นว่าสอบติดที่มหาลัยเดียวกับพี่ คิดว่าจะเข้าที่นี่เสียอีก”
“พอดีว่าไม่ค่อยชอบสถานที่ตั้งของมหาลัยน่ะครับ มันออกจะร้อนเกินไปหน่อย”
น่าเสียดาย...เพราะในตอนแรกที่รู้จากปากของคุณลุงเฉลิมเห็นท่านพูดเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าลูกชายจะเข้าเรียนที่นี่อย่างแน่นอน แต่พอได้ถามเอากับเจ้าตัวกลับเปลี่ยนเองเสียดื้อๆ
ทว่าจู่ๆมือถือในกระเป๋ากางเกงยืนสีเข้มของทีระวิทก็ดังขึ้น ทำให้ทีต้องรีบคว้ามันขึ้นมาและกดรับสายทันทีโดยไม่ได้มองหน้าจอแต่อย่างใด
“ฮัลโหล”
“ใคร...กัสหรอ”
ในตอนที่ทีระวิทคุยกับคนในสายก็ดันเหลือบสายตาไปมองกับเซนที่หันมามองอยู่ก่อนแล้ว มองแบบนี้ออกจะแปลกๆนิดหน่อย เพราะตัวเขาเองแทบจะทำอะไรไม่ถูกเลยนี่สิ
“ใช่ แล้วเป็นไงบ้าง” อีกฝ่ายถาม
“สบายดี บ้านก็อยู่ในตลาด แต่แกทำตัวเหมือนคนเหงาไปได้”
ในขณะที่พูดคุยกับเพื่อนที่อยู่ในสาย เซนก็ยังคงจ้องมองเขาอยู่อย่างไม่ละสายตา จนทำให้ต้องเบนสายตาหนีไปทางต้นไม้แทน ถึงแม้ว่าจะเบนสายตาหนีก็แล้วแต่เซนก็ยังไม่เลิกมองเลยด้วยซ้ำ ให้ตายสิ..
“ช่วยแม่ขายของหนักมาก ไม่มีเวลาเลย โทรมาหาจะถามว่ามึงอยากกินขนมปะเดี๋ยวเอาไปให้”
“บ้านกูไม่กินขนมว่ะ โทษทีนะไอ้กัส”
คำโกหกคำโตถูกพูดออกไป ถึงแม้ว่าเซนจะมองอยู่ก็ตาม ช่วยไม่ได้เพราะเขาไม่อยากให้กัสเข้ามายุ่งวุ่นวายกับบ้านของเขาเลยน่ะสิ ไม่อยากให้เข้ามาเห็นเรื่องราวน่าสะอิดสะเอียนของพ่อและผู้เป็นแม่ปลอมๆนั่น
และยิ่งเป็นกัสด้วยแล้ว ก็ยิ่งไม่อยากให้เข้ามายุ่งวุ่นวายไปกันใหญ่
“อ้าวหรอ ไม่เป็นไร โทรมาถามแค่นี้แหล่ะ บายนะ” ทีกดตัดสายทันทีโดยไม่มีคำกล่าวเอ่ยลาแม้แต่นิด
ทว่าเซนกลับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงติดจะเย็นชาเอาเสียมากๆ ใบหน้าเต็มเกลื่อนไปด้วยความรู้สึกสงสัยใคร่รู้ และเต็มไปด้วยความไม่เชื่อเสียเต็มประดา
“ผมเพิ่งรู้ว่าคนบ้านนี้ไม่กินขนม พ่อผมหอบขนมมาให้เต็มเลยนะเมื่อเช้า”
“เอ่อ...ก็พ่อเซนเอาขนมมาให้แล้วไง มันเยอะอยู่แล้วน่ะ”
“อย่างนั้นเองหรอ”
ถึงแม้ว่าทีจะพูดออกไปเพื่อแก้ต่าง แต่ใบหน้าของเซนก็ยังคงเต็มไปด้วยความไม่เชื่ออยู่อย่างนั้น รู้สึกไม่ดีนิดหน่อยแฮะ เปลี่ยนเรื่องคุยท่าจะดีกว่า แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว กลับต้องชะงักเพราะโดนแทรกคำถามขึ้นมาก่อน
“เพื่อนที่พี่คุยด้วยเมื่อกี้ เขาเรียนที่เดียวกับพี่หรอ”
“อ่อ...ไอ้กัสน่ะหรอ ใช่มันเรียนคณะเดียวกับพี่นี่แหล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก แค่จะถามเฉยๆ”
แปลกคน จู่ๆก็โพล่งถามขึ้นมาซะอย่างนั้น พอตอบก็หันหลังเดินดูต้นไม้ต่อทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แน่นอนว่าเขาเองเดินตามไปเหมือนเดิม
ทีระวิทลอบมองใบหน้าของเซนเป็นระยะ สีหน้าดูผ่อนคลายขึ้นกว่าเดินเยอะเลย เพราะอะไรกันนะ บางทีก็อยากคิดเข้าข้างตัวเองบ้างเหมือนกันว่าเมื่อตอนที่คุยโทรศัพท์กับเพื่อนตอนนั้น เซนดูจะสนอกสนใจเขามากเป็นพิเศษ พอคิดได้แบบนี้กลับรู้สึกหน้าร้อนขึ้นมาชอบกล
“พี่ทีเป็นอะไร ร้อนหรอ เข้าบ้านก่อนดีไหม”
“ไม่เป็นอะไร อยากดูตรงไหนอีกหรือเปล่า เดี๋ยวพี่พา...”
“ไม่แล้วอะ อากาศมันร้อน เข้าบ้านกันเถอะพี่ ดูท่าพี่น่าจะร้อนเหมือนกันนะ หน้านี่แดงเชียว”
ทีระวิทถึงกับชะงักนิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของตัวเองนั้นหยุดหมุนเอาเสียดื้อๆ เพราะเซนมองหน้าของเขาและยิ้มน่ะสิ ไม่เคยเห็นเซนยิ้มใกล้ๆแบบนี้มาก่อนเลย
ตั้งแต่วันนั้น...วันที่เซนมาที่บ้านของทีระวิท ทุกอย่างรอบๆตัวของเขาเริ่มเปลี่ยนไป ทีระวิทมักจะชอบเป็นคนอาสาไปรดน้ำต้นไม้ด้วยตัวเองอยู่เสมอ ทั้งดูแลรักษาพวกมันด้วยมือของตัวเอง รวมทั้งศึกษาเกี่ยวกับพันธุ์ไม้ต่างๆ
ภายในใจก็วาดหวังว่าเซนอาจจะมาที่บ้านของเขาอีกครั้ง เพราะนั่นคงเป็นโอกาสดีที่เขาจะได้บอกเล่าว่าต้นไม้แต่ละต้นนั้นชื่อว่าอะไรโดยไม่ขัดข้องเหมือนอย่างที่แล้วมา
แต่รอแล้วรอเล่า จวบจนเปิดเทอม เซนก็ไม่ได้แวะเวียนมาที่บ้านของทีระวิทอีกเลย จะมีก็เพียงแต่ลุงเฉลิมและลูกชายคนโตเท่านั้น ครั้นจะเอ่ยปากถามถึงเซนมันก็ออกจะดูผิดสังเกตไปหน่อย เลยปล่อยเลยตามเลยมาหลายต่อหลายครั้ง
กระทั่งวันนี้...วันที่ทำให้คนอย่างทีระวิทแปลกใจมากที่สุด เขาเห็นเซนที่หอสมุดในมหาวิทยาลัยของตนเอง แต่ที่น่าแปลกใจมากกว่านั้น เซนอยู่กับกัสเพื่อนของเขา
เอาตอนพิเศษมาคั่นกลางไปก่อนนะคะ
จะได้รู้กันสักที
ว่าเหตุผลของเซนและทีที่ทำกับกัสแบบนั้น
ขอให้สนุกจ้า