ตอนที่ 27
หลังจากไล่ผมกลับ ทั้งข้อความและโทรศัพท์ต้นสนก็ไม่ตอบผมกลับมาอีกเลย ทำเอาร้อนใจจนอยากจะไปหาที่บ้าน แต่สถานที่แห่งนั้นไม่ใช่พื้นที่ที่จะเหยียบย่างเข้าไปได้โดยง่ายในความคิดผม มันเหมือนกำแพงขนาดใหญ่เกินกว่าปุถุชนคนธรรมดาจะปีนข้ามผ่านไป สุดท้ายเลยทำได้เพียงพิมพ์ข้อความทิ้งเอาไว้ว่าผมตัดสินทำอะไรไปบ้าง ได้พูดคุยและยืนยันกับคุณสาโรจน์ไปอย่างไรแม้จะจบด้วยความผิดพลาดก็ตาม แต่ถึงอย่างนั้นทุกข้อความกลับไม่ถูกอ่านอยู่ดี
เรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้หากผมเล่าให้ไอ้ว่านฟังมันคงด่าผมจนเสียหลักอีกรอบ เพราะนอกจากจะยอมให้พ่อแฟนยึดคีย์การ์ดห้องแล้วยังทำให้ต้นสนโกรธ ไหนจะเรื่องที่เข้าไปคุยกับคุณสาโรจน์แต่ลืมพูดถึงเรื่องคีย์การ์ดไปเสียสนิท จนตอนนี้ผมยังโมโหตัวเองอยู่เลย
"เป็นอะไรมึง ทำหน้าย่นตั้งแต่เมื่อวานแล้ว" ไอ้ว่านเดินมายืนเท้าเอวตรงหน้าผมหลังจากแต่งตัวเสร็จ พวกเรากำลังจะออกไปมหาวิทยาลัยแต่ผมยังมีแค่พันขนหนูผืนเดียวพันอยู่รอบเอว แถมนั่งแหมะบนเตียงไม่กระดิกไปไหนมาร่วมห้านาทีได้แล้ว
"คิดอะไรนิดหน่อย"
"จะคิดจนเลิกเรียนเลยมั้ย ลุกไปแต่งตัว" ไอ้ว่านเตะขาผมเป็นการไล่ เลยต้องจำใจลุกไปทำตามที่มันบอกอย่างขี้เกียจ
ผมหยิบเสื้อกับกางมาใส่ด้วยความเศร้าสร้อย รู้สึกหม่นหมองเหมือนมีเมฆครึมลอยอยู่บนหัวตลอดเวลา ไม่อยากกระดิกตัวทำอะไรทั้งสิ้นจนกว่าจะเคลียร์ปัญหานี้จบ แต่ผมกลับโง่เขลาและขี้ขลาดเกินกว่าจะทำอะไรได้ด้วยตัวเอง
"แล้วที่บ้านมึงรู้เรื่องหอหรือยังวะ"
"ยัง กูอยากเคลียร์ปัญหาเอง อาจจะกลับไปหอเก่ามั้ง"
"อะไรก็อาจจะ มึงไม่อยากอยู่กับต้นสนแล้วเหรอวะ"
ผมเงยหน้ามองไอ้ว่าน มันกำลังยัดเสื้อใส่ในกางเกงแล้วหยิบเข็มขัดมาใส่
"อยากดิ"
"งั้นก็หาทางกลับไปอยู่ด้วยกัน มึงไม่ต้องหาหอใหม่"
"พูดเหมือนง่าย"
"แล้วมันยากตรงไหน แค่ทำคีย์การ์ดใหม่"
ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงให้มันเข้าใจ อยากอยู่ด้วยกันอีกครั้งแค่ทำคีย์การ์ดใหม่อย่างที่มันว่า แต่ถ้าคุณสาโรจน์รู้ย่อมจบไม่สวยเหมือนเดิม ผมอยากให้ครอบครัวของต้นสนยอมรับ และต้องเป็นการยอมรับที่ยอมให้ทำ
ที่โรงพยาบาลคำพูดของคุณสาโรจน์ยังฝังใจผมจนถึงทุกวันนี้ ทางเดียวที่ผมพอจะนึกออกคือทำให้ชีวิตที่เป็นอยู่ดีกว่าเดิม ยกระดับฐานะทางสังคมให้สูงขึ้น แต่ผมในตอนนี้ยังไม่สามารถทำแบบนั้นได แม้จะได้พูดทุกอย่างที่คิดไว้ให้ครอบครัวของต้นสนฟังหมดแล้ว แต่ผมยังไม่รู้เลยว่าผลจะออกมาเป็นยังไง
"กูอยากให้ตัวเองถูกยอมรับมากกว่านี้"
ไอ้ว่านเอียงหัว มันคงอยากเลิกยุ่งเรื่องของผมแล้วเลยคว้าเอาชีทเดินหนีออกจากห้องนอนไป
ผมกับไอ้ว่านเดินออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบเพราะพี่เตยยึดโซฟานอนตั้งแต่เมื่อคืน ปกติพื้นที่ในห้องนั่งเล่นนั้นเป็นของผม มีที่นอนปิคนิค ผ้าห่มกับหมอนอีกหนึ่งใบ แต่เมื่อคืนพี่เตยเมาแอ๋กลับมา น้ำท่าไม่อาบทิ้งตัวลงนอนทันที ไอ้ว่านเลยชวนผมเข้าไปนอนในห้องแทน
สิ่งที่ทำให้ผมเศร้าเสมอขณะอยู่ที่นี่คือห้อง 403 ที่อยู่ตรงข้าม ผมเคยอยู่ที่นั่นทว่าตอนนี้ทำได้เพียงมองบานประตูที่ปิดสนิท มันกลายเป็นห้องว่างเปล่าไร้เสน่ห์ดึงดูดเมื่อเจ้าของห้องไม่อยู่ เหมือนกับเขตต้องห้ามที่ผมไม่สามารถเข้าไปได้
ผมก้มหน้าเดินตามหลังไอ้ว่านไปเงียบๆ แต่ก้าวยังไม่ทันพ้นห้องมันก็หยุดแล้วหันหน้ากลับมา ผมเงยหน้าขึ้นตังใจจะถามมัน ทว่ากลับโดนคนที่กำลังเดินมาทางนี้ดึงความสนใจไปจนหมด
ต้นสนกำลังเดินตรงมาทางผม เจ้าของห้อง 403 ที่ผมคิดถึง คนที่ไม่ยอมติดต่อกับผมเลยเกือบสองวัน แล้วอยู่ๆ วันนี้กลับโผล่มา ทั้งที่แผลยังไม่น่าจะหายดีเลยด้วยซ้ำ
ไอ้ว่านรีบหลบทางให้เมื่อต้นสนเดินเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่เจือความหม่นหมองอยู่น้อยนิดเรียบนิ่ง เป็นผมเองยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ ตั้งใจจะโผเข้ากอดด้วยความคิดถึงปนห่วง แต่เมื่อเดินเข้ามาใกล้ต้นสนกลับยื่นบางอย่างมาตรงหน้าผม
มันคือคีย์การ์ดของห้อง 403
"เอาไป" น้ำเสียงชัดเจนว่าคือคำสั่ง
ผมยื่นมือไปรับคีย์การ์ดไว้ รอยยิ้มค่อยๆ หุบลงเมื่อเจอต้นสนโหมดสงบนิ่งซึ่งแฝงไปด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราดแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนัก
"ถ้าคราวหลังยอมให้พ่อง่ายๆ อีกจะจัดการ" คาดโทษเสร็จต้นสนก็เดินผ่านไหล่ผมไป
ผมกับไอ้ว่านมองตามโดยไม่กล้าหือ กะพริบตาปริบมองต้นสนที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วรอยยิ้มก็กลับคืนมาอีกครั้ง
ผมก้มมองคีย์การ์ดที่อยู่ในมือ มีพวงกุญแจหลักกิโลเมตรหัวหินที่ผมได้มาจากไอ้เจนคล้องอยู่ มันคือคีย์การ์ดของผม อันเดียวกับที่คุณสาโรจน์ยึดไป ต้นสนไม่ได้ไปทำมาใหม่ แต่สามารถเอามันกลับคืนมาจากพ่อได้สำเร็จ
"กูว่ามึงคงมีเรื่องต้องเคลียร์" ไอ้ว่านบอกอย่างรู้ทัน มันยกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าขอตัวก่อนเดินจากไป เหลือผมคนเดียวที่ยังยืนยิ้มอยู่ตรงนี้
ยิ้มให้กับความกล้าหาญและความพยายามของคนรักที่มีมากกว่าไม่รู้กี่เท่า
ผมยังยื่นยันคำเดิมว่าต้นสนน่ะเก่ง เก่งมากจริงๆ
ผมใช้คีย์การ์ดที่เพิ่งได้คืนมาเปิดประตูเข้าไปในห้อง ต้นสนยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหน้าผม แผ่นหลังที่ดูเปราะบางนิ่งสงบคล้ายกับกำลังรอคอย และผมเดาว่าต้นสนกำลังรอคอยอ้อมกอดจากผม
ผมเดินเข้าไปสวมกอด ซุกหน้าลงกับไหล่ของคนในอ้อมแขน บอกคำที่ติดค้างอยู่ในใจ คำที่ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยรู้สึกว่ามันจะช่วยทดแทนสิ่งที่คนรักต้องเผชิญได้
"ขอโทษนะ"
"เรื่องอะไร"
"ที่อ่อนแอ"
"อะไรอีก"
"ขี้ขลาด"
"อะไรอีก"
"โง่"
"..."
"เอื่อยเฉื่อย"
"..."
"ไม่เด็ดขาด"
"..."
"ตัดสินใจเองไม่เป็น"
"พอแล้ว" ต้นสนขัดขึ้นมา เจ้าตัวก้มหน้าลง เสียดายที่ผมอยู่ด้านเลยไม่เห็นว่ากำลังทำหน้ายังไง แต่ผมยังมีอีกเรื่องที่อยากจะบอก และไม่ใช่เรื่องที่อยากจะขอโทษ
"ขอบคุณที่มาทำให้รักนะ" ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น กระซิบบอกข้างหู คำที่ผมยังไม่เคยบอกให้ต้นสนฟังเลยสักครั้ง
"พูดอีกทีสิ"
ผมปล่อยอ้อมแขนออกจับต้นสนให้หันหน้ามาหา ริมฝีปากเคลือบกลิ่นแอปเปิ้ลที่ผมชอบแย้มยิ้มบางๆ อารมณ์ฉุนเฉียวที่แสดงออกก่อนี้ค่อยๆ หายไป
"รัก"
"อะไรอีก"
"รักมากๆ"
"อะไรอีก"
"ปลื้มรักต้นสน"
"..."
"ปลื้มรักต้นสนมากๆ"
"..."
"รักมากๆๆๆๆๆ"
"พอแล้ว" ต้นสนยิ้มแก้มแตก ขนาดก้มหน้าหนียังมองเห็นแก้มนูนๆ จนอยากหอมแรงๆ สักที
ตั้งแต่รู้จักกัน เริ่มมีความรู้สึกดีๆ เริ่มรู้ใจตัวเอง จนกระทั่งตกลงคบกันวันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมพูดคำว่ารัก แม้ทุกอย่างที่ผ่านมาเราจะรับรู้และยอมรับจากการกระทำ แต่สุดท้ายมันก็ยังมีสิ่งที่ขาดไปอยู่ดี
คำพูดที่ช่วยยืนยันว่าทุกภาษากายที่แสดงออกมานั้นคือความจริงจากใจ
"ต้นสนก็รักปลื้มเหมือนกัน"
กลิ่นหอมของแอปเปิ้ลลอยอบอวลเมื่อต้นสนเป็นฝ่ายรั้งคอผมไปจูบ แนบชิดและหนักหน่วง โหยหาและคิดถึง ชวนฝันและเนิ่นนาน แลกสัมผัสที่ต่างฝ่ายต่างชอบใจ
กว่าจะผละออกจากกันได้เล่นเสียหอบหายใจถี่ ต้นสนอมยิ้ม แขนยังคล้องคอผมไว้ไม่ยอมปล่อย เช่นเดียวกับอ้อมแขนผมที่ยังรอบเอวตัวเจ้าตัวไว้เช่นกัน
"สัญญานะ"
คำบอกเลื่อนลอยเอ่ยออกมาจนผมคิดตามไม่ทัน แต่สำหรับตอนนี้ ต่อให้เป็นสัญญาทาสแบบไหนที่ต้นสนต้องการผมจะยอมทำตามทุกอย่าง
"สัญญาว่าต่อไปจะไม่ยอมพ่อง่ายๆ แล้วก็ห้ามทิ้งกันแบบคราวนี้อีก"
"สัญญาครับ ครั้งนี้ผิดไปแล้ว"
ได้รับคำมั่นสัญญาต้นสนก็ปล่อยแขนที่คล้องคอผมออก ถึงอย่างนั้นเจ้าตัวก็ยังติดอยู่ในกรงขังของผมอยู่ดี
"ไม่รีบไปเรียนเหรอ"
โดนทักแบบนี้ผมเลยต้องยอมปล่อย จะตอบกลับไปว่าไม่เรียนก็ไม่ได้เสียด้วย วิชานี้แสนโหดหิน ทั้งเนื้อหาวิชาและอาจารย์ผู้สอน
"แล้วแผลโอเคแล้วเหรอ ตอนเดินไม่เจ็บใช่มั้ย" ถึงจะรีบแต่ยังมีเรื่องที่ผมห่วง เท้าข้างซ้ายที่ยังพันผ้าพันแผลเอาไว้อยู่
"ดีขึ้นเยอะแล้ว ไม่เป็นอะไรหรอก"
"วันนี้จะไปเรียนหรือเปล่า"
"ไปดิ"
"งั้นกลับพร้อมกันนะ เดี๋ยวตอนเย็นไปรับ"
ต้นสนพยักหน้าอมยิ้ม ทำตัวเหมือนกำลังเขินคล้ายกับคู่ที่เพิ่งคบกันใหม่ๆ หนำซ้ำยังไล่ผมเป็นรอบที่สอง
"ไปได้แล้ว"
"อย่าฝืนทำอะไรเกินตัว นั่งเฉยๆ ก็ได้ นอนนิ่งๆ ไปเลยก็ดี"
"ไม่ได้เป็นง่อย ไปเรียนได้แล้ว" รอบนี้เจ้าตัวถึงขั้นโบกมือไล่
เรายิ้มให้กันอีกครั้งก่อนผมจะออกจากห้อง มองคีย์การ์ดในมืออย่างนึกสงสัยพลางก้าวยาวๆ ตรงไปยังลิฟต์เพราะเวลาเหลือไม่มากนัก
ทำยังไงกันนะต้นสนถึงได้คีย์การ์ดของผมกลับมา สิ่งที่ถูกยึดไปพร้อมกับคำพูดแสนโหดร้ายต่อจิตใจผม และการกระทำของผมเมื่อวันนั้นมันมีผลอะไรบ้างไหม เหตุใดคุณสาโรจน์ถึงยอมรับมันได้
ยอมรับ...และยังยอมให้ทำ
วันนี้ผมว่างตั้งแต่บ่ายเลยไปที่หอสมุดรอเวลาต้นสนเลิกเรียนโดยมีสองเพื่อนรักตามไปด้วย จากที่จะได้อ่านหนังสือหรือทำการบ้านกลายเป็นว่าต้องมานั่งเล่าเรื่องความรักของตัวเองให้เพื่อนฟัง ไอ้ว่านผู้รู้มาก ส่วนไอ้เจนผู้รู้น้อย แต่สุดท้ายผมก็โดนพวกมันด่าไม่ต่างกัน ถึงอย่างนั้นเรื่องราวก็จบลงด้วยดี
ผมแยกกับมันสองคนที่หน้าหอสมุดเมื่อได้เวลา เดินไปรับต้นสนที่คณะ ได้เจอกับอั๋นที่ไม่ได้เจอกันมาพักใหญ่ เราทักทายและบอกลากันพอเป็นพิธีก่อนอั๋นจะส่งต้นสนให้ผมดูแลต่อ พร้อมคำบ่นที่ทำให้เจ้าตัวยู่หน้าอย่างขัดใจ
เราเดินตามเส้นทางที่ทอดยาวไปหลังมหาวิทยาลัยด้วยความเร็วไม่มากนัก ต้นสนใส่รองเท้าแตะมีผ้าพันแผลพันไว้รอบเท้าซ้าย ตั้งแต่เกิดเรื่องผมยังไม่เคยเห็นเลยว่าแผลมันรุนแรงขนาดไหน ได้แต่ฟังจากปากเจ้าตัวว่าไม่เป็นไรสบายดี แต่การต้องไปหาหมอเพื่อทำแผลที่โรงพยาบาลทุกวันมันไม่ใช่เรื่องที่ฟังแล้วสบายใจได้เลย
"วันนี้ไม่ต้องไปโรงพยาบาลเหรอ"
"แค่ทายากับปิดแผลไว้ก็พอ"
ผมพยักหน้ารับแล้วคว้ามือต้นสนมาจับไว้ ใจจริงอยากจะประคองเอวไว้เลยด้วยซ้ำ ครั้นจะหิ้วปีกก็ดูอาการหนักไป
เราจับมือกันเดินอย่างไม่เร่งรีบจนมาถึงหน้าตลาด ผมจะพาเดินผ่านแต่ต้นสนกระตุกมือไว้เลยต้องเดินตามเข้าไปด้านใน เจ้าตัวบอกเพียงสั้นๆ และไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คัดค้าน
"อยากกินกับข้าวป้านก"
เพราะถึงยังไงซะผมก็ต้องตามใจคุณหนูอยู่ดี
ป้านกดูท่าจะตกใจไม่น้อยที่เราสองคนมาที่ร้านวันนี้ แกรีบถามไถ่อาการอย่างเป็นห่วง แสดงความรู้สึกผิดทั้งสีหน้าและสายตา โดยไร้วี่แววของลูกสาวตัวก่อเรื่องที่นับตั้งแต่นั้นน้องตาลก็หายไปจากชีวิตของเราสองคน
"ต้นสนเท้าเป็นยังไงบ้างลูก อาการดีขึ้นบ้างมั้ย ป้าไม่ได้ไปเยี่ยมเลยต้องขอโทษจริงๆ"
"แค่นี้สบายมากครับป้า อีกสักพักก็หายดีแล้ว" ต้นสนยิ้มกว้าง ใช้น้ำเสียงร่าเริงเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจ
ผมเข้าใจป้านกนะ แกรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลกับความผิดของลูกสาวครั้งนี้ทั้งหมด ต้องทำงานทุกวัน วันไหนไม่ทำก็ขาดรายได้ ไหนจะขาดผู้ช่วยไปอีกสองคนทั้งผมทั้งน้องตาลถึงมันจะไม่ได้มากมาย แต่ส่วนที่ขาดไปย่อมกินแรงคนที่ต้องทำงานอยู่ดี และความใจดีของป้านกก็ไม่เคยลดลงเลย
"กินอะไรเลือกได้เลยนะลูกป้าไม่คิดเงิน"
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ของซื้อของขาย งั้นผมเอาเขียวหวานกับยำหมูยอ ข้าวเปล่าสองถุง"
ป้านกยื่นถุงกับข้าวที่สั่งมาให้ต้นสนก็พยายามยัดเยียดเงินกลับคืนไปอย่างไม่มีใครยอมใคร พอป้านกไม่ยอมรับเจ้าตัวเลยวางเงินทิ้งไว้แล้วพาผมเดินหนีออกมา
ผมแย่งถุงกับข้าวมาถือไว้ เรายังเดินจับมือช่วยประคับประคองกันจนมาถึงคอนโด คีย์การ์ดที่เพิ่งได้คืนมาถูกใช้งานอีกครั้ง รวมถึงจากนี้ตลอดไป ผมจะไม่ปล่อยให้มันหลุดมือไปอีก
ผมพาต้นสนไปนั่งที่โซฟาก่อนไปจัดแจงเทกับข้าวใส่จาน มีคนป่วยหนึ่งอัตราอาสาจะช่วยเลยโดนผมบ่นไปหนึ่งชุดใหญ่ถึงได้ยอมนั่งอยู่นิ่งๆ จัดแจงทุกอย่างเรียบร้อยก็ทยอยยกมาวางบนโต๊ะหน้าทีวี วันนี้เราจะกินมื้อเย็นกันที่ห้องนั่งเล่น
"ไม่ได้กินข้าวด้วยกันนานเลยนะเนี่ย" ต้นสนพูดเจื้อยแจ้วพลางตักข้าวเข้าปาก
"กินไปพูดไปเดี๋ยวก็ติดคอเอาหรอก"
"เหมือนจะไม่โดนบ่นแบบนี้นานแล้วเหมือนกัน"
"ได้ข่าวว่าเมื่อกี้เพิ่งบ่นไป"
ต้นสนฉีกยิ้มทำหน้าทะเล้น อยู่บ้านเป็นคุณหนูที่ทุกคนตามใจไม่ค่อยโดนบ่น พอมาอยู่กับผมเลยเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่โดนบ่นมันทุกวัน บ่นเพราะเป็นห่วงทั้งนั้น
"ต้นสน"
"หืม" คนที่กำลังจ้องภาพยนตร์ในทีวีเหลือบมามอง
"ขอถามอะไรหน่อย"
"ถามดีๆ นะ"
คำสั่งแบบทีเล่นทีจริงทำผมหัวเราะออกจมูก จะว่าเป็นคำถามที่ดีหรือไม่ดีล่ะสิ่งที่ผมอยากรู้นี้
"ไปเอาคีย์การ์ดคืนมาได้ยังไง"
ต้นสนละสายตาจากหน้าจอทีวีหันมามองผม ไม่ได้มีท่าทีอึดอัดที่จะตอบ ซ้ำยังอมยิ้มแล้วใช้ส้อมจิ้มหมูยอขึ้นมากิน
"ก็เข้าไปคุยแล้วก็ขอตรงๆ เออใช่ ตอนแรกเราอาจจะโมโหนิดหน่อย แต่ก็จบลงด้วยด้วยดี"
ทำไมฟังดูเหมือนง่าย ทั้งที่ผมคิดไม่ออกเลยว่าจะทำยังไงให้คุณสาโรจน์ยอมรับตัวตนของผมในตอนนี้ ทั้งต้อยต่ำ ทั้งไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต้นสนทำยังไงพูดยังไงถึงทำให้ตัวผมยกระดับขึ้นมาจนคุณสาโรจน์พอใจได้กัน
"ทำไมทำหน้าแบบนั้น"
"พูดยังไง"
ต้นสนเอียงคอมองแล้วอมยิ้ม ขยับเข้ามาใกล้ผมก่อนเฉลยทุกสิ่งทุกอย่างที่ผมอยากได้ยินออกมา
"แล้วทำไมปลื้มถึงคิดว่าตัวเองไม่มีอะไรดีล่ะ โดนพ่อพูดกระทับกระทั่งเสียดสีนิดหน่อยก็ทำจ๋อย ทั้งที่พ่อยอมรับแล้วแท้ๆ ทั้งทำอาหารเป็น ดูแลคนอื่นเป็น ขยันทำงาน เล่นกีฬา เล่นดนตรีก็ได้อีก เรื่องฐานะมันไม่ใช่สิ่งสำคัญเลยนะ ตอนนี้ไม่มีใช่ว่าอนาคตจะไม่มีเหมือนกันเสียเมื่อไร เราเชื่อว่าปลื้มหาได้ ถึงหาไม่ได้เราก็ไม่แคร์หรอก เรารวย แค่อยู่ดูแลเราก็พอ"
"มันใช่เวลามาล้อเล่นมั้ย"
"เราไม่ได้ล้อเล่น แค่อยู่ดูแลเรา...ได้ใช่มั้ย" รอยยิ้มบนใบหน้าจางหายไปเป็นความจริงจังเข้ามาแทนที่
เราสบตากันนิ่ง คำตอบในใจผมมันแน่นอนอยู่แล้วคือ 'ได้' ผมจะอยู่ดูแลคนคนนี้ไปตลอดตราบนานเท่านาน นานจนกว่าจะโดนเบื่อขี้หน้ากันไปเลย
"อยู่ดูแลตลอดไปยังได้เลย"
"ดีมาก"
ต้นสนยิ้มกว้าง หันกลับไปสนใจอาหารตรงหน้าด้วยท่าทางสดใสร่าเริงกว่าเดิม ทว่าทิ้งเวลาไว้ชั่วครู่ก็หันกลับมาจ้องหน้าผมอีกครั้ง
"ที่จริง วันที่เราทะเลาะกันแล้วปลื้มไปหาพ่อก็มีส่วนให้เราคุยง่ายขึ้นด้วยแหละ" แล้วต้นสนก็พูดถึงประเด็นนี้ออกมาในที่สุด สิ่งที่ผมหวังว่ามันจะช่วยให้ปัญหาจบได้เร็วขึ้น สักนิดหน่อยก็ยังดี
"วันนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ เลยขอให้ลุงพันหาไปหาคุณอา แถมใครบางคนยังไม่ยอมคุยด้วยอีก เครียดจนหัวจะระเบิด" ผมตัดเพ้อ วันนั้นกำลังลดเหลือขีดแดง อาการเข้าขั้นโคม่า ยังโชคดีที่รอดพ้นมันมาได้
"ก็ตอนนั้นยังโกรธอยู่ไงเลยไม่อยากคุย ตอนแม่กลับมาก็บอกนะว่าปลื้มไปหา เอาเข้าจริงเรื่องที่พ่อยึดคีย์การ์ดปลื้มมาไม่มีใครในบ้านรู้เลย จากที่จะหายโกรธกลายเป็นโมโหพ่อไปอีก แต่พอได้คีย์การ์ดก็ยังไม่อยากบอกปลื้มอีกนั่นแหละ อยากสั่งสอนสักหน่อย"
"โห ร้ายกาจ" ผมไม่รู้จะนิยามคำไหนดีให้คนคนนี้ เก่งและร้ายกาจคงเป็นคำที่เหมาะที่สุด ถึงอย่างนั้นผมก็ยังรักต้นสนมากอยู่ดี
คำชมว่าร้ายกาจเหมือนจะถูกใจต้นสนอยู่ไม่น้อยถึงได้ยักคิ้วหลิ่วตายิ้มให้ แต่จู่ๆ เจ้าตัวก็อุทานออกมาจนผมสะดุ้งตาม ไม่รู้ว่ายังมีเรื่องอะไรอีก
"เออใช่!" ว่าแล้วต้นสนก็เอี้ยวตัวไปคว้ากระเป๋า เปิดค้นมันแล้วหยิบบางอย่างยื่นมาให้ผม
"อะไรอะ"
"ไปดูเอาเอง แต่ห้ามเปิดตอนนี้ ห้ามเด็ดขาด"
ผมรับมันมาพลางพยักหน้ารับ ทั้งที่อยากรู้ใจแทบขาดแต่ต้องจำใจวางมันไว้ไม่เปิดดูตามคำสั่ง
ซองสีขาวขนาดเท่าซองจดหมายที่ถูกวาดลวดลายด้วยสีน้ำ เป็นลายก้อนเมฆหลากหลายสีสัน อย่างกับเจ้าตัวรู้ว่าถูกผมเปรียบเทียบเป็นก้อนเมฆถึงได้วาดมันออกมา แล้วสิ่งที่อยู่ในซองนั้นคืออะไร
จดหมายรักงั้นเหรอ
ก็ว่าไปนั่น
TBC
และแล้วทุกอย่างก็จบลงด้วยดี แต่จะเป็นแผนคุณพ่อตาหรือเปล่าก็ไม่รู้นะ
รู้แต่ว่ารักต้นสนมากๆๆๆๆๆๆๆๆ อิอิ
ส่วนเรื่องรวมเล่มนั้นมีแน่นอนค่า ไว้เดี๋ยวเราจะแจ้งอีกทีนะคะ
วันหยุดปีใหม่นี้ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพกันทุกผู้ทุกคนน้า ระวังๆ กันด้วยนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เจอกันตอนหน้า บทส่งท้ายยยยยยย