[จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [จบแล้ว] จันทร์กระพ้อ (วายพีเรียด) ตอนพิเศษ : วัยเยาว์ (20/12/62)  (อ่าน 36934 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
มีความง้อ~

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
พี่งอน น้องก็ง้ออออออออ

ชอบอิมเมจ จัน หนุ่มกุบกิบกำลังดี ไม่สาว เป็นแมวซนของพี่ไตร แงงงง :hao5:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-09-2019 09:25:57 โดย Ac118 »

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๕

"ข้ามิได้โง่และข้าก็โตแล้ว! "
จันเลือกที่จะทำเป็นมิสนใจในสิ่งที่ไตรทศพูดออกมาและทำเป็นหงุดหงิดกลบเกลื่อน ทำหน้าเหมือนมิคิดอะไรแต่จริงๆแล้วแอบใจสั่นกับวาจาที่มีเลศนัยนั้นไม่น้อย
"กระนั้นดอกรึ"
ไตรทศส่งยิ้มบางให้คนอายุน้อยกว่า ถึงจันจะตีสีหน้านิ่งเฉยเพียงใดหากแต่ใบหน้าที่ขึ้นสีแดงระเรื่อนั้นก็มิอาจปิดบังความรู้สึกที่แท้จริงได้ เด็กหนอเด็ก
"ออเจ้าวาดสิ่งใดกัน? " จันรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีเมื่อโดนอีกคนจ้องมากไป
"ดอกจันทร์กระพ้อ"
จันแอบมองภาพที่ไตรทศบรรจงตวัดพู่กันลงไปที่ละนิดอย่างประณีต ถึงมันจะเป็นเพียงภาพหมึกสีดำธรรมดาแต่ภาพนั้นกลับสวยงามอย่างมิน่าเชื่อ ไตรทศนั่งมองจันที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพิจารณาภาพวาดของตนด้วยความเอ็นดู สายตาเหมือนลูกหมานั้นช่างขัดกันกับกริยาอันมุทะลุ
"ชอบขนาดนั้นเลยรึ? " จันช้อนสายตาขึ้นมองพร้อมกับเอ่ยถาม
"ชอบ" ยามพูดไตรทศหาได้มองไปที่ภาพวาดไม่ หากแต่สายตาอันหวานหยาดเยิ้มนั้นกลับมองมาที่จันซึ่งนั่งอยู่ต่ำกว่าตน
"แต่ข้าว่ามันขาดอะไรบางอย่างไป" ชายหนุ่มพูดกับตัวเองอย่างเลื่อนลอย "อ่ะ! ข้ามิได้หมายความว่าออเจ้าวาดไม่งามดอกหนา"
พลันรีบแก้ตัวเมื่อเห็นไตรทศมองมาด้วยสีหน้าที่อ่านมิออกว่าโกรธหรือไม่ ท่าทางลุกลี้ลุกลนของอีกฝ่ายทำเอาใจคนอายุเยอะกว่านึกเอ็นดูเป็นรอบที่สิบของวันได้แล้วกระมัง
"ข้าเองก็คิดเช่นออเจ้า ออเจ้าลองคิดช่วยข้าได้รึไม่ว่าภาพนี้ยังขาดสิ่งใดไป" ชายหนุ่มทำสีหน้าครุ่นคิดเมื่ออีกคนเอ่ยถามความคิดเห็น
"ดอกไม้งามก็ต้องคู่กับผีเสื้อกระมัง ดอกไม้เปรียบเสมือนหญิงงาม ผีเสื้อก็เปรียบเสมือนชายหนุ่มที่คอยมาดอมดมดอกไม้" จันพูดไปยิ้มไปอย่างชื่นชมความคิดอันเฉียบแหลมของตน
"ดอกไม้งาม...เปรียบเป็นชายมิได้หรือ? " คนมีศักดิ์มากกว่าเผลอพลั้งปากพูดออกไปอย่างมิได้ตั้งใจ
"ได้กระมัง ข้าเคยเห็นชายหนุ่มตามแถวตลาดใหญ่ บางคนก็มีหน้าตางดงามราวกับแม่หญิง"
คำตอบของจันทำเอาคนฟังใจชื้น หากจันพูดเช่นนี้ก็คงจะหมายความได้ว่าจันมิคิดว่าการที่บุรุษเพศจะชมชอบบุรุษเพศด้วยกันมิใช่เรื่องแปลกอันใด และยอมรับในทุกมุมมองของความรัก
"ออเจ้าเคยเห็นด้วยรึ?” ว่าแล้วไตรทศก็อดสงสัยมิได้ว่าจันไปเจอได้อย่างไร
"ข้าชอบไปร่ำสุรากับไอ้มั่นแถวนั้นบางครา แต่มิได้เข้าไปในร้านดอกหนา ข้ามิได้ชมชอบบุรุษเพศด้วยกันเอง" ไตรทศพยักหน้าอย่างเข้าใจ
"หรือว่าวันนี้ที่ออเจ้าเมามาคงไปร่ำสุรากับพี่ขุนไกรที่ร้านบำเรอชายใช่รึไม่? "
ไตรทศถึงกับพูด,bออกเมื่อโดนจันจับได้คาหนังคาเขา ราวกับสามีที่ถูกภรรยาจับได้ว่าแอบย่องออกจากเรือนไปร่ำสุรากับเพื่อนขี้เมาอย่างใดอย่างนั้น
"ข้า..." ด้วยเป็นคนที่มิชอบพูดปดกับผู้ใดจึงทำให้ไตรทศโกหกหรือปฏิเสธคนได้ยาก
"เอาเถอะ ถึงออเจ้าจะไปมันก็มิเกี่ยวกับข้า ชายผู้มิมีเมียเช่นออเจ้าก็คงจะชอบไปหาความสุขบ้างบางเวลา ข้าเข้าใจ" ชายหนุ่มพูดอย่างมิยี่หระ เพราะไตรทศจะทำการอันใดมันก็มิเกี่ยวกับตนอยู่แล้ว
"แล้วออเจ้าเคยเข้าร้านบำเรอชายที่เป็นสตรีหรือไม่? "
"ก็...เคยอยู่" จันตอบไปยิ้มไปด้วยความเขินอายที่ต้องมาสารภาพว่าตนเองก็แอบเจ้าชู้ประตูดินมิน้อย 
"แล้วออเจ้าชอบรึไม่? " คนถามถามด้วยใจหวั่น
"มีแต่หญิงงาม เหตุใดข้าจะมิชอบเล่า"
จิตใจคนฟังไหวสั่น หากจันชอบพอเพียงแม่พิกุลอาจจะยังพอเปลี่ยนใจได้ แต่นี่กลับชอบไปเสียหมดแล้วไตรทศจะสู้ได้อย่างไร
หากจันมิได้มีใจรักบุรุษเพศด้วยกันแล้วไซร้ ทำอย่างไรก็คงมิอาจชนะใจคนเจ้าชู้อย่างจันได้เป็นแน่
ไตรทศพยักหน้าให้อีกคนเป็นเชิงว่าเข้าใจก่อนจะหันไปวาดรูปผีเสื้อที่เกาะอยู่บนกลีบดอกไม้งามในแจกัน หากตีความหมายของภาพแล้วดอกจันทร์กระพ้อคงจะหมายถึงจัน หากแต่จันตอนนี้นั้นหาใช่ดอกจันทร์กะพ้อในแจกันไม่แต่กลับเป็นดอกจันทร์กระพ้อที่ออกดอกบานสะพรั่งอยู่บนต้น ผู้ใดจะเชยชมก็ย่อมได้
"มันคงจะงามกว่านี้หากมันอยู่บนต้น" ชายหนุ่มพูดขณะที่ไตรทศกำลังลงมือบรรจงวาดผีเสื้อ
"เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นหรือ? " คนอายุมากกว่าหันไปถามอีกฝ่าย
"ดอกไม้ เมื่อเด็ดจากต้นย่อมมีวันเหี่ยวเฉาเป็นธรรมดามิใช่หรือ? ปล่อยให้อยู่บนต้นออกดอกสวยงามข้าว่าก็ดีอยู่แล้ว"
มันก็เป็นจริงดังที่อีกคนว่า หากแต่ไตรทศจะทนได้ไหมหนอหากมีผู้อื่นมาเชยชมดอกจันทร์กระพ้อดอกนี้
"ลึกซึ้งนัก" นานๆทีจะโดนไตรทศชมเสียบ้าง ทำเอาคนฟังไปมิเป็น
"นี่ก็เริ่มจะค่ำเสียแล้ว ข้ากลับก่อนดีกว่า"
"ให้ข้าไปส่งหรือไม่? " ปากไปไวกว่าความคิดเสมอ เผลอแสดงความเป็นห่วงเป็นใยออกไปเสียแล้ว ไตรทศคิดในใจ
"ข้าโตแล้วข้ากลับเองได้ แลข้าเองก็หาได้อ่อนแอไม่" จันยังคงรั้นว่าจะกลับเอง
"เช่นนั้นดูแลตนเองด้วย"
"เอ่อ...ข-ขอรับ"
เมื่อพูดจบจึงรีบลุกและหันหลังเดินออกจากประตูไป จันเพิ่งเคยพูดเพราะกับไตรทศเป็นหนแรก คำว่า 'ขอรับ' เป็นคำที่ไตรทศได้ยินจากทาสในเรือนบ่อยครั้ง เป็นเพียงคำธรรมดา หากแต่เมื่อคนพูดคือชายหนุ่มที่ตนให้ความสนใจอย่างจันแล้วนั้น มันกลับพิเศษไปเสียทุกอย่าง

"อะไรกันวะ เมื่อกี้ยังสว่างอยู่เลยเหตุใดจึงมืดเร็วเช่นนี้" ชายหนุ่มบ่นกับตัวเองในขณะที่กำลังเดินกลับเรือนที่พักของตน ท้องฟ้าเริ่มมืดหนักเหมือนจะมีพายุเข้าอย่างใดอย่างนั้น
จันชะงักเมื่อเห็นว่าเบื้องหน้าตนมีชายฉกรรจ์ยืนดักอยู่ประมาณสาม-สี่คน ยามจะเดินเลี่ยงกลับโดนกันทางเอาไว้จนไม่สามารถเดินต่อไปได้
"มึงต้องการมีเรื่องหรือวะไอ้เข้ม? " ชายหนุ่มเอ่ยถามชายคนที่ตนเคยมีเรื่องด้วยในกลุ่มนั้น
"หากกูอยากมีเรื่องแล้วมันจะทำไมวะ? " มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนได้กลิ่นสุราที่ออกมาตามลมหายใจ จันเบือนหน้าหนีอย่างรังเกียจ
ไอ้เข้มเป็นนักเลงหัวไม้ที่จันเคยมีเรื่องด้วยและเป็นเจ้าของรอยฟกช้ำที่ไตรทศเคยถามหาสาเหตุเมื่อตอนที่มีเรื่องกับหมื่นเดชา
มันมีร่างกายใหญ่โตกว่าจันมาก ตามลำตัวมีแต่มัดกล้ามเพราะมันทำงานที่โรงสีและคอยแบกกระสอบข้าวเป็นประจำ ครั้งหนึ่งเคยมีเรื่องกันเพราะมันมาลวนลามบุหงาจนจันทนมิได้เลยทำให้ได้แผลทั้งสองฝ่าย
"มึงยังมิหลาบจำจากครั้งก่อนอีกรึ? " ชายหนุ่มยิ้มเยาะเมื่อนึกถึงความพ่ายแพ้ของอีกฝ่าย
"หึ ครั้งที่แล้วมันจะทำไม? ในเมื่อครั้งนี้มึงมิรอดแน่!"
พูดจบร่างใหญ่โตก็ปรี่เข้าหวังจะต่อยคนปากมากให้หน้าหงาย หากแต่จันหลบหลีกได้และสวนเข้าไปทำให้หมัดนั้นโดนหน้าอีกฝ่ายเข้าอย่างจัง
เมื่อโดนต่อยจนเลือดกลบปากทำเอาไอ้เข้มความโกรธขึ้นหน้า มันพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วจนจันตั้งหลักมิทัน หมัดหนักๆจากคนตัวโตกว่าพุ่งเข้าใส่กลางท้องน้อยเสียจนจุก
"อึก! "
ความจุกเข้าเล่นงาน เพราะร่างเล็กกว่าจึงทำให้จันทั้งเจ็บทั้งจุก เจ็บจนต้องงอตัวและกุมหน้าท้องเอาไว้ สองขาอ่อนแรงจนลงไปคุกเข่ากับพื้น
"หึ คนปากดีเยี่ยงมึงควรโดนแบบนี้แหละไอ้จัญไร! "
คำด่าทอทำเอาจันชะงัก ชื่อ 'จัน' ที่ผู้เป็นมารดาอันเป็นที่รักตั้งให้โดนย่ำยีอย่างมิมีชิ้นดี ซ้ำร้ายฝนฟ้ายังมิเป็นใจตกลงมากระทบแผ่นหลังที่กำลังงองุ้มเพื่อปกป้องตนเองจนเปียกไปหมด
"พวกมึงรู้หรือไม่วะว่าแม่ของมันเป็นเมียน้อย แล้วที่โดนไล่ตะเพิดออกมาจากเรือนใหญ่เพราะให้กำเนิดมันที่เป็น 'แม่เรือน' ฮ่าๆ”
ไอ้เข้มพูดไปหัวเราะไปด้วยความสะใจ
“กูว่าแม่มึงมิได้ตั้งชื่อให้มึงว่าจันดอก คงตั้งใจตั้งว่า ‘จัญไร’ เสียมากกว่า เพราะมึงทำให้แม่มึงเจอแต่ความฉิบหายไงไอ้จัน! "
แผลทางการหายได้แต่แผลทางใจช่างหายได้ยากนัก ความเจ็บที่ท้องเทียบมิได้กับความเจ็บที่ใจเลย น้ำฝนเย็นมิอาจชะล้างความโกรธในใจของจันได้
ความจริงเรื่องแม่ที่พึ่งได้ฟังจากปากของไอ้เข้มทำเอาจันจุกจนพูดมิออก จันมิเคยรู้เลยว่าที่แม่ต้องตกระกำลำบากก็เพราะตน ชายหนุ่มได้แต่นั่งคุกเข่าก้มหน้าให้ฝนชโลมไปตามร่างกายจนเปียกไปทั่วทั้งตัว
"มึงมีเรื่องจะพูดแค่นี้ใช่รึไม่? " เสียงสั่นเครือเอ่ยถามอีกคนที่ยืนค้ำหัวตน
"แล้วมึงจะทำไม? "
"กูจะได้เอาหมาออกจากมึง! "
จันใช้แรงฮึดสุดท้ายลุกขึ้นหมายจะต่อยเอาเลือดปากไอ้เข้มออกอีกครั้ง หากแต่มิง่ายดังความคิด ความเจ็บเข้าเล่นงานจนจันชะงักทำให้พวกเพื่อนของไอ้เข้มมาถึงตัวของจันเสียก่อน พวกมันใช้ท่อนแขนที่แบกกระสอบทุกวันจับตัวของจันไว้จนดิ้นไม่หลุด
"ขอโทษทีว่ะ แต่วันนี้มันเป็นวันของกู! "
ผั๊วะ!
หมัดหนักๆ ลอยเข้ามาหากรอบหน้าคมอย่างแรงจนหน้าหันไปตามแรงต่อย จันรู้สึกถึงความเค็มปร่าและรสสนิมของเลือดจากปากที่ปริแตกเพราะแรงต่อย
เพราะโดนจับเเขนไว้เเน่นจึงมิสามารถขยับไปไหนได้ โดนหมัดหนักๆต่อยเข้าที่หน้าและท้องจนร่างกายบอบช้ำ ไอ้เข้มต่อยไปที่ข้างเอวหลายทีและมันเป็นจุดที่มีรอยปานสีแดงที่ไตรทศเคยชมว่าสวย..
"หึ" จันแอบลอบยิ้มมุมปากทำให้ไอ้เข้มชะงัก
"มึงยังมีหน้ามาหัวเราะอีกหรือวะ!?”
"กูแค่สมเพชมึงเท่านั้น ตอนเคยมีเรื่องกันมึงคนเดียวมิอาจจะเอาชนะกูได้ มาตอนนี้มึงกลับเรียกพรรคพวกมาช่วยเสียแล้ว" เสียงพูดกระท่อนกระแท่นพูดออกมาอย่างอ่อนแรง
"ปากดีนักนะมึง! "
มันง้างมือจะต่อยอีกรอบ หากแต่มีเสียงหนึ่งดังขึ้นเสียก่อน
"หยุดบัดเดี๋ยวนี้! "
เสียงฝนที่ตกลงมามิอาจจะกลบเสียงของผู้พูดได้ จันเงยหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดขึ้นมอง สายตาพร่ามัวทำให้มองเห็นได้ยาก แต่จากเสียงแล้วคงเป็นคนที่จันมิเคยจะชอบขี้หน้า คนที่จันแอบด่าในใจบ่อยครั้ง..ไตรทศ
เมื่อเห็นสภาพของจันที่เพิ่งยิ้มให้ก่อนกลับในตอนนี้ทำเอาไตรทศแทบอยากจะบั่นคอพวกคนทำเสียให้หลุดออกจากบ่า มือหนากำดาบแน่นจนไอ้มิ่งที่ถือร่มให้ผู้เป็นนายแอบหวั่นว่าฝักดาบจะแตกเป็นเสี่ยงๆ มันมิเคยเห็นนายตนโกรธถึงเพียงนี้มาก่อน ชะตาขาดแล้วพวกเอ็ง..
"มึงอย่าเข้ามาแส่จะดีกว่า ไปซะหากมิอยากมีสภาพเป็นแบบมัน"
ไอ้เข้มพูดอย่างเหนือกว่า มันหารู้ว่าไม่ว่าคนที่มันกำลังปากดีด้วยคือ ไตรทศ บุตรชายของพระยาเกษมผู้ที่เป็นเจ้าของโรงสีที่มันทำงานอยู่และเป็นผู้ที่ทำให้มันมีที่ซุกหัวนอน คนฟังมิสนใจคำขู่เดินเข้าไปใกล้จนพวกนักเลงหัวไม้ชะงัก ในใจตอนนี้มีเพียงแค่ห่วงจันเท่านั้น
"มึงคงจะรู้จักกับมันสิท่า กูจะบอกให้ว่ามันเป็นแม่เรือนหาใช่ชายปกติไม่ คราวนี้มึงคงจะนึกรังเกียจมันแล้ว เช่นนั้นออกไปให้ไกลเสีย! "
ยิ่งฟังยิ่งทวีความโกรธ ไตรทศกำดาบในมือจนสั่นเทิ้มไปทั้งตัว จันได้ยินทุกคำพูดทุกคำครหาจากไอ้เข้ม ความลับที่ตนปิดบังมาทั้งชีวิตถูกเปิดเผยเสียแล้ว ในใจหวังให้ไตรทศรังเกียจตนและเดินจากไป อย่าได้ทำเป็นรู้จัก อย่าได้เข้ามาช่วย หันหลังกลับไปและไปใช้ชีวิตของตนเสีย
"จะเป็นอันใดข้าก็หาได้รังเกียจไม่ ข้ามิได้ตัดสินใครจากสิ่งที่เขาเป็น ข้าตัดสินเขาจากข้างใน แลนายจันผู้นี้เป็นผู้มีจิตใจดีมิใช่พวกอันธพาลเช่นพวกเอ็ง หากยังมิหยุดข้าจะชักดาบออกมาและหนึ่งในพวกเอ็งต้องหัวหลุดออกจากบ่า! "
สิ่งที่ไตรทศพูดมิใช่คำขู่หากแต่จะทำจริง จันรู้สึกใจชื้นเมื่อมีคนที่รู้ความจริงและมินึกรังเกียจตนเข้าให้แล้ว ใครจะคิดว่าคนที่ตนมิชอบหน้าจะมาปกป้องเสียขนาดนี้
"ฝากไว้ก่อนเถอะมึง! "
พวกไอ้เข้มรีบปล่อยมือจากแขนของจันจนร่างกายอันบอบช้ำแทบจะล้มทั้งยืน แต่เป็นเพราะไตรทศรีบเข้ามารับไว้จึงทำให้ยังสามารถยืนได้บ้าง ร่างหนาสำรวจตามหน้าและร่างกายของอีกคน ปากแตกจนมีเลือดไหลออกมา ตามหน้าก็มีแต่รอยฟกช้ำ ยามเสื้อขาวบางโดนฝนจึงทำให้เสื้อแนบกับเนื้อจนเห็นเป็นรอยช้ำสีเขียวเข้มได้ชัด
"ข้า.."
"อย่าพึ่งพูด กลับเรือนกับข้า" คราแรกคิดว่าจะประคองแต่ร่างกายของจันนั้นแทบจะยืนยังไม่ไหว
"เดี๋ยว! "
จะร้องห้ามก็มิทัน ไตรทศอุ้มจันขึ้นมากอดเอาไว้ในอ้อมแขน ร่างกายที่บอบช้ำปะทะกับอกแกร่งจนรู้สึกได้ถึงไออุ่นจากใครอีกคน
ความเจ็บมีมากมายหากแต่ความกระดากอายก็มากมิแพ้กัน ไอ้มิ่งมองเจ้านายมันอย่างอึ้งๆจนลืมกางร่มให้ทำให้ไตรทศตัวเปียกเหมือนกับจัน แต่เขาหาได้สนใจไม่เพราะตอนนี้สิ่งที่สนใจคือคนในอ้อมกอด
"มิ่ง ไปบอกข่าวตาคงว่าข้าจะดูแลและรักษาจันให้ อย่าได้ห่วง"
"ขอรับ" ไอ้มิ่งรับคำก่อนจะโค้งหัวให้ผู้เป็นนายแล้วรีบรุดไปที่วัดเพื่อแจ้งข่าว
หากมีคนมาเห็นภาพตอนนี้คงจะพากันขำ เพราะมันคือภาพที่หนุ่มตัวโตกำลังอุ้มชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่าไว้ในอ้อมแขน พาเดินตากฝนกลับเรือนด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จันแอบลอบมองหน้าไตรทศเป็นระยะ ใบหน้าคมมีฝนตกกระทบและไหลหยดลงมาที่ปลายคาง เป็นภาพที่หากแม่หญิงนางใดเห็นเข้าคงพากันอ่อนระทวยไปทั้งตัวแลหัวใจเป็นแน่ เพราะขนาดเป็นชายเช่นตน...ยังหวั่นไหวเลย
"มองข้าด้วยเหตุอันใดรึ?" ไตรทศจับได้เมื่อโดนอีกคนลอบมองบ่อยเข้า จันมิได้ตอบเพราะเจ็บตามปากไปหมดจนมิอยากเอ่ยวาจาอันใด
"พักเสียเถิด ซบอกข้าก็ได้ข้ามิถือ"
ไตรทศเดินไปพูดไป ฝนเริ่มซาแล้วหากแต่อากาศในยามเย็นนั้นช่างหนาวเย็นนัก คนในอ้อมแขนขยับหน้าเข้าหาอกแกร่ง เอาหน้าซบอกเพื่อหาไออุ่นจากร่างหนา
ไตรทศชะงักเล็กน้อยเมื่ออีกฝ่ายทำตามที่ตนพูด เจ้าเสือดุตอนนั้นกลับกลายเป็นแมวน้อยในอ้อมกอดไปเสียแล้ว
ใช้เวลามินานทั้งสองก็มาถึงเรือนของไตรทศ เหล่าทาสร้องเสียงหลงเมื่อเห็นว่าผู้เป็นนายตัวเปียกไปหมดทั้งตัว ทั้งในอ้อมแขนยังอุ้มเอาจันที่มีสภาพดูไม่ได้เอาไว้อีกด้วย ไตรทศอุ้มจันเข้าไปในห้องนอนของตน วางลงบนเตียงนอนอย่างมินึกรังเกียจ ทั้งที่ไตรทศนั้นหวงพื้นที่ส่วนตัวของตนเสียยิ่งกว่าอะไรดี
"อือ..." เสียงครางอื้ออึงจากคนที่กำลังนอนหลับตาดึงความสนใจของไตรทศที่กำลังยืนเปลี่ยนชุด
"มีใครอยู่ข้างนอกรึไม่?"
"เจ้าค่ะ" นางบัวรีบรุดเข้ามาในห้องเมื่อได้ยินนายเรียกหาทาสในเรือน
"ไปต้มน้ำอุ่นมา เอาผ้าขาวบางมาด้วย"
"เจ้าค่ะ" นางบัวก้มหน้ารับค่ำสั่งจากผู้เป็นนาย
ไตรทศเดินเข้าไปนั่งข้างเตียง มือหนาจัดการปลดกระดุมเสื้อของอีกคนออกจนเผยให้เห็นรอยฟกช้ำที่หน้าท้องสวย
เขาตำหนิตนในใจ หากตามไปเร็วกว่านี้จันคงมิต้องเจ็บหนักถึงเพียงนี้ ไตรทศเปิดเสื้อออกอย่างใจเย็น รอยแผลฟกช้ำมิอาจซ่อนรูปร่างที่ดูดีของจันเอาไว้ได้จนเขาลอบกลืนน้ำลายไปหลายที
"น้ำเจ้าค่ะ" เสียงนางบัวดึงสติของไตรทศกลับมา
"วางไว้ตรงหัวเตียง" ไตรทศพยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติมากที่สุด หากนางทาสเห็นว่าตนหน้าแดงคงยุ่งยากเป็นแน่
"ตายแล้ว! " นางบัวอุทานเมื่อเห็นรอยตามหน้าท้องแกร่ง "น่าเสียดายนะเจ้าค่ะ หน้าท้องสวยๆมีแต่รอยฟกช้ำไปหมด"
"อืม"
"โธ่พ่อรูปหล่อ แต่มิเป็นอันใดดอก อิฉันว่าอย่างไรพวกนางทาสคงมิมีปัญหา" นางบัวพูดอย่างเผลอตัว
"ทำไมหรือ? " ผู้เป็นนายถามด้วยความสงสัยในคำพูดของนางบัว
"ก็พวกมันชอบพ่อจันน่ะสิเจ้าคะ อิฉันก็ชอบเจ้าค่ะ..." นางบัวพูดด้วยท่าทีเหนียมอาย
"ออกไปได้แล้ว"
สายตาเย็นชาจากผู้เป็นนายทำเอานางบัวชะงักและรับรู้ถึงชะตากรรมของตน เห็นทีว่าตนกับนางทาสคนอื่นในเรือนคงต้องกินแห้ว เพราะนายจันผู้นี้โดนท่านไตรทศจองตัวไปเสียแล้ว
เมื่อทาสสาวออกไปไตรทศจึงหันกลับมาสนใจคนที่นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง จันหายใจถี่เมื่อไตรทศเอามาวางลงบนหน้าผากจึงรู้ว่าจันมีไข้ มือหนาเอาผ้าชุบน้ำอุ่นและบิดให้หมาดๆ เช็ดตามซอกคอและหน้าท้องที่มีแต่รอยฟกช้ำ จันแอบสะดุ้งเมื่อผ้าที่ชุบน้ำอุ่นมาโดนแผล
"เสน่ห์แรงเสียจริง" ไตรทศพูดไปเช็ดไป เมื่อเช็ดท่อนบนเสร็จก็ถึงคราวต้องเช็ดท่อนล่าง
"ข้าจะหัวใจวายไหมหนอ" พึมพำกับตนเองไปเรื่อย
ไอ้มิ่งที่กลับมานานแล้วและยืนอยู่หน้าประตูได้ยินเข้าเต็มสองหูจนไปมิเป็น รีบเดินหันหลังกลับไปที่เรือนทาสเพราะมิอยากอยู่เป็นก้างขวางคอ
มือหนาค่อยๆ ดึงปมของโจงกระเบนของอีกคนออก ดึงลงต่ำนิดหน่อยจนเห็นร่องกล้ามเป็นขีดสองขีดแถวท้องน้อย ดูแล้วช่างเร้าอารมณ์คนอายุมากกว่านัก
"อึก"
ไตรทศลอบกลืนน้ำลาย เลิกโจงกระเบนขึ้นจากด้านล่างจนขาอ่อนขาวเนียนปรากฏต่อสายตา ใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเช็ดลงบนขาอ่อน จันมิได้มีขนตามตัวเยอะเหมือนชายปกติ หากแต่ตามตัวนั้นนวลเนียนไปเสียหมด
"อะ อื้อ" เสียงครางกระเส่าจากคนที่กำลังนอนหลับตาทำเอาไตรทศใจเต้นมิเป็นจังหวะ
"จะฆ่าข้าทางอ้อมหรืออย่างไร..." ทุกคราที่เช็ดตามขาอ่อนจะมีเสียงครางดังขึ้นมาตลอดทุกการสัมผัส ไตรทศมือสั่นไปหมดเมื่อเสียงครางดังขึ้นยามที่เช็ดสูงขึ้นจนใกล้กับตรงส่วนนั้น..
"อ๊ะ..อ่า.."
ความอดทนขาดสะบั้นเมื่อผ้าบางส่วนเผลอไปโดน 'ส่วนนั้น' ใต้โจงกระเบนจนจันครางออกมาด้วยเสียงอันเย้ายวน
ไตรทศรีบหยุดมือและวางผ้าลงบนกะละมังน้ำอุ่น ใส่เสื้อผ้าที่แห้งแล้วให้จันก่อนจะเดินออกมาจากห้องนอน สูดหายใจเอาอากาศเข้าปอดเพื่อระบายความเห่อร้อนตามใบหน้า
"เกิดเหตุอันใดขึ้นหรือไม่เจ้าค่ะ?" นางบัวที่นั่งทำความสะอาดเรือนอยู่มิไกลรีบเดินเข้ามาถามผู้เป็นนายเมื่อเห็นว่าไตรทศสีหน้าไม่สู้ดีนัก
"มิมีอันใด" ไตรทศเสมองไปทางอื่นเพื่อกลบเกลื่อนหน้าที่กำลังขึ้นสี
"ตาเถร! อะ..อิฉันขอตัวเจ้าค่ะ"
นางบัวอุทานด้วยความตกใจก่อนจะเดินหนีไปจนไตรทศนึกสงสัยว่ามันตกใจอะไร ก้มลงสำรวจร่างกายของตนก่อนจะพบสิ่งที่ทำให้นางทาสตกใจ
บางสิ่งบางอย่างใต้โจงกระเบนที่ไตรทศใส่อยู่กำลังตื่นตัวอย่างเต็มที่จนเห็นเป็นรอยนูนเด่นชัดตามเนื้อผ้า
"เฮ้อ...จันหนอจัน เจ้าเด็กแสบ" ไตรทศกุมขมับทั้งยังอายเพราะโดนเห็นในสภาพนี้ไปเสียแล้ว
เขามิได้ตายด้านดังเช่นขุนไกรว่าไว้ หากแต่เพียงแค่รอใครสักคนมาปลดปล่อยอารมณ์กำหนัดในตัวเพียงเท่านั้น และดูเหมือนว่าจันจะเป็นคนผู้นั้นที่ทำให้เขาสามารถเป็นได้ถึงเพียงนี้ จันที่เป็นบุรุษเพศและเป็นคนที่ไตรทศรู้สึกพิเศษตั้งแต่แรกเห็น


















« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-12-2019 21:20:23 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ทำกับจันได้!!  :fire:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
ไอ้คนเลวววว บังอาจมาทำร้ายจันของคุณพี่ :fire:

ว่าแต่..คุณพี่ไตรเจ้าค่ะ.... /วิ่งปิดหน้าหนี  อร๊ายยย  :o8:

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๖

ไตรทศใช้เวลาหลายชั่วยามกว่าสิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนจะสงบลง เขาทั้งนั่งทำวัตรเย็น ทั้งนั่งสมาธิแต่กว่าสมองจะนำภาพของจันที่กำลังนอนเปลือยท่อนบนและเกือบเปลือยท่อนล่างออกไปจากความคิดได้ก็กินเวลาไปเสียนาน จนไอ้มิ่งนึกสงสัยว่าครึ้มฟ้าครึ้มฝนอันใดเหตุใดนายของมันจึงเข้าไปในห้องพระเสียตั้งนานสองนาน
"แฮ่ม...ไปเตรียมน้ำต้มฟ้าทะลายโจรไว้เสียไอ้มิ่ง" ไตรทศกระแอมไอบอกนายทาสที่กำลังยืนมองตนที่พึ่งเดินออกมาจากห้องพระ
"ขอรับ" มันค้อมหัวให้ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องเก็บสมุนไพรเพื่อนำใบของต้นฟ้าทะลายโจรมาต้ม
เจ้าของเรือนเดินกลับห้องของตนอย่างเชื่องช้าเพราะใจกลัวว่าจันจะนอนในท่าทีแปลกๆจนตนมิสามารถทานทนได้อีก แต่เมื่อกวาดสายตามองเข้าไปในห้องก็เห็นว่าจันนั้นนอนในท่าปกติดีมิได้นอนในท่าวาบหวิวอย่างที่ตนคิดแต่อย่างใด
ไตรทศถอนหายใจอย่างแผ่วเบาก่อนจะเดินย่างกรายไปนั่งลงข้างเตียงไม้สักอีกครา เพ่งพินิศมองใบหน้าที่ทั้งหล่อและสวยในคราวเดียวกัน รอยฟกช้ำมิอาจปิดบังใบหน้าที่ดูดีนี้ได้
เขาใช้นิ้วเรียวปัดเส้นผมที่บดบังใบหน้าของอีกฝ่ายออกอย่างถนอมเพราะมิอยากรบกวนให้อีกคนตื่นจากนิทรา ใบหน้ายามหลับของจันมีสีหน้าบูดเบี้ยวชั่วขณะเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่กำลังรบกวนการนอนของตน คิ้วที่ย่นเข้าหากันทำเอาไตรทศนึกเอ็นดูมิน้อย
ยามตื่นกลายเป็นแมวซน ยามหลับกลับกลายเป็นแมวน้อยที่แสนจะน่ารัก
"อื้อ"
ชายหนุ่มที่กำลังหลับตาพริ้มครางอื้ออึงเมื่อไตรทศใช้มือลูบไปที่แก้มนวลอย่างเผลอตัว เมื่ออีกฝ่ายส่งเสียงประท้วงจึงรีบชักมือกลับ จันลืมตาตื่นเพราะรับรู้ถึงสัมผัสที่แก้มตน
"ตื่นแล้วรึ" ไตรทศพยายามทำสีหน้าให้เรียบนิ่งมากที่สุดเพราะมิอยาดถูกจับได้ว่าตนได้เผลอละลาบละล้วงจันไปเล็กน้อย
"อื้อ" คนบาดเจ็บพยุงตัวลุกขึ้นนั่ง
"ข้าวต้มเสร็จแล้วเจ้าค่ะ"
นางบัวเดินถือถาดไม้ที่ใช้รองถ้วยข้าวต้มร้อนๆ เข้ามาในห้องนอน ไตรทศเอ่ยสั่งเอาไว้ก่อนที่จะเดินเข้าไปในห้องพระ สีหน้านางบัวเหมือนกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเพราะเหตุการณ์ก่อนหน้าแต่ไตรทศก็ได้หาสนใจไม่
"วางไว้บนโต๊ะไม้ข้างเตียง"
"เจ้าค่ะ"
มันเดินกรีดกรายเข้ามาด้วยท่าทีเหนียมอายทั้งยังส่งสายตาให้จันที่นั่งมองอยู่ด้วยท่าทีเชื้อเชิญ
ไตรทศนึกแปลกใจจึงหันไปมองจันบ้าง หน้าท้องที่มีกล้ามเนื้อประปรายปรากฎต่อสายตาเจ้าของห้องทันที
คงเพราะจันอาจจะนอนดิ้นบางครา จึงทำให้กระดุมหลุดออกจากรังดุม เผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบที่มีเพียงกล้ามเนื้อ
"แฮ่ม" ผู้เป็นนายกระแอมเมื่อเห็นว่านางทาสตัวดีลวนลามแขกของตนด้วยสายตา
นางบัวรีบกุลีกุจอวางถาดไม้ลงอย่างเบามือก่อนจะรีบหันหลังกลับเดินหนีออกไปจากห้องเมื่อมันหันไปมองเห็นว่านายของตนนั้นส่งสายตาว่ามิพอใจในกริยาของมันเพียงใด
"กินข้าวต้มปลานี่เสียหน่อย"
"ข้ามิมีแรง.." จันเอ่ยด้วยเสียงเหนื่อยอ่อน เพราะเรี่ยวแรงที่มีหายเข้ากลีบเมฆไปหมดสิ้นแล้วเนื่องจากมีแผลและรอยฟกช้ำไปทั่วตัว ทำให้ยากต่อการขยับ
"เดี๋ยวข้าป้อน"
"แต่-"
"อย่าดื้อสิจัน"
คนอายุมากกว่ามิฟังคำทัดทานแม้แต่น้อย เอื้อมมือไปหยิบช้อนหยกที่วางอยู่ข้างถ้วยข้าวต้ม ตักให้พอดีคำอย่างบรรจง ลงมือเป่าให้เพื่อบรรเทาความร้อนก่อนจะยื่นไปจ่อที่ปากสีระเรื่อของคนที่นั่งมองอยู่
จันรับเข้าปากอย่างมิอิดออดเพราะรู้ดีว่าเถียงไตรทศไปก็เท่านั้นทั้งตนยังรู้สึกหิวอยู่มากโข
ไตรทศตักอีกคำ เป่าให้หายร้อนก่อนจะยื่นไปใกล้ปากของจันอีกครา ครั้นยามจันจะอ้าปากรับเขากลับชักช้อนกลับและกินเข้าไปเสียเอง
"อ่ะ-" จันมองตามช้อนข้าวต้มที่อยู่ดีๆก็โดนชักกลับ
"หึ" ไตรทศยิ้มอย่างได้ใจเมื่อแกล้งอีกคนได้สำเร็จ
"แกล้งข้า! " ชายหนุ่มทำหน้าหงุดหงิดเมื่อตนโดนเจ้าของห้องแกล้งเข้าให้
"อย่างอนข้าเลยหนา" ไตรทศมองคนบาดเจ็บทำใบหน้าง้องอนด้วยความนึกเอ็นดู สีหน้าแมวขู่ปรากฏบนใบหน้าของอีกฝ่ายอีกครั้ง
จันชะงักเมื่ออยู่ๆไตรทศก็ยื่นมือมาเช็ดที่ริมฝีปากตนอย่างกะทันหันจนตั้งตัวมิทัน เมื่อนิ้วของอีกฝ่ายมาโดนจึงทำให้แสบแผลที่มุมปากเล็กน้อยจนนิ่วหน้า เมื่อไตรทศรู้ว่าจันเจ็บจึงรีบชักมือออก
"ข้าวต้มมันติดตรงมุมปากออเจ้า ข้าทำออเจ้าเจ็บรึ? "
"แค่นี้เองข้ามิเป็นอันใดดอก ไกลหัวใจนัก" คนเจ็บพูดอวดตนเพราะมิอยากให้ไตรทศมองว่าเขาอ่อนแอจนมิมีความเป็นชายชาตรี
"รู้หรือไม่ ออเจ้ามิจำเป็นต้องทำตัวเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้หากอยากจะอ่อนแอบ้างมันคงมิเสียหายอะไร"
"ข้ามิได้ทำตัวเข้มแข็ง! " คนเจ็บทำหน้าบึ้งตึงเมื่อโดนจี้เข้าที่จุดความรู้สึก
"กระนั้นดอกรึ" ไตรทศอ่อนใจกับคนดื้อรั้น จันนั้นหัวแข็งหากจะโน้มน้าวก็คงเป็นไปได้ยาก สงสัยเจ้าตัวจะชินกับการปกปิดความรู้สึกเพราะโตมาด้วยการถูกสอนให้เข้มแข็ง
"ออเจ้าอย่าบอกใครได้รึไม่? " สีหน้าของจันหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"เรื่องอะไรหรือ? "
"เรื่องที่ข้า...เป็นแม่เรือน" ชายหนุ่มนั่งก้มหน้ามิกล้ามองสีหน้าของไตรทศ มือจับผ้าห่มไว้มั่นเพื่อระบายความรู้สึกอัดอั้นในอก
"จันเอ๋ย ข้ามิมีเหตุผลที่จะต้องไปบอกใครอื่นดอกหนา"
ไตรทศถือวิสาสะยื่นมือไปลูบลงบนกลุ่มผมสีดำขลับของคนตรงหน้า นอกจากจันจะมิปฏิเสธสัมผัสจากไตรทศแล้วเจ้าตัวยังขยับศีรษะเพื่อถูผมเข้ากับมือหนาอีกด้วย หากมองดูก็คงเหมือนแมวตอนออดอ้อนมิมีผิด
"ข้ากลัวว่าหากมีคนรู้แล้วเขาจะรังเกียจข้า เพราะจากที่ที่ข้าจากมา...ทุกคนล้วนมองข้าเป็นตัวประหลาด"
ยิ่งฟังไตรทศยิ่งสงสารจันจับจิต แม่เรือนนั้นหากเกิดกับสตรีเพศก็คงมิผิดแปลก แต่หากเกิดกับบุรุษเพศแล้วไซร้คงมิพ้นคนรังเกียจและนินทา
บุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนจะมีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในพันคนเพียงเท่านั้นทั้งบุรุษเพศที่เป็นแม่เรือนยังโดนกล่าวหาว่าเป็นกาลกิณีมิควรมีไว้ในเรือนจึงมิแปลกที่จันจะอยากปิดบังเรื่องนี้ไว้
"ทุกคนก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ข้าหาได้มองว่าแม่เรือนผิดแปลกไปจากคนอื่นๆ "
"ข้ารู้แต่ข้า.."
"ออเจ้าคิดมากเรื่องคำพูดของไอ้เข้มงั้นรึ? " คนฟังใจกระตุกเมื่อไตรทศรับรู้ถึงสิ่งที่ตนคิดได้ราวกับว่าอ่านใจตนเองออก
"..."
"มิมีมารดาผู้ใดมิรักลูกของตนดอกหนา"
จันเงยหน้าขึ้นมองไตรทศ คนอายุมากกว่าหาได้มองเขาด้วยสายตาเวทนาแต่กลับมองด้วยสายตาเข้าใจและเอ็นดู
"ทั้งชื่อที่ตั้งก็ยังไพเราะหาได้หมายถึง จัญ-" ไตรทศหยุดคำพูดเพราะคำที่จะพูดนั้นช่างแสลงหูเขาเหลือเกิน
"...จัญไร" จันเป็นคนพูดเองเสีย สีหน้าของชายหนุ่มหมองลงอย่างเห็นได้ชัด
"มิใช่"
ไตรทศใช้มือแกร่งประคองใบหน้าหล่อเหลาของอีกคนขึ้น จ้องลึกเข้าไปในดวงตาเศร้าหมองก่อนจะพูดเพื่อยืนยันว่าวาจาที่ตนเอ่ยนั้นออกมาจากใจจริง
"จัน มีได้หลายความหมาย ทั้งลูกจันที่มีสีเหลืองนวลและกลิ่นชวนให้ลิ้มลอง หรืออาจจะหมายถึงพระจันทร์ที่ผู้คนทั่วพระนครไม่ว่าจะรวยหรือจนก็ต้องเหลียวขึ้นมองทั้งยังสว่างไสวไปทั้งคืน"
แลคงจะหมายถึงจันทร์กระพ้อในความหมายของพี่ ไตรทศคิดในใจแต่มิอาจเอ่ยออกไป
"กระนั้นรึ" สีหน้าของคนเจ็บดูดีขึ้นมาบ้าง
"จันหนอจัน ชื่อของเจ้าไพเราะถึงเพียงนี้อย่าได้เอาความคิดมิดีมาคิดมากเลยหนา มารดาของออเจ้าคงรักออเจ้ามากกว่าสิ่งใด การที่ออเจ้าเกิดมาลืมตามองโลกใบนี้คือเครื่องพิสูจน์แล้วว่ามารดาของออเจ้ารักออเจ้าเพียงใด มิใช่หรือ? "
เหมือนกำแพงความเข้มแข็งพังทลาย ข้อสงสัยหายไปจากใจของชายหนุ่มผู้กล้าแกร่ง ภายในใจไหวสั่นอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความอัดอั้น
"มันมิเป็นอันใดดอกหนาหากออเจ้าจะทำตัวอ่อนแอเวลาอยู่กับข้า"
เมื่อพูดจบร่างของชายหนุ่มวัยยี่สิบโถมเข้าหาคนที่อายุมากกว่าถึงสิบปี ทิ้งทิฐิ ทิ้งความละอายและเย่อหยิ่ง เหลือไว้เพียง ‘จัน’ ชายหนุ่มที่ยังเป็นหนุ่มน้อยในสายตาของไตรทศ
ไหล่เล็กกว่าไหวสั่นจากแรงสะอื้นไห้ ไตรทศถือโอกาสนี้โอบกอดรอบคนที่มีกายเล็กกว่าตนพร้อมทั้งลูบหลังเพื่อปลอบประโลมคนเจ็บและใช้มืออีกข้างลูบลงบนกลุ่มผมสีดำอย่างทะนุถนอม รู้ตัวอีกทีจันก็เผลอหลับไปในอ้อมกอดของตนเสียแล้ว
ไตรทศค่อยๆ ประคองร่างของจันให้นอนลงอย่างเบามือก่อนที่ตนจะนอนลงข้างๆเพื่อคอยดูอาการเพราะตัวของจันร้อนมากกว่าเดิมจากพิษไข้เขาจึงคอยใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตามขมับและข้อพับให้มิห่างเพื่อระบายไอร้อนจากร่างกายของอีกคน
เฝ้ามองใบหน้าที่ตนหลงไหลอยู่อย่างนั้นครั้นเมื่อจะลุกเพื่อไปนอนในห้องรับรองแขกกลับทำมิได้เพราะโดนจันนอนทับแขนเอาไว้
"เห็นทีพี่คงต้องนอนกับออเจ้าเสียแล้วกระมัง" พูดด้วยน้ำเสียงเหนื่อยใจแต่ปากกลับยิ้มกระหยิ่มจนหากใครมาเห็นคงพากันหมั่นไส้
กลางดึก
"อึก" จันนอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้กำเริบ เหงื่อกาฬชื้นไปทั้งสรรพางค์กายจนเสื้อที่ใส่แนบชิดไปกับผิว
"จัน"
ร่างสูงลุกขึ้นนั่งใช้มือทาบลงบนหน้าผากมน ความร้อนดั่งไฟสุมทำเอาไตรทศตื่นตระหนกรีบเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากเพื่อระบายความร้อนจากกาย
"จัน เจ้าตื่นเถิด มากินยาเสียหน่อย"
คนที่นอนอยู่ไร้ปฏิกิริยา ยาที่ต้มจากใบฟ้าทลายโจรที่ไอ้มิ่งนำเข้ามาให้ยังวางอยู่ใกล้เตียงเพราะไตรทศเผื่อเอาไว้ในสถานะการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
"แฮ่ก..." คนป่วยหอบหายใจถี่แรงกว่าเดิม
"จัน.." ไตรทศพยายามปลุกแต่จันก็มิตอบสนอง
"นะ..หนาว" เหงื่อกาฬผุดตามขมับ อุณภูมิร่างกายขึ้นสูงแต่จันกลับบ่นว่าหนาว
"ออเจ้าอย่าว่าข้าฉวยโอกาสเลยหนา"
ไตรทศยกแก้วยาต้มขึ้นดื่มแต่มิกลืน ประกบปากลงไปประทับจูบกับคนที่นอนเหงื่อท่วม ใช้มือข้างที่ว่างจับคางไว้เพื่อเปิดปากของจันให้น้ำต้มยาแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย
รสของฟ้าทะลายโจรผู้ใดก็รู้ดีว่ามีรสขมแต่แปลกที่รสที่ไตรทศสัมผัสได้กลับมีรสหวานละมุนเข้าแทรกรสขมของตัวยาจนเขานึกแปลกใจ ริมฝีปากนุ่มทำเอาไตรทศอดใจที่จะกัดลงไปเบาๆ มิได้ คนใต้ร่างสั่นไหวเหมือนลูกแมวที่ไร้ทางสู้
"แฮ่ก.." จันหอบหายใจเมื่อคนบนร่างถอนปากออกจากกัน
"หวาน.."
ไตรทศเลียริมฝีปาก มองไปที่คนใต้ร่างที่ตอนนี้ริมฝีปากนั้นบวมเจ่อ ใบหน้าหล่อขึ้นสีและสายตาหยาดเยิ้มเพราะพิษไข้ทำเอาคนอายุมากกว่าแทบจะคุมความกำหนัดของตนมิได้
"พักเสียเถิดหนา ก่อนที่ข้า...จะอดใจมิได้"
ไตรทศนอนลงข้างๆ จัน กอดร่างคนป่วยเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว ดึงผ้ามาห่มให้และจัดแจงท่านอนให้ก่อนที่จะหลับไปพร้อมกัน
เช้าวันต่อมา
คนบาดเจ็บขยับกายอย่างยากลำบาก สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาในห้องนอนจนต้องกับผิวกายจนเย็นเฉียบ ขยับหาไออุ่นจากคนบนเตียงเดียวกัน ซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งจนคนที่ตื่นอยู่ก่อนใจไหวสั่น ไตรทศนอนให้นิ่งที่สุดเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนเยอะๆจักได้หายดี
"อืม.."
จันค่อยๆ ลืมตาให้สายตาได้ปรับรับกับแสงจ้าจากหน้าต่าง รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ตนกำลังนอนเอาแก้มแนบมาทั้งคืน มันมิใช่ที่นอนหากแต่เป็นอกแกร่งของเจ้าของห้อง
"อ่ะ! " ชายหนุ่มพยายามลุกหนีแต่โดนอีกฝ่ายจับเอาไว้เสียก่อน
"ร่างกายยังมิหายดีอย่าพึ่งซนจะได้รึไม่? "
"ข-ข้ามานอนกับออเจ้าได้อย่างไร!? "
จันถามด้วยสีหน้าตกใจ เป็นชายแต่กลับมานอนกกแผ่นอกของชายด้วยกันมันน่าดูเสียที่ไหน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น มิหนำซ้ำคงมิมีหญิงใดอย่างได้เป็นผัว
"ออเจ้าป่วยข้าเลยต้องอยู่ดูแลอย่างไรเล่า"
สมองของจันค่อยๆนึกย้อนกลับไปช้าๆสิ่งสุดท้ายที่จำได้คือตน 'ร้องไห้' กับไหล่ของไตรทศ
ทันทีที่เหตุการณ์เมื่อวานตีตื้นย้อนคืนมาใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำกลับขึ้นสีแดงระเรื่อจนไตรทศสังเกตเห็นได้
"เอ่อ...คือข้า"
"ออกไปกินสำรับเถิด นางบัวเตรียมไว้แล้ว" ไตรทศเอ่ยขึ้นก่อนที่จันจะพูดอะไร
"ข้ามิหิว"
"ข้าได้ยินไอ้มั่นบอกว่าตาของออเจ้าก็มาด้วยหนา" ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนกำลังคิดถึงมาเยี่ยมถึงที่
"ข้าหิวแล้วก็ได้! " จันลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างลืมเจ็บแผล ไตรทศได้แต่มองตาม
"หึ เด็กหนอเด็ก" ยิ้มพลางส่ายหัวอย่างระอา
"ตาจ๋าา" ร่างที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำถลาเข้ากอดผู้เป็นตาที่นั่งอยู่บนชานเรือน ไตรทศที่เดินตามมาจึงเห็นภาพนั้นเข้าจนนึกเอ็นดูชายหนุ่ม
"ดูสิเนี่ย แผลเต็มตัวไปหมด หากมิได้ท่านไตรทศไปช่วยเอ็งคงนอนตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว" ผู้เป็นตาออกปากบ่นหลานทันทีที่เจอหน้า
"โธ่ตาก็ ข้ามิตายง่ายๆดอกจ้ะ หากข้าตายตาคงเหงาแย่" จันกอดตาคงด้วยท่าทีออดอ้อนอย่างมิสนใจสายตาของเจ้าของเรือนอย่างไตรทศ
"ดูรึแผลก็เต็มหน้า ความหล่อที่ได้จากข้าไปหายไปจนหมดสิ้น"
"ตา~" ไตรทศลอบยิ้มกับการหยอกล้อของตาหลาน พลันต้องหุบยิ้มลงเมื่อจันหันมามอง
"ปากก็แตกเสียหมด"
"ก็มันต่อยข้าตรงมุมปากนี่จ้ะ" จันพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
"แล้วตรงกลางปากนี่เล่าไปได้แต่ใดมา" ตาคงจับปลายคางของหลานชายหันไปมาและเพ่งมองอย่างพินิจ คำพูดของตาคงทำเอาใจไตรทศตกไปที่ตาตุ่ม
"แผลที่ไหนกันจ้ะ" จันหันไปมองคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆอย่างพินิจ
"อ้าว ท่านไตรทศก็มีแผลที่เดียวกับเอ็งด้วยมิใช่ เฮ้อ...ขออภัยท่านด้วยหนาที่หลานข้ามันก่อเรื่อง"
คำทักท้วงของตาคงทำเอาไอ้มิ่งที่นั่งอยู่มิห่างหันขึ้นมองนายของมัน เป็นอย่างที่ตาคงว่า ริมฝีปากของทั้งสองมีแผลที่เดียวกัน มันจำได้ว่าไอ้จันมิมีแผลที่ตรงนี้ หากให้เดาแล้วนายของมันกับไอ้จันคง...
"ตายโหงแล้ว! " มันอุทานออกมาอย่างลืมตัว "อ-เอ่อ มิมีอันใดขอรับ" ไอ้มิ่งรีบก้มหน้านั่งนิ่งตามเดิม
"วันนี้ที่ข้ามาคือข้าจะมาเยี่ยมหลานชายแลอยากฝากฝังมันไว้กับท่านไตรทศสักเจ็ดวันเพราะข้าจะไปละโว้เลยมิได้อยู่ดูแลมัน จะได้หรือไม่? "
"ได้สิ ข้ายินดี" เหล่าทาสในเรือนพากันตกใจ ร้อยวันพันปีไตรทศมิเคยให้ผู้ใดมาพักที่เรือนตนแม้กระทั้งเพื่อนรักอย่างขุนไกรก็ยังมิเคย
"ตา! "
"เออข้าอยู่นี่ จะเรียกทำไมวะ? " จันทำสีหน้าตกใจ จะให้มาอยู่ชายคาเดียวกันกับคนที่ตนมิชอบขี้หน้ารึ เป็นไปมิได้!
"จะให้ข้าอยู่กับไอ้- อยู่กับท่านไตรทศได้อย่างไรจ้ะ ข้าขอไปด้วยนะจ้ะ" ชายหนุ่มใช้ลูกไม้ออดอ้อนผู้เป็นตา
"มิได้ เอ็งยังมิหายดี อยู่ที่นี่ก็ห้ามดื้อห้ามซนเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเขาเข้าใจรึไม่? "
ดูเหมือนลูกไม้ที่ชอบใช้ประจำจะมิได้ผลกับครานี้เสียแล้ว จันหันไปมองไตรทศที่กำลังทำหน้าระรื่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพราะหมั่นไส้เสียเต็มประดา ไตรทศหาได้เกรงกลัวไม่ กลับชอบใจเวลาจันแยกเขี้ยวใส่เพราะดูแล้วก็คล้ายแมวขู่
"จ้ะ" ชายหนุ่มก้มหน้างุด
"ข้าลาแล้วหนาท่านไตรทศ ขอบน้ำใจท่านมากที่ดูแลมันแทนข้า"
"ขอรับ" ไตรทศตอบอย่างนอบน้อม ถึงจนจะมีศักดิ์สูงกว่าตาคงแต่ก็หาได้ละทิ้งมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่
หลังตาคงออกจากเรือนไปจันก็มานั่งเล่นที่ท่าน้ำเพราะเบื่อบรรยากาศบนเรือนและอยากใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไหนจะเรื่องที่ตนไปร้องห่มร้องไห้ให้ศัตรูหัวใจอย่างไตรทศเห็น มีหวังไตรทศคงเอาไปพูดกับแม่พิกุลจนตนเสียคะแนนเป็นแน่
"ออเจ้ามานั่งทำการอันใดที่ตรงนี้?" เสียงนุ่มสุขุมที่จันมิเคยชอบพูดขึ้น
"ทำไม ข้านั่งที่ตรงนี้มิได้หรือ? "
 ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหาเรื่อง หากไตรทศมิชอบตนขึ้นมาตนอาจจะได้กลับกระท่อมไปอยู่คนเดียวเสียจะได้มิต้องอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน
"ได้สิ...เหตุใดจะมิได้"
ไตรทศยืนเอามือไพล่หลังก้มมองอีกคนที่กำลังนั่งเอาเท้าแช่น้ำเหมือนเด็กน้อย กับผู้อื่นจันนั้นช่างทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแต่กับเขาจันกลับทำตัวกระด้างจนเขาอ่อนใจ
"แล้วออเจ้ามาทำอันใดรึ? " จันเอี้ยวตัวหันกลับไปมองไตรทศที่ยืนค้ำหัวตนอยู่
"ที่นี่เป็นที่ประจำของข้ายามอยากพักจากเรื่องราวปวดหัวทั้งหลาย" จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
"เอ่อ ออเจ้าอย่าบอกผู้อื่นได้รึไม่เรื่องที่้ข้า...ร-ร้องไห้" พูดไปก้มหน้าไปเพราะกลัวว่าไตรทศจะเห็นสีหน้าที่กระดากอายของตน
"ได้ แต่มีข้อแม้" นั่นประไรเป็นอย่างที่จันคิดไว้ไม่มีผิด
"ข้อแม้อันใด? "
"ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไตรทศ" คนฟังทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะชนกัน ให้เรียกศัตรูหัวใจพี่งั้นหรือ?
ขอตายดีกว่า
"มิมีทาง" จันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตนนั้นตัวเตี้ยกว่าไตรทศ
"แล้วเรื่องที่ออเจ้าร้องไห้เล่า มิกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้หรอกหรือ? " ไตรทศทำหน้าตายียวนคนฟัง จันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตนนั้นตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว
"ก็ได้ๆ! ข้าจะเรียกออเจ้าว่า พะ..." คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น จันกระดากอายที่จะพูดออกมา
"ว่า? "
"พี่ไตรทศ..."
ใบหน้าหล่อของจันเห่อร้อนจนขึ้นสี มือจับโจงกระเบนไว้มั่นเพื่อระบายความเขินอาย จันเอาแต่ก้มหน้าเพราะมิกล้าสู้สายตาของอีกฝ่าย มีหวังคงกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจเป็นแน่
"น่ารัก..." คำพูดเบาหวิวเหมือนลมดังขึ้น
"ออเจ้าว่ากระไร อ-อื้อ! "
ดวงตาของจันเบิกโพลงเมื่อโดนอีกคนใช้มือจับปลายคางและประกบปากจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส ด้วยความตกใจจึงเผลอเปิดปากพลางรับรู้ได้ถึงลิ้นร้อนที่ฉกฉวยเข้ามาภายใน
โดนมืออีกข้างของไตรทศกอดเอาไว้จนขยับมิได้ พยายามดิ้นก็มิหลุดจนเริ่มหมดแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของจันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย คนตัวสูงถอนจูบก่อนจะขบกัดลงเบาๆ บนริมฝีปากนุ่ม
"อื้อ! "
จันส่งเสียงอื้ออึงเพื่อประท้วง รับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดที่เกิดจากรอยปริแตกจากการโดนกัดมีหรือที่จันจะยอมชายหนุ่มจึงกัดตอบบ้างเพื่อให้ไตรทศถอยห่าง หากแต่ว่ากลับคิดผิดเพราะอีกคนกลับได้ใจและเริ่มจูบตนหนักกว่าเดิม
ภายนอกไตรทศช่างดูสุขุมนุ่มลึก มิมีท่าที่อันตราย แต่ภายในชายผู้นี้กลับร้อนรุ่มดังไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มลายสิ้นจันคิดผิดเสียแล้วที่กล้าท้าทายและลองดีกับชายผู้นี้
ไตรทศเริ่มผ่อนแรงจันจึงฉวยโอกาสผละออก ร่างหนาเรียกสติตนเองกลับคืนก่อนจะนึกตกใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาจำได้เพียงว่าตนได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของจัน ทันใดนั้นร่างกายก็มิฟังคำทัดทานอันใดอีกเลย มันทำตามแต่ที่หัวใจเรียกร้องว่าให้ฉวยโอกาสกับชายตรงหน้าเสีย
"แฮ่ก.." จันหอบตัวโยนเพราะขาดอากาศหายใจจากจูบอันเร่าร้อนเมื่อครู่
"จันคือ-"
"ข้าเกลียดออเจ้า! "
ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือน้อยนิดผลักไตรทศให้ออกห่างอย่างนึกรังเกียจก่อนจะวิ่งหนีออกมา ทั้งอาย ทั้งเจ็บใจที่ตนโดนกระทำจากบุรุษเพศด้วยกันเอง
 ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มและหลงไหลไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนในคราเดียวกันจนใจดวงน้อยไหวสั่น
ไตรทศมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตนได้เผลอล่วงเกินไปแล้วมีหวังชาตินี้จันอาจจะมิมีทางหันกลับมามองตนในทางที่ดีได้เป็นแน่ ไตรทศรู้ดีว่ากลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นคือ 'กลิ่นเสน่หา' ที่จะออกมาจากกายของแม่เรือนเมื่อใกล้ถึงช่วงฤดูหาคู่
สำหรับคนปกติคงจะมิมีผลแต่กลับผู้ที่เป็น 'พ่อเรือน' ที่ถูกสร้างให้ลุ่มหลงในตัวแม่เรือนอย่างไตรทศนั้นช่างยากที่จะทัดทาน 
เพราะบิดาและมารดาของไตรทศรู้เรื่องที่เขาเป็นพ่อเรือนเพราะสืบเชื้อสายจากผู้เป็นบิดา จึงสั่งให้เขามาอยู่ที่เรือนนี้เพียงผู้เดียวจะได้มิหลงกลิ่นของพวกทาสที่เป็นแม่เรือนในเรือนใหญ่จนเกิดปัญหาตามมา แต่หารู้ไม่ว่าเขานั้นได้รับดูแลแม่เรือนอย่างจันเอาไว้ใกล้ตัวถึงเพียงนี้
ระหว่างสำรับเย็นทั้งสองมิได้พูดคุยกัน ไอ้มิ่งมองนายของมันและจันสลับกันไปมาด้วยความฉงน ปกติจันคงพูดจ้อเป็นต่อยหอยไปแล้วแต่นี่กลับนั่งนิ่งจนมันนึกสงสัย
"น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" นางบัวทำหน้าที่ปรนนิบัติทั้งสองอย่างดีมิให้บกพร่อง มันลอบมองใบหน้าหล่อของจันอย่างชอบใจ คนอะไรยิ่งมองยิ่งดูดี
"ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยอย่างอ่อนน้อมก่อนจะรับขันเงินมาถือไว้ในมือก่อนที่มือจะสัมผัสกับมือของนางบัวเข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นางบัว
เคร้ง!
ไตรทศวางช้อนสีเขียวมรกตลงในถ้วยอาหารอย่างแรงจนนางบัวสะดุ้งโหยง มันรีบปล่อยมือออกจากขันและออกจากการกอบกุมของจัน
"นี่เรือนข้า ทำการอันใดก็สำรวมเสียบ้าง" ไตรทศเอ่ยดุอีกฝ่ายแต่จันหาได้สนใจไม่ กลับยกน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
"ข้าอิ่มแล้ว ขอตัว"
ตึง
จันวางขันเงินลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกมาจากที่รับประทานอาหาร ไตรทศมองตามอีกฝ่ายตาละห้อยใจก็อยากจะง้ออีกฝ่ายหากแต่ตนนั้นมิเคยง้อใครมาก่อนในชีวิต
เผลอพูดกระด้างไปเสียจนอีกฝ่ายมิอยากจะเสวนาด้วย ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไอ้มิ่งตลอดมันจึงรับรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังมีปัญหากับไอ้จันเป็นแน่
ภายในห้องทำงาน ไตรทศย้ายมานั่งทำงานอีกห้องเพื่อที่จันจะไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีตนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำ มีไอ้มิ่งคอยฝนหมึกให้อยู่มิไกล
"เอ่อ ท่านไตรทศขอรับ อย่าว่าไอ้มิ่งสู่รู้เลยนะขอรับ"
"มีอันใดก็ว่ามา" ไตรทศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"คือ...ท่านมีปัญหากับไอ้จันหรือขอรับ?" มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
"อืม"
"ข้ามีวิธีนะขอรับ"
"วิธีการอันใด? "
"แบบนี้ขอรับ..."
ไตรทศนั่งฟังทาสหนุ่มสาธยายมันยกตัวอย่างเวลาที่แม่หญิงที่มันเกี้ยวพากำลังงอนให้เขาฟังมากมาย ผู้เป็นนายตั้งใจฟังทาสหนุ่มพูดจ้อมิหยุด มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้สาระ
"ตอนนี้มันอยู่ที่ท่าน้ำขอรับ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะจะพูดคุยที่สุด"
"อืม" ไตรทศลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักก่อนจะเดินออกจากห้อง
ทางเดินระหว่างเรือนและท่าน้ำค่อนข้างที่จะมืดสนิทหากแต่คืนนี้พระจันทร์สุกสกาวเต็มดวงทำให้ไตรทศสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้มิยาก เขาเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อมิให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหนีไปเสียก่อน หากแต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของจัน
สายตาเฉียบคมหันไปเห็นกองผ้าที่ริมน้ำ ทันใดนั้นเสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จันเสยผมที่ปรกหน้าตนเองขึ้น ตามอกและหน้าท้องมีหยดน้ำเกาะ ยามต้องแสงจันหยดน้ำเหล่านั้นเป็นประกายระยิบระยับทำให้จันแลดูเหมือนพรายน้ำหนุ่มมิมีผิดเพี้ยน
รอยปานรูปดอกไม้สีแดงเห็นชัดที่้ขางเอวคอดราวสตรีเพศ แม้นไตรทศจะเคยเช็ดตัวให้จันตอนเป็นไข้ แต่มันเทียบกับครานี้มิได้แม้แต่น้อย
"อึก" ไตรทศกลืนน้ำลายเหนียวๆ ลงคอ ก่อนจะรีบเดินกลับมารอจันที่บันไดขึ้นเรือนแทน เพราะหากอยู่ตรงนั้นนานคงมิพ้นหัวใจวายตายเป็นแน่
จันชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนยืนถือตะเกียงอยู่ที่ใต้บันไดขึ้นเรือน คิดจะหันหลังกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ก่อน
"ประเดี๋ยวก่อนจัน" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่จรดเส้นผมตนตอนที่อีกฝ่ายหายใจเข้าออก
"มีอันใดก็รีบพูด" จันพูดด้วยน้ำเสียงห้วนเพื่อตัดรำคาญ
"พี่ขอโทษ"
กึก
ใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยคำขอโทษออกมา เสียงนุ่มและทุ้มเปล่งออกมาในขณะที่ไตรทศก้มลงมาพูดกระซิบข้างหูของจัน จันกอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอาไว้กับอกแน่นพร้อมทั้งกัดปากเพื่ออัดอั้นความรู้สึกในอก
"พี่ขอโทษที่ล่วงเกินออเจ้าไปแบบนั้น พี่ผิดไปแล้วจริงๆ" ไอ้มิ่งบอกว่าหากอยากจะขอโทษผู้ใดก็ต้องรู้สึกผิดจากใจจริงเสียก่อน และไตรทศเองก็ทำเช่นนั้น
"..." จันยังคงยืนนิ่ง
"พี่ผิดไปแล้ว ออเจ้ายกโทษให้พี่ได้หรือไม่? " ไตรทศพูดด้วยใจที่ไหวสั่น ใจนึงก็กลัวจันจะเกลียดตนและวิ่งหนีไปอีกใจก็อยากรั้งไว้มิอยากให้ไกลห่าง
"ย่อมได้ ข้ามิถือโทษออเจ้าก็ได้"
"จริงรึ" ไตรทศยิ้มออกเมื่อได้รับการให้อภัย
"แต่ออเจ้าต้องไปนอนที่ห้องอื่น"
"แต่-"
"มิมีข้อแม้ทั้งสิ้น" ไตรทศรีบสงบปากสงบคำทันที
"โธ่จัน..."
"ข้าขอตัว"
จันหันหลังกลับก่อนจะเดินผ่านไตรทศขึ้นเรือน เดินขึ้นบันไดไปได้มิกี่ขั้นจึงหันกลับมามองไตรทศที่กำลังยืนมองตนอยู่ตรงใต้บันไดเช่นกัน สองสายตาสอดประสานกันได้สักครู่จันจึงหันหลังกลับ
"ฝันดี...พี่ไตรทศ" เอ่ยเบาดังลมพัดก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป แต่ไตรทศได้ยินเต็มสองรูหู
"ฝันดีนะจัน" ไตรทศเอ่ยตอบอีกฝ่ายที่หายลับตาไปเสียแล้ว



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:15:49 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
กลางดึก

     "อึก" จันนอนกระสับกระส่ายเพราะพิษไข้กำเริบ เหงื่อกาฬชื้นไปทั้งสรรพางค์กายจนเสื้อที่ใส่แนบชิดไปกับผิว
     "จัน"

     ร่างสูงลุกขึ้นนั่งใช้มือทาบลงบนหน้าผากมน ความร้อนดั่งไฟสุมทำเอาไตรทศตื่นตระหนกรีบเอาผ้าชุบน้ำวางลงบนหน้าผากเพื่อระบายความร้อนจากกาย
     
     "จัน เจ้าตื่นเถิด มากินยาเสียหน่อย" คนที่นอนอยู่ไร้ปฏิกิริยา ยาที่ต้มจากใบฟ้าทลายโจรที่ไอ้มิ่งนำเข้ามาให้ยังวางอยู่ใกล้ๆเตียงเพราะไตรทศคิดเผื่อเอาไว้ในสถานะการณ์ฉุกเฉินเช่นนี้
     "แฮ่กก..." คนป่วยหอบหายใจถี่แรงกว่าเดิม
     "จัน.." ไตรทศพยายามปลุกแต่จันก็มิตอบสนอง
     "นะ..หนาว" เหงื่อกาฬผุดตามขมับ อุณภูมิร่างกายขึ้สูงแต่จันกลับบ่นว่าหนาว
     "ออเจ้าอย่าว่าข้าฉวยโอกาสเลยหนา"

     ไตรทศยกแก้วยาต้มขึ้นดื่มแต่ไม่กลืน ประกบปากลงไปประทับจูบกับคนที่นอนเหงื่อท่วม ใช้มือข้างที่ว่างจับคางไว้เพื่อเปิดปากของจันให้น้ำต้มยาแทรกซึมเข้าไปได้ง่าย รสของฟ้าทะลายโจรใครๆก็รู้ดีว่ามีรสขมแต่แปลกที่รสที่ไตรทศสัมผัสได้กลับมีรสหวานละมุนเข้าแทรกรสขมของตัวยาจนเขานึกแปลกใจไม่น้อย ริมฝีปากนุ่มทำเอาไตรทศอดใจที่จะกัดลงไปเบาๆมิได้ คนใต้ร่างสั่นไหวเหมือนลูกแมวที่ไร้ทางสู้

     "อื้อ.." จันหอบหายใจเมื่อคนบนร่างถอนปากออกจากกัน
     "หวาน.."

     ไตรทศเลียริมฝีปาก มองไปที่คนใต้ร่างที่ตอนนี้ริมฝีปากนั้นบวมเจ่อไม่น้อย ใบหน้าหล่อขึ้นสีและสายตาหยาดเยิ้มเพราะพิษไข้ทำเอาคนอายุมากกว่าแทบจะคุมความกำหนัดของตนไม่ได้

     "พักเสียเถิดหนา ก่อนที่ข้า...จะอดใจมิได้" ไตรทศนอนลงข้างๆจัน กอดร่างคนป่วยเอาไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะหนาว ดึงผ้ามาห่มให้และจัดแจงท่านอนให้ดีๆก่อนที่จะหลับไปพร้อมกัน
     
 
เช้าวันต่อมา

     คนบาดเจ็บขยับกายอย่างยากลำบาก สายลมเย็นพัดเอื่อยเข้ามาในห้องนอนจนต้องกับผิวกายจนเย็นเฉียบ ขยับหาไออุ่นจากคนบนเตียงเดียวกัน ซุกใบหน้าเข้าหาอกแกร่งจนคนที่ตื่นอยู่ก่อนใจไหวสั่น ไตรทศนอนให้นิ่งที่สุดเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนเยอะๆจะได้หายดี

     "อืม.." จันค่อยๆลืมตาให้สายตาได้ปรับรับกับแสงจ้าจากหน้าต่าง รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ตนกำลังนอนเอาแก้มแนบมาทั้งคืน มันมิใช่ที่นอนหากแต่เป็นอกแกร่งของเจ้าของห้อง
     "อ่ะ!" ชายหนุ่มพยายามลุกหนีแต่โดนอีกฝ่ายจับเอาไว้เสียก่อน
     "ร่างกายยังมิหายดีอย่าพึ่งซนจะได้รึไม่?"
     "ขะ ข้ามานอนกับออเจ้าได้อย่างไร!?"

     จันถามด้วยสีหน้าตกใจ เป็นชายแต่กลับมานอนกกแผ่นอกของชายด้วยกันมันน่าดูเสียที่ไหน รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น มิหนำซ้ำคงมิมีหญิงใดอย่างได้เป็นผัว

     "ออเจ้าป่วยข้าเลยต้องอยู่ดูแลอย่างไรเล่า"

     สมองของจันค่อยๆนึกย้อนกลับไปช้าๆ สิ่งสุดท้ายที่จำได้คือตน 'ร้องไห้' กับไหล่ของไตรทศ ทันทีที่เหตุการณ์เมื่อวานตีตื้นย้อนคืนมาใบหน้าหล่อที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำกลับขึ้นสีแดงระเรื่อจนไตรทศสังเกตเห็นได้

     "เอ่อ...คือข้า"
     "ออกไปกินสำรับเถิด นางบัวเตรียมไว้แล้ว" ไตรทศเอ่ยขึ้นก่อนที่จันจะพูดอะไร
     "ข้าไม่หิว"
     "ข้าได้ยินไอ้มั่นบอกว่าตาของออเจ้าก็มาด้วยหนา" ตาเบิกโพลงเมื่อได้ยินว่าคนที่ตนกำลังคิดถึงมาเยี่ยมถึงที่
     "ข้าหิวแล้วก็ได้!" จันลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องอย่างลืมเจ็บแผล ไตรทศได้แต่มองตาม
     "หึ เด็กหนอเด็ก" ยิ้มพลางส่ายหัวอย่างระอา

     "ตาจ๋าา" ร่างที่เต็มไปด้วยรอยฟกช้ำถลาเข้ากอดผู้เป็นตาที่นั่งอยู่บนชานเรือน ไตรทศที่เดินตามมาจึงเห็นภาพนั้นเข้าจนนึกเอ็นดุชายหนุ่มไม่น้อย
     "ดูสิเนี่ย แผลเต็มตัวไปหมด หากมิได้ท่านไตรทสไปช่วยเอ็งคงนอนตายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียแล้ว" ผู้เป็นตาออกปากบ่นหลานทันทีที่เจอหน้า
     "โธ่ตาก็ ข้ามิตายง่ายๆดอกจ้ะ หากข้าตายตาคงเหงาแย่" จันกอดตาคงด้วยท่าทีออดอ้อนอย่างมิสนใจสายตาของเจ้าของเรือนอย่างไตรทศ
     "ดูรึแผลก็เต็มหน้า ความหล่อที่ได้จากข้าไปหายไปจนหมดสิ้น"
     "ตาา" ไตรทศลอบยิ้มกับการหยอกล้อของตาหลาน พลันต้องหุบยิ้มลงเมื่อจันหันมามอง
     "ปากก็แตกเสียหมด"
     "ก็มันต่อยข้าตรงมุมปากนี่จ้ะ" จันพูดพลางทำหน้าบึ้งตึง
     "แล้วตรงกลางปากนี่เล่าไปได้แต่ใดมา" ตาคงจับปลายคางของหลานชายหันไปมาและเพ่งมองอย่างพินิจ คำพูดของตาคงทำเอาใจไตรทศตกไปที่ตาตุ่ม
     "แผลที่ไหนกันจ้ะ" จันหันไปมองคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆอย่างพินิจ
     "อ้าว ท่านไตรทศก็มีแผลที่เดียวกับเอ็งด้วยมิใช่ เห้อ ขออภัยท่านด้วยหนาที่หลานข้ามันก่อเรื่อง"

     คำทักท้วงของตาคงทำเอาไอ้มิ่งที่นั่งอยู่ไม่ห่างหันขึ้นมองนายของมัน เป็นอย่างที่ตาคงว่า ริมฝีปากของทั้งสองมีแผลที่เดียวกัน มันจำได้ว่าไอ้จันมิมีแผลที่ตรงนี้ หากให้เดาแล้วนายของมันกับไอ้จันคง...

     "ตายโหงแล้ว!" มันอุทานออกมาอย่างลืมตัว "อะ เอ่อ มิมีอันใดขอรับ" ไอ้มิ่งรีบก้มหน้านั่งนิ่งตามเดิม
     "วันนี้ที่ข้ามาคือข้าจะมาเยี่ยมหลานชายแลอยากฝากฝังมันไว้กับท่านไตรทศสักเจ็ดวันเพราะข้าจะไปละโว้เลยมิได้อยู่ดูแลมัน จะได้หรือไม่?"
     "ได้สิ ข้ายินดี" เหล่าทาสในเรือนพากันตกใจ ร้อยวันพันปีไตรทสมิเคยให้ผู้ใดมาพักที่เรือนตนแม้กระทั้งเพื่อนรักอย่างขุนไกรก็ยังมิเคย
     "ตา!"
     "เออข้าอยู่นี่ จะเรียกทำไมวะ?" จันทำสีหน้าตกใจ จะให้มาอยู่ชายคาเดียวกันกับคนที่ตนมิชอบขี้หน้ารึ เป็นไปไม่ได้! 
     "จะให้ข้าอยู่กับไอ้- อยู่กับท่านไตรทศได้อย่างไรจ้ะ ข้าขอไปด้วยนะจ้ะ" ชายหนุ่มใช้ลูกไม้ออดอ้อนผู้เป็นตา
     "ไม่ได้ เอ็งยังมิหายดี อยู่ที่นี่ก็ห้ามดื้อห้ามซนเป็นเด็กดีเชื่อฟังคุณเขาเข้าใจรึไม่?"

     ดูเหมือนลูกไม้ที่ชอบใช้ประจำจะมิได้ผลกับครานี้เสียแล้ว จันหันไปมองไตรทศที่กำลังทำหน้าระรื่นก่อนจะแยกเขี้ยวใส่เพราะหมั่นไส้เสียเต็มประดา ไตรทศหาได้เกรงกลัวไม่กลับชอบใจเวลาจันแยกเขี้ยวใส่ดูแล้วก็คล้ายแมวขู่

     "จ้ะ" ชายหนุ่มก้มหน้างุด
     "ข้าลาแล้วหนาท่านไตรทศ ขอบน้ำใจท่านมากที่ดูแลมันแทนข้า"
     "ขอรับ" ไตรทศตอบอย่างนอบน้อม ถึงจนจะมีศักดิ์สูงกว่าตาคงแต่ก็หาได้ละทิ้งมารยาทที่ผู้น้อยพึงมีต่อผู้ใหญ่

     หลังตาคงออกจากเรือนไปจันก็มานั่งเล่นที่ท่าน้ำเพราะเบื่อบรรยากาศบนเรือนและอยากใช้เวลาคิดทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ไหนจะเรื่องที่ตนไปร้องห่มร้องไห้ให้ศัตรูหัวใจอย่างไตรทศเห็น มีหวังไตรทศคงเอาไปพูดกับแม่พิกุลจนตนเสียคะแนนเป็นแน่

     "ออเจ้ามานั่งทำการอันใดที่ตรงนี้" เสียงนุ่มสุขุมที่จันมิเคยชอบพูดขึ้น
     "ทำไม ข้านั่งที่ตรงนี้มิได้หรือ?" ชายหนุ่มเอ่ยอย่างหาเรื่อง หากไตรทสมิชอบตนขึ้นมาตนอาจจะได้กลับกระท่อมไปอยู่คนเดียวเสียจะได้ไม่ต้องอยู่ที่นี่ถึงเจ็ดวัน
     "ได้สิเหตุใดจะมิได้" ไตรทศยืนเอามือไพล่หลังก้มมองอีกคนที่กำลังนั่งเอาเท้าแช่น้ำเหมือนเด็กน้อย กับผู้อื่นจันนั้นช่างทำตัวน่ารักน่าเอ็นดูแต่กับเขาจันกลับทำตัวกระด้างจนเขาอ่อนใจ
     "แล้วออเจ้ามาทำอันใดรึ?" จันเอี้ยวตัวหันกลับไปมองไตรทศที่ยืนค้ำหัวตนอยู่
     "ที่นี่เป็นที่ประจำของข้ายามอยากพักจากเรื่องราวปวดหัวทั้งหลาย" จันพยักหน้าเป็นเชิงว่าเข้าใจ
     "เอ่อ ออเจ้าอย่าบอกผู้อื่นได้รึไม่เรื่องที่้ข้า...ระ ร้องไห้" พูดไปก้มหน้าไปเพราะกลัวว่าไตรทศจะเห็นสีหน้าที่กระดากอายของตน
     "ได้ แต่มีข้อแม้" นั่นประไรเป็นอย่างที่จันคิดไว้ไม่มีผิด
     "ข้อแม้อันใด?"
     "ออเจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่ไตรทศ" คนฟังทำหน้านิ่วจนคิ้วแทบจะชนกัน ให้เรียกศัตรูหัวใจพี่งั้นหรือขอตายดีกว่า
     "ไม่มีทาง" จันลุกขึ้นยืนเต็มความสูง แล้วก็ต้องหงุดหงิดเมื่อเห็นว่าตนนั้นตัวเตี้ยกว่าไตรทศ
     "แล้วเรื่องที่ออเจ้าร้องไห้เล่า มิกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้หรอกหรือ?" ไตรทศทำหน้าตายียวนคนฟัง จันกัดฟันกรอดเมื่อรู้ว่าตนนั้นตกหลุมพรางของคนเจ้าเล่ห์เข้าเสียแล้ว
     "ก็ได้ๆ! ข้าจะเรียกออเจ้าว่า พะ..." คำพูดติดอยู่ที่ปลายลิ้น จันกระดากอายที่จะพูดออกมามิน้อย 
     "ว่า?"
     "พี่ไตรทศ..." ใบหน้าหล่อของจันเห่อร้อนจนขึ้นสี มือจับโจงกระเบนไว้มั่นเพื่อระบายความเขินอาย จันเอาแต่ก้มหน้าเพราะมิกล้าสู้สายตาของอีกฝ่าย มีหวังคงกำลังยิ้มเยาะอย่างได้ใจเป็นแน่
     "น่ารัก..." คำพูดเบาหวิวเหมือนลมดังขึ้น
     "ออเจ้าว่ากระไร- อะ อื้อ!"

     ดวงตาของจันเบิกโพลงเมื่อโดนอีกคนใช้มือจับปลายคางและประกบปากจูบลงมาอย่างฉวยโอกาส ด้วยความตกใจจึงเผลอเปิดปากพลางรับรู้ได้ถึงลิ้นร้อนที่ฉกฉวยเข้ามาภายใน โดนมืออีกข้างของไตรทศกอดเอาไว้จนขยับมิได้ พยายามดิ้นก็ไม่หลุดจนเริ่มหมดแรง ลิ้นร้อนสอดเข้ามาเกี่ยวกับลิ้นของจันจนเกิดเสียงเฉอะแฉะน่าอาย คนตัวสูงถอนจูบก่อนจะขบกัดลงเบาๆบนริมฝีปากนุ่ม
     
     "อื้อ!"

     จันส่งเสียงอื้ออึงเพื่อประท้วง รับรู้ได้ถึงรสชาติของเลือดที่เกิดจากรอยปริแตกจากการโดนกัดมีหรือที่จันจะยอมชายหนุ่มจึงกัดตอบบ้างเพื่อให้ไตรทศถอยห่าง หากแต่ว่ากลับคิดผิดเพราะอีกคนกลับได้ใจและเริ่มจูบตนหนักกว่าเดิม ภายนอกไตรทศช่างดูสุขุมนุ่มลึก มิมีท่าที่อันตราย แต่ภายในชายผู้นี้กลับร้อมรุ่มดังไฟที่พร้อมจะแผดเผาทุกสิ่งให้มลายสิ้นจันคิดผิดเสียแล้วที่กล้าท้าทายและลองดีกับชายผู้นี้

     ไตรทศเริ่มผ่อนแรงจันจึงฉวยโอกาสผละออก ร่างหนาเรียกสติตนเองกลับคืนก่อนจะนึกตกใจกับการกระทำของตนเมื่อครู่ เขาจำได้เพียงว่าตนได้กลิ่นหอมออกมาจากกายของจัน ทันใดนั้นร่างกายก็มิฟังคำทัดทานอันใดอีกเลย มันทำตามแต่ที่หัวใจเรียกร้องว่าให้ฉวยโอกาสกับชายตรงหน้าเสีย

   จันหอบตัวโยนเพราะขาดอากาศหายใจจากจูบอันเร่าร้อนเมื่อครู่
     "จันคือ-"
     "ข้าเกลียดออเจ้า!"

     ชายหนุ่มใช้แรงที่เหลือน้อยนิดผลักไตรทศให้ออกห่างอย่างนึกรังเกียจก่อนจะวิ่งหนีออกมา ทั้งอาย ทั้งเจ็บใจที่ตนโดนกระทำจากบุรุษเพศด้วยกันเอง ยิ่งไปกว่านั้นคือเกลียดตัวเองที่เผลอเคลิบเคลิ้มและหลงไหลไปกับรสจูบที่อีกฝ่ายมอบให้ มันทั้งอ่อนโยนและเร่าร้อนในคราเดียวกันจนใจดวงน้อยไหวสั่น

     ไตรทศมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ตนได้เผลอล่วงเกินไปแล้วมีหวังชาตินี้จันอาจจะมิมีทางหันกลับมามองตนในทางที่ดีได้เป็นแน่ ไตรทศรู้ดีว่ากลิ่นที่ได้กลิ่นนั้นคือ 'กลิ่นเสน่หา' ที่จะออกมาจากกายของแม่เรือนเมื่อใกล้ถึงช่วงหาคู่ สำหรับคนปกติคงจะมิมีผลแต่กลับผู้ที่เป็น 'พ่อเรือน' ที่ถูกสร้างให้ลุ่มหลงในตัวแม่เรือนอย่างไตรทศนั้นช่างยากที่จะทัดทาน

     เพราะบิดาและมารดาของไตรทศรู้เรื่องที่เขาเป็นพ่อเรือนเพราะสืบเชื้อสายจากผู้เป็นบิดา จึงสั่งให้เขามาอยู่ที่เรือนนี้เพียงผู้เดียวจะได้มิหลงกลิ่นของพวกทาสที่เป็นแม่เรือนในเรือนใหญ่จนเกิดปัญหาตามมา แต่หารู้หรือไม่ว่าเขานั้นได้รับดูแลเเม่เรือนอย่างจันเอาไว้ใกล้ตัวถึงเพียงนี้



     ระหว่างสำรับเย็นทั้งสองมิได้พูดคุยกัน ไอ้มิ่งมองนายของมันและจันสลับกันไปมาด้วยความฉงน ปกติจันคงพูดจ้อเป็นต่อยหอยไปแล้วแต่นี่กลับนั่งนิ่งจนมันนึกสงสัย

     "น้ำลอยดอกมะลิเจ้าค่ะ" นางบัวทำหน้าที่ปรนนิบัติทั้งสองอย่างดีมิให้บกพร่อง มันลอบมองใบหน้าหล่อของจันอย่างชอบใจ คนอะไรยิ่งมองยิ่งดูดี
     "ขอบใจจ้ะ" จันเอ่ยอย่างอ่อนน้อมก่อนจะรับขันเงินมาถือไว้ในมือก่อนที่มือจะสัมผัสกับมือของนางบัวเข้า ส่งสายตาหยาดเยิ้มให้นางบัว

     เคร้ง!

     ไตรทศวางช้อนสีเขียวมรกตลงในถ้วยอาหารอย่างแรงจนนางบัวสะดุ้งโหยง มันรีบปล่อยมือออกจากขันและออกจากการกอบกุมของจัน

     "นี่เรือนข้า ทำการอันใดก็สำรวมเสียบ้าง" ไตรทศเอ่ยดุอีกฝ่ายแต่จันหาได้สนใจไม่ กลับยกน้ำฝนขึ้นดื่มอย่างไม่ยี่หระ
     "ข้าอิ่มแล้ว ขอตัว"

     ตึง

     จันวางขันเงินลงบนโต๊ะก่อนจะลุกออกมาจากที่รับประทานอาหาร ไตรทศมองตามอีกฝ่ายตาละห้อยใจก็อยากจะง้ออีกฝ่ายหากแต่ตนนั้นมิเคยง้อใครมาก่อนในชีวิต เผลอพูดกระด้างไปเสียจนอีกฝ่ายมิอยากจะเสวนาด้วย ทุกการกระทำอยู่ในสายตาไอ้มิ่งตลอดมันจึงรับรู้ได้ทันทีว่านายของมันกำลังมีปัญหากับไอ้จันเป็นแน่

     ภายในห้องทำงาน ไตรทศย้ายมานั่งทำงานอีกห้องเพื่อที่จันจะไม่ได้อึดอัดเวลาที่มีตนอยู่ใกล้ๆ ชายหนุ่มนั่งเขียนบันทึกเรื่องราวไปเรื่อยอย่างที่ชอบทำ มีไอ้มิ่งคอยฝนหมึกให้อยู่ไม่ไกล

     "เอ่อ ท่านไตรทศขอรับ อย่าว่าไอ้มิ่งสู่รู้เลยนะขอรับ"
     "มีอันใดก็ว่ามา" ไตรทศพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
     "คือ...ท่านมีปัญหากับไอ้จันหรือขอรับ" มันพูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆ
     "อืม"
     "ข้ามีวิธีนะขอรับ"
     "วิธีการอันใด?"
     "แบบนี้ขอรับ..."

     ไตรทศนั่งฟังทาสหนุ่มสาธยายมันยกตัวอย่างเวลาที่แม่หญิงที่มันเกี้ยวพากำลังงอนให้เขาฟังมากมาย ผู้เป็นนายตั้งใจฟังทาสหนุ่มพูดจ้อมิหยุด มีทั้งที่เป็นประโยชน์และไร้สาระ

     "ตอนนี้มันอยู่ที่ท่าน้ำขอรับ ตอนกลางคืนเป็นเวลาที่เหมาะจะพูดคุยที่สุด"
     "อืม" ไตรทศลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้สักก่อนจะเดินออกจากห้อง

     ทางเดินระหว่างเรือนและท่าน้ำค่อนข้างที่จะมืดสนิทหากแต่คืนนี้พระจันทร์สุกสกาวเต็มดวงทำให้ไตรทศสามารถมองเห็นทางข้างหน้าได้มิยาก เขาเดินอย่างเงียบเชียบเพื่อมิให้อีกฝ่ายไหวตัวทันและหนีไปเสียก่อน หากแต่เมื่อมาถึงกลับไร้วี่แววของจัน

     สายตาเฉียบคมหันไปเห็นกองผ้าที่ริมน้ำ ทันใดนั้นเสียงน้ำกระเซ็นดังขึ้นปรากฎเป็นภาพของชายหนุ่มโผล่พ้นขึ้นมาเหนือผิวน้ำ จันเสยผมที่ปรกหน้าตนเองขึ้น ตามอกและหน้าท้องมีหยดน้ำเกาะ ยามต้องแสงจันหยดน้ำเหล่านั้นเป็นประกายระยิบระยับทำให้จันแลดูเหมือนพรายน้ำหนุ่มมิมีผิดเพี้ยน รอยปานรูปดอกไม้สีแดงเห็นชัดที่้ขางเอวคอดราวสตรีเพศ แม้นไตรทศจะเคยเช็ดตัวให้จันตอนเป็นไข้ แต่มันเทียบกับครานี้มิได้แม้แต่น้อย

     "อึก" ไตรทศกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ ก่อนจะรีบเดินกลับมารอจันที่บันไดขึ้นเรือนแทน เพราะหากอยู่ตรงนั้นนานคงมิพ้นหัวใจวายตายเป็นแน่

     จันชะงักเมื่อเห็นว่ามีใครอีกคนยืนถือตะเกียงอยู่ที่ใต้บันไดขึ้นเรือน คิดจะหันหลังกลับแต่กลับโดนอีกฝ่ายเรียกเอาไว้ก่อน

     "เดี๋ยวก่อนจัน" เสียงเรียกดังขึ้นพร้อมกับเสียงฝีเท้าขยับเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่จรดเส้นผมตนตอนที่อีกฝ่ายหายใจเข้าออก
     "มีอันใดก็รีบพูด" จันพูดด้วยน้ำเสียงห้วนเพื่อตัดรำคาญ
     "พี่ขอโทษ"

กึก

     ใจกระตุกเมื่ออีกฝ่ายเอื้อยเอ่ยคำขอโทษออกมา เสียงนุ่มและทุ้มเปร่งออกมาในขณะที่ไตรทศก้มลงมาพูดกระซิบข้างหูของจัน จันกอดเสื้อผ้าที่ใส่แล้วเอาไว้กับอกแน่นพร้อมทั้งกัดปากเพื่ออัดอั้นความรู้สึกในอก

     "พี่ขอโทษที่ล่วงเกินออเจ้าไปแบบนั้น พี่ผิดไปแล้วจริงๆ" ไอ้มิ่งบอกว่าหากอยากจะขอโทษใครก็ต้องรู้สึกผิดจากใจจริงเสียก่อน และไตรทสเองก็เป็นเช่นนั้น
     "..." จันยังคงยืนนิ่ง
     "พี่ผิดไปแล้ว ออเจ้ายกโทษให้พี่ได้หรือไม่?" ไตรทศพูดด้วยใจที่ไหวสั่น ใจนึงก็กลัวจันจะเกลียดตนและวิ่งหนีไปอีกใจก็อยากรั้งไว้มิอยากให้ไกลห่าง
     "ย่อมได้ ข้ามิถือโทษออเจ้าก็ได้"
     "จริงรึ" ไตรทศยิ้มออกเมื่อได้รับการให้อภัย
     "แต่ออเจ้าต้องไปนอนที่ห้องอื่น"
     "แต่-"
     "มิมีข้อแม้ทั้งสิ้น" ไตรทศรีบสงบปากสงบคำทันที
     "โธ่จัน"
     "ข้าขอตัว"

     จันหันหลังกลับก่อนจะเดินผ่านไตรทศขึ้นเรือน เดินขึ้นบันไดไปได้ไม่กี่ขั้นจึงหันกลับมามองไตรทศที่กำลังยืนมองตนอยู่ตรงใต้บันไดเช่นกัน สองสายตาสอดประสานกันได้สักครู่จันจึงหันหลังกลับ

     "ฝันดี...พี่ไตรทศ" เอ่ยเบาดังลมพัดก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป แต่ไตรทศได้ยินเต็มสองรูหู
     "ฝันดีนะจัน" ไตรทศเอ่ยตอบอีกฝ่ายที่หายลับตาไปเสียแล้ว


___________

#หอมเจ้าจัน

   
     

     

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โถ่คุณพี่น้อตหลุด

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
ใกล้ฤดูหาคู่แล้ว

ออฟไลน์ lovenine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 250
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-1
  ชอบ มาต่อไวๆ เน้อ เยิฟ ^^

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
เสน่หารุมเร้าจน คุณพี่อดใจไหว เผลอไปกินปากน้องเจ้า
ตะบะคงแตกในเร็ววันนี้  :hao7:

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๗

"ขุนไกร"
"ว่าอย่างไรสหายรัก"
"ข้ามีเรื่องจะปรึกษาเอ็ง"
"ว่ามา"
"บุรุษเพศกับบุรุษเพศ...เขาร่วมรักกันอย่างไรวะ?"
พรวด!
น้ำชาที่ขุนไกรพึ่งยกขึ้นดื่มไปถูกพ่นออกมาจนหมดสิ้นเมื่อได้รับคำถามที่มิคาดคิดจากไตรทศที่เป็นทั้งเพื่อนรักและเพื่อนตายที่โตมาด้วยกันตั้งแต่ยังอยู่ในท้องแม่ เพราะมารดาของขุนไกรนั้นเป็นเพื่อนสนิทกับแม่ของไตรทศอีกทีทำให้พวกเขาเจอกันตั้งแต่ยังไม่ลืมตาออกมาดูโลก
"เอ็งถามไปทำไมรึ!? " ขุนไกรหยิบเอาผ้าเช็ดปากขึ้นมาเช็ดตามรอยที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำชา มองเพื่อนตนด้วยสายตาฉงน
"ข้าชอบจัน" ข้อนี้ขุนไกรมองออกตั้งนานแล้วว่าไตรทศมีใจให้นายจันผู้นี้
"แล้ว? "
"ก็ไม่ทำไม ข้าแค่อยากศึกษาไว้ เผื่อในภายภาคหน้าข้าอาจจะได้...ได้ร่วมหอกับจัน"
ขุนไกรถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อล่วงรู้ถึงความคิดเพื่อนของตน เขาดูก็รู้ว่าจันชอบพอแม่พิกุลทั้งยังมิสนใจหันมาแลบุรุษเพศด้วยกันเป็นแน่
"เอ็งก็รู้ว่าจันมิได้ชื่นชอบไม้ป่าเดียวกัน"
"อืม"
"และคนที่จันชอบพอนั้นก็คือแม่พิกุล"
"อืม"
"เป็นเช่นนี้แล้วเอ็งจะยังคิดชอบจันอยู่รึ"
"ชอบ"
"..."
"จะยังไงข้าก็ชอบ" ชอบไปแล้ว จะทำอย่างไรได้นอกจากชอบต่อไป

"ป้าอิ่มทำกระไรอยู่หรือจ้ะ"
ชายหนุ่มที่พึ่งหายดีจากแผลหมาดๆ เดินเข้ามายังเรือนครัวที่อยู่มิไกลเรือนพักของไตรทศมากนัก ใช้เวลาแค่สามวันจันก็สนิทสนมกับเหล่าทาสในเรือนแทบจะทุกคนเพราะพวกทาสในเรือนต่างเห็นว่าจันน่ารักและอัธยาศัยดีน่าคบหา ทั้งยังเป็นเด็กน่ารักพูดจาเจื้อยแจ้วช่างเจรจา นอกจากจะหล่อเหลาเอาการแล้วยังพูดเพราะเสียด้วย
"วันนี้ข้าทำแกงกะทิใส่ยอดมะพร้าว"
"โห แค่ได้ยินชื่อข้าก็หิวแล้ว" จันทำท่าลูบท้องเพื่อสื่อว่าตนหิว ป้าอิ่มหัวหน้าแม่ครัวยิ้มอย่างเอ็นดู
"ข้ามีหลานสาวอยู่คนหนึ่งสวยมากเลยหนา มันเองก็ทำกับข้าวอร่อยเหมือนข้า หากเอ็งได้เป็นแม่ของลูกคงจะดีมิน้อย"
นางอิ่มเริ่มสาธยายความดีของหลานสาวตนเองอีกครั้ง สื่อเป็นนัยว่าอยากได้จันมาเป็นหลานเขยใจจะขาด
"ข้าก็มีหลานสาวนะโว้ยอีอิ่ม เอ็งมิได้มีหลานสาวอยู่เพียงผู้เดียว" นางเพียร ทาสที่อายุเยอะพอๆกับนางอิ่มพูดขึ้น
"เงียบไปเลยอีเพียร คนนี้กูจองให้หลานกู"
"คนนี้กูก็จอง" หลังจากนั้นทาสแก่ทั้งสองก็เถียงกันไปมาจนเสียงดังไปทั่ว
"โอ๊ยๆ พอเลยพวกป้า พี่จันเขาเป็นของข้าต่างหาก ใช่ไหมจ้ะพี่? "
นางบัวที่ถูกตาต้องใจจันมาตั้งแต่แรกเดินเข้ามากอดแขนออเซาะด้วยมารยาร้อยเล่มเกวียน จนทาสแก่ทั้งสองที่กำลังเถียงกันหันมาด่านางบัวแทน
"เหอะ มีกี่ผัวแล้วล่ะเอ็ง"
"ป้ารู้รึไม่ว่าแม่ข้าก็อายุมากพอๆ กับพวกป้า"
"แล้วอย่างไรวะ?"
"แม่ข้ามิเห็นจะพูดมากเหมือนพวกป้าเลย"
"เอ๊ะอีนี่! " ทั้งสองหันมาจวกนางบัวแทน หมายจะจับหมอฟาดปากเสียให้เข็ดแต่มันกลับวิ่งแจ้นหนีไปเสียก่อน
"ปากจัดพอๆ กับแม่มิมีผิดเพี้ยน" เหล่าทาสก็แบบนี้ ทั้งปากจัด ทั้งรุนแรง แต่สุดท้ายก็รักกันดี จันได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา
"มาแล้วๆ " ทั้งสามหันไปมองตามเสียงที่ดังมาแต่ไกล เห็นว่าคนมาใหม่คือไอ้มิ่งทาสคนสนิทของไตรทศที่พึ่งกลับมาจากตลาดเล็ก
"ได้อะไรมาบ้างวะไอ้มิ่ง?"
"ได้ไก่กับปลามาจ้ะป้าอิ่ม" มันชูห่อใบตองขึ้น ข้างในคงเป็นเนื้อไก่และปลานิลที่นางอิ่มวานให้ไปหาซื้อมา
"เออดี วันนี้ข้าจะทำปลานึ่ง"
"จ้ะป้า" ไอ้มิ่งวางห่อใบตองลงบ่นแคร่ไม้ไผ่ หันมาสนใจจันที่ยืนมองอยู่
"เอ็งหายดีแล้วรึ? " มันสำรวจใบหน้าคม รอยฟกช้ำเลือนลางจนมองแทบจะมิเห็นแล้ว
"หายแล้ว"
"เออ แสดงว่ายาดีจริง"
"..."
"เอ็งต้องไปขอบน้ำใจท่านไตรทศเขาหนา ตัวยาหมดทีไรท่านก็อุตส่าห์ออกไปหาตัวยาเอง" จันคิดย้อนไปถึงเมื่อวานที่ไตรทศมิอยู่เรือนทั้งวัน
"ข้ามีเรื่องสงสัย"
"อะไรวะ? "
"ปกติเวลาเรียกคนมีศักดิ์ใหญ่โตมักจะเรียกยศนำหน้า เช่น ขุนไกร ที่มีตำแหน่งเป็น ขุน แต่ข้ามิเห็นว่าจะมีผู้ใดเรียกนายเอ็งด้วยยศเลยสักผู้เดียว"
"นี่เอ็งยังมิรู้อีกรึ"
"รู้กระไรวะ? "
"นายข้าหาได้มีศักดิ์อันใดไม่ ท่านมิได้รับราชการ"
ชายหนุ่มตกใจในคำตอบมิน้อย เป็นถึงลูกพระยาแต่มิรับราชการ? เห็นทีคงโดนชาวบ้านนินทาไปเจ็ดแปดคุ้งน้ำ ทั้งยังคงถูกเหยียดหยามเป็นแน่
"แล้ววันๆ นายเอ็งทำอะไรวะ"
"ท่านเป็นหมอยา"   
"หมอยา!? "
"ก็เออสิวะ ท่านเป็นหมอที่เก่งที่สุดในพระนครแล้วกระมัง" จันถึงกลับกระจ่างว่าเหตุใดไตรทศถึงรู้เรื่องตัวยาและสมุนไพรดีนัก
"หากเป็นเช่นนั้นนายเอ็งมิเคยโดนนินทารึ? "
"ห่วงข้ารึ" เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังทำเอาจันแทบสะดุ้งตัวโยน เมื่อหันไปดูจึงเห็นว่าเป็นไตรทศที่เดินเข้ามาดูเหล่าทาสในครัว
"ข-ข้าจะห่วงออเจ้าด้วยเหตุอันใดเล่า ฮ่าๆ" แสร้งหัวเราะกลบเกลื่อนไป แต่สายตานั้นกลับล่อกแล่กเสียจนอีกคนรู้ทัน
"ออเจ้าหายแล้วรึ" ชายอีกคนเดินเข้ามาเสริมทัพ จันยิ้มหน้าบานเมื่อเห็นว่าคนที่มาใหม่คือขุนไกร คนที่ตนนับถือเป็นพี่ชายคนหนึ่ง
"พี่ไกร!"
จันเดินผ่านไตรทศไปหาอีกคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง ขุนไกรเอ็นดูน้องชายของตนจึงยื่นมือมาลูบหัวของจันอย่างถนอม แต่ก็ต้องรีบเอามือออกเมื่อเห็นสายตาเพชฌฆาตจากไตรทศเพื่อนรัก
"ไหนดูทีฤา" ขุนไกรใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าของจันขึ้นอย่างเบามือ
"ข้ากลับมาหล่อแล้วใช่หรือไม่จ้ะ?"
"ใช่ เอ็งกลับมาหล่อแล้ว รอยช้ำก็เริ่มหายแล้ว ดีจริง"
ฝ่ามือใหญ่ลูบไปตามพวงแก้มเนียนอย่างเพลิดเพลิน ผิวพรรณของจันมิได้ขาวผ่องแบบสตรีเพศแต่ผิวสีน้ำผึ่งอ่อนๆนั้นกลับนวลเนียนน่าสัมผัส
"พี่รู้รึไม่ว่าพวกป้าๆ แย่งข้าไปเป็นหลานเขยกันใหญ่" ชายหนุ่มรีบโอ้อวดความหล่อเหลาของตนที่เป็นสาเหตุของการแก่งแย่งตนไปเป็นหลานเขย
"เห็นทีในมิช้า...คงได้ออกเรือน" ประโยคหลังขุนไกรช้อนตามองที่ไตรทศที่กำลังมองมาทางตนและจัน
"หน้าตาก็พอดูได้ หลงตัวเองเสียจริง" จันหันขวับไปตามเสียงพูดก็เห็นว่าไตรทศกำลังยืนกอดอกมอง
เหอะ! หล่อกว่าเท่าขี้เล็บทำเป็นคุยโว
"ข้าอาจจะหล่อมิเท่าพี่ไตร แต่ก็มีแต่คนอยากได้ไปเป็นหลานเขยนะจ้ะ มิเหมือนใครบางคน...แก่จนอายุปูนนี้ก็ยังมิมีเมีย"
คำว่าแก่ปักกลางอกคนฟัง แต่มิได้มีเพียงหนึ่ง กลับมีถึงสอง ทั้งไตรทศและขุนไกรที่อายุไล่เลี่ยกัน
คำว่าแก่พูดเบาๆ ก็เจ็บ

"ไอ้มิ่งเตรียมย่าม ข้าจะไปซื้อตำรายา"
"ขอรับ"
วันนี้เป็นวันที่ร้านหนังสืออาแปะชาวจีนแถบริมน้ำในตลาดใหญ่เปิดขายตำรับยาจีนที่สุดแสนจะหายากและนานๆทีจะมีสักครั้งเพราะหนังสือจีนกว่าจะข้ามน้ำข้ามทะเลมากับเรือสำเภาก็ต้องรออยู่หลายเดือน และเพลานี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดีเพราะหนังสือเล่มใหม่มาถึงร้านที่ว่าแล้ว
ในตลาดใหญ่บรรยากาศครึกครื้น ไตรทศเลือกที่จะมากับทาสหนุ่มคนสนิทสองคนเพราะอยากให้จันได้พักผ่อนอยู่ที่เรือน ทุกวันที่๕เดือน๕คือวันที่เรือสำเภาสินค้าจากจีนมาถึงพระนครทำให้ตลาดใหญ่มีของจากเมืองจีนมาขายมากมาย
ทั้งผ้าไหมผ้าแพร เครื่องประดับ เครื่องเทศ และหนังสือ แต่น้อยคนนักที่จะซื้อเพราะมิมีผู้ใดอ่านภาษาจีนออก หากแต่ไตรทศนั้นเคยร่ำเรียนมาครั้งเยาว์วัยจึงสามารถอ่านออกและเขียนได้อยู่บ้าง
"มาแล้วรึท่านไตรทศ เชิญเลือกเลยขอรับ หนังสือใหม่ๆ มาเยอะเชียว" แปะหลิวเจ้าของร้านหนังสือที่ไตรทศคุ้นเคยดีเดินเข้ามาต้อนรับ
ตาคมสาดส่องไปทั่วชั้นหนังสือ เขาให้ไอ้มิ่งรอด้านนอกเพราะมิอยากขัดหูขัดตาเวลาเลือกและชอบเดินเลือกผู้เดียวเสียมากกว่ามีคนคอยเดินตาม
หนังสือตำรับยาจีนมากมายหลายแขนงปรากฏต่อสายตาหมอยาหนุ่ม เขาบรรจงหยิบมาเปิดอ่านภายในเพียงชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจเลือกหยิบเล่มที่สนใจติดมือ เดินไปได้สักพักสายตาจึงสะดุดเข้ากับหนังสือที่ปกทำจากกระดาษหนาสีน้ำตาลอ่อนที่ขนาดเล่มหนาพอสมควร หน้าปกเขียนเป็นภาษาจีนถอดความได้ว่า "ตำรากามสูตร "
"อั๊ยหยา! เล่มนั้นมันมิใช่ตำรายาหนาท่านไตรทศ" อาแปะหลิวที่เดินปัดฝุ่นตามหนังสือทักขึ้นเมื่อคิดว่าไตรทศสับสนกับภาษาจีน
"นี่คือสิ่งใดรึ?" คนมีศักดิ์ถามอย่างสงสัยใคร่รู้ เพราะเขามิเคยเห็นหนังสือเช่นนี้มาก่อน
"มันคือตำรากามสูตร ภายใจเล่มมี เอ่อ...กระบวนท่าร่วมรักและวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขยามร่วมรักขอรับ"
ไตรทศพยักหน้า เปิดหนังสือดังกล่าวเพื่อดูภายใน ภาพวาดรูปคนสองคนที่กำลังร่วมรักกันปรากฎต่อสายตาจนเขาต้องรีบปิดลง สิ่งที่ตราตรึงหาใช่ท่าทางในภาพ หากแต่เป็นเพศของคนในภาพ คือชายและชาย..
"นี่คือ.." เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่น หน้าเริ่มขึ้นสีเมื่อนึกถึงภาพเมื่อครู่
"ในเล่มมีภาพประกอบเพื่อความเข้าใจขอรับ เล่มนี้เป็นแบบบุรุษเพศและบุรุษเพศด้วยกันเองท่านคงมิชอบ ประเดี๋ยวข้าจะไปหาเล่มฉบับปกติให้ขอรับ"
แปะหลิวทำท่าจะเดินออกไป
"รอเดี๋ยว"
"..."
"ข้าจักเอาเล่มนี้"

"เดี๋ยวกระผมถือให้ขอรับ" ไอ้มิ่งยื่นมือไปทำท่าจะรับย่ามจากผู้เป็นนาย หากแต่ไตรทศขยับหนี
"มิต้อง เดี๋ยวข้าถือเอง" หากให้มันถือคงมิวายเห็นตำรากามสูตรเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่เป็นแน่
"เอ่อ ขอรับ" ไอ้มิ่งก้มหัวให้ผู้เป็นนาย มันเกาหัวด้วยความงุนงง
พอกลับมาถึงเรือนไตรทศจึงรีบเดินเข้าห้องรับแขกภายในเรือน เพราะตั้งแต่คืนที่จันบอกว่าจะนอนคนเดียวไตรทศก็มิได้กลับไปนอนห้องของตนอีกเลย
ไอ้มิ่งเห็นนายมันดูรีบเดินผิดปกติจึงคิดว่านายของมันตื่นเต้นที่มีหนังสือเรื่องยาเล่มใหม่มาอ่าน แต่มันหารู้ไม่ว่าที่เขารีบเป็นเพราะรออ่านตำรากามสูตรมิไหว
ประตูไม้สักถูกปิดลงจากคนที่อยู่ภายในอย่างรวดเร็ว ไตรทศจัดการจัดเรียงหนังสือที่ซื้อมาอย่างถนอมและรอมาอ่านทีหลังเพราะตอนนี้มีอีกเล่มสำคัญกว่าตำรายาเสียแล้ว
มือหนาค่อยๆเปิดตำรากามสูตรออกทีละแผ่นอย่างแผ่วเบาราวกลับกลัวมันขาด เมื่อเปิดจึงเห็นชื่อผู้วาดและผู้เขียนอธิบาย
"บทที่ 1 การเตรียมพร้อม ภายในชายช่างคับแคบและยุ่งยากกว่าสตรีเพศ หากล่วงล้ำโดยมิได้ตระเตรียมอาจเกิดการบาดเจ็บและฉีกขาดจนเลือดตกยางออกได้ สิ่งที่คู่รักพึงกระทำคือการเล้าโลมและปลอบประโลมอย่างใจเย็น มิควรอุกอาจกระทำรุนแรงจนเกินไป"
สายตาคมเพ่งพินิจตั้งใจอ่านสิ่งที่อยู่ในตำรา
"เมื่ออีกฝ่ายมีอารมณ์ร่วม ให้คนรักใช้นิ้วชโลมด้วยน้ำมันหรือสิ่งหล่อลื่นที่สามารถหาได้ เพื่อให้ง่ายต่อการสอดใส่เข้าไปภายใน ขั้นตอนแรกควรเริ่มด้วยนิ้วเพียงหนึ่งแล้วจึงค่อยๆ เพิ่มเข้าไปทีละนิ้วอย่างช้าๆ ภายในช่องทางของบุรุษเพศจะมีจุดรับความรู้สึก หากท่านหาจุดนั้นพบ ท่านจะพบกับความหฤหรรษ์ของการร่วมรัก"
จุดรับความรู้สึก? ไตรทศนึกฉงน ภายในกายคนจะมีสิ่งที่ว่าจริงหรือ
เขาอ่านการเตรียมพร้อมอย่างถี่ถ้วนจนสามารถจำได้ขึ้นใจ
"ท่าที่ 1 มังกรกินน้ำ"
ไตรทศแทบจะอยากปิดหนังสือเพราะภาพประกอบช่างล่อแหลมเสียเหลือเกิน แต่เขาก็ต้องอ่านต่อไป ท่านี้คือภาพที่ชายผู้หนึ่งนอนคว่ำและยกสะโพกให้สูงขึ้นด้วยการนำหมอนมารองใต้ท้องน้อย ส่วนชายอีกคนก็ก้มเอาหน้าซุกลงไปที่แก้มก้นทั้งสองข้าง ข้างๆ มีภาพขยายจึงเห็นว่าชายดังกล่าวสอดลิ้นเข้าไปในช่องทางของอีกฝ่าย
ใบหน้าคมพลันเห่อร้อนเมื่อคิดไปว่าคนที่นอนโก่งโค้งคือจัน ส่วนอีกคนด้านบนนั้นคือตนเอง แค่ท่าแรกก็ทำเอาสติของคนสุขุมกระเจิดกระเจิง จิตใต้สำนักก็พาคิดเห็นเป็นภาพของจันไปเสียทุกท่วงท่า ที่อ่านมาจะเป็นท่าเตรียมทั้งสิ้น จนในที่สุดไตรทศก็เปิดมาถึงท่าที่พูดถึงการ 'สอดใส่' แต่กว่าจะมาถึงได้เขาก็แทบหัวใจวายไปหลายครา
"ท่าที่ 5 มังกรเข้าถ้ำ"
ชื่อท่าช่างน่าพิศวงจนคนอ่านคิดภาพไม่ออก มังกรกินน้ำคือการใช้ลิ้นสอดใส่ แล้วมังกรเข้าถ้ำเล่า คงมิหมายถึงการมุดหัวเข้าไปในช่องทางอีกฝ่ายดอกรึ!?
ไตรทศนึกตกใจเมื่อคิดภาพตาม มือหนาเปิดไปหน้าถัดไปจึงเห็นคำอธิบายอย่างละเอียด และเมื่อเปิดดูภาพก็ถึงกับโล่งใจเพราะมิใช่อย่างที่ตนคิด มังกรที่ว่าหมายถึงกลางกายมิได้หมายถึงศีรษะแต่อย่างใด
"การสอดใส่ต้องใช้เวลา หากอีกฝ่ายรู้สึกเจ็บควรปลอบประโลมและมิควรรีบสอดใส่เพราะอาจเกิดการฉีกขาด ค่อยๆใส่เข้าไปทีละนิดจนสุดทางจึงเริ่มขยับได้ แต่ต้องถนอมเพราะช่องทางด้านหลังนั้นช่างบอบบาง"
เขาอ่านคำอธิบายอย่างตั้งใจ
"ออเจ้าทำการอันใดอยู่รึ?"
"!!! "







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:16:57 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ smmikie

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +39/-1
ป้าดดดดดดดด


จะต้องพูดอะไรอี๊กกกก

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
จะโป๊ะมั้ยคุณไตรทศ  :hao7:

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
จริงจังมากพ่อ

ออฟไลน์ m_ilk_y

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
เอ็นดูพ่อไตรแท้
โดนฟีโรโมนน้องโจมตีรุนแรง
ห้าๆๆ

ออฟไลน์ ponpon1a

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 35
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
บทที่ ๘

"ออเจ้าทำการอันใดอยู่รึ"
"!!! " คนที่กำลังตั้งใจอ่านรีบปิดตำรากามสูตรลงทันทีเมื่อได้ยินเสียงของผู้มาใหม่ที่ตนจำได้ดีว่าเสียงนี้คือเสียงของผู้ใด
"ตกใจขนาดนั้นเชียวรึ หรือว่าออเจ้า..."
ตึก ตัก
หัวใจคนอายุมากกว่าเต้นระรัวปานกลองศึกเพราะกลัวว่าจันจะจับได้ว่าตนอ่านสิ่งที่มิควรอ่าน ทั้งยังเป็นแบบที่บุรุษเพศและบุรุษเพศร่วมรักกันอีกเสียด้วย
"พี่กำลังอ่านตำรายา" ไตรทศพยายามคุมเสียงของตนให้สั่นน้อยที่สุด
"กระนั้นดอกหรือ"
สายตาคมสอดส่องไปยังด้านหลังของเจ้าของเรือนเพื่อดูว่าอ่านตำรายาจริงหรือไม่ เพราะท่าทางของอีกคนช่างน่าสงสัยจนจันนึกแปลกใจ แต่สิ่งที่เห็นตรงปกของหนังสือกับเป็นภาษาประหลาดที่จันอ่านมิออก
"ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว แล้วนี่ออเจ้ามีการอันใดเหตุใดจึงมาหาพี่"
"ข้าจะมาบอกว่าข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย ช่วงที่ข้าบาดเจ็บก็อยู่แต่ในเรือนทั้งวันจึงอยากออกไปเปิดหูเปิดตา"
ไตรทศพยักหน้าเป็นการอนุญาต เพราะจันทำข้อตกลงกับผู้เป็นตาไว้แล้วว่าจะมิดื้อกับตนจึงง่ายต่อการรับมือ และจันเองก็ประพฤติตนดีตลอดเวลาที่อยู่กับตน
ร่างหนามองตามร่างชายหนุ่มที่เดินออกจากห้องไปก่อนจะถอนหายใจออกมาเมื่อรู้สึกโล่งใจ คงเป็นเพราะไตรทศตื่นเต้นที่จะได้อ่านหนังสือเล่มใหม่นี้เกินไปจึงลืมลงกลอนประตูให้ดีทำให้จันสามารถเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ว่าแต่เมื่อครู่...จันมิขัดที่เขาเรียกแทนตัวเองว่าพี่รึ? ดูเหมือนว่าแมวดุจะเริ่มเชื่องขึ้นแล้วสิหนา

"ไอ้มั่น! " ชายหนุ่มที่พึ่งหายเจ็บตะโกนเสียงดังลั่นลานวัดพร้อมกับโบกมือให้เพื่อนรักของตนที่กำลังกวาดใบไม้ตามลานวัดตามคำสั่งหลวงตา
"ไอ้จัน! " ไอ้มั่นทิ้งไม้กวาดก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปดูเพื่อนของตน
"เอ็งเป็นอย่างไรบ้างวะ ข้าได้ข่าวว่าเจ็บหนัก"
"ก็หนักอยู่ว่ะ" มันมองสำรวจร่างกายเพื่อนของตนอย่างถี่ถ้วนเพื่อหาแผลที่อาจจะยังหลงเหลือตามร่างกาย
"ข้าจะไปเอาเลือดหัวมันออก! "
"อย่าเลย ข้าอยากให้มันจบเพียงเท่านี้ แต่นี้ไปก็ถือว่าหายกันแล้ว"
จันรีบห้ามเพื่อนที่แสนจะหุนหันพลันแล่นของตน มั่นเป็นคนมิยอมคนมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เมื่อก่อนตอนจันโดนแกล้งก็มีมั่นที่คอยปกป้อง
"เอ็งมันพ่อพระเกินไปแล้ว"
"เอาน่า ถือเสียว่าข้าฟาดเคราะห์"
ทั้งสองเดินกอดคอกันไปคุยกับไปได้สักพักจึงมีผู้มาใหม่เข้ามาสมทบ
"โธ่ พี่จันของบุหงา ดูสิตามกล้ามแน่นๆ ยังมีรอยอยู่เลย" นางบุหงากอดรวบตัวจันเอาไว้ก่อนจะเอาหน้าซบไปอีกแผงอกกว้าง
"ให้มันน้อยๆหน่อย" มั่นรีบปรามบุหงาเมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของตนโดยล่วงเกิน
"หึ พี่อิจฉารึพี่มั่น" ทั้งสองกัดกันไปมาอย่างมิยอมกัน จันจึงต้องเป็นผู้ห้ามศึกกว่าจะหยุดวิ่งไล่ตีกันเหมือนเด็กก็ใช้เวลาค่อนข้างนาน
"เดี๋ยวข้าขอกลับไปที่กระท่อมท้ายวัดก่อน พวกเอ็งอย่าตีกันตายเสียก่อนล่ะ"
"จ้ะพี่จัน ข้าจะพยายามเบามือมิให้พี่มั่นตายนะจ้ะพี่"
"บุหงา! " เสียงทั้งสองยังคงดังไล่หลังมาติดๆ จันส่ายหัวอย่างเอือมระอา
บรรยากาศรอบกระท่อมที่มุงหลังคาด้วยใบหญ้าคายังคงวังเวงและเงียบเหงาเพราะแถวนี้มิมีผู้ใดกล้าย่างกรายเข้ามา
แถวนี้เป็นเขตของป่าช้าและยังลือว่ามีผีดุคอยหลอกชาวบ้านที่คิดจะเข้ามาลองดี และแน่นอนว่าผีตนนั้นคือไอ้ทิด
"พี่จัน! " เสียงมาก่อนตัว ร่างกายของเด็กชายปรากฏตรงหน้าของจันเมื่อย่างกรายเข้าเขตุอาคมของผู้เป็นตา
"เอ็งมิได้ไปกับตารึ?"
"ไม่จ้ะพี่ ตาบอกให้ข้าเฝ้ากระท่อมเผื่อมีขโมยขโจรมาบุก"
"ทำตัวเหมือนหมาเลยนะเอ็ง" จันพูดหยอกล้อกับทิดอย่างสนุกสนาน
"พี่จัน! ข้ามิใช่หมานะ"
" หึ หากมิใช่ก็คงใกล้เคียง"
นานหลายวันที่จันมิได้กลับมาที่กระท่อมนี้เพราะโดนไตรทศกำชับให้พักให้หายดีจากบาดแผลเสียก่อน ด้วยร่างกายที่มิได้อ่อนแอทำให้จันพักฟื้นให้หายด้วยเวลาแค่๓-๔วันเพียงเท่านั้น
สิ่งแรกที่คิดจะทำเมื่อหายดีคือกลับมาที่กระท่อมเพื่อมาดูไอ้ทิดผีเด็กที่เป็นเจ้ากรรมนายเวรว่าได้ไปกับตาของตนรึไม่ จันรู้ดีว่าทิดคงเหงามิน้อยตอนที่ตนมิอยู่ เพราะปกติแล้วจะมีแค่จันเท่านั้นที่คอยมาเล่นหรือพูดคุยด้วย
"ช่วงนี้ตามิค่อยได้พักเลยนะพี่ ตาแก่มากแล้วแต่กลับต้องเดินทางไปเมืองละโว้คงเหนื่อยแย่"
"แล้วตาไปด้วยเหตุอันใดวะ"
"เห็นว่ามีชาวบ้านเดือดร้อนเพราะมีหมอผีทำของแล้วมาต้มตุ๋นเอาอัฐชาวบ้านไปจำนวนมาก ตาจึงอยากไปช่วยเหลือจ้ะ"
"แต่ตามิใช่หมอผี หากโดนของกลับมาจะทำเช่นไร"
จันพูดด้วยสีหน้าตึงเครียด ตาคงนั้นมิใช่หมอผีอย่างที่ชาวบ้านชอบเรียก หากแต่เป็นแค่ตาแก่ๆที่เข้าถึงแก่นของธรรมะจนมีวิชาแก่กล้าอยู่บ้าง แต่ทุกวิชาล้วนเป็นสายขาวทั้งสิ้น มิเคยทำของหรือปลุกเสกของขลังให้ผู้ใด
"อย่าคิดมากเลยพี่ ถึงอย่างไรตาของเราก็เก่งอยู่แล้ว"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็คงจะดี" จันพยายามคิดในด้านที่ดีเพราะตนมิอยากให้เกิดเรื่องแย่ๆ กับผู้เป็นตาเพราะตาคงคือบุคคลในครอบครัวเพียงผู้เดียวที่จันยังหลงเหลืออยู่ในชีวิต
ยามเย็น
"เฝ้ากระท่อมดีๆนะทิด" จันบอกกล่าวกับผีเด็กเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเดินกลับเรือนของไตรทศตามทางที่ตนเคยเดินในขามา
โลกนี้มีสิ่งน่าพิศวงมากมาย ใครจะคิดว่าจะมีเด็กหนุ่มวัยยี่สิบปีที่สามารถมองเห็นผีและพูดคุยด้วยได้ประหนึ่งว่าเป็นเพื่อนเล่น ยามทุกข์ก็ระบาย ยามสุขก็ยิ้มให้ ทิดกลายเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของจันไปเสียแล้ว
อีกแล้วหรือ
จันคิดในใจเมื่อเดินมาได้สักพักก็เจอพวกชายฉกรรจ์มาดักซุ่มรออีกเช่นเดิม เหมือนเหตุการณ์กำลังจะซ้ำรอยเดิม แผลก็พึ่งหายดีหากจะให้มีเรื่องด้วยอีกคงจะยาก
"รีบไปไหนหรือน้องสาว" ไอ้เข้มส่งเสียงยียวน
"เรื่องของกู" จันตอบเสียงเขียวก่อนจะพยายามเดินเลี่ยงแต่ก็มิเป็นผล
"รีบรึ?"
"มึงต้องการอะไรจากกูอีกวะ เอาคืนกูได้แล้วก็ควรจะจบแล้วไปทางใครทางมันเสีย"
"ใครบอกว่าเรื่องมันจบวะ เพราะมึงกูถึงมิมีที่ซุกหัวนอน กูโดนไล่ออกจากโรงสีก็เพราะมึง! "
ไอ้เข้มเข้าประชิดตัวอย่างรวดเร็ว มือใหญ่บีบเข้าที่คางของจันอย่างแรงจนชายหนุ่มต้องนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ เพราะระยะที่มิไกลมากทำให้จันได้กลิ่นยาดองมาจากตัวอีกฝ่ายจันจึงรู้ได้ทันทีว่าไอ้เข้มกำลังเมาได้ที่
อีกฝ่ายเป็นไฟจันจึงต้องเป็นน้ำเพราะหากเป็นไฟเหมือนกันแล้วเรื่องก็คงจะบานปลายและเดือดร้อนผู้อื่น
"มึงทำตัวเองทั้งนั้น แล้วที่โดนไล่ออกมันเกี่ยวอะไรกับกู" ชายหนุ่มถามด้วยเหตุผล
"หึ ก็ไอ้หน้าจืดที่มันมาช่วยมึงมันดันเป็นลูกเจ้าพระยาเกษมเจ้าของโรงสีนั่นอย่างไรเล่ากูถึงโดนไล่ตะเพิดเหมือนหมูเหมือนหมา! " ยิ่งพูดแรงบีบก็ยิ่งแรง จันพยายามสะบัดหน้าหนีแต่ก็สะบัดไม่หลุด
"มึงทำตัวเองทั้งนั้น!"
"ที่มันเข้ามาช่วยคงเพราะมึงยอมพลีกายให้มันแล้วสิหนา แม่เรือนอย่างมึงถนัดเรื่องแบบนี้นักแล เอาตัวเข้าแลกไปเสียทุกอย่าง ช่างน่าสมเพช"
ผลั๊วะ!
กายหนุ่มสั่นเทิ้ม จะว่ามันมันมิเคยว่าแต่ไอ้เข้มดันลากผู้อื่นมาข้องเกี่ยวด้วยทำเอาจันอดใจเย็นไว้มิได้จึงสวนหมัดเข้าที่ปลายคางของไอ้เข้มเต็มๆ
"ไอ้จัน!"
 เลือดไหลซึมออกมาจากรอยปริแตก มันกัดฟันกรอดด้วยความโมโห ย่างสามขุมเข้าใกล้ จันพยายามจะหนีเพราะไม่อยากมีเรื่อง แต่แล้วก็ไม่เป็นผลเมื่อโดนพวกที่เหลือเข้ามาจับตัว กดให้คว่ำหน้าลงไปกับพื้นไว้จนดิ้นมิหลุด
"ปล่อยกู! " ดิ้นก็แล้ว สะบัดก็แล้วแต่มิเป็นผล ผลจากบาดแผลเมื่อคราก่อนทำให้จันมิสามารถขยับตัวได้อย่างใจนึก
"เก่งนักรึมึง! "
ไอ้เข้มใช้มือใหญ่ขยุ้มผมสีดำขลับอย่างแรงและดึงให้จันเงยหน้าขึ้น ในแววตาของชายหนุ่มมิมีความเกรงกลัวแม้แต่น้อย
หมัดหนักโดนง้างขึ้น จันหลับตาจนสนิทและกัดฟันแน่นเมื่อคิดว่าตนจะโดนต่อย แต่ทันได้นั้นในอกกลับรู้สึกร้อนเหมือนโดนไฟสุม เหงื่อกาฬผุดตามขมับ
กายที่โดนกดทับให้ติดพื้นส่งกลิ่นหอมออกมาอย่างน่าประหลาดจนไอ้เข้มและคนอื่นๆอีกสองสามคนถึงกลับชะงัก
"อึก.." เรี่ยวแรงหายไปหมดสิ้น มิรู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับตน ชายหนุ่มได้แต่กัดฟันอย่างอดทนเมื่ออยู่ดีๆก็มีอารมณ์กำหนัดจนจะทนมิได้
"กลิ่นห่าอะไรวะ! "
ไอ้เข้มและพวกพากันปิดจมูกและถอยห่างเมื่อได้กลิ่นหอมอันอบอวลจากกายของจัน พวกมันเป็นสามัญชนธรรมดาจึงมิรู้สึกอันใดต่อกลิ่นเสน่หาของแม่เรือนในยามฤดูหาคู่
"แฮ่ก...มิไหว...มิไหวแล้ว" ร่างกายบิดเร้าบนพื้นไปมาอย่างน่าสงสาร
"จัน! " ดังสวรรค์มาโปรด เสียงที่จันคุ้นเคยเรียกชื่อมันด้วยความตกใจ สายตาพร่าเลือนมองไปยังอีกคนที่กำลังวิ่งเข้ามา พวกไอ้เข้มพากันวิ่งหนีจ้าละหวั่น
"พี่ไตร..ทศ.."
เสียงเรียกกระท่อนกระแท่นทำเอาคนพี่ใจสั่น เกิดเหตุอันใดเหตุใดจันถึงมีสภาพย่ำแย่เช่นนี้ สายตาคมมองไปตามกาย เสื้อผ้าที่หลุดลุ่ยเป็นเพราะชายหนุ่มร้อนในกายจนต้องถอดออก
ทันใดนั้นกลิ่นหอมอันเย้ายวนก็ปะทะเข้ากับจมูกโด่งคมสันเข้าอย่างจัง กลิ่นมันหอมเหมือนน้ำปรุงที่ไตรทศเคยได้กลิ่น น้ำปรุงที่ทำมาจากดอกจันทร์กระพ้อ
"ไอ้มิ่ง! "
"ขอรับ"
"เอาพวกทาสในเรือนใหญ่ไปตามหาไอ้ที่มันทำให้จันมีสภาพเป็นเช่นนี้มาให้ได้ หาพวกมันให้พบ หากจับเป็นมิได้...ก็จับตายเสีย" ไอ้มิ่งหน้าซีดเมื่อผู้เป็นนายออกคำสั่งอย่างเลือดเย็นอย่างที่มันมิเคยได้ยินมาก่อน
"ข-ขอรับ.." มันรีบวิ่งกลับไปที่เรือนใหญ่ตามคำสั่งของนาย
"ส่วนออเจ้า กลับเรือนกับพี่"
อีกคราที่ไตรทศต้องอุ้มเรือนร่างของจันขึ้นไว้ด้วยอ้อมแขนแกร่ง อีกคราที่จันต้องตกอยู่ในสภาพที่น่าสงสารจับใจ อีกคราที่ไตรทศปกป้องจันเอาไว้มิได้ หากตนมิผิดสังเกตที่จันกลับเรือนช้าจันอาจจะโดนพวกนักเลงหัวไม้ปู้ยี่ปู้ยำไปแล้วก็เป็นได้ ผู้ใดจะรู้   
"อึก..อื้อ"
ฝ่ามือของคนในอ้อมแขนกำลงบนไหล่กว้างไว้แน่นเพื่อระบายอารมณ์ ใบหน้าซุกเข้าหาอกอุ่น ตัวสั่นไปทั้งสรรพางค์กายทั้งยังมีกลิ่นเชิญชวนออกมาตลอดเวลา สิ่งที่ไตรทศทำได้คืออดกลั้นและรอให้ถึงเรือนเพียงเท่านั้น

"ห้ามผู้ใดเข้าใกล้เรือนฝั่งซ้าย"
ไตรทศออกคำสั่งประกาศกร้าว พวกทาสก้มหน้ารับคำสั่งด้วยใจหวาดหวั่นเพราะมิเคยเห็นผู้เป็นนายมีสายตาที่ดุดันและน่ากลัวได้ถึงเพียงนี้ แค่ถูกมองด้วยสายตาอันดุร้ายเหมือนสัตว์เจ้าป่าแล้วนั้นร่างกายก็แทบจะขยับมิได้
"เกิดเหตุอันใดขึ้นวะอีอิ่ม"
"กูจะรู้รึ แค่ท่านมองมากูก็มิกล้าสบตาแล้ว"
"กูขนลุกไปหมดแล้ว"
ไตรทศมิได้สนใจที่พูดของพวกทาส ตั้งหน้าตั้งตาเดินพาจันเข้ามาในห้องด้วยใจหวาดหวั่น และมิลืมที่จะเดินกลับไปลงกลอนประตูอย่างแน่นหนา
"ข้า...ข้ามิไหวแล้ว" กายหนุ่มบิดเร้า ใช้มือปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย เหงื่อชื้นตามกายเห็นผ่านเนื้อผ้าเป็นจุด
"จัน ตั้งสติก่อน"
ไตรทศเดินเข้ามาใกล้ใช้มือประคองใบหน้าที่หล่อและสวยในคราเดียวกันขึ้นสบสายตา ดวงตาหยาดเยิ้มเชื้อเชิญทำเอาไตรทศลอบกลืนน้ำลาย ไหนจะกลิ่นเสน่หานี่อีก หากเขาคลั่งแล้วเผลอรังแกจัน จะทำอย่างไร?
"พี่ไตร.. ข้ามิไหวแล้ว ข้า...ข้าอยากทำเหลือเกิน" สิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนของจันขยายใหญ่ขึ้นจนเห็นเป็นรอยนูนได้ชัดเจน
"พี่เป็นพ่อเรือน กลิ่นเสน่หาของออเจ้ามีผลต่อพี่ อย่าบังคับให้พี่รังแกออเจ้าเลย"
"แต่ข้าอยาก...นะพี่ไตร ทำให้ข้าเป็นของพี่มิได้หรือ? "
ความกำหนัดเข้าเล่นงานจันจนมิมีสตินึกคิด ขึ้นคร่อมอีกฝ่ายตอนที่ไตรทศเผลอ กดไหล่แกร่งให้นอนลงไปบนเตียง
"จัน! "
"ปากบอกปฏิเสธ แต่เหตุใดตรงส่วนนี้ถึงได้แข็งขืนเช่นนี้เล่า"
ปากจะปฏิเสธก็กลัวกลืนน้ำลายตนเองเพราะมันเป็นแบบที่จันว่าจริง มีหรือที่พ่อเรือนจะต้านทานต่อกลิ่นเสน่หาของแม่เรือนได้
"อึก ออเจ้าอย่าขยับเช่นนั้น"
ส่วนกลางกายโดนก้นกลมกลึงขยับหยอกล้อ ไตรทศได้แต่กัดฟันแน่นเพื่อสยบความกำหนัดในกายเพราะมิอยากย่ำยีจัน เขามิอยากเป็นเหมือนพ่อเรือนผู้อื่นที่เห็นแม่เรือนเป็นที่ระบายความใคร่ คนบนร่างสั่นเทิ้มไปทั้งกาย ไตรทศหยัดกายนั่งเมื่อสบโอกาส
"จัน.."
ช้อนใบหน้าของอีกฝ่ายขึ้น สายตาหยาดเยิ้มถูกส่งมาอีกคราจนคนอายุมากกว่าใจไหวสั่น กลิ่นหอมยังมิจางหายไป ไตรทศแทบคลั่งยามได้กลิ่นลอยมาจากกายของจัน
"พี่ไตรทศจ๋า~...ข้า...ข้ามิไหวแล้ว"
เส้นของความอดทนขาดผึง มือหนาดึงให้ใบหน้าอีกฝ่ายเข้ามารับรสจูบ หากจันเป็นเทียนไขตอนนี้คงละลายไปหมดสิ้นเพราะรสจูบที่ไตรทศมอบให้นั้นร้อนรุ่มดังไฟที่พร้อมไหม้ผลาญทุกสิ่งให้มอดมลาย
ลิ้นสอดกระหวัดไปมาภายในโพรงปากหยอกเย้ากันไปมา ชายหนุ่มใช้มือจับไหล่แกร่งไว่แน่น รู้สึกได้ถึงความแข็งขืนจากสิ่งที่อยู่ใต้โจงกระเบนของอีกฝ่าย รสจูบช่างนุ่มนวล คราใดที่คนพี่ถอนจูบเหมือนได้ถอนเอาวิญญาณของจันออกจากร่างไปด้วย
"แฮ่ก.."
จันหอบหายใจเพื่อเอากาศเข้าสู่ปอดก่อนที่ไตรทศจะฉกฉวยเอาอากาศนั้นไปอีกครา ขบกัดไปตามริมฝีปากของอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู รสเค็มปร่าของเลือดมิอาจหยุดอารมณ์กำหนัดที่คุกรุ่นภายในอกแกร่งได้ ความผิดชอบชั่วดีหายไปจนหมดสิ้น มีเพียงความต้องการและความรักที่ตนอยากมอบให้อีกฝ่าย
มือหนากระตุกปมโจงกระเบนออกจากกายส่วนล่างของอีกฝ่าย ถอดออกให้ก่อนจะโยนไปที่มุมห้องอย่างมิแยแส สายตาคมจดจ้องไปที่แผ่นอกของจัน โน้มเข้าไปใกล้ก่อนจะจูบลงบนยอดอกสีกลีบกุหลาบอ่อนจนคนบนกายสะท้าน
"อ๊ะ"
เสียงที่ดังขึ้นกระตุ้นให้ไตรทศมีรอยยิ้มบนใบหน้า ได้แกล้งเจ้าแมวดื้อแบบนี้ก็มิใช่เรื่องที่แย่สักเท่าใด
"ถอดเสื้อออก" จันทำตามอย่างว่าง่าย ปลดประดุมที่เหลือแค่ไม่กี่เม็ดออกก่อนจะโยนเสื้อลงบนพื้นข้างเตียงไม้สัก
กายที่ไร้ซึ่งอาภรณ์ใดๆปกปิดส่งผลให้รอยปานสีแดงสวยตรงเอวคอดปรากฎสู่สายตาผู้มีศักดิ์มากกว่า ยามผิวกายสีนวลต้องแสงจันทร์ที่สาดส่องมาจากหน้าต่างมันช่างดูงดงามจนสะกดสายตาของไตรทศเอาไว้ ผิวนวลที่เล่นกับแสงจันทร์ดูแล้วช่างน่าสัมผัสและน่าทิ้งรอยสีกลีบกุหลาบไปทั่วทุกส่วน
เมื่อคิดได้ดังนั้นไตรทศจึงพรมจูบไปทั่วลำคอระหงก่อนจะทิ้งรอยเอาไว้ในพื้นที่ใต้ร่มผ้า ไล่ลงมาตามแนวไหปลาร้าและแผ่นอกที่ล่อตา มือหนาจับเอวคอดไว้มั่นก่อนจะไล้ลงไปลูบบนบั้นท้ายอีกฝ่ายและออกแรงบีบจนขึ้นรอยมือ 
"อึก...อื้อ"
จันเม้มปากเพื่อกลั้นเสียงอันน่าอาย เกิดมามิเคยรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เหมือนดั่งมีผีเสื้อนับร้อยมาบินวนอยู่ในห้องน้อย ทั้งยังรู้สึกดีจนมิอาจต้านทานไหว
"อย่ากลั้นเสียง ยามที่ทำ...พี่อยากได้ยินเสียงหวานๆของออเจ้า"
"เฮือก! "
ไตรทศใช้โอกาสตอนที่จันกำลังเคลิ้มสอดนิ้วเข้าไปในช่องทางสีกุหลาบ น่าแปลกที่มิต้องใช้น้ำมันชโลมคงเพราะจันเป็นแม่เรือนร่างกายจึงผลิตน้ำหล่อลื่นได้เอง
"อ๊ะ"
เสียงครางเล็ดลอดออกมาอีกคราเมื่อไตรทศเริ่มขยับนิ้วเข้าออก คนบนตักลงน้ำหนักมือที่กำลังวางบนไหล่เพื่อระบายความกระสัน เรียวนิ้วสอดเข้าออกอย่างเป็นจังหวะ มืออีกข้างที่ว่างกอบกุมกลางกายของจันและชักขึ้นลงจนเอวของจันอยู่ไม่นิ่ง
"อื้อ...อ่าห์"
เมื่อโดนกระทำทั้งด้านหน้าและด้านหลังพร้อมกัน จันแทบจะสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไป เมื่อไตรทศเริ่มเพิ่มนิ้วจากหนึ่งเป็นสองและจากสองเป็นสามชายหนุ่มแทบจะตั้งกายให้ตรงมิได้
แรงตอดรัดที่นิ้วทำเอาไตรทศหน้าเห่อร้อนเมื่อนึกไปว่าถ้าหากแทนที่นิ้วด้วยกลางกายของตนมันจะรู้สึกเช่นไร ในระหว่างที่มีความคิดอกุศลนั้นจันก็ผละออกไปจนคนพี่ชะงัก กายที่มีแต่รอยแดงหันหลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะก้มลงในท่าโก่งโค้งจนเห็นช่องทางสีกุหลาบที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำหล่อลื่นอย่างเด่นชัด
"พี่ไตร...ใส่เข้ามา ใส่เข้ามาเถิด"
"อึก.." ไตรทศกลืนน้ำลายเมื่อโดนท่าทางยั่วยวนเข้าเล่นงาน "แต่พี่ว่า-"
"หรือของพี่มันเล็กจนอายที่จะเอาออกมางั้นหรือ" เจ้าตัวแสบปลุกปั่นด้วยคำพูด
"หึ แมวน้อยเอ๋ย เจ้าช่างมิรู้อะไรเลยหนา"
กายหนาหยัดขึ้น ปลดปมโจงกระเบนที่ใส่อยู่ออกจนเห็นกลางกายที่พร้อมใช้งาน จันตาค้างเมื่อเห็นกลางกายของคนที่ตนสบประมาท ความใหญ่โตทำเอาใจหวั่น
"ใส่เข้ามา...ใส่เข้ามาได้แล้ว" แต่ใครจักสนเล่า เมื่อความกำหนัดมีมากกว่าความเกรงกลัว
"หากออเจ้าบอกว่าเจ็บคำเดียว พี่จะหยุด" เขามิอยากขืนใจจันเพราะฉะนั้นหากจันเจ็บและอยากเลิกทำเขาก็พร้อมที่จะฟัง
"อื้อ"
สิ้นคำอนุญาตไตรทศกดกางกายเข้าไปในช่องทางสีหวาน มันคับแน่นจนตอนแรกมิอาจสอดใส่ได้จึงต้องถอยและลองใหม่ เมื่อส่วนปลายเข้าไปได้จึงโดนช่องทางตอดรัดแน่นจนรู้สึกเจ็บ ตามที่ตำราบอกไว้คือควรทำให้อีกฝ่ายผ่อนคลายหากรู้สึกเจ็บ
"อึก...อื้อ" จันเม้มริมฝีปากเน้น ใจอยากพูดว่าเจ็บแต่ก็มิอยากหยุดกลางคัน
"ผ่อนคลายนะเด็กดี" คำพูดหวานถูกพูดอยู่ข้างหูก่อนจะรู้สึกถึงจูบอันอ่อนโยนตรงขมับขวา
"อ๊า! "
คนใต้ร่างส่งเสียงครางลั่นเมื่อกลางกายเข้าไปจนสุดทาง ไตรทศเเช่ไว้สักครู่ก่อนจะขยับเข้าออกอย่างช้าๆ ร่างของจันสั่นสะท้านตามแรงกระแทกจากคนบนร่าง
"อึก..." มือหนาค้ำอยู่ข้างกายของอีกฝ่าย กัดฟันแน่นเมื่อช่องทางบีบรัดถี่ขึ้น ความรู้สึกดีตีตื้นทำเอาคนอายุมากกว่าแทบคลั่ง
"แรง..แรงอีก" 
กายหนาสอบสะโพกเร็วขึ้นตามความต้องการของอีกฝ่าย เสียงขาเตียงถูกับพื้นไม้ดังระงม เสียงเนื้อแนบเนื้อดังหยาบโลนแต่ทั้งสองก็หาได้เขินอายไม่ ต่างเสพสุขอย่างพอใจและมิสนใจสิ่งใดดั่งโลกนี้มีอยู่สองคน
"อ่ะ...อ่าห์"
ไตรทศถอนแก่นกายออกได้ทันท่วงทีก่อนที่จะปลดปล่อย น้ำรักสีขาวเลอะเต็มแผ่นหลังของชายหนุ่มใต้ร่าง ส่วนจันก็ปลอดปล่อยใส่ผ้าปูที่นอนจนเป็นรอยเปรอะเปื้อน
ทั้งสองนอนหอบหายใจโดยมีไตรทศนอนทับอยู่ด้านบนส่วนจันนอนคว่ำอยู่ใต้ร่าง ความร้อนระอุจากบทรักหายไป กลิ่นสเหน่หาก็เริ่มจางหายไป ไตรทศเริ่มกลับมามีสติอีกครั้ง หวังจะพูดกับอีกคนหากแต่จันนั้นเหนื่อยจนผลอยหลับไปเสียแล้ว
"พี่ขอโทษนะจัน...ทั้งเรื่องที่ล่วงเกิน และเรื่องที่ไม่เคยไปช่วยออเจ้าได้ทันเลย" ร่างหนาก้มลงจูบขมับอีกฝ่ายอย่างรักใคร่ หากจันตื่นมาแล้วหนีไป เขาจะทำอย่างไรดี..

"อึก..โอ๊ย! "
ชายหนุ่มขยับกายอย่างทุลักทุเล เจ็บปวดไปทั้งสรรพางค์กายเหมือนโดยช้างทั้งตัวหล่นทับ ค่อยๆลืมตาขึ้นเมื่อโดนแสงแดดแยงตาจนมิอาจนอนต่อได้
"ตื่นแล้วรึ" เมื่อมองดีๆจึงเห็นว่าไตรทศนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานที่ข้างเตียง ท่อนบนมิใส่เสื้อเผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องแน่น ส่วนท่อนล่างใส่เพียงผ้าโสร่ง
"ออเจ้ามาทำการอันใดที่นี่?"
"เหตุใดจึงหมางเมินเรียกเหมือนคนอื่นคนไกล ทีเมื่อวานออเจ้ายังเรียกพี่ว่า 'พี่ไตรจ๋า' อยู่เลย"
"ข้าเนี่ยนะ ฮ่าๆมิมีทาง-" เมื่อจันก้มลงสำรวจตนเองก็ถึงกับผงะเมื่อเห็นว่าตนมิใส่เสื้อผ้าทั้งตามอกยังมีรอยแดงเหมือนรอยยุงกัดเต็มไปหมด
"นี่ออเจ้าทำอะไรกับข้า! "
"อยากให้บอกรึ? บอกตั้งแต่ต้นเลยรึไม่"
พลันความทรงจำเมื่อวานก็ตีตื้นขึ้นมา ใบหน้าหล่อปนสวยเห่อร้อนจนขึ้นสี ทั้งออดอ้อนเขา ทั้งบอกให้เขากระทำตนเอง...หมดสิ้นแล้วศักดิ์ศรีของชายชาตรี
"นี่...นี่ข้าเป็นอะไร"
"แม่เรือนทุกผู้จะมีฤดูหาคู่ของตน ปกติจะมีตอนอายุ18แต่ออเจ้านั้นต่างออกไปคือมีตอนอายุ20ทำให้อาการรุนแรงกว่าผู้อื่น" ไตรทศบอกสิ่งที่ตนกำลังอ่านในตำราให้จันฟัง
"ข้า...ข้ามิยอมเด็ดขาด อ-โอ๊ย! " เมื่อจะหยัดกายลุกออกจากเตียงความเจ็บก็ประเดประดังเข้ามาจนต้องนิ่วหน้า
"อย่าฝืน ออเจ้าพักก่อนเถิด พี่ให้ไอ้มิ่งต้มยามาแล้ว กินเสียหน่อย" ไตรทศลุกขึ้นยืนและถือถ้วยยาเดินเข้ามาใกล้
"ข้ามิกิน! "
"จะกินดีๆ หรือจะให้พี่ป้อนด้วยปาก? "
"..."
"หึ เด็กดี" ชายหนุ่มทำหน้าบึ้งตึง รับถ้วยยามาก่อนจะยกขึ้นดื่ม รสขมทำเอาต้องหลับตาสนิท
"แค่กๆ "
"เลอะหมดแล้ว"
มือหนาถูกส่งมาเช็ดที่มุมปากอย่างถนอม จันมองการกระทำนั้นด้วยใจที่ไหวสั่น เหตุใดจึงต้องอ่อนโยนขนาดนี้...ถ้วยยาถูกอีกฝ่ายเอาไปถือไว้เองก่อนจะวางลงบนโต๊ะใกล้หัวเตียง
"ขอโทษ.."
กึก
เจ้าแมวดื้อเอ่ยคำว่าขอโทษออกมาอย่างง่ายดาย นี่เขากำลังฝันไปหรือ?
ไตรทศเงยหน้าขึ้นมองจันที่ตอนนี้ใบหน้าดูดีกำลังขึ้นสีด้วยความเขินอายจากเหตุการณ์เมื่อวาน ยิ่งไตรทศใส่ใจและเข้ามาใกล้...เจ้าหัวใจก็ยิ่งเต้นระรัว
"คนฉวยโอกาส" จันพูดอ้อมแอ้มอยู่คนเดียว
"ออเจ้าว่ากระไรหรือ? " แต่ไตรทศกลับได้ยินเสียได้
"ป-เปล่า.."
"หึ" ยิ้มมุมปาก ยื่นมือมาลูบหัวคนบนเตียงอีกครั้ง ริอ่านจะเป็นแมวดื้อก็ต้องโดนสยบด้วยเสือเช่นนี้แล
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูหน้าห้องดึงความสนใจของคนทั้งสอง
"คุณพิกุลและคุณหญิงลำดวนมาเยี่ยมขอรับ"
เสียงไอ้มิ่งพูดขึ้นที่หน้าประตู หน้าจันเริ่มถอดสีเมื่อได้ยินชื่อผู้มาเยือน หากแม่พิกุลล่วงรู้ว่าตน...ได้เสียกับไตรทศแล้ว แม่หญิงงามคงมิชายตาแลมองตนเป็นแน่
"เดี๋ยวข้าไป บอกให้พวกนางบัวเตรียมขนมและน้ำชาเอาไว้"
"ขอรับ" เสียงเดินห่างออกจากประตูไปเรื่อยๆผู้ที่อยู่ในห้องจึงรับรู้ว่ามิมีผู้ใดอยู่แถวนั้นแล้ว
"พี่จะไปต้อนรับคุณหญิงลำดวนเสียหน่อย" ไตรทศลุกขึ้นไปเปิดหีบใส่เสื้อผ้าก่อนจะสวมใส่ชุดที่ดูดีเพื่อความสุภาพ
"เดี๋ยว" ในขณะที่กำลังจะเดินออกจากห้องก็โดนจันทักไว้เสียก่อน
"ว่าอย่างไร"
"อย่าบอกผู้ใด...เรื่องนี้ได้หรือไม่?"
"เหตุใดออเจ้าจึงมิอยากให้พี่บอกผู้ใด?"
"มันคือความผิดพลาด" กึก คนฟังถึงกับชะงัก
"ทั้งหมดเป็นเพราะข้าเป็นแม่เรือนและเข้าฤดูหาคู่เท่านั้น ท่านมิได้เต็มใจและข้าเองก็มิได้เต็มใจ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแค่อารมณ์ชั่วขณะ...เราถือว่าเรื่องทั้งหมดมันมิเคยเกิดขึ้นได้หรือไม่? "
ใจคนพี่เหมือนโดนเหยียบย่ำ ฟังแล้วก็พูดมิออกเหมือนมีก้อนสะอึกมาอยู่ที่คอ สิ่งที่จะพูดหายไปจนหมดสิ้นมีเพียงสายตาที่สอดประสานกันก่อนจะเดินออกไปโดยมิมีคำพูดได้
"เหตุใดจึงต้องทำหน้าเจ็บปวดเช่นนั้น..." ชายหนุ่มพูดกับตัวเองภายในห้องที่เงียบเชียบ มีเพียงเสียงลมที่พัดผ่าน














 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 16-12-2019 21:18:30 โดย ponpon1a »

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ mystery Y

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +585/-12
รอตอนต่อไป~

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
โดนฟันแล้วทิ้งของจริงคุณไตร  :ling2:

ออฟไลน์ Ac118

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +106/-0
มิเสียแรงที่เลิ่กลั่ก แอบศึกษาคำรา คุณพี่ไตรเป็นงาน  :jul1: :jul1:
แต่ดันโดนฟัดแล้วทิ้ง แงงง  :ling1:

ออฟไลน์ m_ilk_y

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
สงสารพี่ไตร อุตส่าได้รวบหัวรวบหาง
แต่น้องจันก็บอกให้พี่เค้าลืมมม
บทนี้อยู่ #ทีมพี่ไตร ก่อนละกันนน ห้าๆๆ

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด