อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย, ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้งสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกเล้าฯ ในเรื่องการเมือง เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ศาสนา และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงการตั้งชื่อเรื่องด้วยคำหยาบ คำไม่สุภาพ ล่อแหลม และชี้เป้าให้เล้าฯ ถูกเพ่งเล็ง จากทางราชการ
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่ยินยอม
5.ขอให้นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียว ถ้าเป็นเรื่องจริงก็ให้บอกว่าเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องแต่งให้บอกว่าเรื่องแต่ง ให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตามเพราะมีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว
6. การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย ทำได้ แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute ได้ ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน
7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
7.1 นิยาย 1 ตอน จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
- 1 Reply ที่เกินมานั้น โมฯทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ
การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชมกรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“ เมิงว่าจะมีสักกี่เหตุผลกันที่คนเราไม่อยากจะมีชีวิตต่อ “
กริ่งงงงงงงงงงงงงง .....แสงแรกของเช้าวันใหม่ปลุกความสดใสอันน้อยนิดที่อยู่ลึกลงไปใต้ผ้าห่มให้ค่อยๆ กระดิกตัว แล้วเดินหายไปในห้องน้ำ พร้อมกับเสียงที่ดังสนั่นอย่าต่อเนื่องไม่ขาดสาย เสียงนาฬิกาปลุก ที่ยังคงทำหน้าที่ของมันต่อไป อย่างไม่รับรู้ อย่างไม่ต้องคิดมาก แค่เพียงใส่ถ่านมันก็ทำหน้าที่ได้อย่างที่มันทำตลอดมา ตามระยะเวลาที่โลกก็ยังคงหมุนไปไม่เคยหยุดนิ่ง
สภาพห้องที่แม้จะไม่มีเนื้อที่มากนัก แต่ข้าวของทุกอย่างก็ถูกจัดอย่างเป็นระเบียบ หนังสือ เสื้อผ้า ตะกร้า หรือรวมไปถึงรองเท้า ทุกอย่างต่างถูกจัดไว้อย่างปราณีต
ตึง...........การเคลื่อนไหวของผู้ชายคนเดิม ที่เดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ได้มีผลทำให้ห้องนี้ดูสดใสขึ้นจากเก่า แต่กลับเป็นสิ่งธรรมดาๆ ตรงหน้าต่างหากที่ทำให้ห้องๆนี้รู้สึกมีบางอย่างต้องมอง มีบางอย่างน่าค้นหา
และนั้นคือ กรอบรูปหน้าตาธรรมดาๆ ที่มีนาฬิกา ภาพถ่าย และสมุดบันทึก ถูกจับยัดใส่เข้าไปอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยม พร้อมด้วยบางอย่าง
ที่เรากลับมองไม่เห็น บางอย่างที่มันมีค่าแก่การจดจำ และบางสิ่งบางอย่างนั้นเราต่างก็เรียกมันว่า...
ความทรงจำH O P E : ค ว า ม ห วั ง
จากเสียงนาฬิกา ถูกกลืนทับด้วยเสียงกริ่งหมดคาบของโรงเรียนที่มีนักเรียนมากหน้าหลายพัน ชีวิตที่ต่างเร่งรีบออกจากห้องมุ่งหน้าไปต่างสถานที่
เวลาช่วงบ่ายเข้ามาเยือนพร้อมกับที่แสงอาทิตย์เริ่มร้อนแรงจนแทบเผาให้ทั้งโรงเรียนไม่มีอากาศหายใจ และที่ยิ่งแย่ไปกว่านั้นเมื่อเราได้เข้ามาอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ทุกคนต่างให้ความสนใจมากกว่าพื้นที่อื่นๆ ซึ่งนั้นคงหมายถึงบอร์ดประกาศผลการสอบเข้ามหาลัย ที่ถึงผมจะไม่ได้คาดหวังอะไร แต่มันก็คงไม่เสียหาย หากเราจะดูว่าเราสามารถทำได้อย่างที่หลายๆคนทำได้หรือเปล่า เพราะการแข่งขันเข้าหมาลัยครั้งนี้ มีนักเรียนจากหลากหลายที่ที่เข้ามาสอบแข่งขัน ซึ่งผมเองก็ได้กาย ที่ช่วยยื่นใบสมัครให้ผมอย่างไม่บอกกล่าว
“ เมิงว่ากูจะติดไหม ”น้ำเสียงที่ส่อแววกังวนของคนข้างๆ ทำให้ผมต้องเอื้อมมือไปจับเพื่อทำให้เขารู้สึกว่าถึงผลจะออกมายังไง ผมก็ยังอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างหลังมันเหมือนที่มันอยู่กับผมตลอดมา
“ ..... ”
ผมได้แต่ส่งยิ้มให้กับมัน เพราะรู้ดีกว่ามันเองก็ต้องการกำลังใจ และนอกเนื่องสิ่งอื่นใด มันเองก็หวังไว้มากกับที่นี้ ซึ่งเป็นมหาลัยที่มันฝันและตั้งความหวังไว้ตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อเข้ากวดวิชา โดยมีผมที่ตามติดตัวเป็นเพื่อนมันอยู่ไม่ห่าง
ตึกๆ ตึกๆ ตึกๆ .....เสียงรั่วของหัวใจผมกลับเต้นไม่เป็นจังหวะซะเอง เมื่อมันค่อยๆเดินพาผมแทรกเข้าไปยังพื้นที่เล็กๆ ตรงหน้ากระดาน นักเรียนมากมายที่ต่างก็แทรกเข้ามาจากทุกสาระทิศ ในเวลานี้นอกจากเสียงของหัวใจกับเสียงเงียบของความกดอากาศในหู รอบตัวคือความว่างเปล่า และในขณะที่ผมกำลังคิดหาคำปลอบใจหากมันต้องผิดหวังกับการสอบครั้งนี้ แรงบีบจากมือของผม ก็ทำให้ผมเผลอยิ้มออกมาและบีบตอบกลับ เพื่อให้คนตรงหน้ารู้สึกคลายกังวน
จากนาทีนั้นมันผ่านไปอย่างรวดเร็วจน เมื่อผมมารู้ตัวอีกทีก็ตอนที่กำลังนอนบีบมืออีกข้างอยู่บนอัฒจรรย์ ข้างสนามบอลที่ด้านบน คือ ท้องฟ้ากว้างสุดสายตา เสียงหัวใจของผมดังก้องอยู่ในหัว แม้จะพยายามไม่นึกถึงสิ่งที่คิด แต่ก็อดยอมรับไม่ได้ว่ามันกลับสร้าง ความหวังและแรงบันดาลใจให้ผมพร้อมที่จะตัดสินใจในไรบางอย่าง
ชีวิตของเราในแต่งละวัยต่างก็มองหาและรอเวลาแห่งความสุขในหลายๆ รูปแบบ อย่างในวัยเด็ก เราก็จะมองว่าความสุขคือการได้ซื้อของเล่น และเมื่อโตมาหน่อยเราจะมองว่าความสุขคือการได้กระโดดโล้ดเต้นไปบนสนามหญ้า และเมื่อถึงช่วงที่เรากำลังจะก้าวไปยังคำว่าผู้ใหญ่ ความสุขที่เรามองหา มันกลับแตกต่างและเป็นมากกว่าแค่สิ่งที่ใครคนใดคนหนึ่งจะนึกออก แต่สำหรับผม
ณ ตอนนี้
หากถามว่า “ ความสุข “ คืออะไร
ผมคงตอบได้แค่สิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้า นั่นคือ การได้มองท้องฟ้า ที่มีนกบินไปมาอย่างอิสระ การได้สัมผัสกับลมเย็นๆ ไปในที่ๆไม่เคยไป ได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยการตัดสินใจของเรา แบบนั้นดูจะเป็นสิ่งที่รวมตัวและกลั่นออกมาอยู่ในคำว่าความสุขที่ผมต้องการ
“ คมเมิงจะเอายังไงต่อ “
เสียงเรียบนิ่งของกายดังเข้ามาในความคิด ฉีกเอาสิ่งที่ผมกำลังคิดเป็นเศษฝุ่น..
“ เมิงหมายถึงอะไร “
“ ก็เรียนต่อไง เมิงจะเอายังไง “
สายตาของผมยังมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพียงแต่ในเวลานี้มันกลับเป็นเพียงท้องฟ้าที่ว่างเปล่า...
“ ก็คงแล้วแต่แม่กูวะ “
ถึงจะตอบได้แบบไม่เต็มเสียงนัก แต่ผมกลับเชื่อว่าชีวิตก็คงต้องเป็นแบบนั้น ชีวิตที่ทุกอย่างถูกปูและขีดเส้นไว้ เสมือนเส้นตรงที่ไม่มีวันขดเคี้ยว ไม่มีทางแยก ไม่มีอะไรให้คิด มีแต่คำว่าต้องเป็นไป และทำให้ได้อย่างที่ท่านต้องการ
“ แล้วเมิงจะไม่ลองไปคุยกับแม่เมิงก่อนเหรอวะ.... เอ่อ กูหมายถึงว่าหากเมิงอยากลองเรียนที่นั่นอะนะ ”
ผมเข้าใจดีว่ากายมันต้องการบอกอะไร เพราะผลการสอบี่ตั้งอยู่ข้างๆตัวผม มันก็แสดงให้รู้แล้วว่าผมสามารถทำได้อย่างที่คนอื่นทำ นั้นคือการสอบเข้ามหาลัยและมันก็เป็นที่เดียวกับที่กายสอบได้อีกด้วย แต่ในตอนนี้ถึงลึกๆ ผมอยากจะไป แต่สุดท้ายมันก็กลับถูกกลบทับด้วยสีหน้าและรอยยิ้มที่จริงจังของแม่ และคำพูดที่มีเหตุผล และนั้นก็แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่ผมกำลังคิด สิ่งที่เรียกว่า “เป็นไปไม่ได้”
“ เมิงก็น่าจะรู้ว่าคำตอบจะออกมายังไง “
ผมยิ้มให้กับตัวเองเหมือนกำลังหัวเราะให้กับความคิดวูบนึ่ง ความคิดที่คนข้างๆมอบให้ผมเหมือนเป็นความหวังเล็กๆ ว่าผมจะสามารถหลุดออกจากกรอบที่ผมแบกมันไว้ตั้งแต่เด็ก
“ แต่กูอยากให้ที่ที่กูไป มีเมิงอยู่นะโว้ย ” บางอย่างในคำพูด อาจไม่ใช่คำ อาจไม่ใช่น้ำเสียง แต่มันหมายถึงความหมาย ที่เสมือนเป็นเงาเลือนรางทอดเป็นเส้นทางยาวไกลให้เห็น อนาคต วันที่ผมไม่มีกาย.....เพื่อนสนิท......วันที่ผมต้องกินข้าวคนเดียว วันที่ผมต้องเจอปัญหาคนเดียว วันนั้นมันจะเป็นยังไง ผมยอมรับเลยว่าตัวเองไม่เคยมีภาพนี้อยู่ในหัว จนเมื่อวินาทีนี้มาถึง
“...............”
สายตาของผมที่มองคนตรงหน้า มันกลับทำให้เกิดละอองฝุ่นเข้าตาได้อย่างง่ายได้ และดูเหมือนว่าในเวลานั้น ความคิดในตอนนั้น หยุดทุกอย่างของผม หยุดความมีเหตุผลต่างๆ เอาไว้ จนเมื่อหัวใจและร่างกายเดินทางมาถึงที่ที่เรียกว่าบ้าน ที่ที่ซึ่งทำให้ทุกอย่างของผมเปลี่ยนไป
คำถาม
คำตอบ
ความเหงา
สู่ความว่างเปล่า...
ของความคิด
.
.
.
ลมหนาวพัดเอาบางสิ่งบางอย่างออกไปจากตัวผม และแทนมันด้วยความรู้สึกที่บีบน้ำตาแล้วปล่อยออกมาเป็นความทรงจำเก่าๆ
ร่างกายของผมเดินทางผ่านเส้นทางที่คุ้นตา ผ่านสถานที่ที่ผมจดจำ เสมือนว่าเอาความทรงจำดี เก่าๆ ที่ผมเคยเดินกับเพื่อนคนสนิท เพื่อนคนเดียวของผมกระแทกกลับเข้ามาในหัวรวดเดียว และรวดเร็ว จนทำให้ตอนนี่ นอกจากพื้นน้ำว่างเปล่าที่อยู่ตรงหน้า ผมก็ไม่รู้และไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นเลย เท้าที่เปลือยเปล่า ชุดนักเรียนที่หลุดลุ่ย กับรอบตัวที่ไร้ซึ่งสิ่งที่ผมคิดว่ารัก กระชากให้ร่างของผม ดำดิ่งสู่พื้นน้ำสีดำ และปะทะเข้ากับความทรงจำของความเหน็บหนาวที่โหดร้าย
.
.
.
“ คม ”
.
.
.
“ คม ”
.
.
.
“ คม “
.
.
.
.
.
.
“ แต่กูอยากให้ที่ที่กูไป มีเมิงอยู่นะโว้ย ”เสียงที่เดังขึ้นในความคิดกระชากเอาสิ่งที่อุดอยู่ในลำคอให้ออกไป แล้วแทนกลับมาด้วยลมหายใจที่เหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง
แสงสว่างทำให้ผมค่อยๆลืมตาผ่านความมืดอีกครั้ง พร้อมกับที่ผมได้เปิดม่านตามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้า สิ่งที่เป็นใบหน้าที่ผมเคยจดจำ กับรอยยิ้มที่มันไม่เคยจางหายไปจากใจ
“ ........”
ผมมองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเหมือนอย่างไม่เชื่อสายตา แต่หลังจากที่ผมกระพริบตาหลายครั้ง ก็ทำให้รับรู้ได้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน และสิ่งที่อยู่ตรงหน้านั้นคือความจริง
หยดน้ำที่อยู่ทั่วตัว ค่อยๆแห้งหาย แต่กลับมีหน้ำหยดใหม่ที่กำลังรินไหลมาแทนที่
ฮือ ฮือ ฮือ......ฮึก ฮึก....ฮือออ.........ร่างกายของผมที่เคยหนาวและขาดซึ่งความรู้สึกใดๆ ในเวลานี้มันกลับเหมือนมีประกายไฟก่อขึ้นในหัวใจอีกครั้ง
ความอบอุ่น ความคิดถึง ความเศร้า และความหวัง.....
ต่างครอบงำให้ผมกระชากคนที่กำลังยิ้มให้ตรงหน้ามากอดไว้เสมือนว่ามันกำลังจะจางหายไป
ผมไม่เคยนึกว่าตัวเองจะเป็นอย่างนี้ และไม่คิดว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะทำให้ผมได้กลับมาเห็นและหายใจอีกครั้ง
.
.
.
.
คืนที่เงียบเหงาสำหรับบางคน กลับอบอุ่นด้วยความรู้สึกใหม่...
“ เมิงโอเค ขึ้นมั้ย “
กายหันมาถามผมหลังจากรับแก้วน้ำจากมือไปวางไว้ข้างๆ เตียงนอน ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะนั่งนิ่ง ปล่อยให้ความรู้สึกบางอย่างไหลผ่านไปในความทรงจำอย่างง่ายดาย
“ ...... ”
“.......”
ความเงียบของเราสองคนค่อยแทนที่ด้วยเสียงเพลงจากวิทยุ ที่มีแสงไฟเลือนรางอยู่ภายในห้อง
“ กูเป็นห่วงเมิงนะโว้ย ”
แรงบีบที่ไหลเบาๆทำให้ผมเผลอถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย ก่อนที่จะหลับตาลงและค่อยๆลืมตาหันมองไปที่คนข้างๆอีกครั้ง
“ เมิงว่าจะมีสักกี่เหตุผลกันที่คนเราไม่อยากจะมีชีวิตต่อ “
เสียงเพลงยังคงบรรเลงไปอย่างต่อเนื่อง เหมือนนาฬิกาที่ทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์แบบ ความคิดและร่างกายของผมก็เช่นกัน ตอนนี้มันกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง พร้อมกับที่ภาพในหัวกำลังมองย้อนไปถึงวินาทีแรกที่เดินออกจากบ้าน เหมือนว่าภาพความทรงจำกำลังถูกกรอกกลับไปสู่ๆจุดเดิม จุดที่ทำให้ผมไม่อยากนึกถึงมัน
“ แม่เตรียมใบสมัครไว้ให้แล้วนะ ตั้งอยู่บนโต๊ะ กรอกให้เรียบร้อยพรุ่งนี้แม่จะเอาไปส่งให้ ”กระดาษโน้ตใบเล็กๆ ที่ผมจ้องมองมันอ่านซ้ำไปมา และหวังว่ามันจะไม่ใช่อย่างที่คิด มือผมเริ่มสั่นเทาจะค่อยๆวางมันคืนที่โต๊ะ ตอนนั้นสิ่งที่ผมพอทำได้ คือ การโทรไปหาพ่อ คนเดียวที่พอจะช่วยเยียวยาปัญหาได้ แต่แล้วทุกอย่างกลับไม่ได้เป็นอย่างที่มันควรจะเป็น.....เป็นอย่างที่ผมคิด
ภาพที่อยู่ตรงหน้า....
ภาพเงาเลือนรางของผู้ชายและผู้หญิงสองคนที่กำลังอยู่ตรงหน้า....
ท่าทางของพวกเขา...
ท่าทีที่กำลังสาดคำพูดและอารมณ์ใส่กันอย่างที่ไม่เคยเป็น ทำให้ผมนั่งมองมันด้วยความหวาดกลัว จนสุดท้ายก็กลายเป็นความว่างเปล่า ผมนั่งมองภาพที่อยู่ตรงหน้าได้ไม่นาน ก็เดินห่างออกไปด้วยหัวใจที่เริ่มชินช้า สองเท้าของผมก้าวออกจากที่ที่ผมเรียกว่า “ บ้าน ” ไกลกว่าทุกครั้งที่เคยออกมา ความรู้สึกนำพาผมไปยังหลายๆที่ที่ผมเคยไป แต่ครั้งนี้ในหัวใจมันกลับเต็มและอัดแน่นไปด้วยความเหงา ความว่างเปล่า และความไม่เข้าใจ
ปัญหาที่ผมเจอ สิ่งที่ผมเจอมา คือสิ่งที่เป็นปัญหาต่อใคร การที่ผมอยากที่จะมีอนาคตด้วยมือทั้งสองข้าง ด้วยการยิบใส่ความคิดของตัวเอง จริงๆแล้วสิ่งที่ผมคิดมันผิดมากใช่มั้ย ผมนึกอยู่ในใจ จนกลาย เป็นความน้อยใจในที่สุด หลายครั้งที่ผมเคยคิดจะถามแม่ แต่ผมก็ไม่กล้า จนเมื่อสุดท้ายแล้ว สิ่งที่ค้างคาเหล่านั้นก็กลับมาแสดงให้เห็นผลอย่างชัดเจนในวันนี้
วันที่บางคนอาจมองว่าผมบ้า
วันที่หลายคนอาจมองว่ามันไร้สาระ
หรือแม้แต่วันที่หลายคนกำลังจมปลักอยู่กับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไข
ใครที่จะเป็นอย่างผม
ใครที่จะเข้าใจแบบผม
ใครที่จะทำได้อย่างที่ผมได้บาง
อย่างที่ผมเชื่อว่าอาจมีหลายคนที่อยากจะทำ เพียงแต่คุณมันก็แค่คนที่ยังไม่กล้าพอ
.
.
.
.
แสงไฟรถกระทบลงบนม่านตา คำพูดของผมดึงเอาน้ำตาขึ้นมาบนหน้าอีกครั้ง
ผมหันมองคนข้างๆที่กำลังมองผมนิ่งเงียบ ด้วยสายตาที่ต่างจากวันอื่นๆ ครั้งอื่นๆ
“ กาย ”
เสียงเรียกของผมทำให้คนตรงหน้ายิ้มออกมาอย่าอ่อนนุ่ม ก่อนที่จะหันกลับไปนั่งนิ่งในท่าเดิม แล้วมองไปยังในความมืด เหมือนมีบางอย่างเกิดขึ้นตรงนั่น
“ เมิงรู้มัยตั้งแต่กูคบเมิงมา กูไม่เคยรู้เลยว่าเมิงต้องเจออะไรบ้าง “
ผมยกเข่าขึ้นมากอดไว้พร้อมกับคำพูดที่กายทิ้งให้ผมรู้สึกผิด ที่ไม่เคยเล่าอะไรให้คนสนิทอย่างเขาฟัง
“ เมิงรู้ใช่มั้ยว่า พ่อกับแม่กูเสียไปนานแล้ว นอกจากพี่กู กูก็ไม่มีญาติห่าเหวที่ไหนอีก ”
แม้มันจะดูเป็นคำพูดที่กายพยายามจะให้ผมยิ้ม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกสงสารเขามากกว่าเดิม
“ แต่กูว่ากูก็ยังโชคดีนะ ” สายตาผมมองไปยังนัยน์ตาของกายด้วยความรู้สึกอยากที่จะค้นหา ขณะที่เขาก็เริ่มพูดต่อ
“ กูโชคดีที่พ่อกับแม่จากกูไป ในขณะที่กูรู้ว่าพวกเขารักกูมากแค่ไหน และกูก็เชื่อว่าเขาเองก็รู้ ว่ากูกับพี่รักเขามาก ”
ผมรู้แล้วละ.......................ผมพบแล้ว.....................สิ่งที่กายมี.............และเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยมี..............นั่นคืออะไร“ แล้วเมิงจะเอายังไงต่อ “
แม้ว่ามันจะเป็นคำถามที่เข้าใจง่าย แต่การจะตอบได้นั่น มันก็ยากเต็มที ผมเลยได้ส่งยิ้มไปให้เจ้าขอคำถาม แทนคำตอบที่เขาหวังว่าจะได้ยิน
“ กูไม่รู้นะว่าเมิงจะเป็นยังไงต่อไป แต่กูสัญญาว่ากูจะอยู่อย่างนี้ อยู่ข้างเมิง ตลอดไป ”
หลังจากคำพูด ความเงียบก็เข้ามาแทนที่อีกครั้ง เสียงหายใจของผมและกาย คือเสียงเดียวที่ยังพอทำให้รู้ว่าเราสองคนยังนั่งอยู่ด้วยกัน ผมมองไปยังความมืดที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะยิ้มออกมาให้กับคนข้างๆ แหละตัวเอง สิ่งที่อยู่ตรงนั่น สิ่งที่ผมมองไม่ให้ในตอนแรก มันคือสิ่งเดียวกับที่ผมไม่เคยมี และสิ่งนั่นคือ
“ ความหวัง ”.
.
.
เช้าวันใหม่ หลายอย่างไม่ได้เปลี่ยนไปจากทุกๆวัน
นาฬิกาเรือเก่ายังคงปลุกในห้องเดิม
ถนนที่เส้นเดิมที่เคยเงียบเหงาก็กลับเติมเต็มไปด้วยผู้คนและรถราอีกครั้ง
สถานที่ที่เราเคยคิดว่าเหงา มันก็หายไปอย่างไม่เหลือเคล้าโครงเดิม
ท้องฟ้าที่เคยมืดดำ ก็กลับถูกแต้มด้วยแสงแรกแห่งวันเหมือนอย่างทุกๆวันอยู่เสมอ
แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อ ว่ามันจะเปลี่ยน........
ว่ามันจะไม่เหมือนเดิม........
นั่นคือ ทันทีที่ผมลืมตา
ผมจะได้พบเจอสิ่งใหม่
สิ่งที่ใครคนหนึ่งได้ยื่นมันให้ผมไว้
และผมก็จะเก็บมันใส่ในความทรงจำ
ของคำว่า
“ ความหวัง ” ตลอดไป
“ ขอบคุณที่ทำให้ผมเรียนรู้คุณค่าของความหวัง เมื่อใกล้วันสุดท้ายของลมหายใจมาถึง ”