“ชา....รู้เรื่องที่บ้านพี่แล้วใช่มั้ย”
รู้
รู้แล้ว รู้นานแล้ว ตั้งแต่ที่เราเริ่มคบกัน
“จะบอกว่าเราจบกันก็ไม่ต้องอ้อมโลก.....ชาเข้าใจ”
แต่พี่ไม่อยากเข้าใจ พี่.......ไม่อยากที่จะ........ ได้แต่ยืนก้มหน้ามองพื้น แม้จะมีร่างกายสูงใหญ่กว่าคนที่อยู่ตรงหน้าขนาดไหน แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่ากำลังเหลือตัวเล็กลงนิดเดียว
ตัวเล็กลงเรื่อย ๆ เล็กลง จนกลายเป็นแค่เด็กน้อยไร้เรี่ยวแรง
“พี่ฟ้า....เรื่องบางอย่างเราเลือกมันไม่ได้ ชาเข้าใจ”
ชาเข้าใจ แล้วชาก็จะให้พี่เข้าใจแบบที่ชาเข้าใจ ทำไมชาไม่โวยวาย ทำไมชาไม่เกลียดพี่ไปเลย ชาพูดแต่ว่าชาเข้าใจ
จริง ๆ แล้วชาเคยเข้าใจพี่จริง ๆ หรือเปล่าในเวลานี้พี่ก็ยังไม่รู้
“พี่รักชา”
แล้วยังไง คำว่ารักมันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ในเวลานี้ คำว่ารักมันช่วยอะไรไม่ได้
“ก็ดีแล้ว มีคนรักก็ต้องดีกว่ามีคนเกลียดจริงมั้ย”
ใช่ แต่พี่ไม่ได้หมายถึงความหมายแบบนั้น พี่ไม่ได้........หมายถึงแบบนั้น
“พี่ทำอย่างที่พี่ควรจะทำเถอะ ชาบอกแล้วว่า.......”
เสียงที่อยากจะพูด หายกลับเข้าไปในคอดื้อ ๆ และนุชาก็ก้มหน้าลง ก้มหน้าลงมองที่พื้น
ไม่รู้นะ บางสิ่งบางอย่างจะเป็นของเราเพียงชั่วครู่ชั่วยาม แต่ไม่ใช่ตลอดไป เพราะเราไม่ได้เกิดมาเพื่อครอบครองสิ่งนั้น
เข้าใจสิ เข้าใจดีมาก เข้าใจและยอมรับมาได้ตลอด บอกตัวเองให้เข้าใจ
“เราก็เป็นพี่น้องกันก็ได้พี่ฟ้า ไม่เห็นต้องคิดมาก ชาไม่ได้คิดอะไรหรอก เฉย ๆ อีกสี่เดือนก็จบแล้ว พี่จะให้ชาคิดอะไร”
อีกสี่เดือน ก็จบแล้วงั้นเหรอ พี่ไม่ได้อยากให้ชาคิดอะไร พี่แค่อยากให้ชาคิดถึงพี่
“เราหนีไปอยู่ด้วยกันมั้ยชา ไปอยู่ด้วยกัน”
ความฝันของพี่ไม่มีวันเป็นจริงหรอก พี่จะให้ผมหนีไปไหน ในเมื่อทุกวันนี้โลกมันก็มีอยู่แค่นี้ พี่จะให้ผมหนีไปกับพี่ แล้วเราจะไปไหนกัน อยู่แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ แบบทุกวันนี้มันก็แย่พอแล้ว พี่ยังอยากจะให้เราต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไปถึงไหน
ชีวิตแบบนั้นมันจะสุข สงบได้เหรอพี่ เราต่างก็มีครอบครัวมีหน้าที่ พี่มีหน้าที่ของพี่เอง และชาก็สมัครใจตั้งแต่แรก แล้วพี่อยากจะให้ชาเรียกร้องอะไร
“ชาก็รักพี่ฟ้านะ....ชารัก...พี่ฟ้า...มาก”
รักมาก แต่ไม่สามารถไปด้วยกันได้ เรื่องตลก ๆ แบบนั้น มีอยู่จริงในโลกใบนี้
“พี่จะอยู่ยังไง จะให้พี่ตายทั้งเป็นเหรอ พี่จะอยู่ยังไงต่อไปล่ะชา ชาจะให้พี่อยู่ยังไง ถ้าชีวิตนี้พี่ต้องขาดชาไป”
พี่ก็ไม่เห็นต้องทำยังไงเลย พี่ก็อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไรหรอก
“เดี๋ยวสักพักพี่ก็จะชินไปเอง เวลาที่ไม่มีชาอยู่ข้าง ๆ พี่จะชินไปเอง ชาเชื่อว่าพี่จะทำได้”
แต่พี่ไม่เชื่อว่าจะทำได้ พี่ไม่เคยเชื่อ
รั้งร่างของคนที่อยู่ตรงหน้ามากอดเอาไว้แน่น กอดเอาไว้เพราะไม่อยากเสียไป
อยากร้องไห้แต่ร้องไม่ออก บางสิ่งบางอย่างมันทั้งตื้อทั้งแน่นอยู่ในอก จนไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดอะไรได้
รู้เพียงแค่คนในอ้อมแขนกำลังตัวสั่น และตัวเองก็คงจะมีสภาพไม่ต่างกัน
นัทยืนนิ่งงัน อยู่ตรงนั้น ไม่ได้ตั้งใจแอบฟัง แต่ก็เลี่ยงไปตรงไหนไม่ได้ หลังมหาวิทยาลัยเป็นอ่างเก็บน้ำเล็ก ๆ ที่ไม่มีใครแวะผ่านมามากนัก เป็นสถานที่ลับตาคน ที่เหมาะกับการเอาหนังสือมาอ่านเงียบ ๆ และเป็นสถานที่ทำให้สมองแล่นมากที่สุด อ่านมากเท่าไหร่ก็สามารถจดจำได้ แต่เวลานี้สิ่งที่นัทรับรู้ได้ก็คือไม่สมควรมา มาวันไหนไม่มา เสือกมาวันนี้ เป็นวันที่รู้สึกถึงคำว่าผิดที่ผิดเวลาเป็นที่สุด
ฟ้าเงยหน้าขึ้นและมองไปที่ใครบางคนที่ยืนห่างออกไป
ตกใจกับสิ่งที่เห็นและผละออกห่างจากร่างที่กอดเอาไว้ คนสองคนหันไปมองในทิศทางเดียวกัน และเห็นชัดเจนว่าในเวลานี้ไม่ได้อยู่กันแค่สองคน แต่มีบุคคลที่สามที่เป็นแขกไม่ได้รับเชิญมายืนร่วมรับฟังการสนทนาด้วยเป็นที่เรียบร้อย
“สวัสดีครับ ผมนัท...พี่ชายยัยหนิง คุณ....รัชชานนท์น่าจะพอจำผมได้”
นัทที่พูดบางอย่างออกไปแบบไม่ทันคิด เพราะไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปก็เลยแนะนำตัว แนะนำตัวทำไมไม่รู้ แค่คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะพอจำได้ และอยากจะอธิบายต่อว่า สิ่งที่ได้ยินได้เห็นเมื่อกี้นี้จะไม่ถูกแพร่งพรายแน่ ๆ ขอให้สบายใจได้
แม้ว่าจะ....เกี่ยวกับครอบครัวของตัวเองในอนาคตก็ตาม
“ผมไม่คิดว่าผมอยากจะจดจำคุณได้....”
เป็นคำตอบที่ทำให้นัทได้แต่อ้าปากค้าง และไม่รู้จะพูดอะไรออกไปอีก ได้แต่ยืนนิ่ง และทันได้เห็นชัดถึงแววตาที่บ่งบอกชัดเจนว่าคนที่บอกว่าไม่รู้จักกำลังไม่พอใจอย่างถึงที่สุด
คงจะโกรธ คงจะ...โมโห คงจะ...เกลียด คงจะ........ ไม่มีเหตุผลอะไรจะให้เดาอีก สิ่งที่ต้องทำคือต้องรีบหนีออกไปจากสถานที่นี้ให้เร็วที่สุด
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ คุณพี่ชายคุณหนิงคุณชื่ออะไร”
ชื่ออะไร
“นัท...ผมชื่อนัท ชื่อจริงนัธพันธ์คุณจะเรียกผมยังไงก็ได้”
ไม่รู้ว่าจะแนะนำตัวเองทำไมอีก แทนที่จะรีบเดินหนีไปซะให้พ้นทำไมถึงยังมัวห่วงมาแนะนำตัวเองอยู่ได้
“อ่อ คุณนัท ผมไม่ค่อยยินดีจะได้รู้จักคุณเท่าไหร่หรอกนะหรือคุณว่าไง”
ผมไม่ว่าไง ผมแค่เดินผ่านมา และไม่คิดว่าจะมีเรื่องอะไรต้องว่า
และ....
“คุณจะทำยังไง จะทำอะไรมันก็เรื่องของคุณนะคุณรัชชานนท์ไม่เกี่ยวกับผม ปัญหาของคุณ คนที่ต้องเคลียร์ก็คือคุณไม่ใช่ผม และผมเชื่อว่าคุณจะจัดการปัญหาทั้งหมดของคุณได้”
ห่า มันเกี่ยวกับประเด็นที่เขาถามตรงไหนวะเนี่ย ไม่เกี่ยวเลย กูตอบอะไรออกไปวะเนี่ย แต่อย่างน้อยก็น่าจะเข้าใจล่ะว่ะ ว่าเรื่องนี้กูไม่ยุ่ง ไม่เกี่ยว ไม่เอาไปพูดแน่ ไม่หาเรื่องให้เดือดร้อน น่าจะพอสบายใจได้
“คุณนัท....ผมไม่รู้ว่าคุณเห็นอะไรหรือได้ยินอะไรบ้าง แต่สิ่งที่ผมรู้ในเวลานี้คือ....ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นผมเอาคุณตาย”
ตาย
ตายได้ยังไง
ไม่ ไม่ อะไรวะ ก็บอกอยู่นี่ไงว่าไม่มีทางจะพูดหรือข้องเกี่ยวด้วยหรอก จะกดดันไปถึงไหน ผมกับพี่ไม่ต้องรู้จักกันก็ได้ มันพลาดที่ผมแนะนำตัว มันพลาดไปเยอะเพราะความไม่รู้จักไตร่ตรอง พลาดไปอย่างมหันต์จนไม่น่าให้อภัย
แต่สิ่งที่ควรทำตอนนี้ไม่ใช่มานั่งไตร่ตรอง แต่เป็นการที่ต้องหาอะไรก็ได้มาตัดบทเพื่อหนีออกจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
อะไรก็ได้นัท อะไรก็ได้รีบพูด อะไรก็ได้ไอ้นัท รีบพูดเข้าสิวะ อะไรก็ได้ คิด คิด คิด แล้วรีบพูดออกไปเดี๋ยวนี้ พูดออกไป
“ผมไม่มีเวลาว่างมากพอที่จะสนใจเรื่องชาวบ้าน หรือเอาเรื่องชาวบ้านไปนินทาให้เสียหาย คุณไม่ต้องกังวลหรอกว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ขอให้สบายใจได้ ผมเข้าใจ”
ไม่รอฟังคำตอบ ไม่รอให้มีอะไรมารั้งอยากจะวิ่งจากไปอย่างรวดเร็ว แต่ถ้าทำแบบนั้นมันก็คงจะดูน่าเกลียดเกินไป
นัทจึงให้วิธีการหันหลัง ไม่พูดไม่ตอบอะไรอีก และก้าวขาเดินจากไปอย่างช้า ๆ ทำเหมือนไม่ทุกข์ร้อนกับสิ่งที่เกิดขึ้นและไม่อยากให้เป็นที่หมั่นไส้ของคนสองคนที่มีสีหน้าอึดอัดใจ
ฟ้ากัดฟันกรอด และพิจารณาคนที่เดินจากไปแล้ว ด้วยความรู้สึกบางอย่าง
เกิดมาไม่เคยเกลียดขี้หน้าใครแบบไร้เหตุผลและก็เพิ่งรู้สึกเกลียดวันนี้เอง
นิ่งสงบจนน่ากลัว ภายใต้ใบหน้าที่เหมือนกำลังยิ้มอยู่นั่นมันแฝงอะไรบางอย่างมาด้วยแน่ ๆ บางอย่างที่ยากแก่การจะเข้าใจ
แววตาที่คล้ายจะหม่นแสงแต่ก็ฉายแววบางอย่างที่อ่านไม่ได้ คำพูดที่คล้ายมีหลุมพรางวางดักล่อเอาไว้ และเต็มไปด้วยการเหน็บแนมประชดประชันแบบนั้น ต่อให้เป็นเด็กสามขวบก็ยังรู้
ท่าเดินแต่ละก้าว นิ่ง สงบ ไม่มีอาการของคนที่ตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยสักนิด
นัทเหรอ คุณนัท คน ๆ นี้ชื่อคุณนัท คุณนัทคือคนที่ นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไปจะไม่จำก็ทำไม่ได้ ไม่เคยจำได้ ไม่เคยรู้จัก แต่บอกตรง ๆ ว่านับตั้งแต่วินาทีนั้นฟ้าคงจะจดจำคน ๆ นี้ไปจนวันตาย ประมาทไม่ได้ เพราะชื่อเสียงของบริษัทและการอยู่รอดได้ในอนาคตบางทีมันอาจต้องขึ้นอยู่กับคน ๆ นั้น
“ชาไม่ต้องกังวลนะ ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นพี่จะจัดการมันเอง ชาไม่ต้องกังวลเรื่องของไอ้นัทอะไรนั่นด้วย”
หันไปบอกคนที่ยืนอยู่ด้วยและนุชาก็มีสีหน้าลำบากใจอย่างเห็นได้ชัด ในเวลานี้เรื่องบางเรื่องไม่ใช่เรื่องของคนสองคนอีกแล้ว
เมื่อมีบุคคลที่สามเข้ามารับรู้ด้วย
“พี่ฟ้า....บางทีเขาอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ พี่อย่าคิดมากเลย”
ปลอบใจตัวเอง และปลอบใจคนที่ยืนหน้าเครียดด้วย และฟ้าก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
“พี่ก็หวังว่าจะไม่มีอะไรเหมือนกัน แต่ก็ยากจะหวัง ไอ้คุณนัทอะไรนั่น พี่พอจะนึกได้ลาง ๆ บ้างแล้ว บางครั้งพี่รู้สึกเหมือนมันแอบมองพี่อยู่ บางทีมันอาจจะคิดมานานแล้วว่าต้องแสดงตัวออกมา หลังจากที่สังเกตพี่มาพักใหญ่แล้ว เรียกง่าย ๆ ว่ามันจงใจขู่พี่แน่ ๆ”
คนที่มีชนักปักหลัง มักหวาดระแวง คิดเอง เออเองได้เป็นฉาก ๆ และฟ้าก็กำลังเป็นแบบนั้น
“พี่ฟ้า ชาว่าบางทีมันคงไม่มีอะไรก็ได้”
หันไปมองหน้าของคนที่ยืนเครียดอยู่ข้าง ๆ และนุชาก็ทำได้แค่ขมวดคิ้วมุ่นไม่รู้จะทำยังไงต่อไป ทำได้แค่ปลอบใจใครบางคนและมันคงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำได้ในเวลานี้
“พี่ก็หวังให้เป็นอย่างนั้น แต่พี่ก็ไม่ไว้ใจไอ้คุณนัทอะไรนั่นเลย ทั้งสีหน้าทั้งแววตาของมัน มีอะไรบางอย่างที่พี่อ่านไม่ออก และพี่ก็มั่นใจว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ พี่ค่อนข้างมั่นใจ”
แล้วจะทำยังไง แล้วเราจะทำยังไง แล้วพี่จะให้ชาทำยังไง........นอกจาก....
“เราไม่ต้องเจอกันสักพักแล้วกันนะพี่ฟ้า”
ไม่เจอกันสักพักของนุชา แปลว่าอย่าเจอกันอีกเลย แต่ฟ้าไม่รู้ความหมายของคำ ๆ นั้น
ในวันที่ได้รับฟังคำพูดนั้น ฟ้าทำเพียงแค่พยักหน้าเล็ก ๆ เพราะเข้าใจว่าต้องรอให้สถานการณ์คลี่คลาย หรือให้อะไรดีขึ้นกว่านี้ก่อน ถึงค่อยเจอกันใหม่ก็ได้ ไม่เคยรู้ว่าไม่ต้องเจอกันสักพัก คือไม่ต้องเจอกันอีกตลอดไป ไม่รู้ จนเมื่อเวลาผ่านไปสักพักจริง ๆ คำว่าสักพักของนุชาถึงทำให้ฟ้าซึ้งและแทบจะกลายเป็นคนบ้าเพราะคำ ๆ นั้น
กดโทรศัพท์โทรหาซ้ำ ๆ หลายครั้ง บางครั้งโทรติดแต่ไม่มีคนรับสาย บางครั้งก็ไม่มีสัญญาณ เป็นแบบนั้นอยู่นาน เป็นแบบนั้น จนสุดท้ายฟ้าถึงได้สำนึก ว่าการห่างกันสักพัก คือคำว่า “เราเลิกกัน”
เสียใจมาก เสียใจจนอยากจะตายไปซะให้พ้น ๆ แต่ก็ทำไม่ได้ ยิ่งรู้เรื่องสถานการณ์ของครอบครัวของตัวเองยิ่งทำไม่ได้
ทำร้ายใครไม่ได้ นอกจากต้องทำร้ายตัวเอง
“แต่งงานแต่งการซะทีนะเรา ขอให้อยู่กันนาน ๆ นะมีหนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน”
แค่นยิ้มและหัวเราะเยาะตัวเองในใจ ที่ได้รับคำอวยพรแบบนั้นในวันที่รดน้ำสังข์ กับผู้หญิงที่เพิ่งเห็นหน้าไม่กี่วันก่อนแต่งงาน
หน้าเธอก็ไม่อยากจดจำ แต่จะให้ทำยังไง ในเมื่อมาไกลจนถึงขั้นนี้แล้ว
“ดูแลตัวเองดี ๆ นะหนิง”
ไม่มีคำอวยพรให้กับเจ้าบ่าว มีให้เพียงแค่เจ้าสาวเท่านั้น และฟ้าก็เงยหน้าขึ้นมองหน้าของคนที่อวยพรให้ มันคือหนึ่งในต้นเหตุที่ทำให้หัวใจแตกสลาย ไอ้คุณนัทอะไรนั่น มันคือต้นเหตุสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้ต้องมีวันนี้
“เอ่อ...ไงคุณรัชชานนท์ ดูคุณสบายดีนะ ฝากน้องสาวของผมด้วยแล้วกันนะ”
ใจเย็นที่สุด รอยยิ้มชวนคลื่นไส้นั่นมันอะไร รู้ทั้งรู้อยู่แล้ว ว่างานแต่งงานครั้งนี้จัดขึ้นเพราะอะไรแต่มันก็ยังยิ้มระรื่นได้
ผู้หญิงที่นั่งอยู่นี่คือน้องสาวของตัวเองแท้ ๆ แต่ก็ยังปล่อยให้มาแต่งงานด้วยได้ มันคงไม่มีหัวใจ คงถูกสอนให้ไม่มีหัวใจ ที่จะรักหรือเมตตากับใคร ทุกครั้งที่ได้เจอและเห็น ฟ้ายิ่งรู้สึกเกลียดคนที่อยู่ตรงหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
เกลียดเพิ่มทบเท่าทวีคูณทุกวินาที และนัทก็รู้ รับรู้มันได้กลาย ๆ จากสีหน้าและแววตาคู่นั้นที่บ่งบอกชัดเจนว่าไม่เคยรู้สึกอะไรด้วย นอกจากความเกลียดชัง
แต่จะทำอะไรได้ ก็ทำได้แค่นี้ เกลียดก็ยังดีกว่าไม่รู้จัก ไม่รักก็ยังดีกว่าไร้ตัวตนตลอดไป
แค่นยิ้มกับตัวเองและเดินจากมาหลังจากรดน้ำสังข์เสร็จเรียบร้อย ต่อไปนี้คงได้มีตัวตนในแบบที่ไม่ได้ปรารถนาเท่าไหร่
แต่ก็เท่านั้น
อย่างน้อย มันก็ดีกว่าไร้ตัวตนไปตลอด มันก็ยังดีกว่าที่จะต้องไร้ตัวตนในสายตาของใครบางคนตลอดไป
TBC.
Ps. เผื่อใครอยากอ่าน เรื่องของฝน น้องชายของฟ้า ปรัชญาช่างกล ปูกับฝน
และเรื่องของ นุชา แฟนเก่าของฟ้าRunning.....นุชากับซ้ง