เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้ | Not today, he said. [ตอนพิเศษ] 05/10/20  (อ่าน 123981 ครั้ง)

ออฟไลน์ padthaiyen

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 943
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-2
มันจะเกิดเรื่องอะไรอีกไหม

ออฟไลน์ gayraygirl

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3013
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +206/-3
ในที่สุด  :-[  จะจบแล้วเหรอ ขอให้ทุกอย่างลงเอยด้วยดี

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
44 [PART1/3]

อาการปวดอยู่กับผมประมาณสี่ห้าวัน สิ่งที่ลำบากที่สุดคือการขับถ่ายและการปั่นจักรยานไปเรียนเพราะสองสิ่งนี้กระตุ้นแผลโดยตรง

ผมบอกตัวเองว่าไม่เอาแล้ว ไม่ขอทำแบบนั้นอีกแล้วเพราะมันเจ็บมาก ตอนที่ปั่นข้ามลูกระนาดแล้วจักรยานสั่นดังกึก! มันสะเทือนแผลจนปั่นต่อไม่ได้ ทรายถามว่าเป็นอะไร ทำไมจู่ๆก็หยุดปั่นกะทันหัน พอเห็นหน้าผมซีดๆไม่กล้าพูดมากมันก็เข้าใจและบอกว่าสลับที่กันเถอะ เดี๋ยวกูปั่นเอง เวทนาก้นมึงจริงๆอีก้อง แล้วภาพน่ารักๆอย่างพี่ทรายแมคคาปั่นจักรยานพาผู้ชายกลับหอก็เป็นที่พูดถึงในอินเทอร์เน็ต ผมดูเหยาะแหยะอ่อนแอมากเพียงแค่ซ้อนท้ายผู้หญิงเถื่อนอย่างทรายทั้งๆที่ความจริงผมแข็งแรงมาก เพราะเจ็บแผลหรอกนะถึงต้องใช้แรงงานเพื่อน แต่จะว่าไปการปั่นจักรยานให้ผู้ชายซ้อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แล้วพวกเขาตื่นเต้นอะไรกัน แม้กระทั่งไอ้โบ้ทยังขำเพราะเห็นภาพของเราในเฟสบุ๊ก

พอแผลเริ่มหายดี ผมก็กลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง คราวนี้เวลาไปค้างบ้านพี่อู๋ ไม่ต้องรอให้เขาสอนเขาสั่งอย่างที่เคยทำ ผมจัดการตัวเองเรียบร้อยแม้พี่อู๋จะไม่พูดว่าคืนนี้เราจะทำอะไร ราวกับเป็นกิจกรรมที่เราสองคนต่างเฝ้ารอตลอดเดือนอยู่แล้วเพราะเรามีเวลาอยู่ด้วยกันแค่เดือนละสองครั้ง ดังนั้นมันจึงเป็นสองครั้งที่ล้ำค่าจนไม่สามารถปล่อยผ่านเฉยๆได้

“จะใส่แล้วนะ --”

พี่อู๋พูดให้สัญญาณ เขายังคงอ่อนโยน ทะนุถนอมผมอย่างดีไม่เคยทำให้ช้ำไปทั้งตัว เขาไม่ดูดผิวของผมจนขึ้นรอย ไม่กัด ไม่ทำให้ผมรำคาญใจด้วยการกระทำพิศดารใดๆก็ตามเท่าที่มนุษย์จะทำได้ แต่เราไม่ได้มีเซ็กส์แบบเดิมๆจนน่าเบื่อ พี่อู๋สอนให้ผมเรียนรู้วิธีใช้ปากกับส่วนนั้นของเขา ครั้งแรกทำเอาผมแทบอ้วกเพราะมันลึกเกินไป ผมบอกพี่อู๋ว่าผมไม่สามารถใช้ปากหมดในรวดเดียวหรอก เขาจึงบอกให้ทำเท่าที่ไหว เลียอย่างเดียวก็ได้ หรือจะไม่ทำก็ได้ถ้ารู้สึกไม่ดี แต่สำหรับผมไม่มีอะไรไม่ดีหรอก ผมรักทุกส่วนในร่างกายของพี่อู๋ รักทุกอย่างที่เป็นเขาจนไม่รังเกียจเมื่อต้องออรัลให้ ตอนนี้เราค้นพบความสนุกรูปแบบใหม่จนได้ลองแทบทุกอย่าง ผมเคยลองสอดใส่กับตุ๊กตายางที่มีแค่ท่อนล่างด้วย พี่อู๋ซื้อมาให้ เขาคงเอาไว้ดักคอก้องเกียรติเวลาพูดว่าอยากเป็นฝ่ายเสียบบ้างจัง

“โคตรเสียว”

พี่อู๋พึมพำ สะโพกของเขาขยับเข้าออกถี่ยิบ ส่วนผมก็ขยับเหมือนกัน เพียงแค่สอดใส่กับตุ๊กตายางและเสพสมกับความสุขทั้งข้างหน้าข้างหลัง นี่คือท่าที่ผมชอบมากเพราะได้เป็นทั้งคนคุมเกมและฝ่ายถูกเติมเต็ม มันคือความหฤหรรษ์ที่ทำเอาผมหมกมุ่นและดื่มด่ำไปกับมันจนเผยสัญชาติญาณดิบออกมา ผมไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตัวเองชอบเซ็กส์ขนาดไหน ไม่เคยรู้ว่าการมีอะไรกับคนรักมันเติมเต็มชีวิตจิตวิญญาณของผมได้จริงๆ ดังนั้นทุกครั้งที่เรามีอะไรกัน ผมจะรักพี่อู๋มากเป็นพิเศษ เราจะพูดจาลามกใส่กัน พูดคำหยาบที่หากพ่อได้ยิน พ่อคงหยิบไม้มาฟาดผมจนเลือดซิบแน่ๆเพราะมันไม่สุภาพ แต่คำหยาบเหล่านั้นเวลาถูกพูดบนเตียงกลับเร้าอารมณ์เป็นบ้า โดยเฉพาะช่วงใกล้ถึงจุดสุดยอดแล้วเราครวญคราง ยิ่งตอนที่พี่อู๋ย้ำแรงๆและผมเรียกเขาว่าผัว โคตรสุดยอดในความรู้สึกของเราเลย

“อา --”

เมื่อปลดปล่อยเอาความต้องการทั้งหมดออกมา เราต่างนอนหอบด้วยกันทั้งคู่ ตอนนี้สิ่งที่พี่อู๋เคยพูดไว้กลายเป็นจริงแล้ว ผมชอบที่เขาเอาใจใส่นะ แต่ไม่ชอบให้เขาทำเหมือนผมอ่อนแอเปราะบางจนดูแลตัวเองไม่ได้ หลังพักเหนื่อยเสร็จ ผมจะถอดถุงยางให้เขา จากนั้นเราก็สลับกันไปอาบน้ำ อาบเสร็จเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกย้ายกันไปทำกิจกรรมที่ค้างไว้ของตัวเอง ครั้งหนึ่งเรามีเซ็กส์กันช่วงสอบไฟนอล ผมเจ็บก้นจะแย่แต่ก็ต้องนอนอ่านหนังสือไม่งั้นก็คงได้คะแนนไม่ดี มันเป็นแบบนี้ตลอดในความสัมพันธ์ของเรา มีระยะห่าง แต่ก็ไม่ได้ห่างเหินจนถึงขั้นหมางเมินเหมือนคนหมดรักต่อกัน

“อาทิตย์หน้าไปเกาะล้านกันไหม?”

พี่อู๋ถามผมที่กำลังทำการบ้านหน้าทีวี ผมเงยหน้ามองเขา ไม่เข้าใจว่านึกยังไงถึงถามแต่ก็บอกให้เขาไปขออนุญาตพ่อ เพราะผมยังไงก็ไปอยู่แล้ว ติดอยู่อย่างเดียวคือพ่อนี่แหละที่ยังคงระแวงไม่ให้ไปไหนไกล ผมไม่แน่ใจว่าพ่อหวงลูกทุกคนเหมือนกันหมดไหมหรือเจาะจงก้องเกียรติคนเดียว แต่เห็นชมพู่ก็ไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่ ผมจึงเทน้ำหนักไปที่คำพูดของแอปเปิ้ลที่ว่าพ่อกลัวเราตายเพราะอุบัติเหตุมากกว่า

ซึ่งแน่นอนว่าพ่อไม่อนุญาต พ่อบอกว่าเป็นห่วง ไม่อยากให้นั่งรถไกลๆเพราะกลัวพี่อู๋หลับใน พอบอกว่าเขาไม่หลับหรอก เขาขับรถทางไกลเก่งมาก พ่อก็จะบอกว่ากลัวเรือล่ม กลัวขับมอเตอร์ไซค์ตกเขา กลัวเจ็ตสกีคว่ำ กลัวนั่นกลัวนี่จนเราต้องยอมแพ้ โอเค ไม่ไปไหนนอกจากเดินห้างก็ได้ ถ้าพ่อจะหวงขนาดนี้ ทำไมไม่เอาโซ่ล่ามพวกเราไว้เลยจะได้ไม่ต้องพะวงตลอดเวลา

แต่พ่อก็เข้มงวดได้ไม่นานเท่าไหร่ เมื่อผมขึ้นปีสาม พ่อเริ่มอนุญาตให้ไปวันเดย์ทริปกับพี่อู๋บ้าง แน่นอนว่าเงื่อนไขคือเหมือนเดิม ไปเช้าเย็นกลับ อย่ากลับค่ำหรือพากันหายไปเกินสามวันเพราะพ่อไม่สบายใจ ดังนั้นพี่อู๋จะพาผมกลับบ้านที่ใต้ก็ไม่ได้ จะพาออกทริปเที่ยวต่างๆก็ไม่ได้นอกจากไปชลบุรีที่อยู่ห่างไปไม่กี่ชั่วโมง แต่นี่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับเราเพราะพี่อู๋ขยันมาหาผมเสมอ ต่อให้ไม่ได้ตัวติดกันยี่สิบสี่ชั่วโมง เขาก็พยายามมาเจอผมทุกอาทิตย์เพราะคิดถึง ผมได้แต่หวังว่าความสม่ำเสมอมั่นคงของเขาจะทำให้พ่อใจอ่อน และยอมปล่อยให้เราได้ใช้ชีวิตผู้ใหญ่เสียที





คืนก่อนผมฝันถึงออกัส เป็นฝันธรรมดาไม่ใช่ฝันร้ายหรือฝันดี และความฝันนั้นทำให้ผมหวนนึกถึงอดีตเพื่อนคนนี้อีกครั้ง

ปัจจุบันออกัสลาออกจากลาดกระบังไปแล้ว ไม่มีใครรู้ว่ามันคิดจะออกตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้อีกทีก็ตอนที่มหาวิทยาลัยเอกชนใช้มันโปรโมตเป็นพรีเซนเตอร์คณะนิเทศ ผม ทราย มิวและโบ้ทไม่ได้ให้ความสนใจออกัสเหมือนเคย อาจมีระลึกวีรกรรมแสบๆที่มันเคยทำเอาไว้ แต่ก็ไม่มีใครเสียใจที่มันซิ่ว เราทุกคนรู้สึกเฉยๆ และผมสงสารมันจริงๆที่ซิ่วไปโดยไม่มีใครคิดถึงเลย

พอนึกถึงออกัส ผมก็มักจะหวนคิดถึงช่วงนั้นที่ทำให้ชีวิตของผมยุ่งเหยิงวุ่นวาย หลังออกสื่อแถลงข่าว ผมจำได้ว่ากระแสละครไม่ได้มาแรงเหมือนที่คิดไว้ ออกจะเงียบๆและค่อยๆจางไป แล้วกลับมาบูมใหม่เมื่อใกล้ตอนจบเท่านั้น ส่วนน้องฝนเราก็ไม่ได้พูดคุยติดต่อกันอีก เธอหายไป ไม่ได้อัปเดตเรื่องราวให้รู้ว่าถูกบริษัทฟ้องไหม ต้องไปไกล่เกลี่ยที่ศาลหรือได้คุยกับออกัสบ้างหรือเปล่า ที่แน่ๆสิ่งที่น้องฝนบอกเราเป็นจริงแทบทุกข้อ ต้นสังกัดพยายามดันคู่จิ้นใหม่ให้ออกัสแต่เข็นยังไงก็เข็นไม่ขึ้น มันจะดังเปรี้ยงปร้างก็ไม่สุดเพราะออกัสโดนฉุดด้วยภาพลักษณ์ตัวสร้างกระแสไปแล้ว ทุกอย่างจึงออกมาครึ่งๆกลางๆ มีทั้งคำด่าและคำอวยจนไม่สามารถจำกัดความได้ว่าความนิยมของออกัสเป็นไปในแง่บวกหรือลบเพราะมันพอๆกัน

ส่วนคนที่ด่าก้องเกียรติ ตอนนี้ก็ได้เจอกันเรียบร้อย ผมไปโรงพักเพื่อไกล่เกลี่ยมาแล้วครั้งหนึ่งจึงมีโอกาสพบคนที่ทวีตด่าผมว่าอีกะหรี่ น่าเศร้าที่บางคนยังเด็กมากจนต้องให้ผู้ปกครองมาขอโทษด้วยตัวเอง บางคนก็โตจนทำงานทำการแต่กลับพูดอะไรไม่คิดให้ดีจนต้องมาคุยกันที่โรงพัก ผมกับพ่อเห็นตรงกันว่าไม่อยากให้เรื่องยืดเยื้อจึงไกล่เกลี่ย ให้คนพวกนั้นอัปแถลงการณ์ขอโทษผมบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งน่าเสียดายที่คำขอโทษไม่ดังเท่าคำด่า แต่ช่างมันเถอะ จบกันแล้วจบไป ไม่ต้องข้องเกี่ยวมาสร้างเวรสร้างกรรมอีก ยกเว้นพนักงานของเจอี ทนายแนะนำให้ฟ้องแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายเพราะพวกเขาคือต้นเหตุของกระแสทั้งหมด

แน่นอนว่าพนักงานสี่คนนั้นอยู่ไม่สุข พวกเขาพยายามติดต่อเพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ยไม่ให้เรื่องไปถึงชั้นศาล ซึ่งผมไม่สนใจ ผมปล่อยให้ทนายกับพ่อเป็นคนจัดการว่าจะเรียกร้องเท่าไหร่ ผมขอแค่คำขอโทษและการยอมรับผิดกับสังคมตรงๆว่าเจอีอยู่เบื้องหลังการปั่นกระแสด่าก้องเกียรติ เชื่อไหมว่าหลังเรื่องนี้ถึงหูบริษัท พนักงานทั้งสี่ก็มีเงินมาจ่ายผมคนละห้าหมื่นบาทแลกกับการถอนฟ้อง ผมบอกพ่อว่าบ้านเราไม่ขัดสนเรื่องเงิน ไม่ต้องเน้นจำนวนหรอกว่าได้มากหรือน้อย ที่ผมต้องการคือแถลงการณ์ขอโทษอย่างเป็นทางการจากเจอีและพนักงาน ผมอยากให้พวกเขาสารภาพความจริงให้สังคมรับรู้ ซึ่งแน่นอนว่าพวกเขาทำไม่ได้เพราะเจอีไม่ยอม ทางบริษัทคิดว่าจ่ายเงินให้สองแสนแล้วเป็นอันจบไปแต่ผมไม่ง่ายแบบนั้น

การต่อสู้ของเรายืดเยื้อยาวนานอยู่เป็นเดือน ในที่สุดพนักงานทุกคนก็ยอมแถลงการณ์ขอโทษผมบนโซเชียลเน็ตเวิร์คทั้งในเฟสบุ๊กและทวิตเตอร์ แต่น่าเศร้าที่มันยังคงไม่เป็นกระแสมากพอ มันไม่ได้เงียบฉี่ถึงขั้นไม่มีใครพูดถึง จริงๆก็มี แค่ไม่ได้เปรี้ยงปร้างเท่าตอนรุมด่า สุดท้ายทุกคนก็ลืมว่าก้องเกียรติต้องเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้นขนาดไหน เจอียังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่าระยะหลังจะสะดุดขาตัวเองสร้างกระแสให้โดนด่าบ่อยๆจนคนเริ่มอี๋ก็ตาม

ส่วนออกัส – ทำงานกับเจอีแค่ซีรี่ส์เรื่องนั้นเรื่องเดียวแล้วเงียบหายไปพักใหญ่ แต่เมื่อไม่นานมานี้ผมเห็นรูปมันในประกาศโฆษณาบนสถานีรถไฟ คิดว่าน่าจะยังอยู่รอดต่อไปในวงการได้ ผมไม่เจอออกัสเลยตั้งแต่วันสอบครั้งนั้น ไม่เคยได้คุยกันอีกจนกระทั่งวันที่ไปเที่ยวพัทยากับพี่อู๋

มันเป็นการพบกันโดยบังเอิญจริงๆ ผมต่อคิวซื้อส้มตำริมหาด ห่างไปประมาณไม่ถึงสิบเมตรก็เป็นออกัสกับกองถ่ายแฟชั่น ผมคิดว่าน่าจะถ่ายกางเกงเพราะเห็นมันเปลี่ยนกางเกงตั้งสองตัวในเวลาห้านาที ตอนนั้นผมไม่คิดจะเดินเข้าไปทักมันเลย แค่มองจากไกลๆและเห็นมันยังมีงานทำเหมือนเดิมก็โอเคแล้ว แต่เมื่อออกัสเห็นผม มันก็รีบเดินมาหา ผมประหม่าเพราะยังหลอนกับการถูกแอบถ่ายโดยแฟนคลับคู่จิ้น ดังนั้นการสนทนาแรกของเราจึงกระอักกระอ่วนมากเหมือนคนไม่เคยรู้จักกัน ออกัสส่งยิ้มให้ผมราวกับไม่มีเรื่องค้างคาใจอีกแล้ว

“ไงมึง มากับใคร?”
“กับพี่อู๋”
“ยังคบกันอยู่เหรอ?”
“อืม” ผมตอบ ไม่ได้ยิ้มแย้มอะไร “มาทำอะไรที่นี่อ่ะ?”
“ถ่ายแบบกางเกง” ออกัสตบแปะๆบนกางเกงที่ตัวเองสวมอยู่เป็นเชิงอวด “เรียนเป็นไงบ้าง?”
“ยากชิบหาย ช่วงไหนมีการบ้านแม่งจะไม่ค่อยได้นอน มึงอ่ะ? ซิ่วไปเรียนคณะอะไร?”
“นิเทศ สนุกดี มีความสุขกว่าเรียนวิศวะเยอะ”
“ดีแล้ว นี่ยังเป็นเด็กของเจอีอยู่หรือเปล่า?”
“ไม่แล้ว กูออกมารับงานอิสระเพราะค่ายเลือกงาน พวกถ่ายแบบเสื้อผ้าที่กูชอบนี่ไม่ค่อยได้ทำหรอก ตอนแรกก็เครียดเหมือนกัน กลัวไม่มีใครติดต่อมา แต่ยังมีคนจ้างกูไปถ่ายหนังด้วย เปิดกองต้นเดือนหน้า ฉายเมื่อไหร่อย่าลืมไปดูนะ”
“เล่นเป็นตัวอะไรวะ? ผี?”
“เชี่ย ถูก” ออกัสยิ้มแฉ่ง “กูเล่นเป็นผีน้องพระเอกที่หลอกคนในบ้านอ่ะ มึงอยากฟังเรื่องย่อไหม?”

เกริ่นขนาดนี้แล้ว เล่ามาเลยก็ได้จ้า

 “คือเรื่องเปิดมาว่ากูตายไปได้เจ็ดวัน แล้วเขาเชื่อกันว่าวันที่เจ็ดวิญญาณจะกลับมาใช่ป้ะ เออ ทีนี้อ่ะนะเรื่องจะไม่บอกว่ากูตายเพราะอะไร แต่ตัวละครจะดูเสียใจมากที่กูตาย ทั้งพ่อแม่ พี่ชายเนี่ยดูเศร้ามาก อย่างกับหนังดราม่า แต่จริงๆแล้วเป็นหนังฆาตกรรมเว้ย พี่เป็นคนฆ่ากู ส่วนพ่อกับแม่ไม่แน่ใจว่าใครฆ่า แต่คิดว่าเป็นคนในครอบครัวแน่ๆ ทีนี้กูเลยตามหลอกทุกคนในบ้านให้มันระแวงกันเอง สุดท้ายตอนจบตรงที่กูไม่มีจริงตั้งแต่แรก แต่ไอ้ตัวพี่ชายมันหลอนเพราะกลัว”
“เดี๋ยวๆๆ คือยังไงนะ?” ผมชักจะงง “ไม่มีจริงแต่แรกคือไม่มีมึง หรือไม่มีผี?”
“ไม่มีผี คือไม่มีผีหลอกอ่ะ กูตายไปก็จริงแต่ไม่หลอกใคร พี่กูหลอนไปเอง”
“เออ น่าสนุกว่ะ เดี๋ยวนี้หนังผีหักมุมเยอะแยะ”
“เอ้อ – แล้วพวกเพื่อนๆไปไงกันบ้าง ทราย มิว ไอ้โบ้ท”
“ก็เรื่อยๆนะ ทรายเลิกกับพี่กิ๊บแล้ว”

ผมอัปเดตให้ออกัสฟัง มันทำตาโตก่อนจะถามย้ำว่าเลิกแล้วเหรอ ไอ้ทรายอ่ะนะเลิกกับพี่กิ๊บ ผมจึงบอกว่าใช่ เลิกแล้ว เลิกได้ซักพักแล้วแต่ไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร ส่วนมิวยังโสดและติ่งหนักเหมือนเดิม ไอ้โบ้ทกลายเป็นหมีมีกล้าม ตัวใหญ่แต่เนื้อแน่น หุ่นกำลังดี มึงล่ะ?

“กูดีขึ้นนะ ตั้งแต่เคลียร์กับน้องฝนกับค่าย” ออกัสยิ้มแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก ไม่ได้ย้อนกลับไปเหตุการณ์ในวันนั้น ไม่ได้ขอโทษถึงเรื่องราววุ่นวายที่เกิดขึ้น เราทั้งคู่ต่างแกล้งทำเป็นลืม “กูไปละ เหลือกางเกงอีกเจ็ดตัวที่ต้องถ่าย”
“โอเค บ๊ายบายมึง”
“บาย อย่าลืมฟอลไอจีกูนะ”
“มึงยังไม่เลิกขายตัวเองอีกเหรอ?”

ผมถามขณะที่ออกัสออกตัววิ่งเหยาะๆกลับไปที่กองถ่าย มันหันมาโบกมือลาและนั่นคือครั้งสุดท้ายที่ผมได้คุยกับออกัสตัวต่อตัว และไม่รู้เลยว่าอนาคตออกัสจะเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้นจนถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลปลายปี แต่ต่อให้เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงขนาดไหน #กัสก้อง ก็ยังเป็นรอยด่างพร้อยในประวัตินักแสดงของออกัส ทุกครั้งที่มีดราม่า เรื่องนี้จะถูกขุดขึ้นมาพูดถึงตลอดไม่เคยเงียบหายไปไหน เพียงแค่กระแสเบาบางลงไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงแรก เพียงแค่ทุกคนพร้อมใจกันมองว่าออกัสยังเด็กและทำอะไรโดยไม่คิด ซึ่งผมก็คงไม่รู้จะผูกใจเจ็บไปทำไมในเมื่อออกัสก็ได้รับโทษในส่วนของตัวเองไปแล้ว

บางทีผมยังนึกเสียดายว่าถ้าออกัสไม่เห็นแก่ตัว ไม่กระหายอยากมีชื่อเสียงในวงการ ป่านนี้เราคงเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน มันก็คงไม่ต้องออกจากลาดกระบังอย่างโดดเดี่ยว แต่ช่างเถอะ เราผ่านจุดนั้นมานานหลายปีแล้ว ที่เราสามารถกลับมาคุยกันได้อีกครั้งเพราะชีวิตของเราทั้งคู่ต่างไปได้ดีในทิศทางของตัวเอง หากผมกับพี่อู๋ไม่ได้กลับมาคบกัน ป่านนี้ไอ้ออกัสเละคาตีนผมแล้ว ไม่ปล่อยให้มันเดินกลับไปทำงานหล่อๆหรอก

ผมจ่ายเงินค่าส้มตำไก่ย่างและเดินกลับไปหาพี่อู๋ เขานอนสวมแว่นกันแดดบนเตียงผ้าใบใต้ร่มไม้ ห่างออกไปสองสามเมตรคือมะนาวกำลังสร้างปราสาททรายในโลกส่วนตัว วันนี้ผมพาน้องสาวคนเล็กมาเที่ยวด้วยเพราะทนคำรบเร้าไม่ไหว มะนาวชอบพี่อู๋มากเพราะเขาตามใจทุกอย่าง อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากเที่ยวไหนก็ได้ไป ขนาดบ่นว่าอยากไปทะเลเหมือนเพื่อนบ้าง พี่อู๋ยังยอมสละวันเสาร์ของเราให้มะนาวเพื่อขับรถพายายเด็กนี่มาเที่ยวเลย

“มะนาว มากินข้าวเร็ว”

ผมเรียก มะนาวปัดทรายสองสามทีแล้วลุกขึ้นมาหา เราสามคนนั่งกินส้มตำไก่ย่างและน้ำอัดลมเย็นๆริมหาดท่ามกลางแสงแดดที่แผดจ้าในเดือนกันยายน วันนี้เป็นวันเดย์ทริปพิเศษของมะนาวโดยเฉพาะ ชมพู่อยู่หอที่มหาวิทยาลัย แอปเปิ้ลติดเรียนพิเศษ ส่วนส้มจีนไปทำรายงานบ้านเพื่อน ดังนั้นเหลือแค่ยายตัวจี๊ดของผมคนเดียวที่ต้องนั่งหงอยไม่มีอะไรทำ พอรู้ว่าพี่อู๋จะมาหาก็เริ่มออกอาการ พันแข้งพันขาเป็นแมว มะนาวขอไปด้วยได้ไหม ถามอยู่อย่างนั้นแหละจนพี่อู๋ใจอ่อน ต้องหอบหิ้วมาด้วยไม่งั้นมะนาวจะน้อยใจไม่คุยกับใครอีก

“เฮียก้องหายไปนานอ่ะ มะนาวสร้างปราสาทเจ้าหญิงเสร็จแล้วทำไมเพิ่งมา” มะนาวบ่นพลางกัดไก่ย่างคำใหญ่ “เฮียก้อง มะนาวเล่นอันนั้นได้ไหม?” เธอชี้นิ้วไปยังเจ็ทสกีที่กำลังลากห่วงยางกล้วยในทะเล ผมรีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“ไม่ได้ อันตราย”
“แต่พี่อู๋บอกว่าเล่นได้”
“แต่เฮียเป็นพี่ชายของมะนาว ถ้าเฮียบอกว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้”

จบ นี่คือการตัดบทที่โหดร้ายทารุณกับเด็กปอห้าที่สุด มะนาวหน้าบูดแค่แป๊ปเดียวก็อารมณ์ดีเหมือนเดิมเพราะโดนพี่อู๋สปอยล์ เขาพามะนาวไปเล่นน้ำ แถมยังเช่าห่วงยางให้เล่นอีก พี่อู๋ทำให้ความภาคภูมิใจในการเป็นพี่ชายหายไปประมาณเก้าสิบเปอร์เซ็น ระหว่างที่เล่นน้ำกับพวกเขา ผมครุ่นคิดตลอดว่าใจร้ายกับน้องเกินไปไหม เป็นพี่ที่เข้มงวดเกินไปหรือเปล่า แต่พอเห็นคนหงายหลังหล่นจากบานาน่าโบ้ทแล้วก็คิดได้ว่ายอมเป็นพี่ชายใจร้ายที่น้องไม่รักดีกว่าต้องหอบหิ้วน้องไปโรงพยาบาลดีกว่า อย่างน้องผมก็ไม่ต้องโดนพ่อกับอาแตงว่าเหมือนที่เคยพามะนาวไปลื่นปากแตกเมื่อเดือนก่อน ผมยังจำสีหน้าพ่อตอนเห็นน้องเล็กของบ้านเลือดออกได้เลย ถ้าไม่ติดว่าโตเกินไปสำหรับไม้เรียว ผมอาจจะโดนพ่อฟาดเพี๊ยะๆซักสองสามแผลโทษฐานไม่ดูแลน้องให้ดีก็ได้

เราเล่นน้ำกันประมาณชั่วโมงกว่าๆ ผมจึงชวนให้ลุกขึ้นไปอาบน้ำล้างเนื้อล้างตัวเพราะได้เวลากลับบ้านแล้ว แต่ก่อนกลับพี่อู๋แวะเซ็นทรัลตามใจมะนาวอีกรอบ วันนั้นมีงานแฟร์ขายของสี่ภาคพอดี ผมกับพี่อู๋จึงไม่ต้องคิดหนักว่าจะซื้ออะไรไปฝากคนที่บ้าน เราได้ของกินกลับไปให้อาแตงทำอาหารอีกเพียบเลย เย็นวันนั้นพี่อู๋ขับรถถึงบ้านประมาณห้าโมงเกือบหกโมง เขายกของเข้าไปเก็บในบ้าน ส่วนผมแบกมะนาวที่นอนไม่ยอมตื่นไปทิ้งบนโซฟาและกลับไปช่วยพี่อู๋ขนของ พ่อชวนพี่อู๋ให้อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนกลับบ้าน แต่ผมเห็นเขาเหนื่อยมาทั้งวันก็เลยไม่อยากให้กลับ ไหนจะตามใจยายมะนาว ไหนจะขับรถรับส่งดุจสารถีดีเด่นอีก ผมจึงขออนุญาตพ่อให้พี่อู๋ค้างที่นี่ซักคืน

“อืม ได้”

พ่อพูดห้วนๆขณะก้มหน้าก้มตากินข้าว ผมเหลือบมองสีหน้าของย่าเพราะอยากรู้ว่าย่าคิดยังไง แต่ก็ไม่เห็นความผิดปกติอะไรนอกจากใบหน้าเหี่ยวย่นและคิ้วขมวดไม่รับแขกของย่าซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ประจำตัวเท่านั้น

“เออ – ป๊ามีเรื่องจะบอกพวกเรา”

พ่อพูดเกริ่นแล้ววางตะเกียบ ผมกับน้องๆเงยหน้ามองพ่อเพราะคิดว่าคงเป็นเรื่องที่อยากมอบหมายให้รับผิดชอบเช่น พาไอ้หมีไปเดินเล่น ต่อไปใครกินข้าวไม่เป็นเวลาต้องล้างจานเอง ทว่าสิ่งที่พ่อกำลังจะบอกเราเป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น เป็นเรื่องสำคัญชนิดที่อาแตงยิ้มแก้มแทบปริพร้อมกับบีบมือพ่อ อย่าบอกนะว่า --

“บ้านเรากำลังจะมีข่าวดี”
“หา?”




ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยงับ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
44 [Part 2/3]


ตอนนั้นผมคิดอะไรไม่ออกเลย มันเบลอๆแบล๊งก์ๆราวกับถูกทุบด้วยค้อนปอนด์เข้าอย่างจังตรงหัว บ้านเรากำลังจะมีข่าวดี ข่าวดีอะไรที่ทำให้พ่อกับอาแตงต้องยิ้มหวานขนาดนี้ อาแตงท้องเหรอ? อาแตงเนี่ยนะ? อาแตงที่น่าจะอายุสี่สิบกว่าแล้วน่ะนะกำลังท้อง ผมไม่รู้จะตกใจอะไรก่อนดีระหว่างผู้หญิงวัยสี่สิบเริ่มตั้งครรภ์ หรือครรภ์นี้คือครรภ์ที่ห้า ผมได้แต่มองหน้าป๊าด้วยความไม่เข้าใจว่าทำไม ทำไม ทำแบบนี้ทำไม อาแตงก็อายุเยอะแล้ว สุขภาพไม่ได้แข็งแรงเหมือนสมัยสาวๆ ทำไมถึงเสกเด็กเข้าท้องให้เป็นภาระ ทำไมต้องให้อาแตงเหนื่อยมากกว่าเดิมด้วยในเมื่อตอนนี้สมาชิกในบ้านก็ล้นจนต้องแย่งกันใช้ห้องน้ำแล้ว

“พ่อทำอาแตงท้องเหรอ?”
“ภพกำลังจะแต่ง --”

ผมไม่น่าโพล่งออกไปเลย การพูดแบบนั้นทำให้พ่อกับอาแตงเหวอไปพักหนึ่ง ส่วนย่านั่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิมเมื่อก้องเกียรติพูดจาแปลกๆ แต่พอได้ยินคำเกริ่นที่พ่อพูดไม่ทันจบประโยค ผมก็พอเข้าใจแล้วว่าข่าวดีที่ว่าไม่เกี่ยวกับบ้านเราโดยตรงหรอก มันคือข่าวดีของเฮียภพต่างหาก เฮียภพกำลังจะแต่งงาน แต่ผมดัน – คิดว่าอาแตงท้องเสียได้

“อยากมีน้องมากเลยเหรอ?”

พ่อถาม ผมส่ายหน้าและยิ้มแหยก่อนจะฟังข่าวสำคัญต่อไป เฮียภพตั้งใจจะจัดงานแต่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า เราซึ่งเป็นญาติอาจจะต้องคอยช่วยงานเฮียด้วย ส่วนเรื่องชุดไปงานเย็นยังไม่ได้กำหนดว่าจะใช้สีโทนไหน พ่อแค่บอกให้ทราบเฉยๆ เผื่อใครมีแผนอยากลดหุ่นจะได้สวยๆในวันงาน พ่อพูดแบบนั้นก่อนจะปรายตามองส้มจีน

“อะไร? ส้มไม่ได้อ้วนซะหน่อยอ่ะ!”

ผมยิ้มขำ รู้สึกโล่งใจที่ข่าวดีคืองานแต่งงานแทนที่จะเป็นการต้อนรับสมาชิกใหม่ เพราะถ้าอาแตงท้องลูกอีกคนจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆน่าดู พวกเรานั่งกินข้าวด้วยกันจนเกลี้ยง หลังกินเสร็จผมก็ช่วยอาแตงเก็บจานชามไปล้างตามเวรประจำวันของตัวเอง ส่วนมะนาวอวดกระเป๋าดินสอใบใหม่ให้ส้มจีนดู ยายตัวจี๊ดของผมคุยฟุ้งกับทุกคนเลยว่าพี่อู๋ใจดีแค่ไหน ขนาดส้มจีนกับแอปเปิ้ลไม่ได้ไปก็ยังมีกะจิตกะใจซื้อกระเป๋าดินสอมาฝากด้วย ผมมองเด็กสองคนคุยอวดแล้วได้แต่นึกขำ ถ้าพี่อู๋มีเซนส์กว่านี้ซักหน่อย เขาอาจจะไม่ซื้อกระเป๋าดินสอลายเจ้าหญิงดิสนีย์ให้แอปเปิ้ลกับส้มจีน ลำพังส้มจีนยังพอถูๆไถๆได้ แต่แอปเปิ้ลที่กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยดูไม่ค่อยประทับใจเท่าที่ควร

“เฮียต้องบอกพี่อู๋บ้างนะว่าเปิ้ลไม่ได้มีรสนิยมแบบนี้”

แอปเปิ้ลมองกระเป๋าดินสอในมือ ผมได้แต่ยิ้มขำสงสารน้อง พี่อู๋เขาถือคติซื้ออะไรต้องซื้อให้เหมือนๆกันน่ะ ดังนั้นถ้าเขาซื้อของแบบไหนให้มะนาว แอปเปิ้ลก็ต้องรับของแบบนั้นไปโดยไม่มีข้อแม้ เขากลัวพวกเธอน้อยใจถ้าซื้อของให้ไม่เหมือนกัน

หลังช่วยกันเก็บจานชามเข้าตู้ พี่อู๋ก็ปลีกตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ผลของการดื้อไม่ฟังคำเตือนของก้องเกียรติสำฤทธิ์ผลแล้ว ผิวของพี่อู๋ไหม้แดงเพราะแดดเผานอกร่มผ้า ผมได้แต่ส่ายหน้าถอนหายใจที่เขาไม่เชื่อฟัง แต่สุดท้ายก็บอกเขาว่าจะเอาเจลว่านหางจระเข้มาให้ ไม่รู้กระปุกใหญ่ที่แช่ในตู้เย็นเป็นของใคร เดี๋ยวจะลองถามอาแตงดูอีกที

พี่อู๋เดินขึ้นชั้นสองหายไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ส่วนผมรื้อตู้เย็นหาเจลว่านหางไปทาผิวไหม้ๆของแฟน ระหว่างที่กำลังรื้อนั่นรื้อนี่ อาแตงก็เรียกให้ไปช่วยแกะเกาลัดให้ย่าหน่อย พอดีอาแตงกับอาป๊ากำลังจะออกไปทำธุระที่โรงงาน กว่าจะกลับคงอีกพักใหญ่ ก้องไปแกะเกาลัดให้อาม่าหน่อยนะ แกะไม่ยากหรอก มีที่แกะอยู่ในถุงแล้ว

ผมไม่ค่อยอยากทำแต่จำใจรับปาก นึกอยากสกายคิกใครก็ตามที่ซื้อเกาลัดมาฝากย่าจริงๆ ผมหยิบถุงกระดาษที่ใส่เกาลัดสีแดงกับถังขยะใบเล็กและเดินตรงไปห้องนั่งเล่น ย่านั่งอยู่บนรถเข็นดูรายการตลกช่องเดียวกับที่แนชอบดู ผมไม่พูดพร่ำทำเพลงว่ามาหาย่าทำไมนอกจากนั่งลงบนพื้นและเริ่มแกะเกาลัดให้ ย่าเหลือบตามองผมครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยถามว่า

“แกะเป็นเหรอ?”
“เป็นครับ”

พูดไปงั้นแหละ ผมไม่ได้กินเกาลัดบ่อยก็เลยไม่ค่อยชัวร์ว่าพลาสติกสีขาวมีรอยหยักตรงปลายมีไว้ทำอะไร ผมยกมันขึ้นมาดู ลองแคะๆแงะๆบนเปลือกเกาลัดแต่ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้นก็เลยโยนเกาลัดใส่ปาก กัดจนแตกโผล๊ะแล้วคายออกมาแกะเนื้อให้ย่ากิน

“แกะไม่เป็นก็บอกว่าแกะไม่เป็นสิ อาม่าจะได้สอนให้”

ผมเงยหน้ามองย่าและยอมรับตามตรงว่าใช่ ผมแกะไม่เป็น ผมไม่ใช่แฟนพันธุ์แท้เกาลัดก็เลยไม่รู้ว่าต้องแกะยังไงถึงจะออกมาสวยๆ ย่าหยิบเกาลัดขึ้นมาจากถุงหนึ่งเม็ด ชี้ให้ดูว่าส่วนไหนคือหัวส่วนไหนคือก้น ที่เป็นแหลมๆเหมือนจุกเด็กคือหัว วิธีแกะก็ง่ายมาก ใช้นิ้วออกแรงบีบตรงหัวให้แตะโผล๊ะ พอแตกก็ไล่บี้เรื่อยๆ มันจะแตกตามรอยผ่าครึ่งของลูก ไหนลองทำให้อาม่าดูหน่อยซิ

โพล๊ะ!

“ได้แล้วๆ!”

ผมตื่นเต้นดีใจเมื่อเกาลัดเม็ดแรกที่ไม่เปื้อนน้ำลายได้ออกมาอวดโฉมให้โลกดู ย่ายิ้มกว้าง แกชมผมว่าเก่งมากก่อนจะรับเกาลัดที่ปอกโดยหลานชายมากิน พอเห็นผมแกะอย่างเดียวแต่ไม่กิน ย่าก็บอกให้แบ่งไปบ้าง เกาลัดถุงนึงตั้งใหญ่แกกินคนเดียวไม่หมด ดังนั้นย่ากับหลานชายก็เลยมีกิจกรรมได้ทำด้วยกันเป็นครั้งแรกนั่นคือการกินเกาลัดหน้าทีวี

ผมแกะเกาลัดให้ย่าไปสลับกับดูรายการตลก รสชาติมันๆหวานๆของเกาลัดทำเอาเพลินจนลืมไปเลยว่าพี่อู๋กำลังรอว่านหางจระเข้อยู่ เรากินไปหัวเราะไปกับมุขตลก พอเข้าช่วงคั่นโฆษณา ย่าจึงชวนผมคุยเป็นครั้งแรกเมื่อได้อยู่กันลำพังสองคน

“ไปเที่ยวกับอู๋สนุกไหม?”

ผมตอบว่าสนุกครับและเล่าให้ฟังว่าวันนี้เราทำอะไรบ้าง ผมพามะนาวไปเล่นทราย เล่นน้ำ เช่าห่วงยางด้วย เล่าว่ามะนาวร้องจะเล่นบานาน่าโบ้ท ย่าถามว่าบานาน่าโบ้ทคืออะไร ผมจึงต้องสาธิตให้ย่าดูด้วยการทำไม้ทำมือว่ามันคือห่วงยางรูปกล้วยที่โดนเรือลากอีกทีหนึ่ง มันจะวิ่งฉิวบนผิวน้ำแบบนี้ๆๆ น่าสนุกมาก ย่าดูผมอธิบายแล้วก็บอกว่าอันตราย ไม่ให้มะนาวเล่นน่ะดีแล้ว ผมทำถูกต้องแล้ว ก้องเป็นพี่ชายที่ดีมาก

ผมเขินนิดหน่อยตอนย่าชมว่าเป็นพี่ชายที่ดี เขินนะ แต่ไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากคุยเรื่องทั่วไป ย่าถามว่าทำไมผมไม่ซื้ออะไรมาฝากย่าเลย ผมจึงบอกว่าพี่อู๋ซื้อสาลี่ญี่ปุ่นมาให้แล้วไง ย่าส่ายหน้าและบอกว่าอยากได้ของฝากจากผม

“จริงๆผมไม่รู้จะซื้ออะไรให้ย่า อาแตงบอกว่าย่าเป็นความดัน ย่ากินไข่เค็มไม่ได้” ผมเกาแก้มแบบแก้เก้อไม่รู้จะอธิบายยังไง “ย่าชอบอะไรล่ะ คราวหน้าผมจะซื้อให้”
“ลื้อซื้ออะไรมาอาม่าก็ชอบทั้งนั้นแหละ”
“งั้นคราวหน้าผมซื้อของกินมาให้นะ ย่าไม่น่าจะชอบของจุ๊กจิ๊ก”
“ซื้อต้นไม้มาก็ได้ เดี๋ยวให้อาแตงปลูกหน้าบ้าน”

พอได้ยินว่าจะให้อาแตงเป็นคนปลูก ผมก็รู้สึกว่าย่าใช้งานอาแตงหนักเกินไปหรือเปล่า ทำไมไม่ให้พ่อหรือคนงานทำหน้าที่นี้แทนที่จะเป็นลูกสะใภ้ล่ะ ดูเหมือนย่าจะอ่านสีหน้าเคลือบแคลงใจของผมออก ย่าบอกว่าอาแตงเป็นคนมือเย็น ปลูกอะไรก็ขึ้น ออกดอกออกผลสวยๆทั้งนั้น หน้าที่ปลูกต้นไม้จึงเป็นของอาแตง

“มือเย็นมันมีจริงเหรอย่า?”

ผมถามด้วยความสงสัย ย่ายิ้มดีใจใหญ่เลยที่เรามีเรื่องให้คุยกันมากขึ้น ย่าบอกว่าเป็นความเชื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็เห็นเป็นจริงตามที่โบราณว่า ดูอย่างอาป๊าก้องสิ ปลูกอะไรก็ตายหมด ไม่เคยได้ออกดอกให้ดูเลยซักต้น ในขณะที่อาแตงแค่โยนใส่หลุม ใช้เท้ากลบก็งอกเงยเหมือนคนสวนมาเอง ของแบบนี้ไม่เชื่อต้องพิสูจน์ ว่าแต่ก้องมือร้อนหรือมือเย็น

“ผมไม่เคยปลูกต้นไม้เลย บ้านผมไม่มีที่”

ผมพูดถึงบ้านหลังเก่าที่อยู่มาตั้งแต่เล็ก ก่อนจะเงียบไปเมื่อบทสนทนานั้นทำให้เราหวนคิดถึงเรื่องราวในอดีต ย่าปล่อยให้เสียงโทรทัศน์ดังอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะชวนคุยเรื่องอื่นต่อ มันยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับก้องเกียรติเหมือนเดิมเพียงแค่ไม่มีคำถามจี้ใจดำอย่าง ลำบากไหมอยู่กันสองคนแม่ลูก แม่เลี้ยงมายังไง ได้กินของอร่อยหรือเปล่า ย่าถามแค่ว่าผมอยากลองปลูกต้นไม้ไหม ปลูกดาวเรืองก็ได้จะได้มีดอกไม้ไปถวายพระ ผมตอบคำถามย่าไปเรื่อยๆจนเริ่มรู้สึกกระอักกระอ่วน ย่าเองก็คงตกอยู่ในห้วงอารมณ์เดียวกันจึงเปลี่ยนจากการซักไซ้ถามความมาเป็นการเล่าเรื่องแทน

“เมื่อก่อนนะ บ้านหลังนี้คนยั๊วะเยี๊ยะ เวลากินข้าวทีโต๊ะไม่เคยพอ ต้องมีคนยืนกิน”

ย่าเริ่มต้นรำลึกความหลังของตัวเอง ยังดีที่ไม่ใช่เป็นการเล่าเรื่องราวดีๆของชีวิตให้นายก้องเกียรติเจ็บใจเล่น ย่าแค่เล่าว่าเมื่อก่อนเราเคยใช้เวลาด้วยกันยังไงบ้าง เฮียภพแก่กว่าผมเจ็ดปี ตอนนั้นเปรี้ยวซ่าชนิดที่อาป๊าของผมปวดหัวประจำ ถ้าแปะโป้ง พ่อของเฮียภพกับเมียไม่ตายไปเสียก่อน ป่านนี้อาป๊าก็คงไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังคงเที่ยวเล่นเถลไถลแน่ๆ

“อาม่านะ เคยอุ้มลื้อมาตากแดดตรงนี้ด้วย”

 ย่าชี้ไปชานหน้าบ้านและหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับเราสองคน ย่าบอกว่าเมื่อก่อนเฮียภพมีลูกบอลลูกหนึ่งแต่ไม่รู้เล่นอีท่าไหน ลูกบอลกระเด้งใส่หน้าผมที่กำลังยืนเกาะเสาจนล้มก้นจ้ำเบ้า หลังจากนั้นไม่ต้องพูดเลยว่าเกิดอะไรขึ้น บ้านแตกอย่างกับมีสงคราม แม่โกรธเฮียภพมากจนไม่ยอมให้ผมลงมาเล่นข้างล่างอีก เล่าถึงตรงนี้ย่าก็เผลอหลุดปากออกมาว่าแม่ผมเหมือนจงอางหวงไข่ ใครขออุ้ม ขอพาไปเล่นไม่ได้ต้องคอยจิกคอยเฝ้าตลอด เวลาแม่พาผมออกจากห้องแต่ละครั้ง ทุกคนจะชอบมาป้วนเปี้ยน มาหอมมากอดจนแม่ไม่พอใจ สุดท้ายไม่ยอมพาผมลงมาข้างล่างเลยจนขวบกว่า แม่ถึงเอามารับลมบ้างเพราะย่าสั่ง

ผมเคยได้ยินบางส่วนจากพ่อจึงไม่อยากคุยกับย่ามากไปกว่านี้ ผมกลัวว่าถ้ารู้เรื่องราวในอดีต ภาพจำที่มีต่อแม่จะเปลี่ยนไป ผมจึงนั่งเงียบ ไม่พูดเรื่องนี้อีกเพราะไม่อยากหงุดหงิดอารมณ์เสีย โชคดีที่ย่าเองก็คงสัมผัสได้ถึงความขุ่นมัวที่เริ่มก่อตัวขึ้นเหมือนกัน ย่าจึงชวนผมคุยเรื่องอื่นก่อนจะถามถึงเงินหนึ่งหมื่นที่ให้เป็นของขวัญวันเกิดเมื่อสองปีก่อนว่าใช้หมดหรือยัง

“หมดแล้วครับ”

ผมพูดพลางนึกถึงเงินก้อนที่ย่าให้ ซึ่งเป็นเงินก้อนแรกและก้อนเดียวเพราะหลังจากนั้น ย่าไม่ให้เงินผมเยอะขนาดนั้นอีกเลย แต่ล่าสุดย่าเพิ่งให้ชมพู่เป็นของขวัญที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แถมให้มากกว่าผมตั้งสองเท่า หรือจริงๆแล้วย่าไม่ได้พิศวาสหลานชายอย่างที่ทุกคนคิดหรอก เพราะสุดท้ายย่าก็ให้ชมพู่และน้องสาวคนอื่นๆมากพอๆกับที่ให้ก้องเกียรติ

“ไอ้หยา เงินตั้งหมื่น – ลื้อใช้หมดเลยเหรอ?”

ย่าแสดงออกว่าผิดหวังมาก ส่วนผมเหวอว่าตกลงแล้วย่าต้องการคำตอบแบบไหนกันแน่ เงินหนึ่งหมื่นมันไม่ได้มากมายถึงขนาดใช้ได้ไม่มีหมดสำหรับยุคสมัยนี้ที่ข้าวราดแกงเริ่มต้นที่จานละสามสิบห้าบาท ผมจึงบอกย่าว่าอย่าโมโหเลย คราวก่อนที่ไปศาล ผมได้เงินชดเชยมาตั้งเยอะ ตอนนี้เก็บเข้าบัญชีไม่เอาออกมาใช้ซักบาท พอพูดถึงเรื่องนี้ ย่าก็หงุดหงิดหัวเสียทันที ย่าบ่นว่าไม่น่ายอมความเลย ฟ้องให้หมดจะได้เก็บเงินเข้ากระเป๋าเยอะๆให้คุ้ม

“อย่าไปรังแกเขาเลยย่า บางคนอายุเท่าส้มจีน พ่อแม่เขาไม่มีจ่ายหรอก”

ผมแกะเกาลัดให้ย่าต่อ รายการตลกมาถึงพอดี เราจึงจบบทสนทนาไว้ตรงนี้และกลับมาคุยกันอีกเมื่อเข้าช่วงโฆษณา ดูเหมือนย่าจะรู้อะไรๆเกี่ยวกับผมเยอะมาก เดาเอาว่าพ่อน่าจะเล่าให้ย่าฟังทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องที่พี่อู๋ช่วยผมจากสะพาน ย่าเองก็รับรู้ แถมยังถามอีกว่าอู๋ไปไหน ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าต้องเอาว่านหางจระเข้ไปให้เขา เพราะผิวไหม้แดดแรงมาก เหมือนเบค่อนบนเตาเลย

ผมขอตัวย่าครู่หนึ่งเพื่อเอาเจลไปให้พี่อู๋ แต่เขาก็เดินลงบันไดมาพอดี ย่าจึงชวนพี่อู๋ให้กินเกาลัดด้วยกัน ทีแรกย่าไม่ยอมบอกวิธีแกะง่ายๆต้องทำยังไง เรานั่งดูว่าพี่อู๋แกะเกาลัดด้วยวิธีไหน พอเห็นเขาเอาใส่ปากและกัดกร๊อบก็หัวเราะทันที

“ทำแบบนี้ครับ บีบๆให้มันแตก”

ผมสาธิตให้พี่อู๋ดู จากนั้นเรากินเกาลัดกันอีกหน่อยจนกระทั่งพี่อู๋บ่นว่าแสบ ผมจึงควักเจลเย็นๆในกระปุกทาตามผิวแดงๆของเขา พี่อู๋ถอดเสื้อผ้าต่อหน้าย่า เขานั่งเป็นคุณลุงพุงพลุ้ยโดยไม่ลืมขออนุญาตเพราะไม่ไหวจริงๆ มันแสบร้อนไปหมด ย่าไม่ว่าอะไรเพราะเห็นหลักฐานคาตาว่าผิวเขาไหม้จริงๆ แต่คนที่รับไม่ได้คือพ่อ เขาเดินเข้ามาและถอนหายใจก่อนจะบอกพี่อู๋ว่าใส่เสื้อเถอะ บ้านหลังนี้มีผู้ชายเซ็กซี่ได้แค่คนเดียวซึ่งก็คือพ่อเท่านั้น

อาแตงหัวเราะขำและยิ้มกว้างเมื่อเราใช้ช่วงเวลาย่าหลานด้วยกันก่อนจะนึกขึ้นได้ว่ายายตัวแสบของเราหายไป อาแตงหายขึ้นไปชั้นสองพักใหญ่ก็เดินลงมาบอกว่ามะนาวสลบคาฟูกไปแล้ว สงสัยเหนื่อยเพราะเล่นทั้งวันแถมยังกินจนพุงกางอีก เราใช้เวลาด้วยกันในห้องนั่งเล่นไม่นานก็ถึงเวลานอนของย่า ผมเข็นย่าไปส่งถึงเตียงกับอาแตง เราสองคนช่วยกันจัดแจงห่มผ้าและเปิดพัดลมให้ หลังจากนั้นก่อนดับไฟ ผมบอกย่าว่าฝันดีครับ แต่การบอกฝันดีคงไม่อยู่ในวัฒนธรรมที่ย่าคุ้นเคย ย่าจึงอวยพรผมกลับว่าขอให้รวยๆเฮงๆนะก้องนะแทน





บ้านของเราวุ่นวายมากเพราะอีกไม่กี่สัปดาห์ก็เป็นงานแต่งของเฮียภพ พ่อยกขโยงพวกเราทุกคนไปเช่าชุดที่ร้าน วันนั้นผมจึงได้มีโอกาสพบคนอื่นๆในครอบครัวของพ่ออีกครั้ง

พูดกันตามตรง นอกจากอาแตงและน้องสาวทั้งสี่คน ผมไม่รู้สึกอยากเข้าหาใครอีกเลย มันเป็นการลองเสื้อผ้าที่อึดอัดทรมาน ถ้าไม่มีมะนาวกับส้มจีนคอยป่วนอยู่ข้างๆ ผมอาจจะกัดลิ้นตายในร้านที่มีแต่ผู้หญิงวุ่นวายกับการเลือกชุดให้เข้าธีมสีงานแต่งก็ได้ งานเช้าเราจะสวมชุดกี่เพ้าสีแดง งานเย็นสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้ากับกางเกงสแลคสีครีม จริงๆพ่อไม่ต้องพาผมมาเลือกที่ร้านก็ได้เพราะพวกเสื้อเชิ้ตกับกางเกงผมสามารถขอให้พี่อู๋ช่วยได้ แต่พ่อก็ยังหนีบผมมา เขาตั้งใจไว้ว่าหลังเลือกเสื้อผ้าเสร็จเราจะไปกินข้าวกัน

ผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศในตอนนี้เท่าไหร่ มันอึดอัดและรู้สึกแปลกแยกยังไงพิกลเมื่อต้องนั่งท่ามกลางญาติๆที่แทบไม่รู้จักกันมาก่อน หนำซ้ำญาติเหล่านั้นก็มีแต่ผู้หญิงซึ่งผมประหม่าทุกครั้งเพราะทำตัวไม่ถูก ผมกลัวว่าความเด๋อด๋าของตัวเองทำให้ภาพลักษณ์ออกมาตลก แต่พอมีโอกาสนั่งคุยและกินข้าวร่วมกันซักพัก ผมก็ค้นพบว่าถ้าไม่ปริปากพูดก็ไม่มีใครชวนคุยเท่าไหร่ บรรดาลูกพี่ลูกน้องไม่มีใครกล้ายุ่งกับผมเลยเพราะเป็นผู้ชาย พวกเธอเขินอายเกินกว่าจะชวนคุยเพราะผมไม่เหมือนเฮียภพที่ยิ้มใจดีตลอดเวลา

งานแต่งของเฮียภพทำให้ผมเห็นว่าพ่อมีความสุขมากแค่ไหนที่ได้เป็นพ่อเจ้าบ่าว เขาอารมณ์ดียิ้มร่า เดินสายแจกการ์ดตลอดหลายเดือนเพื่อบอกข่าวดีให้คนมาร่วมแสดงความยินดีกับลูกชายบุญธรรม บางทีพ่อคงตระหนักได้ว่านี่คงเป็นโอกาสเดียวที่จะได้ทำหน้าที่พ่อเจ้าบ่าว นอกนั้นเป็นพ่อเจ้าสาว เพราะก้องเกียรติลูกแท้ๆในไส้เป็นเกย์ คงจัดงานเชิดหน้าชูตาอวดใครไม่ได้หรอก ดังนั้นพ่อจึงทุ่มเทกับงานแต่งของเฮียภพเต็มที่เพราะโอกาสดีๆแบบนี้คงไม่เกิดขึ้นในครอบครัวของเราอีกแล้ว

หากถามว่าผมเสียใจไหมที่เห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพมากกว่าตัวเอง คำตอบก็มีทั้งใช่และไม่ใช่ ลึกๆผมเองก็เสียใจที่ทำให้เขาพลาดโอกาสเป็นพ่อเจ้าบ่าวของก้องเกียรติ ชาตินี้พ่อคงไม่มีวันได้ไปสู่ขอลูกสาวบ้านไหน ไม่มีหลานจากลูกชายให้อุ้ม แต่อีกใจก็ยังคิดว่าเห็นพ่อมีความสุขกับเฮียภพแทนที่จะเป็นผมก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพ่อจะได้ไม่ต้องช้ำใจมากที่งานแต่งไม่เคยเกิดขึ้นกับลูกชายของตัวเอง

พูดถึงงานแต่งงาน – ผมก็คิดถึงพี่อู๋

เพราะกฎหมายประเทศนี้ยังไม่รองรับให้คนเพศเดียวกันจดทะเบียนสมรสได้ ผมจึงไม่รู้ว่าพี่อู๋คิดยังไงกับการแต่งงาน มีบ้างบางครั้งที่ผมนึกสงสัยว่าในห้วงความคิดของเขา มีซักครั้งไหมที่เขาอยากแต่งงานกับผมหรือทำอะไรให้เป็นเรื่องเป็นราว แต่เวลาจ้องตาพี่อู๋เพื่อดูว่าเขาคิดยังไง ผมก็จะได้คำตอบเป็นความว่างเปล่าเพราะแววตาไม่สามารถเล่าได้ว่าอยากแต่งหรือไม่แต่ง ผมจึงลองถามพี่อู๋เกี่ยวกับเรื่องนี้ดู เขาเลิกคิ้วงุนงงก่อนจะบอกว่า อืม ก็เคยคิดนะ ก่อนหน้านี้เขาเคยจะแต่งงานกับคุณหมูพี

“แต่ไม่ได้แต่งเพราะเลิกกันไปก่อน ไม่งั้นเปลืองเงินแย่”

คำพูดของเขาทำเอาผมนอยด์ไปหลายวัน ไม่ได้นอยด์ที่พี่อู๋บอกว่าเคยคิดจะแต่งงานกับคุณหมูพี แต่นอยด์ตรงที่เขาพูดว่าเปลืองเงิน สำหรับพี่อู๋ พิธีกรรมนี้คงไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษเพราะเพื่อนสนิทของเขาก็เพิ่งหย่ามา พี่อู๋คงมีมุมมองที่เป็นผู้ใหญ่กว่าก้องเกียรติหลายขุมนัก ในขณะที่ผมแบ่งเวลามาเพ้อฝัน อยากมีงานแต่งงานของตัวเองเหมือนเฮียภพบ้าง แต่พอคิดถึงการจัดงาน มันก็เริ่มคิดต่อว่าเรื่องสินสอดล่ะจะเอายังไง ใครจะเป็นฝ่ายสู่ขอในเมื่อเราเป็นผู้ชายด้วยกันทั้งคู่ พี่อู๋ต้องเป็นฝ่ายขอผมสิ หากเขาคิดจะพาผมออกจากบ้านมาสร้างครอบครัว เขาต้องเป็นฝ่ายเข้าไปขอพ่อ แต่พี่อู๋ก็มีพ่อมีแม่ หรือเราต่างเรียกสินสอดด้วยกันทั้งคู่แล้วเปลี่ยนมาเป็นเงินทุนสำหรับเริ่มชีวิตใหม่ อ่า – แล้วแบบนี้พ่อจะเรียกสินสอดเท่าไหร่ ผมชักสงสัยจึงถามพ่อตรงๆ แต่พ่อก็โพล่งขึ้นมาว่าไม่ให้แต่ง

“ยังเรียนไม่จบเลย คิดจะแต่งงานแล้วเหรอ?” พ่อที่สวมแว่นสายตายาวเหลือบมองผมแล้วส่ายหน้าราวกับระอาในความแก่แดดของก้องเกียรตินักหนา “เพิ่งคบกันมากี่ปีเอง อู๋เขาว่ายังไงล่ะ?”
“พี่อู๋ยังไม่ได้พูดอะไร ผมแค่ถามพ่อเฉยๆ”
“ก้องเป็นผู้ชาย ป๊าเรียกสินสอดไม่ได้หรอก” คำตอบของพ่อทำเอาผมยิ้มกว้าง แต่ประโยคถัดมาก็ดูดรอยยิ้มนั้นหายวับในพริบตา “คบกับอู๋นานกว่านี้อีกหน่อยสิ ซักสิบปี เอาให้ชัวร์ว่าไม่ทิ้งกันแน่แล้วค่อยคุยเรื่องนี้ใหม่”

ตั้งสิบปี – สิบปีเลยนะ ผมกับพี่อู๋เพิ่งคบกันได้สองปีกว่าเอง อีกตั้งแปดปีแน่ะกว่าเราจะได้อยู่ด้วยกันสองคนเป็นครอบครัว พอลองยกนิ้วขึ้นมานับ ตอนนั้นพี่อู๋ก็คงสี่สิบสามหรือสี่สิบสี่ โห แก่ขนาดนั้นแล้วเพิ่งได้แต่งงาน เขาจะไม่เหี่ยวตายไปก่อนใช่ไหม ผมถามพ่อว่าตอนอายุสี่สิบห้า พ่อทำอะไรอยู่ เขานั่งคิดครู่หนึ่งก่อนจะบอกว่าทำโรงงานลูกชิ้นนี่แหละ มะนาวเกิดช่วงนั้นพอดี ทำไม ถามทำไม

“ผมว่าสิบปีมันนานเกินไป พี่อู๋จะรอไหวเหรอ เขาคงแก่มากแล้ว”
“รอไม่ไหวก็ช่างซี อาป๊าไม่สนใจหรอกว่าอู๋รอไหวไหม ไม่ไหวก็ไปเลย”

พ่อยักไหล่ไม่สนใจใยดีก่อนจะก้มหน้ากดเครื่องคิดเลขต่อ ปล่อยให้ผมเดินกลับไปนั่งบนโซฟาข้างมะนาวที่กำลังเล่นเกมในมือถือของอาแตง พลางครุ่นคิดว่าอนาคตของเราจะจริงจังจนถึงขั้นนั้นไหม ผมนึกภาพตัวเองในชุดเจ้าบ่าวไม่ออกเลยจริงๆ



ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยค่ะ



ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
44 [PART 3/3]


ผมใช้ชีวิตตามประสาตัวเองจนถึงงานแต่งของเฮียภพ ป๊าอนุญาตให้ลูกๆทุกคนขาดเรียนหนึ่งวันเพื่อมาร่วมงานมงคลสมรสของพี่ชาย ช่วงเช้าเป็นงานพิธียกน้ำชาแบบจีน พ่อกับอาแตงทำหน้าที่เป็นพ่อแม่เจ้าบ่าวแทนแปะโป้งที่ตายไปนานหลายปี งานของเฮียภพค่อนข้างใหญ่เอิกเกริก เฮียมีช่างภาพในงานถึงสองคนเพื่อบันทึกภาพในมุมต่างๆ บันทึกทุกอย่างรวมถึงสีหน้าของผมกับครอบครัวทำให้เราเห็นว่าพ่อมีความสุขมากแค่ไหน

หลังเสร็จงานเช้าเรามีเวลานิดหน่อย ผมกับครอบครัวกลับไปนอนเอาแรงที่บ้าน ส่วนบ่าวสาวก็เตรียมตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้าใหม่เพื่อต้อนรับแขกในอีกหกชั่วโมงถัดไป งานเย็นจัดขึ้นในอาคารอเนกประสงค์ของอำเภอ เป็นอาคารใหญ่ที่รองรับแขกได้เกือบพันคนเพราะพ่อเป็นที่รู้จักกว้างขวาง เฮียภพเองก็เพื่อนเยอะจนรายชื่อแขกเหรื่อทะลุเกินห้าร้อย พอพูดถึงจำนวนตัวเลข ผมก็คิดถึงบทสนทนาของพ่อกับเฮียที่โรงงาน พ่อบอกเฮียว่าให้เชิญเฉพาะคนสนิทเพราะยิ่งคนมาเยอะ เรายิ่งต้องเพิ่มโต๊ะจีนเยอะ อย่าคิดว่าแขกจะใส่เงินให้เยอะตามจำนวน บางคนขนมาเจ็ดแปดคนใส่แค่สองร้อยก็มี

“มันต้องเป็นธุรกิจขนาดนี้เลยเหรอพ่อ?”

ผมที่นั่งเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานของพ่อถามขึ้น พ่อบอกว่าผมยังเด็ก ผมไม่รู้อะไรหรอก งานแต่งงานต้องใช้เงินใช้ทองเหมือนกัน ถ้าบริหารดีก็ได้กำไรไว้ตั้งตัว แต่ถ้าจัดการซี้ซั้วไม่วางแผนจนขาดทุนครึ่งล้านก็มี เพราะฉะนั้นงานแต่งไหนที่สเกลค่อนข้างใหญ่ต้องคิดให้รอบคอบ อย่างบรรดาลูกน้องพ่อไม่เขียนซองให้มาร่วมงานเพราะถึงแจกไปเขาก็มีเงินไม่มาก สู้เลี้ยงที่โรงงานเลยดีกว่า ไม่ต้องนับหัวพวกเพิ่มโต๊ะจีน แถมไม่โดนลูกน้องนินทาลับหลังด้วยเพราะช่วงข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ใครเจ๋อมาแจกซองไม่ดูตาม้าตาเรือต้องมีโดนด่ากันบ้าง

ผมสัมผัสได้ว่าพ่อกับเฮียภพหัวธุรกิจมากก็งานนี้ เพราะหากผมเป็นเจ้าบ่าว ผมคงไม่คิดมากถึงขนาดนั่งนับจำนวนแขกหรอก ใครอยากมาก็มา ไม่อยากมาก็ไม่เป็นไร ซองไม่ต้องใส่ถ้าไม่ได้กินข้าวในงาน แต่พ่อบอกว่าทุกอย่างขับเคลื่อนด้วยเงิน เราแต่งงานมงคลให้ทุกคนมาร่วมยินดีก็จริง ถ้าเป็นไปได้อย่าขาดทุนจะดีที่สุด ลำพังแสนสองแสนยังพอรับได้ แต่ถ้าขนาดครึ่งล้านมันก็ไม่ไหวเหมือนกัน ตำน้ำพริกละลายน้ำ เพราะฉะนั้นอะไรวางแผนได้ก็ทำเถอะ ลดค่าใช้จ่ายทั้งทางตรงทางอ้อม ไว้ก้องแต่งงานเมื่อไหร่เดี๋ยวก็รู้เอง

ผมนิ่งไปเมื่อพ่อพูดว่าแต่งงาน ไม่รู้หรอกว่าชาตินี้จะได้แต่งไหม แต่ดูจากรูปการณ์แล้วคงไม่ได้แต่ง ผมเองก็ไม่อยากทำให้พ่ออับอายด้วยการจัดงานป่าวประกาศบอกคนให้คนรู้ว่าลูกในไส้ของพ่อไม่ใช่ชายแท้ แต่ผมดีใจนะที่พ่อพูดราวกับว่ายังรองานแต่งงานของก้องเกียรติอยู่ ซึ่งงานที่ว่าก็ไม่รู้จะเกิดขึ้นจริงไหม เพราะแฟนตัวดีของผมไม่ค่อยพูดอะไร นอกจากคุยเล่นหัวเราะไปวันๆก็ไม่เห็นเขาพูดเรื่องนี้เลย สงสัยพี่อู๋คงคิดว่าการคบกันในสายตาของผู้ใหญ่คงเป็นขั้นสูงสุดในความสัมพันธ์แล้ว ผมเองไม่อยากคาดหวังจึงไม่คุยเรื่องนี้กับเขาอีก

นาฬิกาบอกเวลาว่าหนึ่งทุ่มสามสิบเอ็ดนาที พี่อู๋โทรศัพท์หาผมเพื่อบอกว่าเขาขับรถมาถึงหอประชุมแล้ว มาช่วยเขาแต่งตัวหน่อย ผมเดินไปหาเขาโดยบอกชมพู่ว่าไปรับพี่อู๋ พอเจอหน้ากันผมก็ยิ้มกว้าง พี่อู๋ดูหล่อเป็นพิเศษเมื่อผูกเน็กไทสีน้ำเงินเข้ม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีฟ้าเหมือนกันกับผม ต่างตรงที่กางเกงสแลค ของเขาเป็นสีดำ ส่วนของผมเป็นสีครีม ทันทีที่เห็นก้องเกียรติเดินมาทางนี้เขาก็กางแขนออก ไม่ได้จะกอดผม แต่ถามว่าอ้วนไหม ปริไหม ผมจะตอบอะไรได้ล่ะนอกจากบอกว่าไม่อ้วนครับ ทั้งๆที่ – เอ่อ –

“ต้องใส่สูทไหม?”
“ไม่ต้องก็ได้ มันร้อน พี่อู๋รีบเข้างานเถอะ ของกินจะหมดโต๊ะอยู่แล้วเนี่ย ส้มจีนบอกว่าพี่อู๋มาช้าต้องโดนตัดสิทธิ์”

ชายที่ผมรักหัวเราะขำให้กับความหวงกินของส้มจีน เราเดินเคียงข้างกันเข้าร่วมงานฉลองมงคลสมรส เขาหย่อนซองลงกล่อง รับของชำร่วยเป็นพวงกุญแจลูกชิ้นเสียบไม้ก่อนจะเดินไปที่โต๊ะและร่วมรับประทานอาหารด้วยกันกับครอบครัวของก้องเกียรติ ตอนนี้สมาชิกในบ้านของผมต่างเคยชินกับการมีเขาเป็นส่วนหนึ่งแล้ว เราจึงสามารถร่วมโต๊ะได้อย่างสนิทใจ แม้แต่ย่าก็ยิ้มรับเมื่อพี่อู๋ยกมือไหว้และกระซิบบอกว่าซื้อองุ่นนำเข้าจากญี่ปุ่นมาฝาก ย่าขอบอกขอบใจยกใหญ่ก่อนจะชวนพี่อู๋กินข้าว เพราะถ้าช้ากว่านี้อีกนิด ส้มจีนกับมะนาวจะยึดลูกชิ้นในจานทั้งหมดเป็นของตัวเอง

ผมไม่เคยมีส่วนร่วมในงานแต่งงานมาก่อนจึงค่อนข้างตื่นเต้นเมื่อพิธีกรสัมภาษณ์คู่บ่าวสาวถึงเรื่องราวความรักของพวกเขา เฮียภพยิ้มเขินจนหน้าแดงเป็นลูกชิ้นกุ้งตอนที่เล่าว่าเจอแฟนคนนี้ได้ไง แถมไม่ได้เล่าอย่างเดียว ยังมีพรีเซนเทชั่นอย่างกับทำรายงานมาเสนอคุณครูไม่มีผิด คนที่สนใจวิดีโอนั้นคงมีแค่เฮียภพกับบรรดาเพื่อนๆ ส่วนคนอื่นในงานกำลังง่วนอยู่กับปลากะพงทอดน้ำปลาที่เพิ่งเสิร์ฟบนโต๊ะ ผมดูพรีเซนเทชั่นของเฮียแล้วได้แต่ขำเมื่อจินตนาการถึงงานของตัวเอง

ผมจะบอกแขกเหรื่อที่มาร่วมแสดงความยินดียังไงดีนะ บอกพวกเขาว่าเจอกับผู้ชายที่นั่งกินข้าวจนแก้มตุ่ยอยู่ตอนนี้บนสะพานพระรามแปด เป็นการพบกันที่ไม่น่าเกิดขึ้นได้แต่มันก็เป็นไปแล้ว แถมยังร่วมหัวจมท้าย ผ่านเรื่องประหลาดพิสดารสารพัดทั้งแฟนที่เป็นหมูบ้า ทั้งโดนกรีดจนเหวอะ ไหนจะตะลอนไปอยู่ภาคใต้เป็นเดือนๆ ถึงขนาดก่อกระเปื้องฉาบปูนด้วยกันก็ทำมาแล้ว ผมกับพี่อู๋ผ่านเรื่องราวมามากกว่าที่คิด ไม่น่าเชื่อเลยว่าเราจะเดินทางมาถึงวันนี้ วันที่เราพัฒนาความสัมพันธ์จากผู้ปกครองมาเป็นคนรัก แต่มันก็ไม่ง่ายเพราะโชคชะตาพาผมมาพบกับพ่ออีกครั้ง ระหว่างนั้นก็มีแต่เรื่องปวดหัวเกิดขึ้นชนิดที่เล่าสามสี่วันไม่หมด ดูแล้วน่าจะเป็นพรีเซนเทชั่นที่คุณครูให้คะแนนแค่ห้าเต็มสิบ เพราะความรักของพวกเธอมันยุ่งเหยิงเกินกว่าจะเล่าให้ใครฟังหรือตีแผ่สั้นๆให้คนเข้าใจ

แต่หลังจบพรีเซนเทชั่น พ่อกับอาแตงก็ได้ขึ้นไปยืนบนเวที ไม่น่าเชื่อว่าผมได้เห็นพ่อประหม่าเป็นครั้งแรก เขากล่าวขอบคุณนักการเมืองที่มาเป็นประธานในพิธีและบอกว่าตัวเองดีใจแค่ไหนที่มีวันนี้ แม้ว่าเฮียโป้งจะเสียไป – บลา บลา บลา – แต่ผมก็เห็นภพเป็นลูกชายแท้ๆอีกคน ไม่ทราบว่าทุกคนรู้ไหมว่านอกจากภพ ผมยังมีลูกชายอีกหนึ่งคนชื่อก้องเกียรติ

แล้วไฟสปอร์ตไลท์ก็ฉายเข้าหน้าผมที่กำลังเคี้ยวเต้าหู้ปลา

“ชีวิตคนเป็นพ่อไม่ต้องการอะไรเลยครับ ขอแค่ลูกเรามีความสุขก็พอแล้ว”

พ่อยังคงพูดต่อไป ส่วนพี่อู๋กับน้องสาวของผมกลั้นขำกันแทบไม่ไหวเพราะทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว พอสปอร์ตไลท์ย้ายกลับไปบนเวที ผมถึงหันไปแว้ดใส่แฟนที่นั่งกินกระเพาะปลาอยู่ข้างๆ ผมบอกพี่อู๋ว่าถ้ายังหัวเราะอีกก็คืนที่กินอยู่มาเลย ผมไม่ให้กินแล้ว

“เฮ้ยๆ อย่าแย่ง พี่ยังไม่ได้กินอะไรเลยตั้งแต่เลิกงาน”

พี่อู๋ตอบมุบมิบแล้วตักกระเพาะปลาเข้าปากด้วยท่าทางหิวโหย เขาคงหิวมาตั้งแต่บ่ายถึงได้กินเอาๆขนาดนี้ เรานั่งร่วมพิธีจนกระทั่งถึงคิวบ่าวสาวทยอยถ่ายรูปหมู่ตามโต๊ะต่างๆ ด้วยความที่แขกในงานเยอะมากทำให้บางส่วนไม่สามารถรอได้ ก็ขอตัวกลับก่อนพร้อมกับข้าวคนละถุงสองถุง ที่เหลือๆจะเป็นเพื่อนบ่าวสาวกับเพื่อนของพ่อที่ตั้งวงกินเหล้าเฮฮาไม่เลิก ผมไม่ให้พี่อู๋ดื่มเพราะคืนนี้จะกลับไปนอนลาดพร้าว แต่พอเห็นเขาหาวอยากนอนก็เลยเปลี่ยนใจ คืนนี้นอนบ้านก็ได้วะ ไม่อยากเสี่ยงเลย

กว่างานจะเสร็จก็เกือบสี่ทุ่ม แต่พวกเฮียภพกับเจ้าสาวยังมีปาร์ตี้ต่อจึงอยู่โรงยิมกันอีกพักใหญ่ ส่วนพ่อขับรถพาครอบครัวกลับไปพักผ่อนที่บ้านเพราะถึงเวลานอนของย่าและมะนาวแล้ว พวกเขานั่งอัลฟาร์ดไป ส่วนผมนั่งวีออสของพี่อู๋ ตลอดทางเราคุยกันว่าพิธีแต่งงานมีข้อบกพร่องอะไรบ้าง พี่อู๋บอกว่าเครื่องเสียงไม่ดี พูดอะไรก็เอี๊ยดๆอ๊าดๆน่ารำคาญ ส่วนอาหารพี่ให้แปดเต็มสิบ เมนูไม่หวือหวาแต่อร่อยใช้ได้สำหรับโต๊ะจีน ส่วนของชำร่วยถือว่าอยู่ในมาตรฐาน น่ารักดี แต่เอาไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ น่าจะต้องเก็บลงกล่อง

ผมได้แต่ฟังพี่อู๋และไม่ค่อยออกความเห็นเท่าไหร่ นี่คือครั้งแรกที่ผมได้เป็นส่วนหนึ่งของงานจึงไม่สามารถเปรียบเทียบอะไรได้ ผมคุยกับพี่อู๋เล่นๆว่าคืนนี้เฮียภพต้องมีความสุขมากแน่เลย เจ้าสาวแต่งหน้าสวย ไม่รู้จะเดินหน้าปั๊มเบบี๋เลยไหม พี่อู๋หัวเราะจนแทบเห็นลิ้นไก่ เขาบอกว่าร้อยเปอร์เซ็น ไม่มีอะไรกันแน่นอนเพราะเหนื่อยมาก เผลอๆพรุ่งนี้ตื่นมาก็ไม่ได้ล้างหน้าไก่เพราะต้องนับซอง ยิ่งงานใหญ่ขนาดนี้ต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน นู่น – อีกสองสามวันถึงจะหายเหนื่อย ถ้าเฮียภพกับเจ้าสาวไม่มีปัญหาเรื่องแบ่งสินสอดก็สบายเลย แต่ถ้ามีก็ทำใจ เพราะสำหรับบางบ้าน สินสอดเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่ใช่แค่เรื่องของคนสองคน แต่พ่อแม่เจ้าสาวหรือเจ้าบ่าวอาจมีดีลลับเบื้องหลังก็ได้

“พี่รู้ดีจัง คิดจะแต่งงานหรือไง”

ผมแกล้งแซวเล่น ไม่ได้จริงจังอะไร พี่อู๋เงียบไปไม่ได้แก้ตัวว่าเฮ้ย ไม่แต่งหรอกหรืออะไรทำนองนั้น เขาพูดถึงงานแต่งของเฮียภพจนกระทั่งถึงบ้าน พอเราเดินเข้าไปข้างในก็เจอมะนาวนั่งเล่นของเล่นอยู่ในห้องรับแขก ผมถามน้องว่าทำไมยังไม่นอน มะนาวบอกว่าต่อคิวใช้ห้องน้ำ เพราะตอนนี้บรรดาเจ๊ๆกับแม่มีเรื่องให้จัดการเยอะมาก โบกแป้งหน้ากว่าลูกชิ้นของพ่ออีก น่าจะต้องใช้เวลาพักใหญ่

ผมกับพี่อู๋ฟังแล้วได้แต่ขำในความช่างพูดของน้องสาว เราจึงนั่งเล่นเป็นเพื่อนมะนาวจนกระทั่งถึงคิวเธออาบน้ำ มะนาวกำลังสวมบทเป็นสไตล์ลิสต์ชื่อดังหลังรันเวย์ เธอมีแหวน มีเครื่องประดับมากมายในตลับ บางชิ้นเหมือนของจริงจนผมต้องถามว่าไม่ได้ขโมยแม่มาใช่ไหม เธอบอกว่าใช่ เฮียก้องไม่รู้จักเว็ปซื้อของออนไลน์เหรอ เซ็ทนี้เจ๊ชมพู่สั่งให้ มะนาวมีแหวนสวยๆเป็นโหลเลย เธอพูดพลางเอาออกมาอวด

มะนาวเหมือนพวกบ้าสมบัติ เธอชอบชื่นชมของสวยๆงามๆที่ตัวเองมีในครอบครอง สร้อยเส้นนี้ก็สวยนะ ดูกำไลสิ ดูแหวนสิ อุ๊ย – สวยไปหมด ส่องไปส่องมาก็เริ่มเอามาแต่งตัวเอง เธอสวมกำไลให้พี่อู๋ ติดตุ้มหูแบบหนีบให้ เราเล่นทุกอย่างกับน้องจนกระทั่งอาแตงเรียกมะนาวไปอาบน้ำนอน เธอจึงเก็บของลงกล่องเป็นระเบียบและบอกผมว่าพรุ่งนี้จะมาเล่นอีก ผมยิ้มและโบกมือให้น้องก่อนจะหันมาหาพี่อู๋

คุณอิศรินทร์ของผมกำลังยิ้มแปลกๆ เขามองหน้าก้องเกียรติอยู่ชั่วครู่ก่อนจะฉวยมือซ้ายของผมอย่างรวดเร็วแล้วสวมแหวนให้ ทุกอย่างเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ผมกำลังมึนๆงงๆว่าเขาทำอะไรจนกระทั่งเห็นแหวนของมะนาวบนนิ้วนางข้างซ้ายตัวเอง ตอนนั้นผมถึงกับหุบยิ้มไม่ได้เลย

“แหวนเพชรจากสำเพ็ง มอบให้เธอคนเดียวจ้า”

พี่อู๋บีบเสียงเหมือนมะนาว ผมหัวเราะขำทั้งๆที่น้ำตาคลอ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นเจ้าสาวที่เพิ่งถูกขอแต่งงานยังไงอย่างนั้น ผมเหลียวซ้ายแลขวาจนแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ใกล้จึงยื่นหน้าไปจุ๊บพี่อู๋เบาๆ ผมบอกเขาว่าเรามาแต่งงานกันเถอะ ตอนนี้เลย และถือวิสาสะขโมยแหวนของมะนาวมาหนึ่งวงเพื่อสวมให้เขา

“ไม่รอเรียนจบแล้วค่อยสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวเหรอ?”
“พี่คิดจะมาขอผมจริงหรือไง?”
“คิดสิ ก็คิดบ้างแหละ แต่ยังไม่ได้วางแผนอะไร” พี่อู๋ยิ้มพลางก้มมองแหวนทับทิมสีแดงเม็ดใหญ่เท่าลูกตาที่อยู่บนนิ้วนางข้างซ้ายของตัวเอง “เพชรสวยมากเลยค่ะคุณก้องเกียรติ น้ำงาม ท่าทางจะหลายบาทนะคะเนี่ย”

เราหลุดขำและกุมมือกันเอาไว้แน่น แต่กุมได้ไม่เท่าไหร่พี่อู๋ก็เริ่มแสดงอาการแปลกๆ เขาพยายามดันแหวนออกเพราะรู้สึกว่ามันรัดแน่นเกิดไป ตอนนั้นเราถึงตระหนักได้ว่าปัญหาเกิดขึ้นเพราะนายก้องเกียรติเล่นอะไรไม่คิดอีกแล้ว

“อันนี้คือจะผูกมัดให้พี่เป็นผัวเธอตลอดไปเหรอ?”

พี่อู๋พูดทีเล่นทีจริง จากที่ขำๆเริ่มไม่ขำเมื่อนิ้วของเขาบวมเป่ง สุดท้ายเราต้องหิ้วกันไปขอความช่วยเหลือจากอาแตง เรื่องเล่าเฮียก้องกับพี่ผู้ชายแต่งงานกันโดยใช้แหวนที่จิ๊กมาจากกล่องของเล่นของมะนาวจึงเป็นที่กล่าวขานทุกช่วงเทศกาลในครอบครัวของเรา ขนาดพ่อยังส่ายหน้าระอาเมื่อเห็นเราสามคนพยายามใช้สบู่ถูๆเพื่อให้แหวนลื่นหลุดจากนิ้วของพี่อู๋ แต่เขาไม่ได้ว่าอะไรที่เราแลกแหวนแทนใจกัน ราวกับพ่อรู้อยู่แล้วว่าเหตุการณ์นี้ต้องเกิดขึ้นไม่วันใดก็วันหนึ่ง แค่ยังไม่ใช่เร็วๆนี้แน่นอน




TBC



______________________________

#เขาบอกผมว่าไม่ใช่วันนี้


สวัสดีวันจันทร์ค่ะ! สัปดาห์หน้าก็เป็นตอนจบของนิยายเรื่องนี้แล้ว ขอบคุณที่อยู่ด้วยกันมาจนถึงตอนนี้นะคะ

ส่วนวันนี้เรามีอัปเดตรูปเล่มมาแจ้งตามสัญญาเลย น้องก้องยังไม่มีกำหนดเปิดพรีในปีนี้นะคะ อาจจะเป็นต้นปีหน้า หรือไม่ก็เดือนมีนาคม ระยะเวลาอาจจะทิ้งช่วงห่างนานไปหน่อยเพราะเราส่งต้นฉบับช้าเกินไป สนพ.ต้องใช้เวลาพรูฟและจัดเล่มนิดนึง ต้องขอโทษจริงๆนะคะ ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นทุกคนจะลืมน้องก้องกันไปหรือยัง เราเองก็ค่อนข้างกังวลค่ะ แต่หวังว่าเมื่อน้องก้องวางขาย ทุกคนจะให้ความรักและสนับสนุนกันแบบนี้ไปเรื่อยๆเลยน้า

ก่อนไปขอขายของต่ออีกนี้ด สเปในเล่มมีทั้งหมดห้าตอนค่ะ ความยาวรวมทั้งหมดหกหมื่นคำ ยาวมากๆ เป็นเรื่องเล่าจากมุมมองของพี่อู๋คนเดียวเลย แถมมีเล่าเรื่องต่อจากตอนจบอีกนิดหน่อย พลาดไม่ได้แล้วน้าอย่างนี้ คอนเฟิร์มค่ะว่าจุใจ สะใจ และเต็มที่เหมือนเคย ขอฝากน้องก้องไว้ด้วยนะคะ อย่าลืมกันน้า ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็อย่าลืมนิยายเรื่องนี้เลยนะคะ มันคือความกังวลที่สุดในสามโลกของนักเขียนเลยค่ะ ;-;

สำหรับวันนี้ต้องขอตัวลาไปก่อน พบกันใหม่วันจันทร์หน้าเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับเรื่องราวของน้องก้อง วันจันทร์ถัดๆไปเราจะนำเรื่องราวของเพื่อนร่วมเอกคุณหมูพีมาลงค่ะ แหะ ขอฝากติดตามด้วยนะคะ ขอบคุณค่า


ออฟไลน์ Stiiiii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 41
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ตอนนี้มีความละมุน และอบอุ่นจากครอบครัว :mew1:

ออฟไลน์ sang som

  • เจ็บจิต!!
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1609
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-6
จะรอซื้อเล่มแน่นอนนน ชอบเรื่องนี้มากๆๆๆ

ออฟไลน์ mkianit

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 298
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-3
ตอนหน้าจบแล้วอะ แอบเศร้า รักเรื่องนี้มาก คือนับวันรอเลย แอแงง

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4014
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ตอนนี้น่ารักมากๆเลยค่ะ มีความสุขจริงๆสักทียัยก้องเอ้ยยย ส่วนเล่ม แน่นอนว่าซื้อค่ะๆๆ  :hao7:  :กอด1:

ออฟไลน์ river

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2398
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +231/-3
ค่อยยังชั่ว หมดดราม่าแล้ว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mab

  • ชื่อ mab ไม่ได้ชื่อ map
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 694
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-0
น้องมะนาวน่ารักจริงๆ เลย  :mew1:
ดีใจที่ก้องกับย่าได้มีเวลานั่งคุยกันแแบบนี้นะคะ
ดูอบอุ่นมากๆ เรื่องที่ผ่านๆ มาก็ให้ผ่านไปนะก้อง
ใช้ชีวิตทุกวันให้มีความสุขก็พอ  :katai2-1:

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ตอนนี้เป็นตอนที่อ่มนแล้วมีความสุขสุดๆอ่ะ
แต่เสียดายไม่อยากให้จบเลย อย่างอยู่ข้างเตียง อู๋กัองไปตลอดไป

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เรียบๆเรื่อยๆแต่สบายใจมาก(กกกก)​ ทุกอน่างมันลงตัว​ แอบสะดุ้งเรื่องของทรายนิดหน่อยที่เลิกกับแฟน​ เพราะเห็นสู้กันมาเยอะจนกว่าจะได้คบกัน​ แล้วเรื่องราวของก้องตอนที่ย่าพูดถึงว่าพ่อหรือทุกคนรู้เรื่องแล้วเรื่องสะพานอะไรแบบนั้น​ อยากรู้ว่าเขามีรีแอคชั่นแบยไหนกัน​  :pig4:

ออฟไลน์ mellowshroom

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 976
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +37/-1
ตลกแหวนติดนิ้วอ่ะ 555555
ดีๆ รออ่านตอนจบดีๆ เพราะเรื่องนี้ติดแบบ จำเนื้อเรื่องได้ค่อนข้างเยอะ สนุกมาก อินมาก อินแบบงง
สู้ๆน้าคนเขียน


Sent from my iPhone using Tapatalk

ออฟไลน์ Mamamapp

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 20
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 หูยยย น่ารัก

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ตอนนี้น่ารักมากเลยค่ะ อ่านแล้วยิ้มตาม สัมผัสได้ถึงความสุขของทุกคนเลย รอเก็บเล่มแน่นอนค่ะเรื่องนี้
หมูอู๋อ้วนลงพุงแบบนี้ อีกสัก10ปีลุคเสี่ยแน่ๆ555

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

ออฟไลน์ may27

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 297
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-0
 :mew1:  เรื่องนี้รู้สึกเหมือนอ่านไดอารี่  เลยค่ะ   อยากอ่านมุมของพี่อู๋บ้างค่ะ

ออฟไลน์ Majariga

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 414
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
รักเสี่ยอู๋กับกอริลลาก้องจัง ผูกพันมาก ตามเก็บแน่นอนค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ PKT

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
โคตรดีใจจจ ก้องมีความสุขแล้ววว พ่อก้องตลกกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ malula

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7208
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +622/-7
เป็นการลงเอยที่ดีมาก กับทุกตัวละคร

ออฟไลน์ broke-back

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5947
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +844/-16
อบอุ่นใจ
ทั้งความรักในครอบครัว
และความรักของลิงก้องกับหมูอู๋

ปริ่มมากฮะ
อิอิ

ออฟไลน์ ง่วงนอน

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 55
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
อ่านไป เขินไป หัวเราะไป งือออ

ออฟไลน์ newyork_jaja2

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 12
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
45 [PART1/3]





ผมกำลังยืนรอพี่อู๋อยู่กับเพื่อนๆ เราไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์ หรือเงิน หรืออะไรก็ตามที่เป็นสิ่งแปลกปลอมนอกจากชุดราชปะแตนสีขาวและชุดครุยสีแดง รอบตัวผมมีแต่คนสวมชุดครุยสีแดงเหมือนกันเต็มไปหมด สีหน้าของเราเหนื่อยล้า ต่างมองหาครอบครัวของตัวเองที่ไม่รู้ว่ากระจัดกระจายอยู่ที่ไหน เราตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่ได้รับอนุญาตให้พกโทรศัพท์และเงินเข้าหอประชุม แต่คงเป็นคำถามที่ไร้คำตอบเพราะเขาจะบอกแค่ว่าเป็นกฎ



ผมยังคงเดินไปเรื่อยกับกลุ่มเพื่อน ผมหาทราย มิว หรือโบ้ทไม่เจอจึงได้แต่อยู่กับเพื่อนร่วมภาคที่ยังคงวุ่นวายกับการหาครอบครัวตนเอง ผมรู้ว่าหลังเสร็จสิ้นพิธีการน่าจะวุ่นวายเอามากๆ แต่พอได้เจอกับตัวเองถึงรู้ซึ้งคำว่าวุ่นวายชิบหายเป็นยังไง ผมอยากให้คุณลองหลับตา จินตนาการว่าคุณต้องอยู่ท่ามกลางผู้คนที่แต่งกายเหมือนกันกว่าพันคน ทุกคนหน้าแน่นจนจำแทบไม่ได้เพราะวันนี้เป็นวันพิเศษ บวกกับอากาศที่ร้อนจนเหงื่อไหลทำเอาเครื่องสำอางเยิ้มเป็นคราบยิ่งทำให้ทุกอย่างแย่ไปหมด กว่าจะเดินไปถึงจุดที่นัดแนะที่อู๋ก็ตั้งยี่สิบนาที แถมต้องกวาดสายตามองหาคนนับพันที่อยู่ในบริเวณนี้อีก มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย



แต่แล้วผมก็เจอทุกคนเพราะความโดดเด่นสะดุดตาของสีเสื้อ วันนี้พี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีเลือดหมู กางเกงสีครีม แต่งตัวเสียหล่อเหมือนเจ้าบ่าวยืนรอบนแท่นพิธี รอบตัวเขาคือครอบครัวของผมซึ่งสวมชุดสีแดงเหมือนกัน ทั้งพ่อ อาแตง ย่า และน้องสาวของผม ต่างมาร่วมแสดงความยินดีในธีมสีประจำคณะ ผมหลุดยิ้มเพราะไม่คิดว่าพวกเขาจะนัดกันใส่ราวกับมางานแต่งขนาดนี้ และยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้นไปอีกเมื่อพี่อู๋ยกกล้องถ่ายรูปเพื่อบันทึกภาพนายก้องเกียรติกับใบปริญญาเป็นรูปแรกหลังออกจากหอประชุม



มันเป็นวันที่ผมมีความสุขที่สุดในโลก เป็นวันที่ผมสามารถยิ้มได้ทั้งวันโดยไม่หงุดหงิดหัวเสียกับสภาพอากาศในเมืองไทย ผมไม่ได้จ้างช่างภาพมาบันทึกความทรงจำในวันสำคัญ ดังนั้นคนที่คอยยกกล้องถ่ายรูปให้จึงมีแค่พี่อู๋ อีกคนที่ดูมีความสุขมากกว่าบัณฑิตก็คือพ่อ พ่อยิ้มกว้างยิ่งกว่าตอนยืนบนเวทีในงานแต่งเฮียภพ ยิ้มจนแก้มแทบปริ ยิ้มและสั่งให้พี่อู๋ถ่ายรูปเยอะๆเพื่อบันทึกวันแห่งความสุขของพวกเขาเอาไว้ แม้ว่าความสำเร็จของผมเริ่มต้นโดยไม่มีพ่อ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่ากว่าจะเรียนจบสี่ปี พ่อคือคนสำคัญที่ให้ทุน ให้ปัจจัยต่างๆจนผมมีวันนี้



“เอาดอกไม้ให้ก้องเร็วอาแตง”



พ่อสั่งด้วยความตื่นเต้น ช่อดอกไม้พับจากธนบัตรสีเทาช่อใหญ่จึงถูกส่งให้ผม ทันทีที่เห็นมัน คำขอบคุณไม่ได้หลุดจากปากของก้องเกียรติ แต่ผมใช้สายตากะคร่าวๆว่ามีแบงก์พันทั้งหมดกี่ใบ หลังจากนั้นบรรดาน้องสาวก็มอบของน่ารักๆให้อย่างชมพู่ให้ตุ๊กตา แอปเปิ้ลให้ช่อดอกไม้ที่เธอซื้อด้วยตัวเอง ส่วนส้มจีนกับมะนาวซื้อลูกโป่งให้ผม เป็นลูกโป่งขายหน้างานใบใหญ่ที่มีของจุ๊กจิ๊กอยู่ข้างใน น้องบอกว่าซื้อให้เฮียก้อง แต่สุดท้ายก็แย่งกันถือจนผมต้องซื้อใหม่ให้อีกใบจะได้ไม่ทะเลาะกัน



เราถ่ายรูปด้วยกันหลายช็อต ผมเดาเอาว่าน่าจะถึงห้าร้อยรูปเพราะแต่ละคนท่าเยอะเหลือเกิน เดี๋ยวก็ขอย้ายไปถ่ายที่สถานีรถไฟ ถ่ายกับป้ายคณะ ถ่ายในสนามด้วยแอคติ้งต่างๆจนผมอายเวลามีคนมอง แต่จะว่าพวกเขาไม่ได้เพราะวันนี้คือวันแห่งความสุขตามที่พ่อว่า หลังผ่านเรื่องราวมากมายจนอยากลาออกอยู่หลายครั้ง ในที่สุดวันนี้ก้องเกียรติก็ได้เป็นวิศวกรสมใจอยากแล้วครับ ขณะถ่ายรูปกับทุกคน มีวูบหนึ่งแล่นเข้ามาเหมือนสายลมพัดที่ให้ความรู้สึกบางเบาและอ้างว้าง จู่ๆผมก็คิดถึงแม่ และนึกสงสัยว่าแม่จะเห็นผมในชุดครุยสีแดงนี้ไหม



แน่นอนว่าแม่ต้องเห็นอยู่แล้ว



แม่ของผมก็ชอบสีแดง ยิ่งสีแดงสดแบบนี้แม่ต้องมองเห็นจากที่ไหนซักแห่งแน่ๆ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับคิดว่าจะหาแม่เจอ แต่บนนั้นไม่มีอะไรเลยนอกจากพื้นท้องฟ้าสีเข้มกับก้อนเมฆสีขาว ผมนึกอยากให้สายตาของเราประสานกัน ผมอยากให้แม่เห็นรอยยิ้มของผมในวันนี้ และผมเองก็อยากเห็นสีหน้าของแม่ ผมอาจจะทำให้แม่โมโหที่ย้ายกลับไปอยู่กับพ่อ ผมอาจทำให้แม่ตายตาไม่หลับถ้ารู้ว่าผมมีอะไรกับผู้ชาย แต่พี่อู๋บอกเสมอว่าอย่าคิดแทนคนตาย ดังนั้นผมจึงทำได้แค่หวังว่าแม่จะรับรู้และเข้าใจทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของก้องเกียรติ หวังว่าแม่จะสบายใจและหลับอย่างสงบโดยไม่ต้องกังวลอะไรอีก



ในขณะที่ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้า พี่อู๋ก็เดินมาโอบไหล่ เขาส่งกรอบรูปที่เคยมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้และพูดว่าถ่ายรูปกับแม่เป็นที่ระลึกนะ ผมน้ำตาซึมเมื่อได้ยินแบบนั้นก่อนจะเดินปลีกตัวจากทุกคนซักครู่เพื่อถ่ายรูปกันสองคนเพราะไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ ผมไม่รู้ว่าอาแตงคิดยังไงก็เลยไม่อยากให้อาเคืองถ้าต้องเห็นรูปคนรักเก่าของพ่อในวันดีๆแบบนี้ แต่พ่อคงเห็นว่าท่าทีของผมแปลกไป ไม่สดใสร่าเริงเหมือนเคยจึงเดินตามมา พอเห็นผมถือกรอบรูปของแม่ พ่อก็นิ่งไปพักหนึ่งและเริ่มร้องไห้เมื่อได้ดูรูปถ่ายใกล้ๆ เราสองคนไม่พูดอะไรจนกระทั่งพ่อบอกว่าถ่ายรูปกันเถอะ เราสามคนพ่อแม่ลูก ดังนั้นผมจึงมีรูปครอบครัวของตัวเองใบแรกในรอบยี่สิบสามปี แม้ว่าแม่จะมาเพียงแค่ภาพถ่ายเล็กๆ แต่ผมจะถือว่าเราอยู่ด้วยกันในวันนี้



เราอยู่ถ่ายรูปไม่นานก็เดินทางกลับเพื่อไปฉลองวันพิเศษต่อที่ร้านอาหารริมแม่น้ำ พ่อจัดหนักจัดเต็มให้เรากินทุกอย่างตามที่ต้องการยกเว้นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลังจากนั้นเราก็กลับบ้านโดยคืนนี้พี่อู๋ได้รับอนุญาตให้ค้างคืนด้วย พออาบน้ำแต่งตัวเสร็จเรามานั่งล้อมวงดูรูปด้วยกัน รูปไหนสวย รูปไหนดีจะคัดเก็บไว้เตรียมอัดใส่อัลบั้ม อาแตงเอาแต่บ่นว่าตัวเองแก่ทั้งๆที่ผมว่าอาไม่ได้แก่เท่าไหร่ ส่วนชมพู่เซ็งเมื่อเห็นว่าเธอเลือกรองพื้นผิดเบอร์ เธอถึงขนาดบอกว่าก่อนอัดต้องส่งรูปทั้งหมดให้เธอก่อน เธอจะส่งให้แฟนช่วยรีทัชรองพื้นให้เท่ากับคออีกที หลังจากนั้นจะอัดใหญ่เท่าผนังโรงงานก็ได้ ชมพู่ไม่ห้าม



ผมนั่งเท้าคางมองรูปคู่ที่เราถ่ายด้วยกันความภูมิใจ แม้แต่ในภาพถ่าย พี่อู๋ยังเก็บแววตาที่เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มดีใจเอาไว้ไม่มิด ผมบอกเขาว่าเราน่าจะสวมครุยแล้วถ่ายด้วยกันบ้างเนอะ เหมือนคู่รักคนอื่นๆที่เคยเห็นในเฟสบุ๊กไง เราอาจจะไม่ได้รักกันในวัยเรียน แต่ถ้ามีโอกาสได้เห็นพี่ใส่ครุยอีกครั้งก็คงดี



“ได้นะ” พี่อู๋เห็นด้วย “ไว้เราไปเช่าครุยแล้วถ่ายด้วยกันใหม่ เก็บเป็นรูปคู่ไว้ที่บ้าน”



ผมส่งยิ้มให้ชายที่ผมรักและนั่งเลือกรูปต่อ ในรูปเขาหล่อมากเพราะพี่อู๋ผอมลงกว่าเมื่อก่อนเยอะ น้ำหนักเขาหายไปเกือบสิบกิโลกรัมเพราะโหมงานหนัก ผมเคยถามเขาว่าในเมื่อไม่มีภาระอะไรต้องผ่อน ทำไมถึงทำงานหนักจนตัวเองโทรมขนาดนี้ พี่อู๋บอกว่าเขาอยากเก็บเงินไว้เผื่ออนาคตของเรา



“ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะเป็นยังไง แต่เผื่อไว้ก่อนก็ดี”



หัวใจของผมพองโตเมื่อได้ยินว่าเผื่ออนาคตของเรา ปกติพี่อู๋ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้เลย เขาใช้ชีวิตตามประสาชายโสดที่ไม่มีภาระผูกพันจนบางครั้งผมเองยังอิจฉา แต่จู่ๆพอผมใกล้เรียนจบ เขาก็จริงจังกับชีวิตขึ้นมากะทันหัน เมื่อรู้ว่าอนาคตของเขามีนายก้องเกียรติอยู่ด้วย ผมจึงมีความสุขมาก มากชนิดที่ไม่คิดอยากทำอะไรอีก อยากอยู่กับพี่อู๋ตลอดไปเท่านั้น แต่พอคิดเรื่องนี้ทีไรก็มักจะไม่สบายใจเพราะผมเรียนจบแล้ว ถึงเวลาต้องหางานมาซักพักแต่กลับไม่ได้เริ่มทำอะไรซักอย่าง พี่อู๋บอกว่าจะหยุดพักซักครึ่งปีก็ได้เพราะชีวิตผมเจอเรื่องหนักๆมามาก แต่คิดอีกที ผมก็มีแก๊ปเยียร์แล้วไง – เมื่อหกปีก่อน ตอนที่ได้เจอกับพี่อู๋ ผมออกจากระบอบการศึกษาตั้งสองปี เพราะฉะนั้นผมจึงไม่ควรเสียเวลารีรอ ต้องรีบหางานหาการทำเสียที














มีคนบอกว่าหลังเรียนจบเราจะอยู่ในสภาวะเคว้งคว้างเหมือนหลงทาง ตอนแรกผมคิดว่ามันคือการกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่หลังจบพิธีรับปริญญาบัตรแล้วกลับเห็นด้วยกับกล่าวที่ว่านั่นมากๆ



มันเป็นช่วงที่ผมรู้สึกเหมือนถูกปล่อยทิ้งยังไงก็ไม่รู้ ไม่มีขั้นบันไดให้ไปต่อ ไม่มีคู่มือบอกว่าต้องทำอะไรถัดไปจึงจะถือว่าไม่เสียชาติเกิด ในขณะที่โบ้ทไปเวิร์คที่อเมริกา มิวเทคคอร์สเรียนภาษาสั้นๆที่เกาหลี ทรายช่วยที่บ้านขายเบเกอรี่เต็มตัว นายก้องเกียรติกลับนึกไม่ออกว่าอนาคตของตัวเองควรเป็นยังไง



หลังสอบเสร็จปลายภาคสัปดาห์แรก พ่อขอให้ผมลองฝึกงานที่โรงงานลูกชิ้น ผมยอมตกลงเพราะคิดว่าอย่างน้อยการเดินไปเดินมาท่ามกลางลูกชิ้นล้านลูกน่าจะดีกว่านอนเฉยๆ แต่พอสัมผัสการทำงานที่แท้จริงมันยากกว่าที่คิด มันไม่ได้สวยหรูเหมือนในกระทู้พันทิป เจ้าของโรงงานต้องแบกความเสี่ยงและความรับผิดชอบเยอะมาก ไหนจะต้องหาเงินหมุน หาเงินจ่ายพนักงาน ยิ่งช่วงไหนเฮียภพอยากขยายไลน์การผลิตก็ต้องกู้เงินซื้อเครื่องจักร ต้องเสี่ยงทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะขายดีหรือเปล่า บางครั้งเกิดปัญหาเฉพาะหน้าที่ต้องอาศัยประสบการณ์ในการแก้เกม สำหรับเฮียภพที่เกิดและเติบโตโดยมีลูกชิ้นเป็นอวัยวะที่สามสิบสาม เขาสามารถบริหารและมีความสุขไปกับการทำงานได้ ในขณะที่ผมไม่เข้าใจและรู้สึกว่าตัวเองช่างกระจอกงอกง่อยนัก ผมไม่อยากรับความเสี่ยงในการดูแลชีวิตคนนับร้อยจึงบอกพ่อว่าพอเถอะ อย่าฝืนเลย ยกโรงงานให้เฮียภพบริหารดีกว่า เพราะถ้ามันอยู่ในมือผม – มันต้องเจ๊งบ๊งแน่ๆ



ที่มั่นใจว่ามันต้องเจ๊งเพราะผมไม่มีหัวการค้าเลย ในขณะที่เฮียภพเริ่มผลิตลูกชิ้นอกไก่สูตรคลีนกับลูกชิ้นไรซ์เบอร์รีแคลลอรีต่ำเพื่อตีตลาดคนรักสุขภาพ ผมกลับคิดอะไรไม่ออกนอกจากยืนชิมลูกชิ้นที่เพิ่งต้มเสร็จใหม่ๆ อันนี้อร่อยครับ อันนี้ไม่ค่อยเวิร์คนะผมว่ามันเค็มไป ส่วนลูกชิ้นอกไก่อร่อยกำลังดีเลย ผมมีประโยชน์แค่นั้นจริงๆ แค่ยืนกินลูกชิ้นไปวันๆ ไม่ได้ช่วยงานอะไรพ่อกับเฮียเท่าไหร่ ขนาดวันก่อนพ่อถามทุกคนในบ้านว่าอยากกินลูกชิ้นแบบไหน น้องๆเสนอลูกชิ้นปลาแซลมอน ลูกชิ้นเจ ลูกชิ้นแฟนซี สารพัดของแปลกใหม่เพื่อต่อยอดธุรกิจ แต่ผมกลับบอกพ่อว่า –



อยากกินลูกชิ้นทอด



ผมยังจำได้เลยว่าพ่อมองผมยังไง เขาดูหดหู่สิ้นหวังกับคำตอบลูกชิ้นทอดของก้องเกียรติ และหลังจากนั้นพ่อก็ไม่ว่าอะไรอีก เพราะความไม่มีหัวการค้าของผมเป็นที่ประจักษ์ชัดเจนขนาดนี้ พ่อจะพูดอย่างอื่นได้ยังไงนอกจากปล่อยให้ผมกินลูกชิ้นทอดต่อไป ดังนั้นแผนส่งต่อกิจการให้ก้องเกียรติจึงพับเก็บไว้ ตราบใดที่พ่อยังพอมีเรี่ยวแรงคุมกิจการ พ่ออาจจะปล่อยๆผมให้ออกไปใช้ชีวิตของตัวเอง แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่ร่างกายของพ่อเริ่มอ่อนแอจนดูแลโรงงานไม่ได้ วันนั้นเราอาจจะมีเลือดข้นคนจางเกิดขึ้นในบ้าน ก็ไม่แน่นะ ทุกอย่างอาจจบลงด้วยดีก็ได้ ไม่ใช่ครอบครัวคนจีนทุกคนจะเจอเรื่องแบบนั้นเสียหน่อย ผมได้แต่ภาวนาว่าในอนาคต -- พ่อกับเฮียภพจะไม่เคืองกันเรื่องสืบทอดกิจการนะ



ผมใช้ชีวิตในโรงงานประมาณสี่เดือนก็เลิกและเริ่มหาลู่ทางใหม่ ผมคุยกับพี่อู๋ว่าทำยังไงเราถึงจะได้กลับไปอยู่ด้วยกันสองคนเหมือนเดิม เขาจึงบอกให้หางาน มีงานทำเมื่อไหร่ ความจำเป็นต้องย้ายออกจากบ้านก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่เดี๋ยวนี้วิศวกรก็ไม่ได้หางานกันง่ายๆ ผมต้องแข่งกับเพื่อนร่วมวิชาชีพอีกนับพันและคนมีประสบการณ์อีกนับหมื่นเพื่อให้ได้งานมา เชื่อไหมว่าผมใช้เวลาหางานเกือบสองเดือนหลังรับเข้าพิธีปริญญาบัตรกว่าจะได้งานที่ไม่ไกลจากลาดพร้าวเท่าไหร่ งานแรกของผมคือวิศวกรเขียนแบบให้บริษัทญี่ปุ่นที่ผลิตเครื่องจักรแถวบางนา เป็นบริษัทเล็กๆที่มีพนักงานสิบห้าคน นายญี่ปุ่นสองคนที่ดูแล้วไม่น่าจะวุ่นวายอะไร แต่หลังทำงานไปได้ซักระยะ ผมจึงรู้ซึ้งกับคำว่าโลกของการทำงานโหดร้ายกว่าสมัยเรียนเยอะ



ใน Job description ระบุว่าผมต้องเขียนแบบเครื่องจักรตามที่ลูกค้ารีเควส อาจจะต้องออกต่างจังหวัดไปติดตั้งเครื่องบ้างแต่จะได้โอทีหากทำงานล่วงเวลาสามสิบนาทีเป็นต้นไป แต่ถึงเวลาทำงานจริงๆมันยังมีข้อเอาเปรียบเล็กๆน้อยๆที่คาดไม่ถึงเช่นหากวันไหนผมต้องไปควบคุมติดตั้งเครื่องที่นิคมอมตะซิตี้ วันนั้นคือวันที่ผมเหนื่อยมากที่สุดเพราะต้องเริ่มงานเร็วกว่าเดิมประมาณครึ่งชั่วโมง จากที่เคยเริ่มแปดครึ่งก็ต้องเริ่มแปดโมงเพราะเวลาของบริษัทไม่เท่ากัน แถมเลิกเลทอีก ซึ่งมองมุมนี้ ผมควรได้รับโอทีในส่วนของครึ่งชั่วโมงตอนเช้าด้วย แต่บริษัททำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมจ่ายจนผมเสียเปรียบไม่ได้ค่าแรงตามที่ตกลง ผมเคยบ่นเรื่องนี้ให้พี่อู๋ฟังและเขาก็โมโหมาก เขาบอกว่าบริษัทกำลังเอาเปรียบพนักงาน แต่ถามว่าผมทำอะไรได้? ไม่มี ผมทำอะไรไม่ได้ เด็กกำลังอยู่ในช่วงโปรจะเรียกร้องให้จ่ายโอทีส่วนนี้ได้ไง ผมจึงต้องก้มหน้าก้มตาทนอยู่เกือบเดือนกว่าเจ้านายจะคิดได้เพราะถูกพี่เมฆ วิศวะอาวุโสที่ทำงานมานานกว่ายี่สิบปีเดินเข้าไปถามตรงๆ นายแค่บอกว่า อืม ผมจะจ่ายให้นะ แล้วก็เงียบไปราวกับรู้อยู่แล้วว่ามันไม่ยุติธรรม แต่เพิกเฉยเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน คุณว่ามันแย่ไหมล่ะ



นี่ยังไม่รวมการแบ่งพรรคแบ่งพวกอย่างลับๆในบริษัทอีกนะ ผมเป็นเด็กใหม่เพิ่งเริ่มงาน จึงยังไม่ประสีประสากับกีฬาสีภายในพรรค ใครดีมาก็ดีตอบ ยิ้มแย้มแจ่มใสไปเรื่อยไม่คิดร้ายกับใคร แต่พออยู่ไปซักพักถึงเริ่มสัมผัสได้ว่าที่นี่แบ่งเป็นสามกลุ่ม กลุ่มแรกคือนาย เลขาที่ควบตำแหน่งล่าม บัญชี และเมเนเจอร์ กลุ่มที่สองคือวิศวกรที่สัมผัสได้ถึงรังสีไม่เป็นมิตรของกลุ่มแรก ส่วนกลุ่มที่สามคือช่างประกอบที่ไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับดราม่า ส่งแบบมาก็พอ พวกเขาจะประกอบตามที่เขียนไว้ ส่วนใครตีกับใครก็ช่างหัวมันเถอะ ยังไงช่างประกอบก็ไม่ต้องปะทะกับนายเหมือนวิศวกรอยู่แล้ว พวกเขาจึงไม่สนแต่ก็มีร่วมวงสนทนากับเราบ้าง



ผมนำเรื่องนี้ไปปรึกษาพี่อู๋ว่าทำไงดี ผมอยากเป็นมิตรกับทุกคน ไม่อยากเลือกข้างเลยเพราะยังไงเราก็ต้องทำงานด้วยกัน แม้กระทั่งจัดซื้อที่เพิ่งเข้ามาใหม่ยังต้องดีลงานกับผมในบางครั้ง พี่อู๋บอกว่าต่อให้ไม่เลือกวันนี้ อนาคตสถานการณ์ก็จะบีบให้เลือกอยู่ดี ด้วยความที่บริษัทพนักงานน้อย ความทั่วถึงเกี่ยวพันจึงมากชนิดที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าเป็นไปได้ก็แกล้งทำเป็นไร้เดียงสาต่อไปเถอะ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่สนใจและทำงานต่อไป แต่ทนทำได้ไม่เท่าไหร่ ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเอนเอียงยืนฝ่ายทีมพี่วิศวะในที่สุด



จากใจจริง – ผมไม่เคยอยากด่าใครในที่ทำงานเลย แต่บางครั้งพี่ล่ามก็ทำให้ผมเคลือบแคลงในการแปลเหมือนกัน หลายต่อหลายครั้งที่นายพูดยาวมากทว่าเธอแปลออกมาสั้นๆแค่สามสี่ประโยค ผมเดาเอาว่าคงย่อความ แต่ทำไมการย่อความถึงทำให้เราคุยกันไม่รู้เรื่องมากกว่าเดิม หลายต่อหลายครั้งนายแสดงท่าทีหงุดหงิดอารมณ์เสีย นายเริ่มตำหนิผมและพี่หัวหน้าโปรเจ็คที่แก้แบบไม่ถูกต้องเสียที ลูกค้าบอกว่าต้องการให้ลมเป่าชิ้นส่วนให้แห้งก่อนลำเลียงขึ้นสายพานทำไมออกแบบไม่ได้ ผมไม่รู้ว่าตัวเองควรพูดไหม แต่ก็เถียงแทนหัวหน้าโปรเจ็คไปว่ามันทำไม่ได้หรอกเพราะชิ้นส่วนวางซ้อนกัน ชั้นแรกที่อยู่ล่างสุดน่ะแห้งก็จริง แต่ชั้นที่สองและสามจะไม่แห้งเพราะมีชั้นหนึ่งขวางอยู่ไง แค่นี้ไม่เข้าใจเหรอวะ – ผมไม่ได้พูดนะ ด่าในใจ – แต่สุดท้ายก็จบไม่สวย นายอาละวาดจนผมโมโห จึงไประบายให้พี่อู๋ฟังและขอให้เขาเขียนเป็นภาษาญี่ปุ่นให้หน่อย ผมอยากฉะกับนาย



พี่อู๋เตือนแล้วว่าอย่าทำ ต่อให้เก่งมาจากไหนก็อย่าไปปะทะกับนายญี่ปุ่นตัวต่อตัวเพราะมันไม่คุ้ม แต่เขาก็บ้าจี้เขียนสิ่งที่ผมขอให้เรียบร้อย สัปดาห์ถัดมาผมไปทำงานด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม ตั้งใจว่าจะฟาดกับนายซักป้าบด้วยภาษาญี่ปุ่นระดับเทพของแฟน ซึ่งแน่นอนว่าจะฟาดเขาก็ต้องสงวนภาพลักษณ์เอาไว้ด้วย ผมทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนด้วยการบอกนายว่าปัญหาเมื่อวันก่อน ผมไปทบทวนจนรู้สาเหตุแล้วนะครับ นั่นเป็นเพราะว่า – ส่งกระดาษให้ นายกวาดสายตาอ่านอยู่พักใหญ่ก่อนจะเรียกเลขาเข้ามาล่าม เธอรับกระดาษจากนายมาอ่านและถามผมว่าใครพิมพ์ให้ทำไมใช้คำเก่งจัง ผมตอบอ้อมแอ้มว่ารุ่นพี่ครับ รุ่นพี่พิมพ์ให้ พี่ล่ามไม่ว่าอะไรนอกจากยิ้มซึ่งเป็นรอยยิ้มของการเปิดฉากสงคราม



“จริงๆก้องไม่ต้องให้รุ่นพี่เขียนให้ก็ได้นะ บริษัทเราก็มีล่าม ไม่อย่างนั้นจะจ้างมาทำไม”



เพราะพี่ล่ามมั่วไงครับ เครื่องจักรตัวนี้ถึงวนในแอ่งไม่จบเสียที ผมไม่ได้มีเจตนาจะตำหนิล่ามเพราะเข้าใจดีว่าล่ามไม่ถนัดด้านวิศวกรรม พี่อู๋เองก็ไม่ได้เก่งแต่แรกเหมือนกัน เขาต้องใช้เวลาเป็นปี ต้องโดนวิศวะด่า โดนต่อว่าถึงจะเขียนอธิบายได้เซียนขนาดนี้ แต่อย่างน้อยๆพี่ช่วยแปลให้ครบความเถอะ ถามวิศวะก็ได้หากไม่เข้าใจคอนเส็ปต์ของเครื่องจักร ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่จบไม่สิ้น เหมือนคุยกันคนละเรื่องอยู่อย่างนี้



แต่จะบอกว่าเป็นความผิดพี่ล่ามก็ไม่ได้ในเมื่อสุดท้ายนายก็ไม่เข้าใจ สั่งให้พวกเราไปแก้แบบมาใหม่อยู่ดี ผมได้แต่เดินคอตกออกจากห้องทำงาน พอเวลาพักเบรคก็ลงไปปรับทุกข์กับพี่ๆวิศวะว่านายดุจัง เอาแต่ตำหนิไม่เห็นบอกเลยว่าต้องแก้ยังไง พี่บาสที่เป็นหัวหน้าโปรเจ็คบอกให้ทำใจ เพราะชีวิตการทำงานก็แบบนี้แหละก้อง แต่วันนี้ผมทำพลาดตรงที่ข้ามหน้าล่ามของนายเกินไป ต่อให้เรามั่นใจหรือถูกต้องขนาดไหนก็อย่าทำแบบนี้เลย เคืองกันเปล่าๆ ผมจึงได้แต่นั่งจ๋อยเพราะรู้สึกผิดที่ทำให้พี่ล่ามเสียหน้า พอตกเย็นก็ไลน์ไปขอโทษพี่ล่ามเป็นการส่วนตัว เธอไม่ได้ว่าอะไร เธอบอกแค่ว่าดีแล้วที่ผมพยายามอยากให้นายเข้าใจ แล้วเงียบหาย ผมเดาเอาว่าพี่ล่ามคงโกรธแหละ ใครโดนแบบนี้ก็ต้องโกรธทั้งนั้น ผมนี่โง่จริงๆที่ไม่เชื่อคำพูดของพี่อู๋ ถ้าอยู่เงียบๆไม่เอากระดาษให้นายอ่านแต่แรกก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่แบบนี้หรอก



มีอีกหลายอย่างที่พี่อู๋สอนผม เรามักจะคุยกันตลอดเวลาผมมีปัญหาเรื่องงานหรืออยากได้คำปรึกษาเกี่ยวกับการวางตัว พี่อู๋ทำงานในสายนี้มาเป็นสิบปี เขาคลุกคลีกับพวกวิศวะและนายญี่ปุ่นจนรู้ไส้รู้พุงหมดแล้ว ดังนั้นผมจึงได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างจากเขาพอสมควรเช่นเรื่องกฎระเบียบ พี่อู๋เน้นย้ำมากๆว่าผมต้องทำตามกฎที่โรงงานเขียนไว้ เช่นการใส่หมวกแก๊ปเมื่อต้องลงไปห้องประกอบเครื่อง แม้ว่ามันจะเป็นหมวกบางๆไม่สามารถป้องกันอะไรได้ แต่คนญี่ปุ่นค่อนข้างซีเรียสกับความปลอดภัยมากๆก็ต้องสวมไว้ก่อน นอกจากนี้เขายังสอนผมวางตัวให้เป็นที่เอ็นดูเพราะผมยังเด็กเกินกว่าจะอวดดีในบ้างเรื่อง ประสบการณ์ของผมยังน้อย ผมเพิ่งเริ่มทำงานและยังอ่อนต่อวงการนี้นัก เพราะฉะนั้นควรน้อมรับคำติชมและสังเกตการณ์ทำงานการแก้ปัญหาแทนที่จะเอาแต่นึกโมโหเวลาถูกว่า



ผมนึกภาพตัวเองตอนไม่มีพี่อู๋ไม่ออกเลย ถ้าไม่มีเขา – ผมจะเริ่มต้นชีวิตการทำงานได้ราบรื่นขนาดนี้ไหม ยิ่งไปกว่านั้นพี่อู๋คือความสบายใจอย่างเดียวในชีวิตของผม ทุกวันศุกร์เขาจะขับรถมารับที่บางนาเพื่อกลับไปค้างลาดพร้าวด้วยกัน ส่วนวันจันทร์ตอนเช้าผมจะตื่นเร็วกว่าปกตินิดหน่อย ติดรถของพี่อู๋ไปขึ้นบีทีเอสและต่อแท็กซี่ไปทำงาน ผมเคยพยายามไปกลับลาดพร้าวบางนาทุกวันแต่มันไม่เวิร์คเลย นอกจากค่ารถไฟฟ้าที่แพงและระยะเวลาที่ค่อนข้างนานแล้ว ผม พี่อู๋ และพ่อจึงเห็นตรงกันว่าควรเช่าอพาร์ทเม้นต์อยู่ใกล้บริษัทแล้วขับมอเตอร์ไซค์ไปทำงานดีกว่า พี่อู๋บอกว่าสิ่งที่มีค่าที่สุดไม่ใช่เงินหรอก แต่เป็นการได้พักผ่อนต่างหาก งานหนักแค่ไหนถ้าได้นอนเต็มอิ่มก็ยังพอมีแรงสู้ต่อไป หากต้องอดนอนและเหนื่อยกับการเดินทางซ้ำๆซากๆทุกวัน ไม่เกินหกเดือนผมคงเกิดภาวะ burn out syndrome แน่ๆ



ดังนั้นชีวิตของผมจึงต้องแบ่งเป็นสามส่วน ผมมีเวลาส่วนตัวทุกวันจันทร์ถึงพฤหัส ส่วนวันศุกร์ก็กลับลาดพร้าวมาอยู่กับชายที่ผมรัก เดือนหนึ่งผมจะกลับบ้านไปหาพ่อครั้งหนึ่ง ผมว่าพ่อคงรู้แหละว่าพี่อู๋แอบมารับผมไปอยู่ด้วยทุกสัปดาห์ แต่เขาไม่ว่าอะไรที่ผมตัดสินใจแบบนี้เพราะผมโตแล้ว ผมรับผิดชอบตัวเองได้ แม้ว่าจะไม่มีเงินมากพอสำหรับส่งให้พ่อ แต่พ่อก็ไม่เคยเรียกร้องขออะไร พ่อมีมากกว่าผมตั้งกี่แสนกี่ล้านเท่า เขาไม่อยากให้ผมต้องเจียดเงินอันน้อยนิดไปให้เขาเพื่อแสดงสัญลักษณ์ความกตัญญูหรอก ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องดี เพราะเงินเดือนของผมเริ่มต้นแค่หนึ่งหมื่นเจ็ดพันบาท พอหักประกันสังคม หักค่าเช่าห้อง ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์ ค่าน้ำค่าไฟ ค่ากินอยู่ต่างๆ จึงเหลือเก็บเดือนละไม่ถึงพัน พี่อู๋บอกว่าชีวิตการทำงานมันก็เป็นแบบนี้แหละ ในเมื่อเราไม่มีประสบการณ์ก็ต้องเรียนรู้ไปก่อน ไว้เก่งเมื่อไหร่ค่อยย้ายงานเพื่ออัปเงินเดือนยังไม่สาย



นอกจากนี้ – ยังมีสิ่งสำคัญมากๆที่พี่อู๋เน้นย้ำกับผมตลอดอีกอย่างหนึ่งก็คือ



อย่าให้ใครรู้ว่าตัวเองเป็นเกย์







ต่อพาร์ท 2 ข้างล่างเลยฮับ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
45 [PART 2/3]

พี่อู๋บอกว่าคนในประเทศนี้มีภาพจำต่อเพศที่สามไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ต่อให้ไม่แสดงออกตรงๆว่ารังเกียจเหยียดหยาม แต่มักจะมีคำพูดเฮงซวยซึ่งล้อเลียนเราหลุดจากปากคนเหล่านั้นออกมาเรื่อยๆ ขนาดพี่อู๋เป็นเกย์มาตั้งแต่สมัยเรียน เขายังไม่เคยบอกเพื่อนร่วมงานเรื่องนี้เลย เจ้านายกี่คน เซลล์กี่คนที่เคยไปดื่มด้วยกัน วิศวกรที่ทำงานด้วย ไม่มีใครรู้ว่าพี่อู๋คบกับผู้ชาย และเขายังประหม่าทุกครั้งเมื่อถูกสงสัยว่าเป็นเกย์หรือเปล่าเพราะไม่เคยพูดถึงผู้หญิงหรือภรรยาทั้งๆที่อายุเกือบจะสี่สิบแล้ว



“ให้เขาคิดว่าเราเป็นเพลย์บอยไปวันๆยังดีกว่า”



พี่อู๋เคยบอก และผมเศร้ามากที่แม้แต่คนที่มั่นใจสุดๆอย่างพี่อู๋กลับไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของตัวเองได้ ทุกคนที่บริษัทต่างคิดว่าเขามีแฟนสาวลับๆหรือไม่ก็เป็นพวกเพลย์บอยฟันไปเรื่อยไม่จริงจังกับใคร เพราะไม่ใช่ทุกคนที่รับได้ ไม่ใช่นายจ้างทุกคนที่เข้าใจถึงความแตกต่างนี้ พี่อู๋เองสัมผัสทุกอย่างจนรู้ดีแล้วจึงกำชับผมว่าอย่าบอกใคร เขาไม่ได้อายที่เป็นแฟนกับผม แต่บางครั้งการพูดความจริงออกไปมันมีผลเสียมากกว่าที่คิด อย่างเพื่อนของเขาที่ถูกทำให้เป็นตัวตลกในที่ทำงาน เอะอะก็ล้อเล่นด้วยการแซวว่าขี้ติดกางเกง หนักสุดคือเดินมาตีตูดราวกับเพศที่สามจะทำอะไรก็ได้ ดังนั้นก้องอย่าให้ใครรู้เด็ดขาดว่าคบกับผู้ชาย เวลาใครถามก็บอกแค่ว่ามีแฟนแล้ว แต่ไม่ต้องโกหกสร้างตัวปลอมขึ้นมา เขาถามอะไรก็บอก ทำอาชีพอะไรก็บอกไปว่าเป็นล่าม จบ



ตอนแรกผมคิดว่ามันจะซักแค่ไหนเชียว โลกเรามาไกลถึงขนาดนี้แล้ว มันจะมีคนล้อเลียนเกย์อยู่อีกเหรอ แต่พอมีโอกาสได้กินเหล้ากับพี่ๆที่บริษัท ผมก็รู้ว่าสิ่งที่พี่อู๋พูดเป็นความจริงทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกคนที่ยอมรับเรา บางคนมองเราเป็นตัวตลก บางคนปากบอกว่ายอมรับแต่ก็ยังเล่นมุกถังทอง หรือถามคำถามไม่สุภาพอย่างเป็นรุกหรือรับ นอนให้เขาเสียบหรือเสียบเขา ผมว่ามันเป็นคำถามชั้นต่ำที่ไม่ควรถามใคร ขนาดโบ้ทยังไม่เคยถามผมเลย แล้วคนพวกนี้เป็นใครถึงอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น โชคดีที่มันไม่เกิดขึ้นกับผม แต่เกิดกับวิศวกรไฟฟ้าที่เซ็นสัญญาทำงานร่วมกันแค่โปรเจ็คเดียว เขาปิดตัวเองไม่ได้เพราะท่าทางออกสาว ตอนถูกรุมถาม เจ้าตัวหน้าเสียไปเลย เขาฝืนยิ้มๆทำเป็นขำแต่ผมว่าในใจคงอยากต่อยปากช่างประกอบบริษัทผมจะแย่ ผมได้แต่ขอโทษเขาตอนที่เข้าห้องน้ำพร้อมกัน ผมบอกเขาว่าพี่ช่างเป็นคนปากพล่อยอยู่แล้ว ใครๆก็รู้ อย่าถือสาเอาความเลย อย่าใส่ใจคำพูดหมาๆแบบนั้นเลยนะ



“ไม่เป็นไรหรอก พี่ชินแล้ว”



เป็นคำตอบแสนเศร้าที่ผมฟังแล้วอยากร้องไห้ ทำไมคนๆหนึ่งต้องเจอเรื่องแบบนี้ซ้ำๆจนชินชาด้วย ผมไม่เข้าใจเลย เชื่อไหมว่าหลังจากนั้นผมไม่ไว้ใจใครอีกนอกจากพี่อู๋ ทุกคนที่บริษัทจึงไม่มีใครรู้ว่าผมเป็นเกย์ พวกเขาคิดว่าผมคือเด็กเนิร์ดอ๊องๆจีบสาวไม่เป็นจนพี่ล่ามแนะนำเซลล์สวยๆให้



ด้วยความที่เป็นวิศวกร ยังไงเวลาสั่งอะไหล่ประกอบเครื่องจักรก็ต้องมีคุยกับเซลล์บ้างเพราะจัดซื้อไม่รู้ว่าแต่ละชิ้นมันต่างกันยังไง ดังนั้นผมจึงมีโอกาสคุยกับเซลล์ที่มาส่งของหลายคน บางคนขับรถมาจากชลบุรีเพื่อดูว่าหน้าตาผมเป็นยังไงตามคำสปอยล์ของพี่ล่าม เธอดูกะตือรือร้นในเรื่องของผมมากจนเกินเหตุ เวลาผมบอกปัดความหวังดีที่แสนจะสาระแนนั้นด้วยการบอกว่ามีแฟนแล้ว พี่ล่ามจะคิดว่าผมโกหก เธอนึกว่าผมไม่ชอบผู้หญิงที่หาให้ก็เลยแนะนำคนใหม่เรื่อยๆ เลขาของบริษัทซัพพลายเออร์บ้าง ล่ามในโรงงานที่ชลบุรีบ้าง เยอะมากจนผมสงสัยว่าทำไมเธอจุ้นจ้านขนาดนี้ จนรู้จากพี่วิศวะที่ทำงานมานานอีกทีว่าพี่ล่ามขึ้นชื่อว่าเป็นแม่สื่อมือทอง คนญี่ปุ่นที่มาทำงานในไทยได้แฟนเพราะพี่ล่ามแนะนำเยอะแยะก็คงติดลม คิดว่าตัวเองเป็นแม่สื่อแม่ชักล่ะมั้ง พูดจบพี่วิศวะก็หัวเราะและบอกว่าคนอะไรขี้เสือก เขาจ้างมาทำงานก็ทำไปสิ จะเปิดบริษัทหาคู่ในโรงงานหรือไง



ผมเห็นด้วย เพราะหลังๆมันเริ่มล้ำเส้นมากเกินไปแล้ว เซลล์ที่พี่ล่ามเคยพยายามชักมาให้ถึงขนาดแอดไลน์มาชวนผมคุยจนพี่อู๋ควันออกหูอยู่บ่อยๆ เขาไม่ชอบ แต่ไม่สามารถตอกหน้าเธอได้ว่าเป็นแฟนของก้องเกียรติเพราะเป็นห่วงผมที่ต้องทำงานต่ออีกหลายปี มันวนเวียนซ้ำซากจนทำให้เราทะเลาะกันอยู่หลายหน ผมเองก็เบื่อและเหนื่อยจนต้องไลน์ไปต่อว่าพี่ล่ามตรงๆ พี่ล่ามคงตกใจเพราะไม่คิดว่าผมจะโกรธขนาดนี้ เธอจึงถามว่ามีแฟนแล้วจริงๆเหรอ ผมจึงบอกว่าครับ มีแล้ว พี่ก็อย่าทำแบบนี้อีกนะ ผมไม่ชอบ



เรื่องราวเจ๊าะแจ๊ะทั้งหมดจึงจบแค่ตรงนี้โดยไม่มีความสัมพันธ์ของใครแตกหัก ผมทำพี่ล่ามเสียความมั่นใจจนเลิกเป็นแม่สื่อแม่ชักอยู่พักใหญ่ ส่วนพี่อู๋ก็แฮปปี้ มีความสุขที่ชีวิตของเรากลับมาเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมตามที่ควรเป็น













พอถึงจุดหนึ่งของชีวิตการทำงาน ผมก็หมดแรง ไม่รู้ว่าที่ทำอยู่ทุกวันนี้มันเพื่ออะไร อาจเพราะเงินเหลือเก็บน้อยนิดที่ไม่พอสำหรับซื้อของทางใจ หรือเพราะการทำงานหนักติดกันหกวันต่อสัปดาห์ ผมจึงเข้าสู่ภาวะหมดไฟไวกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน



เคยมีคนบอกว่าโซเชียลมีเดียทำให้เราเป็นทุกข์เพราะเห็นด้านดีๆของคนอื่น แต่สำหรับผม มันคือเชื้อเพลิงเล็กๆที่พอให้มีเรี่ยวแรงลุกขึ้นทำงานในวันถัดไปเวลาเห็นเพื่อนๆอัปเดตสเตตัสว่ากำลังอยู่ในช่วงตามหาสิ่งที่ตัวเองชอบ ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าโบ้ทที่ยังคงนั่งกินนอนกินอยู่ที่บ้านพ่อแม่ ผมหลงคิดว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่มากกว่าคนอื่นเพราะเริ่มต้นทำงานได้เร็วกว่า แต่สุดท้ายผมก็หลอกตัวเองได้ไม่นานเมื่อเห็นจำนวนเงินในบัญชี ผมรู้สึกว่ามันน้อยและไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ลงทุนลงแรงไปเลย



ช่วงหลังๆผมต้องทำงานสัปดาห์ละหกวัน แถมไปชลบุรีเพื่อติดตั้งเครื่องจักรบ่อยมาก บางครั้งต้องไปตลอดสัปดาห์แต่ผมไม่สามารถเช่าห้องพักแถวนั้นได้เพราะบริษัทไม่มีสวัสดิการรองรับในส่วนนี้ นายบอกว่าจะจ่ายให้เฉพาะค่าน้ำมัน ค่ากินค่าเดินทางพิเศษไม่มีให้ ต่อให้วันนั้นเลิกดึกแค่ไหนก็ต้องกลับบางนาเพื่อเอารถมาคืนบริษัท บางคืนผมได้นอนแค่สามชั่วโมงก็ต้องออกไปใหม่ ผมเสียเวลาพักผ่อนไปกับการเดินทางในขณะที่ค่าแรงได้น้อยนิดประมาณชั่วโมงละแปดสิบบาท ผมจึงปรับทุกข์กับพี่อู๋ว่าทำยังไงดี ผมเหนื่อยมากเลย พี่ผ่านช่วงเริ่มต้นใหม่ๆได้ยังไงกัน พี่อู๋บอกผมว่า



“เป็นหนี้สิ พอมีภาระมีค่าใช้จ่าย คนเราก็จะดิ้นรนทำงานเพื่อจ่ายหนี้ทั้งนั้น”



ผมฟังพี่อู๋เล่าถึงชีวิตการทำงานแล้วรู้สึกว่าตัวเองกระจอกชะมัด ชั่วโมงทำงานของผมน้อยกว่าที่พี่อู๋เคยทำตั้งสองสามชั่วโมงด้วยซ้ำ แต่เขาย้ำผมว่ามันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลย การทำงานหนักจนไม่ได้พักผ่อนมีแต่จะทำให้สุขภาพแย่ อีกอย่าง – การไม่มีหนี้คือลาภอันประเสริฐแล้ว ถ้ารู้สึกว่าเงินที่ได้ไม่คุ้มค่าแรงก็ลาออกเถอะ ยังมีอีกหลายบริษัทที่ต้องการวิศวกร ถือเสียว่าเป็นการอัปค่าตัวด้วย จะลาออกมากินๆนอนๆที่บ้านก่อนก็ได้นะ ไม่ต้องกลับบ้านที่โน่นหรอก มาอยู่ลาดพร้าวนี่แหละ หายเหนื่อยเมื่อไหร่ค่อยเริ่มออกหางาน



ฟังจบผมก็ย่นหน้าใส่พี่อู๋ รู้ทันหรอกนะว่านี่คือแผนการให้เราอยู่ด้วยกันเต็มเวลาเหมือนเมื่อก่อน ผมไม่รับปากพี่อู๋ว่าจะลาออก แต่คิดไว้เหมือนกันว่าหลังได้โบนัสตอนสิ้นปี หากเงินเดือนไม่ปรับขึ้นจนคุ้มค่าผมอาจจะหยุดงานซักพักตามที่เขาว่า พอคุยเรื่องงานจบเราก็คุยเรื่องอื่นต่อ ตลอดเวลาที่ไม่อยู่ด้วยกันมันมีเรื่องให้แชร์เยอะแยะมากมายเต็มไปหมด ยิ่งตอนนี้ผมทำงานด้วยแล้ว พี่อู๋ยิ่งมีเรื่องอยากสอนผมเป็นร้อยๆข้อ แต่เราก็ไม่ได้เปลี่ยนบทสนทนาให้เป็นมีแต่เรื่องงานเสมอไป บางครั้งเราก็สนุกกับกิจกรรมที่ชื่นชอบบ้าง อย่างการออกไปกินของอร่อยๆตอนดึก การไปดูหนัง และการนั่งชิลที่ข้าวสาร –



หนึ่งในความฝันอันสูงสุดของพี่อู๋คือการได้ไปร้านเหล้ากับผม จริงๆคนอายุประมาณเขาไม่มาข้าวสารหรอก ส่วนใหญ่ไปทองหล่อหรือย่านแพงๆขายเครื่องดื่มแก้วละห้าร้อย ไม่กินเหล้าราคาถูกผสมน้ำอัดลมและฟังเพลงเสียงดัง แต่ในข้าวสารก็ไม่ได้มีแต่ผับตื๊ดหรือร้านเฉพาะวัยรุ่น ร้านนั่งชิลสั่งอาหารก็มี บ่อยครั้งเราจะไปดื่มกันที่นั่น คุยกันเรื่อยเปื่อยถึงแผนการในอนาคตหรือไม่ก็กินสตรีทฟู้ดที่ขายอยู่ริมทาง ส่วนใหญ่ผมไม่เรียกกิจกรรมนี้ว่าการดื่ม ผมเรียกว่าการมอม เพราะพี่อู๋ชอบมอมให้ผมเมาแล้วหิ้วขึ้นห้อง แต่อย่าคิดว่าการเมาของผมต่อยอดไปถึงเซ็กส์นะ เพราะผมเมาหลับ เมาแล้วหลับให้เขาแบกขึ้นหลังไปนอนต่อ พี่อู๋ล่ะช๊อบชอบเวลาก้องเกียรติเมาเพราะผมจะพูดมากขึ้นมาอีกสามร้อยเปอร์เซ็นต์ จะกล้าพูดเรื่องใต้สะดือหรือทำอะไรก็ตามที่ก้องเกียรติตัวจริงไม่กล้า เขาเคยอัดคลิปตอนผมร้องเพลงด้วย ปกติผมชอบแหกปากร้องเพลงที่ไหน นี่ทั้งร้องทั้งเต้นเหมือนสมัยพี่อู๋โคฟเวอร์เพลงผีเสื้อราตรี เออ ผมเชื่อแล้วว่าเหล้าเปลี่ยนนิสัยคนได้จริงๆ



หลังอดทนทำงานได้เกือบสองปี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจลาออก ผมอาจจะเป็นเด็กไม่สู้งานอย่างที่ผู้ใหญ่ในอินเทอร์เน็ตว่า แต่เมื่อลองชั่งน้ำหนักดูแล้ว ผลตอบแทนไม่คุ้มค่ากับสิ่งที่ผมเสียไปเลย ตอนแรกที่บอกพี่อู๋ว่าจะลาออก ผมนึกว่าเขาจะบ่นหรือสอนอะไรซักหน่อยที่ไม่อดทนให้ครบสองปีทว่าพี่อู๋กลับไม่ว่าอะไร เขาบอกผมแค่ว่าให้แจ้งเจ้าของอพาร์ทเม้นต์ด้วยว่าจะย้ายออก ข้าวของในห้องค่อยทยอยคนอาทิตย์ละนิดละหน่อยเดี๋ยวก็หมด ส่วนมอเตอร์ไซค์ค่อยใช้ขนส่งเอกชนให้มาส่งที่ลาดพร้าว จอดไว้ที่บ้านก่อน ได้งานใหม่เมื่อไหร่ค่อยพาไป



ผมทำตามคำแนะนำของพี่อู๋ทุกอย่างยกเว้นแจ้งพี่ล่ามว่าจะลาออกในเดือนหน้า ผมค่อนข้างกังวลว่าคนในออฟฟิศจะคิดยังไง พวกเขาจะมองว่าก้องเกียรติไม่สู้งานไหมแต่สุดท้ายเมื่อได้บอกไป ความรู้สึกโล่งอกยิ่งกว่าครั้งไหนๆก็เข้ามาแทนที่ ผมมีความสุขมากเมื่อได้นับถอยหลังเวลาที่ต้องทำงานที่นี่ ลาก่อนการทำโอทีจนถึงสี่ทุ่ม ลาก่อนชลบุรี ลาก่อน – พี่ช่างประกอบที่ชอบตะคอกผมเวลาอธิบายแปลนเครื่องจักร ผมโลดแล่นอย่างเริงร่า ทุกวันคือความสุขราวกับอยู่ในโลกของเทพนิยาย ผมโบกมือบ๊ายบายทุกอย่างโดยไม่รู้สึกใจหายจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ไปเลี้ยงส่งกับพี่วิศวะ ผมถึงกังวลกับงานใหม่ในอนาคตเพราะไม่รู้ว่าจะได้เจอกับทีมที่โคตรดีแบบนี้อีกไหม



“พวกพี่ก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก อย่าเศร้าเลย คิดถึงก็ไลน์มาคุยกันได้ตลอด ชีวิตคนเรามันต้องไปต่อ”



พี่เมฆพูดให้กำลังใจ แม้กระทั่งเลี้ยงส่งเขายังจ่ายค่าข้าวให้ผมเหมือนวันแรกที่เข้ามาทำงาน ส่วนพี่วิศวะคนอื่นๆคุยเรื่องในออฟฟิศกันเพื่อสร้างบรรยากาศสมานฉันท์ส่งท้าย ผมจำไม่ได้ว่าวันนั้นดื่มไปเยอะเท่าไหร่ แต่พี่เกมรินให้กี่แก้วก็หมดทุกแก้ว กับแกล้มก็เกลี้ยงกริบเพราะทีมของเรากินจุทุกคน ปกติผมไม่เคยเมาต่อหน้าพี่ๆเลย แต่วันนั้นก็แสดงอภินิหารให้พวกเขาเห็นว่าก้องเกียรติเวอร์ชั่นดีดเหมือนคนบ้าเป็นยังไง ผมจับขวดเบียร์ทำเป็นไมค์โครโฟน ร้องเพลงและเอ่ยปากแซวคนนั้นคนนี้ไปเรื่อยจนกระทั่งเริ่มง่วง ตอนนั้นผมถึงมั่นใจว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ผมขับมอเตอร์ไซค์กลับห้องไม่ไหว สงสัยต้องรบกวนขอให้ใครซักคนไปส่ง



ผมสะกิดบอกพี่เมฆเพื่อขอรบกวนให้ไปส่งที่ห้องหน่อย ส่วนมอเตอร์ไซค์ฝากไว้ที่ร้านกระต๊อบก็ได้เพราะเรามากินบ่อยจนเป็นลูกค้าประจำ พี่เมฆบอกว่าได้ๆ เดี๋ยวเขาขับรถไปส่งที่หอ แต่พอนั่งไปอีกเกือบชั่วโมง จู่ๆผมก็เห็นวีออสสีดำขับเข้ามาจอดริมรั้วด้านข้าง เห็นพี่อู๋สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวลงมาจากรถ สีหน้าท่าทางเรียบตึงดูไม่ค่อยพอใจ แต่เมื่อเจอกับพี่ๆในทีมของผมเขาก็ยกมือไหว้สวัสดี บอกว่าเป็นพี่ของก้อง เขามารับผมกลับบ้าน



“พี่มาได้ไงเนี่ย?”



ผมถามด้วยเสียงอู้อี้ในคอ ทั้งดีใจทั้งประหลาดใจที่มีอัศวินขี่ม้าขาวมารับถึงร้านเหล้า พี่อู๋บอกว่าเขาโทรหาผมแต่มีคนรับสาย บอกว่าผมกำลังเปิดคอนเสิร์ตในร้านเสียงดังมากจนลูกค้าจะเรียกตำรวจแล้ว ผมหัวเราะขำและตบแก้มเขาเบาๆสองที



“กลับบ้านเรากันเถอะครับ”



ผมพยายามอ้อนเขา อีกหน่อยก็จะหอมแก้มพี่อู๋อยู่แล้วแต่แฟนของผมมีไหวพริบมากพอที่จะไม่ให้มันเกิดขึ้น เขาบอกให้ผมกล่าวอำลาพี่ๆในวงเหล้า สปีชสุดท้ายของก้องเกียรติในฐานะวิศวะน้องเล็กของบริษัทคือจงลาออก! จงลาออก! และจงลาออก! จนทุกคนขำพรืดและโบกมือลา ส่วนพี่อู๋ก็หิ้วผมไปที่รถ พอได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองเราก็คุยอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น อย่างแรกที่หลุดจากปากพี่อู๋คือทำไมถึงปล่อยให้ตัวเองเมาได้ขนาดนี้ อย่างที่สองคือทำไมไม่ระวังตัว วางกระเป๋าเงินทิ้งไว้บนโต๊ะไม่กลัวมีคนหยิบไปหรือไง ผมเอานิ้วชี้แตะปากพี่อู๋และร้องจุ๊ๆ



“อย่าบ่นครับ วันนี้วันประกาศอิสรภาพ กลับบ้านเราดีกว่า”



ผมคิดถึงห้องของเรา คิดถึงเตียง คิดถึงการลืมตาตื่นมาอยู่ในคอนโดจะแย่ แต่พี่อู๋ไม่ได้ขับรถกลับบ้านตามที่ผมขอ เขามุ่งหน้าไปอพาร์ทเม้นต์ของก้องเกียรติและบอกว่าคืนนี้เราต้องค้างที่นี่ พรุ่งนี้ผมต้องกลับไปร้านเพื่อเอารถไปส่งบริษัทเอกชน เราต้องย้ายของออกจากหอ ต้องทำอีกหลายสิ่งหลายอย่าง ผมจึงไม่ว่าอะไรนอกจากบอกพี่อู๋ว่าเราดื่มด้วยกันในห้องดีไหม ถ้าพี่เห็นด้วยก็จอดที่เซเว่นแล้วซื้อเหล้าเข้าไปกินกันเถอะ



“เป็นขี้เมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” พี่อู๋ถามขำๆ ไม่ได้โมโหหรือโกรธที่ผมชวนดื่มต่อ “เอาอะไรบ้าง? ถั่ว? มันฝรั่งทอด?”

“เอาโคล่ากับน้ำแข็งมาเยอะๆก็พอครับ นอกนั้นอะไรก็ได้”



ผมบอกพี่อู๋และงีบหลับบนรถครู่หนึ่ง ตื่นมาอีกทีเราก็อยู่หน้าร้านขายหมาล่าริมทาง พี่อู๋ซื้อกับแกล้มมาเยอะมาก เขาดูจริงจังกับการดื่มเพื่อฉลองอิสรภาพครั้งแรกของก้องเกียรติอย่างน่าเหลือเชื่อ นาฬิกาบอกเวลาว่าสี่ทุ่มสามสิบสองนาที ผมเริ่มสร่างเมาแล้ว จึงสามารถเดินด้วยตัวเองและขนของกินขึ้นห้องได้สบายๆ หลังจากนั้นเราก็ตั้งโต๊ะ เปิดเหล้า เตรียมมิกซ์เซอร์และจัดกับแกล้มใส่จาน พี่อู๋หายไปเข้าห้องน้ำเกือบห้านาทีก่อนจะทิ้งตัวนั่งลงฝั่งตรงข้าม เขาชงเหล้าให้ผมและชวนกินไส้ย่างหมาล่า เขาถามผมว่าเผ็ดมากไหม



“ไม่เผ็ดมากครับ ก็พอกินได้”



ผมบอกและเริ่มดื่มด้วยกันสองคนกับชายที่ผมรัก มันเป็นการดื่มแบบเคร่งเครียดที่ไม่มีเรื่องตลกโปกฮาให้ระบายเหมือนกินกับทีมพี่วิศวะเพราะก้องเกียรติเพิ่งตระหนักได้ว่าชีวิตมันว่างเปล่าขนาดไหน ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ด้วยดี แต่เป็นการขยับไปข้างหน้าที่แสนจะเอื่อยเฉื่อยและไร้แรงบันดาลใจ ผมไม่รู้ว่าตัวเองทำงานไปเพื่ออะไร เพื่อให้ได้เงินไปวันๆอย่างนั้นเหรอ ผมยังนึกแปลกใจว่าทำไมผมถึงไม่มีของที่อยากซื้อเลย อาจเป็นเพราะผมไม่ขาดอะไรล่ะมั้ง บ้านของพ่อก็มี บ้านของพี่อู๋ก็มี จะไปไหนไกลๆมีคนคอยขับรถรับส่งสบายตลอด อีกอย่างครอบครัวก็เริ่มเข้ารูปเข้ารอยกันหมดแล้ว ชมพู่รับปริญญา แอปเปิ้ลกำลังจะเรียนจบมหาวิทยาลัย ส้มจีนกำลังจะสอบปีถัดไป ส่วนมะนาวเพิ่งขึ้นชั้นมัธยม กิจการโรงงานลูกชิ้นของพ่อก็ไม่ได้ส่อเค้ามีปัญหา พ่อกับเฮียภพยังคงทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีจนผมนึกสงสัยว่ามีบ้างไหมที่พ่อจะเบื่อ หรือขี้เกียจตื่นไปโรงงาน จะว่าไปผมไม่เคยเห็นพ่อขี้เกียจเลย แม้แต่วันอาทิตย์พ่อก็ยังแวะเข้าไปทั้งๆที่โรงงานปิด พ่อดูขยันอย่างไร้ขีดจำกัด ส่วนผมเริ่มหมดไฟ ไม่อยากทำอะไร ไม่อยากทำงาน ผมอยากนอนเฉยๆ อยากย้อนเวลากลับไปตอนเรียนหนังสือที่มีแค่เพื่อนกับพี่อู๋ แต่พออายุมากขึ้นผมไม่สามารถทำตัวแบบนั้นได้เพราะเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมการเติบโตถึงยากจัง มันยากจริงๆนะกับการตามหาความหมายว่าเรามีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร ผมจึงเล่าเรื่องนี้ให้พี่อู๋ฟัง



“มันว่างเปล่าขนาดนั้นเลยเหรอ?”

“ผมแค่ไม่เข้าใจว่าทำงานหนักไปทำไมในเมื่อสุดท้ายเราก็ต้องแก่ตายอยู่ดี”

“คิดแบบนั้นก็แย่สิ คนเราต้องแก่ก็จริง แต่เราเลือกได้ว่าตอนแก่จะมีชีวิตแบบไหน อยากมีเงินเก็บจนนั่งๆนอนๆที่บ้านได้ หรือต้องทำงานทุกวันแลกเงินเล็กๆน้อยๆเป็นค่าข้าว ตัวเราในตอนนี้เป็นคนกำหนดนะ”

“ไม่รู้สิครับ ผมแค่รู้สึกแบบ --” ผมยักไหล่ “มันไม่มีเป้าหมายท้าทายเลย”

“ยังไง?”

“พี่จำมิวเพื่อนผมได้ไหม? ตอนนี้มิวมีแฟนแล้วนะ”

“คนที่เป็นติ่งเกาหลีน่ะเหรอ?”

“ช่าย วันก่อนเราคุยกัน มิวบอกในกลุ่มแชทว่าคิดเรื่องแต่งงาน” ผมเล่าให้พี่อู๋ฟัง “ผู้หญิงนี่น่าอิจฉาเนอะ ส่วนใหญ่ดูมีเป้าหมายว่าชีวิตเป็นลำดับขั้นตอนยังไง ทำงาน แต่งงาน มีลูก ซื้อบ้าน มันดูเป็นสเต็ปๆจนบางทีผมก็อิจฉา”

“บางทีการมีครอบครัวก็ไม่ใช่เป้าหมายของทุกคนหรอก ทำไม? ก้องอยากแต่งงานมีลูกเหรอ?”

“ผมไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น ผมแค่รู้สึกว่าการมีเป้าหมายให้พุ่งชนมันน่าจะดีกว่าเลื่อนลอยไม่ใช่หรือไง” ผมยกแก้วเหล้าขึ้นดื่ม “ตอนพี่อายุเท่าผม พี่มีความฝันอะไรบ้างไหม?”

“ไม่มี พี่คิดแค่ว่าจะทำงานหาเงินโปะหนี้ให้หมด” พี่อู๋บอก “รู้ตัวอีกทีพี่ก็จะสี่สิบแล้ว เวลามันผ่านไปเร็วเหมือนกัน”

“พี่ไม่คิดเรื่องอื่นเลยเหรอ?”

“ไม่” เขาส่ายหน้า

“แม้แต่ตอนนี้พี่ก็ไม่มีเรื่องที่อยากทำเลยเหรอ?”



พี่อู๋นิ่งไปครู่หนึ่ง เขากินไก่เสียบไม้ก่อนจะเอนหลังพิงขอบเตียง



“มีนะ แต่สิ่งที่พี่อยากทำมันต้องใช้คนอีกคน”

“ให้ผมช่วยไหมล่ะ? ถ้าพี่ไม่ได้อยากทำอะไรเสี่ยงตายอย่างโดดบันจี้จั๊มหรือปีนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ ผมพอช่วยได้นะ”

“จริงอ่ะ? ช่วยได้แน่นะ?”

“แน่สิครับ” ผมยืนยันและกินไส้ย่างอีกไม้ “พี่อยากทำอะไรล่ะ? ลองบอกผมหน่อย”



พี่อู๋นั่งอมยิ้มแต่ก็ไม่พูดอะไร เขาดื่มเหล้าจนหมดแก้วนั่นแหละถึงเริ่มหันมามองหน้าผมด้วยแววตาแปลกๆ ผมถามพี่อู๋ว่าทำไม มีอะไร จ้องแบบนี้จะชวนไปทำเรื่องแผลงๆอีกล่ะสิใช่ไหม เขาส่ายหน้าและบอกว่ามันก็ไม่ได้พิสดารขนาดนั้นหรอก เขาแค่อยากแต่งงานกับผม ก้องแต่งงานกับพี่ได้ไหม





ต่อพาร์ท 3 ข้างล่างเลยคับ

ออฟไลน์ ambiguous95

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 137
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-4
45 [PART 3/3]


ตอนที่ได้ยินคำว่าแต่งงานกับพี่ได้ไหม ผมตัวชาไปหมดเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรสเผ็ดร้อนของหมาล่าหรือคำขอแต่งงานที่แสนจะเรียบง่ายนั้นทำเอาผมอึ้งไปชั่วขณะ ผมถามพี่อู๋ว่าเอาจริงเหรอ เราจะแต่งงานกันจริงๆเหรอ เขาจึงพยักหน้ารับว่าเอาจริง เขาอยากแต่งจริงๆ ปกติเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย สมัยคบกับหมูพีก็ไม่อยากทำอะไรแบบนี้เพราะรู้สึกว่ามันไม่สำคัญ แต่พอคบกับผมแล้วเขาอยากแต่งงาน



“พี่รู้สึกว่าเราควรอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัว ควรเป็นทองแผ่นเดียวกัน เป็นสามีของกันและกัน” พี่อู๋ยิ้มในขณะที่ผมน้ำตาคลอเบ้า อยากร้องไห้จะแย่ “อย่างน้อยพ่อของก้องจะได้สบายใจด้วยไง ถ้าก้องแต่งงานให้เป็นเรื่องเป็นราวและย้ายมาอยู่กินกับพี่ พ่อจะได้ไม่กังวล”

“เราจะแต่งงานกันได้ยังไง? การแต่งงานของเรามันไม่มีผลทางกฎหมายหรอกในเมื่อจดทะเบียนสมรสไม่ได้”



พี่อู๋พยักหน้าเห็นด้วย เขาบ่นว่าตัวเองอายุจะสี่สิบแล้ว พระราชบัญญัติคู่ชีวิตก็ยังไม่ผ่านเสียที แต่การแต่งงานคือพิธีกรรมทางจิตวิญญาณที่ทำให้เรารู้สึกผูกพันมากขึ้น แม้ว่าเราจะจดทะเบียนสมรสไม่ได้ เราไม่สามารถถือสิทธิ์ของกันและกันในฐานะคู่ครองได้ แต่พี่อู๋จะแบ่งทุกอย่างให้ยุติธรรมกับผมมากที่สุด เขาจะทำเหมือนเราเป็นคู่แต่งงานคู่อื่น เราจะแชร์ทรัพย์สินร่วมกัน ถึงจะทำเรื่องกู้ร่วมให้ถูกต้องไม่ได้ก็เถอะ แต่เขาจะไม่มีวันเอาเปรียบผมแน่นอน ขอให้ผมไว้ใจเขา และยอมแต่งงานกับเขา รับรองว่าพี่อู๋จะดูแลผมให้อยู่สุขสบายเหมือนเจ้าชาย ก้องเกียรติจะเป็นสามีที่มีความสุขมากที่สุดคนหนึ่งในโลก ถ้าผมตอบตกลงและแต่งงานกับเขา



“แต่งครับ!” ผมดีใจจนแทบกระโดดโลดเต้น “ผมจะแต่งงานกับพี่!”



พี่อู๋ยิ้มกว้างจนเห็นตีนกา สิ้นสุดการขอแต่งงานที่แสนจะเรียบง่ายและปราศจากความโรแมนติคอย่างสิ้นเชิง ในขณะที่คู่อื่นขอแต่งงานกันในที่สวยๆ พี่อู๋กลับขอผมต่อหน้าหมาล่าทั้งยี่สิบไม้ เหล้าหนึ่งขวด มิกซ์เซอร์ และถังน้ำแข็ง แต่ผมไม่สนใจหรอกว่ามันเป็นการขอแต่งงานที่ต่างจากของคู่อื่นยังไงในเมื่อใจความสำคัญก็คือแต่ง แค่นั้นเป็นอันจบ ผมจะถือว่าเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว เขาจะเป็นสามีของผม แล้วผม –



“ถ้าพี่เป็นสามี ผมต้องเป็นภรรยาเหรอ?”

“ก็เป็นสามีเหมือนกัน ทำไมต้องเป็นภรรยา? สามีกับสามีก็ได้ไม่เห็นเป็นไรเลย”

“แล้วเรื่องสินสอดล่ะ?” ผมถาม แม้ว่าตัวเองจะไม่ใช่ภรรยา แต่อดคิดไม่ได้เพราะธรรมเนียมโบราณแต่ดั้งเดิมค่อนข้างทำให้สับสนพอสมควร

“ถ้าพ่อก้องเรียก พี่ก็จ่ายได้”

“พ่อไม่เรียกหรอก พ่อเคยบอกว่าผมเป็นผู้ชาย พ่อไม่เอาสินสอด”



ผมบอกเขา พี่อู๋จึงเลิกคิ้วประหลาดใจเพราะไม่รู้ว่าก้องเกียรติแอบคุยกับพ่อเมื่อไหร่ ผมจึงบอกเขาว่าคุยตั้งแต่เฮียภพแต่งงานแล้ว เพราะตอนนั้นผมเองก็อยากแต่งงานเลยลองถามเล่นๆ ไม่ได้จริงจังเพราะไม่คิดว่าพี่อู๋จะขอผมจริงๆ



“แล้วพี่จะขอผมเมื่อไหร่? พี่จะให้ป๊ากับแม่มาสู่ขอผมไหม?” ผมถามอย่างตื่นเต้น

“ขอสิ ก็ต้องขออยู่แล้วเพราะพี่พาก้องออกจากบ้าน” พี่อู๋บอก “งั้นวันอาทิตย์นี้ไปร้านขายแหวนกัน วัดขนาดก่อน เวลาใส่จะได้พอดี”



ผมพยักหน้า หลังจากนั้นเราก็เปิดเว็บไซต์ร้านทำแหวนที่พี่อู๋ตั้งใจจะพาผมไปเลือก ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับตัวเองจริงๆ เมื่อไม่กี่นาทีก่อนผมยังบ่นเบื่อชีวิตเพราะไม่รู้ว่าคนเราทำงานหนักไปทำไม แต่พอพี่อู๋บอกว่าอยากแต่งงานด้วย ผมก็เริงร่า มีความสุข และหัวใจพองโตเมื่อได้เลือกดูแหวนบนเว็บไซต์ ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างเรียบง่ายโดยไม่ทันตั้งตัว พี่อู๋แค่ถามว่าแต่งไหม และเมื่อผมบอกว่าแต่งครับ เราก็กลายเป็นคู่รักที่กำลังจะมีงานมงคลทันที



“เรื่องจัดงานเดี๋ยวค่อยว่ากัน” พี่อู๋จุ๊บหน้าผากผมที่กำลังใช้นิ้วสไลด์หน้าจอเพื่อเลือกแหวนที่ตัวเองถูกใจ “พรุ่งนี้เก็บของเสร็จ เอารถไปส่ง เดี๋ยวไปบ้านพ่อของก้องเพื่อคุยเรื่องนี้กัน”

“พี่อยากจัดงานในโรงแรมไหม?”

“แล้วแต่ก้อง” เขายิ้ม “อยากทำอะไรก็ทำเลย พี่ได้หมดทุกอย่าง”

“ผมอยากสวมชุดสีขาว”

“ได้สิ”

“อยากให้มีพิธีเล็กๆในบ้านด้วย”

“แน่นอน”

“ผมอยาก --”



ผมคงพูดมากเกินไป พี่อู๋จึงทำให้ผมเงียบด้วยการหอมแก้มและทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ คืนนั้นเราใช้เวลาเลือกแหวนตั้งชั่วโมงกว่าจะได้แบบที่ถูกใจ ผมถามพี่อู๋ว่าเราจะได้แต่งงานกันจริงๆเหรอ เหมือนฝันไปเลย ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ งั้นหลังจากนี้เราจะทำยังไงดีล่ะ พี่จะเข้าไปขอผมช่วงไหน หลังสู่ขอจากพ่อ พี่จะซื้อบ้านจริงๆใช่ไหม งั้นซื้อที่ไหนดีล่ะ แถวไหนดี ทำเล โอ๊ย – ตื่นเต้นไปหมด แต่พี่อู๋บอกให้ผมใจเย็นๆ อย่าเพิ่งคิดไกล บ้านเอาไว้ค่อยซื้อตอนที่งานของผมมั่นคงก็แล้วกัน



ผมไม่ดื้อกับเขา ไม่ว่าพี่อู๋จะพูดอะไรผมก็เห็นดีเห็นงามด้วยทุกประเด็น หลังคุยเรื่องนี้จบ ไม่มีใครกินเหล้าอีกเลย เหล้าไม่อร่อยเพราะสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเรานั้นน่าสนใจกว่าแอลกอฮอล์รสขมตั้งเยอะ ผมจึงเก็บโต๊ะและล้างจาน ไล่ให้พี่อู๋ไปอาบน้ำเพื่อเตรียมตัวเข้านอน จากนั้นเราก็พักผ่อนบนเตียงหกฟุตในห้องเช่าแคบๆของก้องเกียรติ พี่อู๋นอนกอดผมทั้งๆที่ยังไม่หลับ เขาแค่นอนลูบหัวของผมไปเรื่อยๆและบอกว่าเขาน่ะ – รักผมจริงๆนะ เขาอยากใช้ชีวิตที่เหลือต่อจากนี้กับผมไปจนแก่ แต่เขาก็กังวลมากเพราะผมอายุยังน้อย เพิ่งเริ่มทำงาน เพิ่งกำลังสร้างเนื้อสร้างตัว เขากลัวว่าผมจะไม่อยากลงหลักปักฐานตอนนี้



“พี่ไม่รู้อะไร ผมน่ะ เพ้อเจ้อถึงงานแต่งของเราตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว” ผมหัวเราะก่อนจะจูบปลายคางของเขา “พี่อู๋ ผมก็รักพี่มากเหมือนกัน”

“จริงเหรอ?”

“จริงสิ” ผมกอดเขา เอาขาก่ายบนท้องแบนๆของเขาด้วย “ผมยังไม่อยากเชื่อเลยว่ามันคือเรื่องจริง บางทีผมเกือบลืมไปแล้วว่าเราผ่านอะไรๆมาด้วยกันเยอะขนาดไหน”



พี่อู๋ไม่พูดอะไรนอกจากจูบหน้าผากของผม ริมฝีปากของเขาคลอเคลียอยู่แถวนั้นไม่ห่าง เราต่างเงียบราวกับครุ่นคิดถึงเรื่องราวในอดีตเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กมอปลายที่ไม่มีทางไปอยู่เลย แต่เพราะพี่อู๋ เพราะเขาขับมอเตอร์ไซค์ผ่านมา ผมจึงยังมีชีวิตรอดและได้ลงเอยกับชายที่ผมรักอย่างทุกวันนี้ พอคิดถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ผมก็ถามพี่อู๋ว่าพี่เคยเสียใจไหมที่ช่วยผมจากสะพาน เขายิ้มและส่ายหน้า



“ไม่เสียใจ มีบางครั้งที่สงสัยว่านึกยังไงถึงเก็บก้องมาเลี้ยงเหมือนกัน แต่รับมาอยู่ด้วยแล้วก็ต้องดูแลกันไป”

“ผมว่าเรื่องของเราเหมือนชะตาฟ้าลิขิต”

“ขนาดนั้น?” พี่อู๋ก้มมองผมที่กำลังนอนซบตรงหัวไหล่ของเขา

“ใช่ ถ้าไม่มีพี่ ผมก็ไม่มีอะไรเลย” ผมหอมแก้มพี่อู๋ “พี่รู้ไหมว่าผมเป็นก้องเกียรติอย่างทุกวันนี้ได้ก็เพราะพี่นะ”



พี่อู๋ยิ้มก่อนจะก้มหน้าลงจูบผม เราจูบกันเบาๆด้วยความรู้สึกท่วมท้นในใจยิ่งกว่าครั้งไหนๆ หลังจากผ่านอะไรๆด้วยกันมาหลายปี พี่อู๋ทำให้ผมมั่นใจว่าเขาคือคนที่อยากอยู่ด้วยกันไปจนแก่ ผมอยากเป็นคู่แท้ เป็นคู่ชีวิตที่คอยดูแลกันและกันตลอดไป ผมอยากเป็นคนที่เขารัก เป็นก้องเกียรติที่เขารู้สึกดีด้วยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ดังนั้นตอนที่เราถอนจูบออกจากกัน ผมจึงบอกรักพี่อู๋ซ้ำอีกครั้ง บอกอยู่นั่นแหละเพื่อให้เขาสัมผัสได้ว่านายก้องเกียรติรักเขามากขนาดไหน



“รู้แล้วไอ้อ้วน” พี่อู๋ตอบยิ้มๆ เขายื่นหน้าเข้ามาคลอเคลียกับผมและจูบอย่างอ้อยอิ่งเป็นการทิ้งท้าย “พี่ก็รักก้องมากๆเหมือนกัน วันอาทิตย์นี้หลังเลือกแหวนเสร็จ เรากลับไปอยู่ลาดพร้าวด้วยกันนะ”



ผมยิ้มกว้างและนอนกอดเขา ความรู้สึกอบอุ่นหัวใจมันแผ่ซ่านจนหยุดยิ้มไม่ได้ ต้องนอนอมยิ้มอยู่อย่างนั้นเพราะมีความสุขมาก หลังจากนี้ชีวิตของผมจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหนไม่รู้ แต่หลังแต่งงานกันเป็นเรื่องเป็นราว ผมจะได้ย้ายไปอยู่กับเขาตามประสาคู่สมรส ผมไม่อยากคิดไกลถึงขนาดว่าอนาคตเราจะเป็นยังไง พี่อู๋จะได้ย้ายไปอยู่ที่ไหน จะซื้อบ้านไหม หรือมีโอกาสทำสิ่งใหม่ๆหรือเปล่า ผมรู้สึกว่ายังไงสิ่งเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าการได้อยู่กับชายที่ผมรักหรอก ไม่ว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องเฮงซวยอะไรเกิดขึ้น ผมอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป



ผมไม่อยากตายอีกแล้ว เพราะตอนนี้ชีวิตของก้องเกียรติมีเรื่องมากมายให้จัดการ ผมกำลังจะได้แต่งงาน กำลังจะวางแผนสร้างอนาคตของตัวเองกับว่าที่สามี เมื่อลองมองย้อนกลับไป ผมรู้สึกว่าตัวเองมาไกลพอสมควร ถ้าหากวันนั้นพี่อู๋ไม่ขับรถผ่าน ไม่เดินเข้ามาหา ไม่อนุญาตให้ไปอยู่ด้วยกัน ผมจะยังมีชีวิตอยู่จนได้พบความสุขเหมือนทุกวันนี้ไหม แน่นอนว่าผมคงไม่อาจพูดว่าการอดทนรอจนพบความสุขเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายๆ ผมแค่รู้สึกว่าในเสี้ยววินาทีอันแสนสั้นนั้นส่งผลต่อชีวิตของเราค่อนข้างมาก มันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ พลิกจากดีเป็นร้าย หรือจากซวยสุดๆเป็นโชคดีสุดๆ ผมไม่อาจบอกใครต่อให้อดทนจนปัญหาเหล่านั้นผ่านพ้นไป ผมทำเพียงได้แค่หนุนใจว่าบนโลกใบนี้ – ไม่ได้มีคุณคนเดียวหรอกนะที่เจอเรื่องเฮงซวย เราทุกคนต่างมีเรื่องเฮงซวยเหมือนๆกันหมด



แต่เชื่อผมเถอะว่าความเฮงซวยพวกนั้นมันอยู่กับเราได้ไม่นานหรอก



เหมือนฤดูหนาวในกรุงเทพมหานคร เหมือนหน้าร้อนที่ไม่ได้ร้อนจนแสบผิวทุกวัน มันมีวันที่ฝนตก แดดร่ม พายุเข้า วันที่อากาศเย็นสบายจนคุณไม่อยากตื่นไปทำงาน วันที่คุณรู้สึกว่าต้องออกไปสูดอากาศเสียหน่อย ทุกอย่างเกิดขึ้นและเปลี่ยนไปแทบทุกวัน ดังนั้นผมจึงไม่อาจให้กำลังใจทุกคนได้ว่า สู้นะ สู้เถอะ ชีวิตยังต้องไปต่อ ผมคงไม่สามารถสอนใครให้รักตัวเองได้เพราะเราตกอยู่ในสถานการณ์และปัจจัยที่ต่างกัน สิ่งที่ผมแนะนำได้คงมีแค่อย่ารีบด่วน ตัดสินใจเลย อย่าเพิ่งรีบไปเลย



เพราะคุณไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น



มันอาจมีเรื่องดีๆที่ทำให้คุณยิ้ม มีเรื่องน่ายินดีผ่านเข้ามาในชีวิตคุณอีกก็ได้ หรือถ้ามันไม่ไหวจนสุดทนจริงๆ ผมคิดว่าการไปพบจิตแพทย์ก็เป็นทางเลือกที่ดี ไม่ว่าจะโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา โรงพยาบาลมนารมย์ หรือสถานพยาบาลไหนก็ได้ตามสะดวก หากคุยกันไม่ถูกใจก็แค่เปลี่ยนหมอ มันไม่ใช่ความผิดของคุณที่ไม่ประทับใจเพราะจิตแพทย์ก็เหมือนเพื่อน คนไหนคุยถูกคอก็คบคนนั้น ใครที่ไม่ใช่ก็แค่แยกทางกันไป ประเทศนี้มีจิตแพทย์อีกหลายคนที่พร้อมรับฟังและเข้าใจคุณ ผมมั่นใจว่าหลังเข้ารับการรักษา คุณจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย จริงๆนะ ผมไม่โกหก คุณจะดีขึ้น มันจะดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้แน่นอน



เมื่อคุณอ่านถึงตรงนี้ ผมคงต้องบอกว่าถึงเวลาต้องจากกันแล้วนะ แต่นี่ไม่ใช่จุดจบของเรื่องราวทั้งหมด หากเป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ผมขออวยพรให้คุณโชคดี ขอให้คุณสามารถผ่านเรื่องเฮงซวยที่กำลังเผชิญอยู่ไปได้อย่างรวดเร็ว และเจอใครซักคนที่เข้าใจคุณอย่างถ่องแท้ เหมือนที่ผมเจอพี่อู๋นะครับ



ด้วยรัก

จากคนที่กำลังจะกระโดนสะพาน แต่ดันมีคุณลุงขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาขวางก็เลยลงเอยกับเขาด้วยการแต่งงานในอีกเก้าปีถัดมา









END



11 November, 2019











สวัสดีค่ะ ทุกคนที่อ่านถึงตอนจบของนิยายเรื่องนี้



เราใช้เวลานานมากเพื่อเขียนทอล์คสุดท้ายเพราะไม่รู้จะพูดอะไร มันมีหลายอารมณ์มากๆจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดีก่อน งั้นเราขอเริ่มตรงที่ขอขอบคุณทุกคน ทุกคนเลยค่ะที่สนับสนุนและให้กำลังใจเรามาโดยตลอด ไม่ว่าจะคอมเม้นต์ แฮชแท็ก โดเนท ดีเอ็ม หรือแม้แต่เมนชั่นมาคุย เราอยากบอกว่าเรารู้สึกขอบคุณทุกคนมากๆที่รักและชื่นชอบนิยายเรื่องนี้ ขอบคุณจริงๆค่ะที่มีส่วนผลักดันให้เราสามารถเขียนน้องก้องได้จนจบ ตอนแรก เราไม่มั่นใจเลยด้วยซ้ำว่าจะจบมั้ย เราค่อนข้างกลัวและเป็นกังวล กลัวทุกอย่าง แต่เพราะกำลังใจจากทุกคน เพราะความรักจากทุกคน นิยายเรื่องนี้จึงจบลงได้โดยสมบูรณ์ค่ะ



ขอบคุณทุกคนที่เป็นนักอ่านผู้น่ารักและใจดี คอยให้คำติชมแนะนำ คอยให้กำลังใจกันมาเสมอนะคะ

ขอบคุณแฟนอาร์ตสวยๆทุกชิ้น ขอบคุณมากๆนะคะที่สละเวลาวาดน้องก้องกับพี่อู๋ขึ้นมาให้พวกเราได้เห็นกัน

ขอบคุณไจโกะจังจาก fictionlog ขอบคุณสำหรับการโปรโมทบนหน้าเว็ปไซต์จนมีคนเข้ามาอ่านเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ขอบคุณที่ให้โอกาสนักเขียนโนเนมคนนี้นะคะไจโกะจัง

ขอบคุณทุกสำนักพิมพ์ที่ติดต่อมา ขอบคุณสำนักพิมพ์เฮอร์มิตที่ให้โอกาสตีพิมพ์ เราไม่เคยร่วมงานกับสำนักพิมพ์มาก่อนเลย มันเกินความคาดหมายมากๆที่ได้โอกาสนี้ ต้องขอบคุณทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ขอบคุณนักอ่านที่สนับสนุนและบอกกันปากต่อปากจนน้องก้องมาไกลได้ขนาดนี้นะคะ



อาจมีหลายคนที่เราไม่ได้เอ่ยชื่อตรงๆ แต่เราอยากบอกว่าขอบคุณ ขอบคุณจริงๆค่ะที่มอบความรักมากมายให้นิยายเรื่องนี้ เราไม่เคยถูกรักมากขนาดนี้มาก่อนเลย เป็นนักเขียนในเงามาตลอด ไม่เคยมีสปอตไลท์ส่องเข้ามาถึง พอได้รับความรักเยอะๆและมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่มีคนมารักมาชอบในสิ่งที่เราเขียนขึ้น ตลอดหนึ่งปีกว่าที่ผ่านมา เรามีความสุขมากนะคะที่ได้รับฟี้ดแบคจากทุกคน ขอบคุณมากๆที่ไม่ทำให้เราท้อจนเลิกเขียน ขอบคุณที่เป็นยาชูกำลังชั้นดีให้เราอยากมีชีวิตอยู่ต่อไป ตอนที่เราตกงาน ตอนที่เราล้มเหลวกับทุกๆอย่าง พอเห็นฟี้ดแบคของน้องก้อง เราก็รู้สึกว่ายังมีสิ่งหนึ่งที่พอมีความหมายอยู่บ้าง เราอยากมีชีวิตอยู่เพื่อเขียนนิยายต่อไปเรื่อยๆเพราะพวกคุณ ขอบคุณมากนะคะ



ตอนนี้มันจบแล้ว เราเสียใจเหมือนกันที่มันจบเพราะผูกพันกับทุกคน ผูกพันกับพี่อู๋น้องก้อง แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปเนอะ ไม่ว่าใครก็ตามที่อ่านจนถึงตอนนี้ เราขอเป็นกำลังใจให้คุณผ่านทุกความเฮงซวยในชีวิตไปได้นะคะ โรคซึมเศร้าหายได้ มันหายได้จริงๆค่ะถ้าพบหมอและกินยา เราไม่โกหก วันนี้คุณอาจจะอ่อนแอ แต่วันนึงคุณจะแข็งแรงดี คุณจะไม่เป็นไร คุณจะสบายดี และกินอิ่มนอนหลับได้เหมือนเดิมแน่นอนค่ะ



สุดท้ายก่อนจากกัน เราขอสวมบทแม่ค้าขายของหน่อย (แม้ว่ารายละเอียดสินค้าจะยังไม่ออกก็ตาม แหะๆ) กำหนดน้องก้องอาจจะได้ตีพิมพ์ปีหน้าช่วงเดือนมีนาคม ระยะเวลามันค่อนข้างนานเลยค่ะเพราะเราส่งต้นฉบับช้า ทำให้กระบวนการต่างๆช้าลงกว่าเดิมไปอีก จากใจจริง เราค่อนข้างเป็นกังวลพอสมควรค่ะ กลัวว่าทุกคนจะลืม กลัวว่ากว่าจะถึงเวลานั้น น้องก้องคงไม่น่าดึงดูดเท่าจังหวะเวลานี้อีกแล้ว เราได้แต่หวังว่าเมื่อคุณเห็นน้องก้องวางขายในร้านหนังสือ ได้โปรดช่วยมอบความรักและสนับสนุนนิยายเรื่องนี้ด้วยนะคะ สิ่งที่นักเขียนทุกคนกลัวก็คงเป็นเรื่องนี้แหละค่ะ กลัวว่างานของเราไม่ติดอยู่ในใจของใคร กลัวว่าสุดท้ายมันจะถูกลืม แต่ไม่เป็นไรค่ะ ที่ผ่านมามันก็ดีมากๆ มันดีเกินไปสำหรับคนอย่างเราแล้ว แค่ได้รับโอกาส ได้รับความรักมากขนาดนี้ มันก็ดีที่สุดเท่าที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราได้แล้วค่ะ



นี่คงเป็นย่อหน้าสุดท้ายสำหรับการบอกลาแล้ว เพราะเป็นตอนสุดท้ายของนิยาย หากคุณมีอะไรอยากบอกเล่าหรือพูดถึงน้องก้อง สามารถคอมเม้นท์บอกกันได้ในตอนนี้นะคะ ถึงนิยายจะจบ แต่ฟี้ดแบคต่างๆยังคงมีความหมายสำหรับนักเขียนเสมอค่ะ ไม่รู้ว่านิยายเรื่องหน้าของเราจะได้รับความรักมากมายเหมือนครั้งนี้มั้ย เราเองก็ค่อนข้างกลัวและเป็นกังวล หากมีโอกาสได้พบกันอีกครั้งในงานเขียนชิ้นถัดไป ช่วยให้โอกาสเราอีกครั้ง ช่วยสนับสนุนงานชิ้นใหม่ของเราด้วยนะคะ


ด้วยรัก และลาก่อน

Ms.Ambiguous


ออฟไลน์ Kamidere

  • บรรยายมันออกมา ทุกสิ่งที่อยู่ในใจ
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 273
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-2
รักนิยายเรื่องนี้มากเลยค่ะ รู้สึกขอบคุณมากที่มีน้องก้องกับพี่อู๋ ได้ติดตามเรื่องนี้จนจบก็นู้สึกเหมือนเห็นลูกจะแต่งงานจริงๆเลยค่ะ  :mew4: ขอบคุณอีกครั้งที่เขียนเรื่องนี้จนจบ แล้วทำได้ดีมาตลอด จะรอติดตามรูปเล่ม ไม่ลืมแน่นอนค่ะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7

ออฟไลน์ ommanymontra

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3433
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +96/-0

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด