จูบที่สิบสาม ‘นี่เอิงเอย...แฟนเราเอง’
พระเอกซีรีส์ดังพูดออกมาด้วยสีหน้าแช่มชื่นราวกับไม่รู้สึกอะไรกับผมที่หน้าเสียไปเพราะประโยคนั้น ผมแทบจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าหลังจากนั้นผมคุยอะไรกับพวกเขา จำได้แค่ตัวเองอยู่ต่อตรงนั้นอีกไม่กี่นาที เนื่องจากทนความรู้สึกบีบรัดในอกเพราะประโยคเปิดตัวแฟนของธีร์ที่ดังซ้ำไปซ้ำมาในหัวไม่ไหว เรื่องที่พอจะจับใจความได้คือเอิงเอยเข้ามาเรียนปีหนึ่งพร้อมกับเขา แต่ที่ไม่โผล่มาก่อนหน้านี้เพราะติดถ่ายหนังที่ต่างประเทศ
ผมบอกลาธีร์กับเอิงเอยด้วยคำว่ายินดีต้อนรับสู่คณะนิเทศของเรา ทั้งที่ในใจไม่ได้รู้สึกแบบนั้นด้วยซ้ำ
‘แล้วตอนนี้ความสัมพันธ์กับธีร์เป็นยังไงบ้างคะ เห็นบอกว่าหลังจากปิดกล้องวัยรุ่นวุ่นรักไปก็ยังติดต่อกันอยู่เรื่อยๆ อันนี้จริงหรือเปล่า’
‘ก็...ยอมรับค่ะว่าคุยกัน มีนัดเจอทานข้าวกันบ้าง แต่ส่วนมากจะเป็นการนัดเจอทานข้าวกับครอบครัวเขามากกว่าค่ะ’
‘ครอบครัวน้องธีร์เป็นยังไงบ้างคะ อยู่กับน้าต่าย พิมพ์ผกาเราเกร็งไหม’
‘ไม่เลยค่ะ ที่จริงเราเจอกันบ่อยๆ ในกองถ่ายจนเอิงชินแล้วค่ะ น้าต่ายเป็นคนน่ารัก แล้วก็ใจดีมาก’
‘หูว สนิทสนมกับครอบครัวกันแบบนี้ต้องมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์แน่ๆ เลยใช่ไหมคะเนี่ย’
‘เอิงตอบเรื่องนี้ไม่ได้เหมือนกันค่ะ ฮะๆ รบกวนพี่ๆ ไปถามฝ่ายธีร์เองดีกว่านะคะ’
ภาพบนหน้าจอโทรศัพท์ตัดจากฝั่งนางเอกไปยังอีกฝ่ายที่ถูกกล่าวถึงในงานอีเวนท์อีกงาน ไมค์กว่าสิบตัวยื่นจ่อหน้าเขา ธีร์ยิ้มรับคำถามของนักข่าวที่ยิงมารัวๆ ด้วยสีหน้ามั่นใจ
‘ตอนนี้เรากับเอิงเอยเป็นอะไรกันคะ’
‘เป็นเพื่อนครับ’
‘คุยกันตลอด ไปทานข้าวด้วยกันบ่อยๆ แบบนี้ไม่ใช่เพื่อนแล้วมั้ง’
‘ฮ่าๆ’ เขาหัวเราะกับเสียงแซว เว้นช่วงไปพักหนึ่ง ‘ตอนนี้ยังยืนยันว่าเขาเป็นเพื่อนอยู่ครับ แต่ถ้ามากกว่านั้นเมื่อไหร่จะบอกพี่ๆ นักข่าวทันทีเลย’
‘เอิงเอยโบ้ยให้มาถามธีร์ว่า สนิทกันแบบนี้จะมีโอกาสพัฒนาความสัมพันธ์เป็นแฟนกันไหมคะ’
‘อยากให้เป็นกันปะล่ะ’ ธีร์โพล่ง เรียกเสียงกรี๊ดจากพี่ๆ นักข่าวตรึม ‘ฮ่าๆ จริงๆ ก็ต้องรอดูกันต่อไปสักพักครับ เรายังเด็ก ผมก็เพิ่งเข้าวงการมา ก็อยากโฟกัสเรื่องผลงานก่อน’
‘แต่ตอนนี้ใช้คำว่าคนพิเศษได้แล้วเนาะ’
‘อ่า...ครับ พูดแบบนั้นคงไม่ผิด’
วิดีโอหยุดลงตรงช็อตที่คนถูกสัมภาษณ์ยิ้มบาง จริงๆ มันเป็นคลิปย้อนหลังที่เคยโพสต์ไว้หลายเดือนก่อน...ช่วงเวลานั้นที่ผมไม่ได้ใส่ใจจะดูมันด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับต้องมาไล่ดูเป็นบ้าเป็นหลังเพราะคนในคลิปมีอิทธิพลกับผมมากพอ
ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้ผมไม่รู้เรื่องของพวกเขาเลย ผมรู้ว่าด้วยรูปลักษณ์หน้าตาที่เหมาะสม และทั้งสองคนก็เล่นซีรีส์คู่กันได้ดีจนเกิดเป็นกระแสจิ้นของแฟนๆ ให้ลงเอยกันจริงๆ แต่ผมก็รู้เท่าที่ทุกคนรู้...ธีร์กับเอิงเอยยังไม่ประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าเป็นแฟนกัน
กระทั่งมันถูกยืนยันมาจากปากเขาเมื่อตอนเย็น
เกือบเที่ยงคืนแล้ว ผมยังพลิกตัวบนเตียงไปมาด้วยความหงุดหงิด มือกดปิดคลิปแล้วจ้องหน้าจอที่มีแอพพลิเคชั่นเรียงรายอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างก็คงหงุดหงิดแบบนี้ไปถึงเช้า
ตัดสินใจโทรหา เสียงรอสายดังไม่กี่วินาที แล้วเขาก็รับ
[พี่จุ๊บ] ธีร์ทักทายด้วยน้ำเสียงธรรมดาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้งัวเงีย และออกจะเสียงดังกว่าปกติด้วยซ้ำ
ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่เขาทำน้ำเสียงเหมือนคนถือไพ่เหนือกว่ายังไงยังงั้น
“นอนยัง...” รู้ครับว่าเป็นคำถามโง่ๆ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงนี่หว่า
[ยัง เราเพิ่งวางสายจากเอิงไป]
“เหรอ”
[อือ...]
“...”
[...นายมีอะไรหรือเปล่า]
ผมสูดลมหายใจลึก ควรเข้าประเด็นสักที “ถามตรงๆ นะ ธีร์เล่นอะไรอยู่เหรอ”
[เราไม่ได้เล่นอะไรอยู่]
“เรารู้ว่าธีร์โกรธเราที่เราตะเพิดไปคราวก่อน เรารู้ว่าเราผิด เราขอโทษ แต่พาเอิงเอยมาแนะนำกับเราว่าเป็นแฟนแบบนั้น เราไม่สนุกด้วยเน่อ” ผมบอกเขาเสียงอ่อน พยายามไม่ใส่อารมณ์ลงไปจนคำพูดพวกนั้นฟังดูเกรี้ยวกราด คู่ชีวิตเงียบไปไม่นานก็ยิงคำถามกลับ
[ตอนนี้เราเป็นอะไรกัน แค่พี่น้องกันปะ]
“ธีร์เป็นมากกว่านั้น”
[แต่ก็ยังไม่ใช่แฟนอยู่ดี]
“...ก็ใช่” ผมยอมรับ “เรารู้ว่าคำว่าแฟนมันสำคัญกับธีร์นะ และเรากำลังพยายามอยู่จริงๆ”
[พยายามด้วยการไปจิ๊จ๊ะกับคนอื่น]
น้ำเสียงเรียบนิ่งแต่กรีดลึก ทันใดนั้นจังหวะของซิลลี่ฟูลส์ก็ดังขึ้นในหัวผม ตอนนี้ผมมั่นใจแล้วว่าธีร์ทำแบบนี้เพราะเรื่องภาพหลุดของผมกับรองแน่ๆ “โอเค เราเข้าใจแล้วว่าธีร์โกรธเราเรื่องภาพนั้น แต่เรายืนยันตรงนี้เลยว่าเรากับรองไม่มีอะไรเลยจริงๆ”
[ไม่ๆ เราไม่ได้โกรธอะไรเลย] เขาแก้ [จริงๆ เราแค่พยายามทำตัวมีเหตุผลเหมือนที่พี่จุ๊บอยากให้เราเป็น]
“…?”
[ในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟนกัน ถ้าเราขอไปทำอะไรแบบแฟนกับคนอื่นบ้าง แบบนั้นเราไม่ได้ทำผิดใช่ไหม]
“ธีร์กำลังประชด...”
[เราไม่ได้ประชด เราคบกับเอิงเอยจริงจัง และเราบอกพี่จุ๊บเพราะคิดว่านายควรรู้ไว้]
“...”
[เราพูดจริง เราไม่ได้เล่นอะไรทั้งนั้น]
“เรารักธีร์”
ผมพูดมันออกไปในที่สุด ทำให้คนปลายสายเงียบไปอย่างที่ผมเดาไว้ ในความเงียบนั้นเขาน่าจะกำลังครุ่นคิดว่าจะทำยังไงต่อไปกับเรื่องของเรา
แต่ไม่ว่าเขาจะยอมทิ้งทิฐิของตัวเองหรือไม่ นั่นคือหมากตัวสุดท้ายของผมแล้ว ถ้าปล่อยท่าไม้ตายขนาดนี้และเขายังทำเหมือนความรักเป็นการเล่นขายของ...ผมก็คงไม่สามารถสรรหาคำไหนมาจูงใจเขาได้อีก
ทำได้แค่หวังให้เขาอย่าทำร้ายใจกันไปมากกว่านี้เลย
[อย่างนั้นก็คงจะแย่หน่อย]
…แล้วก็เป็นอีกครั้งที่ธีร์ทำลายความหวังนั้นจนป่นปี้
ผมหลับตาแน่น สูดลมหายใจเข้าจนสุดปอดแล้วผ่อนออกมายืดยาว “โอเค” ผมตอบรับคำยืนยันที่เป็นการปฏิเสธความรู้สึกจากเขา พลันก็รู้สึกว่าลำคอมีก้อนแข็งเกิดขึ้น
“ยินดีกับการมีแฟนด้วยแล้วกัน”
ผมกลืนก้อนแข็งนั้นและวางสายไป พยายามสลัดความรู้สึกดื้อรั้นไม่ยอมใครของอีกฝ่ายที่ค่อยๆ กัดกินความรู้สึกดีระหว่างไปทีละนิด แต่ทำไม่ได้...
นั่นคือจุดเริ่มต้นของเกมดวลประสาทระหว่างผมกับธีร์ ดำรงเดช เกมที่มีมีกติกาง่ายๆ ว่าใครรู้สึกมากกว่าจะกลายเป็นฝ่ายแพ้
...เกมที่ผมแพ้ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ
“อย่าแพ้เขานะ เฮ้! นะ! เฮ้! นะ! เฮ้! เพราะฉันเชียร์อยู่ อยู่ อยู่ ถ้ารักก็ลองดู ลองดู ลองดู ถ้าอยากมีแฟน ทำไงทำไง ต้องทำคะแนน ทำไงทำไง อย่าแพ้เค้านะ นะ น้าาาาา”
ไม้กลองในมือถูกเหวี่ยงรัวกระทบแผ่นหนังแน่นตึง บนหน้าผากของผมมัดผ้าสีแดงแสบตาไว้หลวมๆ เข้ากับเสื้อกล้ามสีเลือดหมูและกางเกงกีฬาขาสั้นที่ใส่มาอย่างดี วันนี้ผมได้รับหน้าที่ให้เป็นคนสร้างจังหวะอยู่หลังกลองยาวใบโต ด้านหน้าคือแก๊งเพื่อนสันทนาการที่เต้นเชียร์กีฬากันอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เช้า เรากำลังอยู่ในกิจกรรมวันกีฬาสามัคคีของคณะนิเทศศาสตร์ ซึ่งดำเนินมาได้เกือบครึ่งค่อนวันแล้ว
แดดเปรี้ยง แต่ลานกว้างหลังคณะนั้นคับคั่งไปด้วยเหล่านิเทศชนทุกชั้นปีที่พร้อมใจกันเข้ามาร่วมกิจกรรมด้วยความสมัครใจ อาจเพราะห้องเชียร์ที่เป็นกิจกรรมหลักจะถูกระงับไป ทำให้ทุกคนโหยหากิจกรรมอย่างอื่นที่จะได้เชื่อมสัมพันธ์พี่น้องกันมากกว่าปกติ แม้อากาศจะร้อนเหี้ยเหมือนโลกกำลังจะเข้าสู่ฤดูหนาวตลอดกาลและพระอาทิตย์แม่งจะมีโอกาสส่องแสงเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทุกคนก็ยังดูเอ็นจอยและมีรอยยิ้มประดับบนหน้าเสมอ
แต่มีอย่างน้อยสองคนที่หน้าบูดเป็นตูดเป็ด คนแรกคือดาราหนุ่มหล่อที่ยืนอยู่ริมสนามด้วยท่าทางนิ่งขรึม ผู้ที่ไม่ได้คุยกับผมหลังจากโทรศัพท์วันนั้นแต่ยังเล่นสงครามประสาทด้วยการมาส่องสตอรี่ไอจีผมบ่อยๆ บนใบหน้าของธีร์ไม่ปรากฏรอยยิ้มใด (ซึ่งมักโดนตีความเป็น ‘หน้าหยิ่ง’) และยิ่งดูบึ้งเข้าไปอีกเมื่อเขาเอาแต่ขมวดคิ้ว แม้วันนี้คนตัวสูงจะสวมเสื้อกล้ามกีฬาสีเหลืองสดใสกับกางเกงขายาวที่คงคอนเซ็ปต์สีแดงซึ่งธรรมดาทว่าโคตรดูดี แต่เหมือนมีรัศมีบางอย่างแผ่ออกมาจากตัวเขาจนไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ซะงั้น
สังเกตได้ง่ายๆ จากกลุ่มเด็กสาวในคณะที่เคยเข้าไปรุมล้อมก็ยังถอยตัวออกมากรี๊ดอยู่ห่างๆ หรืออาจเพราะการแสดงอิทธิฤทธิ์ตีผู้หญิงโชว์ในห้องเชียร์ก็เป็นได้
แต่ผมว่าไม่ใช่หรอก ที่พวกนั้นกันตัวเองออกมาห่างๆ เป็นเพราะ ‘ตัวจริง’ เขายืนอยู่ด้วยกันต่างหาก
และนั่นทำให้มีคนที่สองในสนามที่ทำหน้าบูดเป็นตูดเป็ด
ทายซิใครเอ่ย
“พี่จุ๊บ โอเคไหมครับ”
รองเดินเข้ามาทักหลังจากเพลงเชียร์จบลง ตอนที่ผมยืนกำไม้กลองขณะมองภาพพวกเขาสองคนกำลังมุ้งมิ้งกันได้ที่ ผมละสายตาแล้วหันไปฝืนยิ้มกับคนที่กำลังเดินเข้ามา รองอยู่ในชุดเสื้อกีฬาแบบเดียวกับธีร์และปีหนึ่งทุกคน บนหัวคาดผ้าคล้ายกับผมแต่เป็นสีน้ำเงิน ตัดกับผิวขาวสะอาดของเขาที่มีรอยแดงไหม้จากแดดเล็กน้อย
คนหน้าสวยยิ้มกว้างแล้วยื่นน้ำในมือมาให้ผม “สีหน้าไม่ค่อยดีเลย เหนื่อยเหรอ กินน้ำไหมครับ”
ผมมองซ้ายมองขวาแล้วก็พบกับสายตาของคนหลายคน (เพศหญิงซะส่วนมาก) ที่หันขวับมามองทันทีเหมือนรอซีนจิ้น จึงหันไปดันขวดน้ำกลับ
“ไม่เป็นไร ตะกี้พี่เพิ่งกินมา”
ไม่ใช่แค่เพราะสายตาพวกนั้นที่เกิดขึ้นหลังรูปหลุดที่ทำให้ผมอึดอัด แต่รองเองก็ทำให้ผมอึดอัดไม่น้อย...ตั้งแต่ตอนนั้นเรายังไม่ได้คุยกันเรื่องความรู้สึกของเขาอีกเลย แน่นอนว่าผมไม่อยากรื้อฟื้นมัน ผมว่าบางทีเขาอาจจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าพูดอะไรไปคืนนั้น แต่ก็เลี่ยงความอึดอัดไม่ได้อยู่ดี
รองหน้าเจื่อนลงเมื่อผมปฏิเสธ แล้วคนตัวเล็กก็ก้าวขาเข้ามาอยู่ข้างๆ มองไปยังทิศทางที่ผมเคยมองบ้าง
“ไม่น่าเชื่อว่าคณะเราจะมีดาราที่โคตรดังระดับประเทศมาเรียนด้วยตั้งสองคน ตอนธีร์อยู่นี่ผมยังเฉยๆ นะ แต่เอิงเอยมาปุ๊บนี่เกร็งเลย เขาน่ารักมากอ่า” เขาชม ทอดสายตามองไปยังสองคนนั้นที่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ยังเหมือนเทพเจ้า วันนี้เอิงเอยอยู่ในเสื้อสีเหลืองและกางเกงขาสั้นพอดีตัว เธอมัดผมยาวขึ้นเป็นหางม้าสูง มันสะบัดไปมาเมื่อเธอขยับตัวเชียร์กีฬาอย่างมีอารมณ์ร่วม “ดูดิ ยิ้มทีนี่โลกโคตรสดใส”
ยิ้มของเอิงเอยเจิดจ้าเข้ากับแดดในวันนี้อย่างที่รองบอกจริงๆ เธอไม่เพียงแต่มีรอยยิ้มที่ใครต่อใครต่างต้องหลงรัก แต่วิธีที่เธอแสดงออกและรังสีความสุขที่แผ่ซ่านออกมาจากตัวมันทำให้รอยยิ้มนั้นสมบูรณ์แบบเหลือเกิน
ไม่ได้เปรียบเทียบหรือทำให้ตัวเองรู้สึกแย่อะไรหรอก แค่คิดว่าผมคงไม่มีวันจะให้รอยยิ้มแบบนั้นได้เลย
“คู่นี้เหมาะสมกันดีเนอะ พี่จุ๊บว่างั้นไหม” รองถามเมื่อเห็นว่าผมไม่พูดอะไร
ผมอึกอักเล็กน้อย “อะ...อือ”
“เป็นแฟนกันจริงแฟนคลับคงกรี๊ดเลย”
“แน่ๆ” เพราะเขาเป็นกันไปเรียบร้อยแล้ว
“พี่จุ๊บ...” รองเรียกผมแล้วทิ้งช่วงไป ทำให้ผมต้องหันกลับไปมองเขา สบตากับดวงตากลมโตที่กำลังสำรวจสีหน้าผมราวกับกำลังสงสัยว่าผมโอเคหรือเปล่า นั่นทำให้ผมรีบปั้นยิ้มแปล้
“อะไรเหรอ”
“เปล่าครับ” จู่ๆ เขาก็อมยิ้ม แววตาสงสัยหายไปทันใด “เดี๋ยวผมจะลงแข่งเกมเจี๊ยวยาว”
“จริงดิ” ผมแค่นหัวเราะเบาๆ เพราะนึกไปถึงความทุลักทุเลของการละเล่นที่รองเพิ่งบอก มันคือเกมที่จับคนหลายๆ คนมาสวมมะเขือยาวไว้ตรงหว่างขาของตัวเอง แล้วแข่งกันใช้แรงดัน (แรงเด้า) จากบั้นเอวเหวี่ยงมะเขือให้สามารถเขี่ยลูกปิงปองจนไปถึงเส้นชัยได้ ใครถึงก่อนชนะ
เป็นกีฬาที่ไม่ควรจะเรียกตัวเองว่ากีฬา เพราะมันสร้างขึ้นมาเพื่อความบันเทิงมากกว่าออกกำลังกาย
“ช่าย เชียร์ผมด้วยนะ” คนตัวเล็กอ้อน “กลัวแพ้จัง เอวไม่ค่อยดีเท่าไหร่”
“ระหว่างรอแข่งนี่ก็ฝึกดิ” ผมแนะ แต่ไม่ได้คิดว่าเขาจะทำจริงเดี๋ยวนั้น อยู่ๆ รองก็เท้าแขนกับสะโพกแล้วฝึกเด้งหน้าเด้งหลังด้วยท่าทางตลก ทำให้ผมขำพรืดออกมา
“ยิ้มจริงๆ ได้แล้ว” เขาหยุดทำแล้วเอียงคอมองผมอย่างสุขสม ผมส่ายหัวเบาๆ กับการลงทุนทำให้ผมยิ้มของคนตัวเล็ก แต่ก็นึกขอบคุณเขาในใจ
“พี่จุ๊บ ถ้าเกิดว่าผมชนะ พี่จะให้อะไรผมอะ”
“อะไรเนี่ย แข่งอะไรก็ขอรางวัลตลอดเลย” ผมแหว ไอ้น้องรหัสคนนี้มันเป็นแบบนี้จริงๆ นะ ตั้งแต่ประกวดเดือนหอแล้ว
“ผมก็อยากมีแรงจูงใจบ้างนี่ครับ เอางี้...ถ้าผมชนะ พี่จุ๊บไปดูหนังกับผมนะ”
คนหน้าสวยอ้อนใหญ่ ผมเบ้ปากอย่างลังเลใจ อยากตามใจเขาเพื่อเพิ่มแรงฮึดเหมือนกัน แต่ใจหนึ่ง...ก็กลัวว่ารับปากอะไรออกไปแล้วมันจะเป็นการให้ความหวังไปกันใหญ่
“ไปชนะให้ได้ก่อน แล้วค่อยว่ากัน” จึงบอกแบบนั้นออกไป แต่คนตัวเล็กก็กระโดดโลดเต้น กำหมัดและดึงศอกเข้าสีข้างตัวเองเหมือนชนะไปแล้ว...ใจเย็นเว้ย
“ยังไม่ได้รับปากอะไรเลย”
“ผมจะชนะ พี่คอยดู” รองขยิบตา ชี้หน้าผมอย่างมาดมั่นแล้วก็เดินออกไป พอดีกับเสียงประกาศการแข่งขันวิ่งเปรี้ยวจบลง ผมเดาว่าเกมที่เขาแข่งน่าจะอยู่ถัดไป
“และตอนนี้ขอให้ผู้ลงชื่อแข่งขันเกมเจี๊ยวยาวเตรียมตัวเลยค่าาาาาาาาา”
ไม่ทันขาดคำพิธีกรก็ประกาศผ่านโทรโข่งเสียงก้องไปทั้งสนาม ผมไม่รอช้า รัวกลองรับเสียงประกาศนั้นเพิ่มความตื่นเต้น มองตามรองที่เดินเข้าสู่ใจกลางลานหญ้าพร้อมกับผู้เข้าแข่งขันคนอื่นหลายสิบคน เขาโบกไม้โบกมือเป็นสัญญาณว่าคอยจับตาดูให้ดี
ผมยิ้มให้กำลังใจ พลันสายตาก็เลื่อนออกไปมองคนอีกคนที่อยู่ริมสนามไม่ไกล และพบว่าแม้จะมีนางเอกดังข้างกาย แต่เขาก็มองกลับมาทางผมด้วยแววตาอ่านไม่ออกด้วยเช่นกัน
ไม่รู้ว่ามองแบบนั้นอยู่นานเท่าไหร่
“โอเค เก้า สิบ สิบเอ็ด หายไปไหนคนนึงเนี่ย”
เสียงพิธีกรดำเนินรายการดังต่อไป ทว่าสายตาของผมกับธีร์ยังไม่หลุดออกจากกันคล้ายว่ากำลังเล่นเกมจ้องตา
“หาย...หายไปไหนวะ ช่างแม่งละกัน โอเคตอนนี้เราต้องการผู้เข้าแข่งขันในเกมนี้เพิ่มอีกหนึ่งคนให้ครบสิบสองคน พี่ๆ น้องๆ คนไหนอยากเล่นปิงปองมะเขือยาววิ่งมาที่ดิฉันตอนนี้เลยค่า”
“กลอง อย่าเงียบดี้” เพื่อนสันทนาการตะโกนก้องเรียกสติกลับคืน ทำให้ผมต้องละสายตาจากธีร์แล้วกลับมาโฟกัสกับสิ่งที่ควรทำ...ตีกลองเป็นจังหวะปลุกใจให้ทุกคนในสนาม
ทว่าประโยคต่อมาของพิธีกรทำให้ผมต้องแปลกใจ
“คนสุดท้ายมาแล้ว! เย้ยยยยย เซอร์ไพร์สมากกกก ยินดีต้อนรับน้องธีร์ ดำรงเดชเข้าสู่เกมเจี๊ยวยาวค่าาา!”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!!”
“พูดเลยว่าเกมนี้พี่ทีมธีร์เท่าน้านนนนน การี๊ดดดดด!!!”
รู้ตัวอีกทีเขาก็ไปยืนอยู่ตรงนั้น พาตัวเองไปทวงคืนตำแหน่งเจ้าของเสียงกรี๊ดที่ดังที่สุดประจำคณะได้ด้วยการลงเล่มเกมที่ใครก็คาดไม่ถึง ธีร์เดินเข้าไปยืนในตำแหน่งข้างรอง ทำให้ผมเห็นความแตกต่างของทั้งคู่ได้อย่างชัดเจน ทั้งสีผิว ส่วนสูง และหน้าตาที่ดูดีกันคนละแบบ
แต่สิ่งที่ทั้งคู่มีเหมือนกัน คือสายตาที่จับจ้องมาที่ผม...แค่ผมเท่านั้น
สังหรณ์ใจว่าเกมนี้จะเป็นมากกว่าเกมมะเขือยาวธรรมดายังไงชอบกล
โปรดติดตามตอนต่อไปตม. Talks: อยากให้อัพเร็วๆ เม้นท์กันด้วยนะ
หรืออยากติชมหรือกรี๊ดกร๊าดไปที่แท็ก #จุ๊บที ในทวิตเตอร์นะคะ