36 อีกด้านของตัวร้าย [ครึ่งหลัง]
ขนมผิงทานที่นั่งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับปิญญ์ชานนท์ได้แต่มองอีกฝ่ายสลับกับตักข้าวเข้าปากหลังจากที่ดูให้เด็กๆกินจนอิ่มไปก่อน
หน้าแล้ว พอเหลือบมองอีกฝากของโต๊ะก็เห็นอาทิตย์กำลังจ้องมองปลากริมกับสลิ่มด้วยสายตาที่เอ็นดูต่างจากที่คิดเอาไว้ลิบลับ
กับปฏิกิริยาของคนบ้านนี้
จะว่าอึดอัดไหมก็ไม่เชิง ความรู้สึกมันผ่อนคลายกว่าเมื่อหลายชั่วโมงก่อนไปพอควร แต่ก็ยังรู้สึกแปลกๆกับสายตาของ
ปิญญ์ชานนท์กับบิดาอยู่ดี
“พ่อปินฮะ อ้าปากอ้ามม”เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยวัยสี่ขวบสั่งให้ชายหนุ่มอ้าปากรับช้อนพูนไปด้วยข้าวและกับข้าวเข้า
มาเต็มปาก
“พ่อปินเอาน้ำไหมฮะ”ยังไม่ทันจะเคี้ยวข้าวดี แก้วน้ำก็ถูกส่งมาให้ได้รับก่อนจะหันไปยิ้มให้กับลูกชายคนเล็กอีกคน
ถูกนั่งขนาบข้างด้วยลูกแฝดตัวเล็กทั้งสองใบหน้ากลมแป้นยิ้มเหมือนเป็นเรื่องสนุกที่ได้ป้อนข้าวป้อนน้ำให้กับเขา พอเงย
หน้ามองไปฝั่งตรงกันข้าม ย้อนไปเมื่อไม่กีสิบนาทีก่อนอุตส่าห์วางแผนให้บางคนได้เห็นใจอยากให้ขนมผิงได้ป้อนข้าวป้อนน้ำให้
กับเขาบ้างเหมือนกับคู่รักคู่อื่นๆเขาทำกัน
แต่นี่เปล่าเลย ผลมันกลับตรงกันข้ามเมื่อคำขอของเขาถูกปฏิเสธอย่างไม่ใยดี แต่ผลของมันก็อย่างที่เห็น มีแต่ลูกๆเท่านั้น
ที่เห็นใจหลงกลอุบายตื้นๆของคุณพ่ออย่างเขา
ย้อนไปหลายชั่วโมงก่อน ในห้องนั่งเล่นของบ้านอนันตไพลินชายหนุ่มร่างสูงเดินวนเวียนไปมาราวกับหนูติดจั่นหลังจากที่
พึ่งออกจากโรงพยาบาลได้เพียงสองวัน สีหน้าของเขาแสดงถึงความว้าวุ่นใจจนใครอีกคนที่นั่งอยู่ที่โซฟากลางห้องจับจ้องมอง
ตามลูกชายจนเวียนหัวอดไม่ไหวที่จะถามออกมา
“แกเป็นอะไรของแก เดินไปมาอย่างนี้มาตั้งแต่เช้า”
“ผมแค่สงสัยว่าทำไมขนมผิงถึงไม่มาหาผมหลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล”ปิญญ์ชานนท์ตอบพลางขมวดคิ้ว
หรือว่าบางทีขนมผิงอาจจะยังโกรธอยู่ ที่ไปเฝ้าที่โรงพยาบาลก็อาจจะเป็นเพราะต้องการรับผิดชอบที่เขาไปขวางลูกปืน
เอาไว้ ยิ่งคิดก็ยิ่งกลุ้มใจ
“ถ้าเขาไม่มาแกก็ไปหาเขาซะเองสิ”
“แต่ผมเป็นคนป่วย จะให้ผมไปหาเขาแล้วผมจะเอาคะแนนความสงสารมาจากไหน”ตอบกลับไปทำให้คนเป็นพ่อแทบจะ
ยกมือขึ้นมากุมขมับกับคำตอบของลูกชาย
“นี่น่ะเหรอคนป่วยของแก”
อาทิตย์มองตามลูกชายที่ยังคงเดินไปมาราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้น
“แล้วเรื่องคนร้ายตอนนี้เขาจับได้รึยังครับ”
“เมื่อวานคุณพิชัยเขาบอกฉันมาแล้วล่ะว่าได้ข้อมูลจากกล้องหน้ารถมาแล้วล่ะ กำลังติดตามคนร้ายเห็นคนร้ายกำลังหลบ
หนีไปอยู่ทางภาคเหนือ คิดว่าคงจะหนีไปกบดาล ยังไงซะตอนนี้เขาก็ประสานงานไปทางส่วนของชายแดนให้คอยจับตาเอาไว้
ให้”อาทิตย์บอกเล่าเหตุการณ์กับลูกชายที่ได้รับมาจากเพื่อนตำรวจยศใหญ่สมัยที่เรียนมาด้วยกัน
“ถึงจะรู้ตัวคนร้ายแต่ตอนนี้ก็ยังขาดหลักฐานสินะ”ปิญญ์ชานน์พึมพำ
เขารู้ดีว่าคนร้ายที่ต้องการจะทำร้ายเขาและขนมผิงเป็นใคร ขาดก็แต่หลักฐานที่จะเอาผิดในเหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นครั้ง
นี้ มีเคยคิดมาก่อนเลยว่าอดีตคู่หมั้นของตัวเองจะกล้าที่จะทำอะไรที่โหดร้ายขนาดนี้มาก่อน
และแน่นอนว่าคนอย่างปิญญ์ชานนท์จะไม่ยอมให้คนที่บังอาจมาแตะต้องลูกเมียลอยนวลและอาจจะกลับมาแว้งกัดเขากับ
ครอบครัวอีกครั้ง แต่ตอนนี้เขาเองก็ยังไม่มั่นใจว่าพ่อของอดีตคู่หมั้นอย่างเชตุพลจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้รึเปล่า
“ระหว่างที่เรายังไม่แน่ใจ ฉันส่งข้อมูลเล็กๆน้อยๆไปให้คุณพิชัยแล้วล่ะ เพราะคดีใหญ่ๆพวกนี้ต้องใช้เวลานาน พอถึงเวลา
นั้นฉันกลัวว่ามันจะสายไป และอาจจะไม่โชคดีเหมือนกับวันนั้น”
“ผมเข้าใจ”เพราะถ้าหากวันนั้นเขาไม่อยู่กับขนมผิง ไม่อยากจะคิดเลยว่าจะต้องสูญเสียคนที่รักไปทั้งๆที่เรื่องทุกอย่างยัง
คงค้างคาได้อย่างไร
ปิญญ์ชานนท์กับบิดาปรึกษาเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่นานเสียงออดหน้าบ้านก็ดังขึ้นเรียกให้ทั้งสองคนชะงักแล้วหันมามองหน้า
กันด้วยความสงสัยว่าแขกคนแรกของวันนี้คือใคร
ชายหนุ่มผุดยิ้มขึ้นมาเมื่อกำลังคิดว่าแขกที่ว่านั้นคือคนที่เขารอคอยมาสองวันเต็มหลังจากออกมาจากโรงพยาบาล
“ใครมาน่ะมะลิ”อาทิตย์ถามแม่บ้าน
“ท่านรัฐมนตรีวีระค่ะ”
คำตอบของแม่บ้านทำให้ชายหนุ่มที่กำลังคาดหวังหุบยิ้มลงไปแทบจะทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ สุดท้ายก็ไม่มา
จริงๆสินะ ยังไงซะสิ่งที่เขาทำเอาไว้มันก็มากเกินที่จะทำใจมองข้ามมันไปง่ายๆปิญญ์ชานนท์พยายามทำความเข้าใจกับความคิด
ของอีกฝ่าย
หลังจากส่งแขกคนแรกของวันไปแล้วชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนบนโซฟาตัวยาวในห้องนั่งเล่นดังเดิม จ้องมองกระเช้ารังนก
ราคาแพงที่รัฐมนตรีที่รู้จักกันดีกับบิดาเอามาเป็นของเยี่ยม จริงๆแล้วมันก็แค่ของผูกสัมพันธไมตรีต่างหาก
ยิ่งคิดก็ยิ่งเหนื่อยใจ หากว่าวันนี้ขนมผิงกับลูกไม่มาเยี่ยมเขาเหมือนคนอื่นๆบ้างล่ะก็ มีหวังคนที่เหมือนจะป่วยแต่ไม่ได้ป่วย
อะไรมากมายอย่างเขาคงต้องแบกสังขารไปหาเองถึงที่
พอคิดได้ดังนั้นเสียงออกประตูหน้าบ้านก็ดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปิญญ์ชานนท์ไม่ได้ตื่นเต้นกับมัน บิดาของเขาเองก็จับจ้อง
กับข่าวเศรษฐกิจหน้าทีวี
“ใครมาอีกล่ะมะลิ”
“คุณหนูแฝดกับคุณขนมผิงน่ะค่ะ”
“จริงเหรอป้ามะลิ ไม่ได้จำผิดใช่ไหม”คนเจ็บทะลึ่งตัวลุกขึ้นมาด้วยความตื่นเต้นทำเอาทั้งแม่บ้านและคนที่นั่งอยู่ไม่ไกล
ตกใจไปตามๆกันกับคนเจ็บคนนี้
“จริงสิคะ”
“แกไม่เจ็บแผลแล้วรึไง”อาทิตย์ปรามกับความเกินพอดีของลูกชาย
“ตอนนี้มันใช่จะต้องสนเรื่องนั้นไหมล่ะ”
แต่แทนที่จะรีบลุกไปต้อนรับชายหนุ่มกลับทิ้วตัวลงนอนเอื้อมหยิบหมอนอิงมาหนุนแสดงท่าทีสมกับเป็นคนป่วยในพริบตา
“แกทำอะไรของแก ทำไมไม่รีบไปรับล่ะ เดี๋ยวเขาเปลี่ยนใจกลับขึ้นมาแกจะรู้สึก”
“ผมเป็นคนป่วย กำลังหลับอยู่”กระซิบกระซาบเสียงเบาโบกมือให้แม่บ้านไปรับหน้าแทน
“แกนี่มันจริงๆเลยสินะ”
อาทิตย์ส่ายหน้าเล็กน้อยกับความเปลี่ยนแปลงของลูกชายที่บางทีก็ตั้งรับแทบไม่ไหว ปกติแล้วปิญญ์ชานนท์มักจะเป็นคน
เย็นชา แทบไม่เคยเห็นเลยว่าลูกชายคนนี้จะแสดงความอ่อนโยนหรือว่าอ่อนแอให้เห็นเลยสักครั้ง
“สวัสดีครับ”เสียงนุ่มหูกล่าวทักทายก่อนคนแรก
“สวัสดีฮะคุณปู่/สวัสดีฮะคุณปู่”สองเสียงเจื้อยแจ้วดังประสานกันมาแต่ไกลตามด้วยเสียงฝีเท้าของเด็กกระโดดไปมาอย่าง
ดีใจ
“ว่าไงเด็กๆ ไม่ได้เจอปู่ตั้งนาน นึกว่าจะลืมปู่ไปซะแล้ว”อาทิตย์ลูกขึ้นยืนมือข้างหนึ่งใช้ไม้เท้าประคองตัวเดินเข้าไปใกล้
เด็กๆก่อนจะลูบหัวเด็กๆสลับกันอย่างเอ็นดู
“ไม่ลืมหรอกฮะ”ปลากริมยิ้มกริ่มเงยหน้ายิ้มให้กับคุณตาโชว์เหงือกสีแดงสด
“ใช่ฮะ หลิ่มคิดถึงคุณปู่มากเท่านี้เลยยยย”ลากเสียงยาวไม่ยอมแพ้คนพี่ แถมยังทำมือทำไม้ยืนยันสิ่งที่บอกให้ขนมผิงได้
ยิ้มตามกับความร่าเริงของเด็กๆ
“อ้อเหรอ ได้ยินอย่างนี้ปู่ก็ดีใจสิ เอาล่ะเข้ามาๆนั่งกันก่อน”
“หลับอยู่เหรอครับ”ขนมผิงจ้องมองร่างสูงใหญ่ทอดตัวไปตามแนวโซฟาตัวยาว ดวงตาคู่คมสีดำสนิทถูกซ่อนเอาไว้ได้
เปลือกตาแน่นิ่ง
“ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ นั่งก่อนสิ”ตอบแบบอ้อมค้อมเพราะไม่อยากโกหกคนรักของลูกชายตามเกม
“ผมพาเด็กๆมาเยี่ยม แล้วก็เอาผลไม้มาเยี่ยมด้วยน่ะครับ”
“งั้นเหรอ ขอบคุณเธอมากนะ ลำบากเธออีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ เขาเป็นคนช่วยผมเอาไว้ แค่นี้ยังถือว่าน้อยไปน่ะครับ”ขนมผิงตอบด้วยท่าทีสงบเสงี่ยมคอยดูให้เด็กๆ
ไม่วุ่นวายกับคนที่กำลังหลับอยู่
“อย่าคิดอย่างนั้นเลยนะ เพราะว่าลูกชายของฉันเขาเต็มใจ ฉันดีใจนะที่เธอมาหาเราในวันนี้”คิดว่าขนมผิงจะยังถือทิฐิอยู่
และไม่คิดจะเข้ามาเหยียบบ้านหลังนี้อีกแล้วซะอีก อาทิตย์ส่งยิ้มให้ขนมผิงด้วยความจริงใจ
“อื้อ ใครมาน่ะ”
เสียงพึมพำพร้อมกับแสดงอาการของคนงัวเงียพึ่งจะตื่นได้สมบทบาทเรียกให้ทุกคนในห้องนั่งเล่นหันไปมอง
“เย้ พ่อปินตื่นแล้วววว”ทันทีที่เห็นปลากริมกระโดดลงจากโซหาวิ่งไปเกาะแขนของชายหนุ่ม
“พ่อปินตื่นแล้วเย้ๆๆ”สลิ่มเองก็ไม่น้อยหน้ากระโดดตามไปเกาะแขนของปิญญ์ชานนท์เช่นกัน
ร่างกลมจ้ำม่ำปีขึ้นโซฟาไปนั่งเบียดอยู่ข้างๆเมื่อปิญญ์ชานนท์ประคองตัวเองขึ้นนั่งอย่างช้าๆ มีเพียงบิดาของเขาเท่านั้นที่รู้
ว่าท่าทางเหมือนกับคนป่วยที่อ่อนแอนั่นมันเป็นการแสดงทั้งสิ้น
“พ่อปินหายเจ็บรึยังฮะ”
“พ่อปินยังเจ็บอยู่ไหมฮะ”
“เจ็บสิ เจ็บมากเลยล่ะ”ถึงจะกำลังพูดอ้อนลูกแฝดที่น่ารักอยู่ แต่ตาคู่สีดำสนิทกำลังจับจ้องมองไปยังร่างสูงโปร่งที่อยู่ฝั่ง
ตรงกันข้าม ซึ่งแน่นอนว่าขนมผิงกำลังจ้องเขาอยู่ แต่ทันทีที่เขามองตอบ ขนมผิงก็กลับเบือนหน้าหนีไปซะได้
“พ่อปินเจ็บตรงไหนฮะ”
“ถ้าเจ็บปะป๊าบอกว่าต้องเป่า”
“ใช่ๆ ปะป๊าบอกกว่าเป่าแล้วจะหายเจ็บ เนอะๆ”สองแฝดชะโงกหน้ามาหยักหน้าให้กันกับความเห็นพ้องต้องการอย่าง
อารมณ์ดี
“หืม? เป่าแล้วหายเจ็บจริงๆเหรอ”แสร้งทำท่าทางสงสัยมองหน้ากลมแป้นสลับกันไปมา
“จริงฮะ ปะป๊าเคยเป่าให้กิมกับน้องหลิ่ม ฟู่ววว ฟู้วววว อย่างนี้เลย”
“งั้นเหรอ พ่อเองก็อยากลองให้เป่าดูบ้าง เผื่อว่าจะหายอย่างที่พูดจริงๆ”แทนตัวเองว่าพ่อได้เต็มปากเต็มคำ สายตายังจ้อง
มองอยู่ที่ขนมผิงไม่วางตา เพราะว่าขนมผิงไม่ยอมมองตอบมาบ้างเลย ส่วนพ่อของเขาก็กำลังนั่งทำหน้าแปลกๆมองมาที่เขา
“พ่อปินให้ปะป๊าเป่าให้สิฮะ จะได้หายเจ็บ”
“ใช่ฮะ ปะป๊าเป่าให้ พ่อปินจะได้หายเจ็บ”
“พ่อก็อยากจะหายเจ็บนะ แต่ว่าปะป๊าคงไม่ยอมเป่าให้หรอก”ปิญญ์ชานนท์แกล้งทำเสียงออดอ้อนไม่เลิก
และดูเหมือนคนที่กำลังจะทนไม่ไหวจะไม่ใช่ขนมผิง แต่กลับเป็นอาทิตย์เสียมากกว่า ชายสูงวันหรี่ตามองบทละครของ
ลูกชาย ทำไมยิ่งของเขาถึงได้ยิ่งรู้สึกว่ามันน่าหมั่นไส้มากกว่าน่าเห็นใจกันนะ ไม่เคยรู้เลยว่าลูกชายของคนจะมีด้านนี้กับคนอื่น
เขา
“ถ้ายังไงวันนี้ผมรบกวนฝากดูปลากริมกับสลิ่มด้วยนะครับ เด็กๆบอกว่าอยากจะมาเยี่ยมคุณปิญญ์แล้วก็อยากจะมาหาคุณ
ด้วย ตอนบ่ายผมจะมารับเด็กๆอีกที”ขนมผิงตัดบท
เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ตั้งตัวรับมันไม่ทันทำให้ไม่รู้ว่าต้องแสดงตัวยังไงกับสถานการณ์ตรงหน้า จะยิ้มให้หรือทำท่าทีนิ่ง
เฉยทำเป็นไม่สนใจดีกับคำบอกรักของอีกฝ่าย
ซึ่งคำบอกลาแบบอ้อมๆทำให้ชายหนุ่มที่อยู่ฝั่งตรงข้ามชะงักหยุดเล่นกับลูกๆแล้วหันไปขมวดคิ้วใส่บิดาโดยทันที
“ได้สิฉันเต็มใจเลยล่ะ ว่าแต่เธอจะกลับแล้วเหรอ”อดพูดขึ้นมาไม่ได้เมื่อหันไปมองลูกชายแล้วถูกถลึงตาใส่
“ผมว่าจะเข้าตรวจงานที่บริษัท”
“งั้นเหรอ”ตอบรับ พอเหลือบตามองมองลูกชายก็เห็นว่าอีกฝ่ายยิ่งถลึงตา สลับกับขยิบตาให้ คนเป็นพ่อจะไม่รู้ได้ยังไงว่า
ลูกชายต้องการอะไร “มีประชุมหรือว่าอะไรเร่งด่วนรึเปล่าล่ะ”
“ไม่มีครับ แค่ตรวจเอกสารทั่วไป”ขนมผิงยิ้มตอบ แปลกใจเล็กน้อยที่อาทิตย์คุยกับเขาแต่กลับมองลูกชายไปด้วยสลับกับ
มองเขา
“งั้นอยู่กินข้าวเที่ยงด้วยกันสิ วันนี้แม่บ้านทำกับข้าวหลายอย่างเลยล่ะ”สุดท้ายก็ต้องเล่นตามเกมลูกชาย
“แต่ว่า…”
“คงจะดีไม่น้อยถ้านานๆทีคนแก่อย่างฉันจะมีคนมากินข้าวด้วยเยอะๆแบบนี้”ไม่เว้นที่ว่างให้แขกได้ปฏิเสธคำเชิญ ชายสูง
วัยอย่างอาทิตย์ตกเป็นผู้เข้าร่วมขบวนการอย่างเต็มตัวในที่สุด
“ก็ได้ครับ”
แต่มันยังไม่จบแค่นั้นเมื่อปิญญ์ชานนท์ยังคงขยิบตาและชี้มือชี้ไม้ไปยังสวนหลังบ้านให้ผู้เป็นพ่อแทบกุมขมับ เพราะตัวเอง
ก็กำลังถูกขนมผิงจับจ้อง หนำซ้ำยังต้องมาเล่นละครไปกับลูกชาย เป็นครั้งแรกเลยที่รู้สึกว่าทำอะไรที่ไร้สาระร่วมกับลูกชายคนนี้
“ว่าแล้วก็ได้เวลากายภาพบำบัดแล้วล่ะสิ ถ้าอย่างนั้นคนหนุ่มๆก็คุยกันไปแล้วกันนะ เดี๋ยวฉันขอตัวก่อน เจอกันอีกทีตอน
เที่ยงแล้วกันนะ ฝากดูแลเจ้าปิญญ์มันด้วยล่ะ ช่วงนี้ไม่สติค่อยสมประกอบเท่าไร ฉันหมายถึงยังตกใจที่ถูกยิงอยู่น่ะ”อดหันไป
แขวะลูกชายไม่ได้
“ครับ”
“ว่าแต่ใครจะไปเดินเล่นที่สวนหลังบ้านกับปู่บ้าง วันนี้อากาศดี แดดไม่แรง จะมีใครไปเดินเล่นกับปู่ไหมนะ”
มีหรือที่คำชวนที่ดูน่าสนใจแบบนี้จะถูกปล่อยผ่าน ร่างจ้ำม่ำของสองพี่น้องผละออกจากชายหนุ่มกระโดดลงมาจากโซฟา
ด้วยความตื่นเต้น วิ่งเข้าไปเกาะขาของอาทิตย์ออกปากพูดแข่งกันว่าอยากจะไปด้วยทันที
“กิมฮะ ไปกะคุณปู่”
“หลิ่มก็ไปฮะ ไปกะคุณปู่ด้วย”
“แต่ปะป๊าว่าจะไปรบกวนคุณปู่มากกว่านะครับ”ขนมผิงแย้งขึ้นมาทันที อีกอย่างถ้าเด็กๆไปเขาคงจะถูกทิ้งให้อยู่กับปิญญ์ชา
นนท์ตามลำพัง
“ไม่เป็นไรๆ ฉันมีพยาบาลคอยดูให้ตั้งสองคน ไม่ถือเป็นการรบกวนหรอก ไปกันเถอะเด็กๆ”
ไม่ทันขาดคำร่างของชายสูงวัยก็หายไปพร้อมกับเสียงเจื้อยแจ้วของเด็กๆ ขนมผิงกลืนน้ำลายหนืดลงคอ หลุบตาจ้องมอง
ปลายเท้าตัวเองอีกร่วมสองชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาอาหารเที่ยง
“ฉันรู้สึกว่าเหนียวตัวมากเลยล่ะ”จู่ๆปิญญ์ชานนท์ก็พูดขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
“คุณยังอาบน้ำไม่ได้”ตอบรับไปสั้นๆ เงยหน้ามองดวงตาคู่คมจ้องมองมาส่งผลให้หัวใจเต้นรัว
แต่จู่ๆปิญญ์ชานนท์กูลูกขึ้นมาแล้วเดินมาทางเขา พอเห็นดังนั้นอะไรบางอย่างก็ทำให้ตกใจปลายเท้าทั้งสองข้างจิกเข้าหา
กันแน่นเมื่อชายหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งข้างกัน
ตันขาเบียดกันจนชิด ถึงจะไม่หันไปมองขนมผิงก็รู้ดีว่าใบหน้าของอีกฝ่ายใกล้เขามากแค่ไหน ใกล้จนได้ยินเสียงลมหายใจ
ของอีกฝ่าย
“ตอนนี้ฉันอยากจะเช็ดตัว เช็ดเองมันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอีกอย่างฉันก็ยังเจ็บแผลอยู่”
“แล้วมาบอกผมทำไมล่ะ”เสียงลมหายใจของปิญญ์ชานนท์มันใกล้เข้ามาทุกที ใกล้มากจนมันเป่ารดต้นคอ ค่อยๆไล่มาที่
ใบหู
“นายช่วยเช็ดให้ฉันทีสิ แบบที่นายเคยทำน่ะ”พูดจบจมูกโด่งก็กดลงมาที่แก้ม
เฉียดไปนิดเดียวหากไม่เบี่ยงหลบ ขนมผิงหันไปมองอีกฝ่ายด้วยความไม่เข้าใจ ดวงตาคมเบิกขึ้นเล็กน้อยดันอกอีกฝ่าย
เอาไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้ อันที่จริงเขาอยากจะลุกหนี แต่ขาทั้งสองข้างมันเหมือนกับถูกตรึงเอาไว้ไม่ให้ลุกไปไหนได้
“ผมไม่เอาด้วยหรอก”
“แต่ฉันเริ่มรู้สึกคันขึ้นแล้วนะขนมผิง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอาจจะเป็นกลากเกลื้อน ดีไม่ดีอาจจะไปติดลูกๆของเราก็ได้”
“ทำไมคุณถึงได้….”หมดคำพูดกับความเจ้าเล่ห์และความเอาแต่ใจของปิญญ์ชานนท์
“ถ้าจะให้ดี นายช่วยเป่าให้ฉันด้วยนะ เผื่อฉันจะหายเจ็บขึ้นมาบ้าง”
และก็เป็นอีกครั้งที่ขนมผิงไม่รู้จะรับมือกับอีกด้านของปิญญ์ชานนท์ยังไง ด้านที่พังทลายกำแพงของเขาลงโดยที่ไม่อาจ
ฝืนตัวเองให้ต่อต้านมันได้เลย
------------------------------------------------------------------------------------------------
บทสำออยอ้อนลูกเมียก็มา