10. น้องมิมไม่อยากไปค่าย
“พี่เสร็จยัง”
“เออ” ผมมองคนที่กำลังวิ่งวนไปทั่วห้อง เพื่อตามหาถุงเท้าอีกข้างของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมาเมื่อคนตัวสูงเจอมันอยู่บนเก้าอี้ของตัวเอง “แป๊บเดียวๆๆ”
“พี่..จะสายแล้ว” ใครบอกว่าพี่มันหล่อนิ่ง โคตรเท่กันวะ มันก็ไม่ต่างจากผู้ชายทั่วไปเลยสักนิด
“เสร็จแล้ว” บางทีที่แตกต่างคงจะเป็นหน้าหล่อๆ ที่เวลายิ้มแล้วโคตรดูดีกว่าเดิม แบบตอนนี้ล่ะมั้ง “ไปเรียนกัน”
เกือบสองอาทิตย์แล้วที่ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติ ปกติที่ว่าหมายถึงแบบที่รูมเมทปกติทั่วไปเขาเป็นกัน เราคุยกันบ่อยขึ้น ส่วนมากก็พูดถึงเรื่องที่เจอในแต่ละวัน ไปกินข้าวด้วยกันในบางครั้งที่ว่างตรงกัน แต่เราไม่ได้พูดถึงเรื่องที่ผ่านมากันอีกเลย รวมถึงเรื่องที่จูบด้วย...เราทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นกันได้แนบเนียนซะจนผมคิดว่ามันไม่เคยเกิดขึ้นจริง
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่เรานั่งรถรางไปเรียนด้วยกัน ด้วยความที่รถรางจะไปถึงคณะพี่มันก่อนที่จะถึงคณะวิท ผมเลยต้องนั่งข้างในสุดไปโดยปริยาย ตามปกติแล้วเราจะไปพร้อมบอสกับข้าว บางทีก็จะมี ‘พี่พี’ เพื่อนพี่โตมาด้วยแต่วันนี้เราตื่นสาย ทุกคนเลยไปกันก่อนแล้ว อันที่จริงแล้ว ผมไม่เคยนั่งรถรางกับพี่มันสองคนเลย
“เอาไป อาหารเช้าสำคัญ” ผมสะดุ้งเพราะจู่ๆ พี่มันก็โยนอะไรบางอย่างมาที่กระเป๋าที่อยู่ตรงตักผม
“ขนมเนี่ยนะพี่” ผมหยิบของตรงหน้าขึ้นมาดู แล้วก็ยิ้มออกมาเพราะมันคือขนมยี่ห้อมอร์จุ๊บของโปรดของผม
“กินไปเหอะ” พี่มันว่าแบบนั้นแล้วก็หันไปสนใจมือถือตัวเอง ผมแอบย่นจมูกใส่พี่มันแล้วเริ่มแกะห่อ “ดีกว่าไม่ได้กิน”
“ของพี่อะ” ผมถามขณะที่เคี้ยวขนมตุ้ยๆ
“...” พี่มันเก็บมือถือแล้วเอามือกอดอกทำท่าจะนอน เหมือนจะหนีผม
“อะ ผมให้” ผมยื่นขนมไปข้างหน้าคนที่หลับตาอยู่ ไม่ถึงวิตาคมนั่นก็หรี่ขึ้นมามองหน้าผมแทนขนม
“คุ้นๆ ว่ากูซื้อ” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะไม่คิดว่าจะได้สบตากัน
“เอ่อ..พี่ให้ผมแล้วนี่” ..อย่าจ้องกันขนาดนี้ได้ไหมเล่า!!!
“เหอะ” ถึงจะทำเป็นไม่อยากกินแต่พี่มันก็หยิบชิ้นที่ผมยื่นให้ไปกินเข้าปาก แล้วก็กลับไปนั่งกอดอกและหลับตาเหมือนเดิม
“ฮ่าๆๆ” ผมมองคนที่กินขนมไปหลับตาไปแล้วก็ขำออกมาเสียงดัง ผมยื่นขนมให้อีกชิ้น พี่มันก็หยิบไปกินแล้วเก๊กเหมือนเดิม สงสัยคงติดใจขนมแล้วสิ “ผมบอกพี่แล้วว่าอร่อย”
“เออ” เฮ้อ น่ารักจริงๆ เลย
เพราะเวลานี้ใกล้เวลาเข้าเรียนเต็มทีแล้ว ทำให้คนในรถรางเยอะจนเราต้องนั่งเบียดกันขนาดที่ว่าไหล่ผมไปเกยอยู่บนอกพี่มันแล้ว ตอนแรกก็กลัวพี่มันจะรำคาญแต่คำว่าไม่เป็นไรก่อนหน้านี้ก็ทำเอาผมเกือบหลุดยิ้มออกมา
ผมมองสำรวจใบหน้าหล่อเหลาคนที่กำลังหลับอยู่ตอนนี้แล้วใจก็เต้นแรงขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ยิ่งไหล่ของผมไปสัมผัสบนอกแน่นนั้นแล้ว ก็เหมือนเลือดทั้งหมดในร่างกายมันวิ่งมาประท้วงบนหน้าผม ทำยังไงดี ถ้าผมหัวใจวายตายก่อนเรียนจบจะทำยังไง
“มึงนี่ เหมือนน้องชายกู”
“อะ..อะไรของพี่” ผมสบตากับดวงตาคมที่ลืมขึ้นมามองกัน
“ชอบทำหน้าเหลอหลาไปทั่ว”
“ผะ..ผมไม่ได้ทำ” นี่พี่มันไม่ได้หลับหรอ เห็นผมแอบมองตั้งแต่แรกเลยสินะ!
“หึ” หัวเราะใส่ผมก่อนจะหลับตาหนีกันดื้อๆ ผมเลยหันหน้าออกไปด้านข้างแทน ไม่มองก็ได้
หลังจากนั้นผมก็นั่งเกร็งไปสักพักแต่พอมองข้างทางไปเรื่อยๆ ผมก็ผ่อนคลายลง ผมชอบลมเย็นที่พัดผ่านหน้าในตอนนี้มันทำให้ผมอารมณ์ดีมาก จนหลุดยิ้มออกมา ผมแอบมองใบหน้าคนข้างกายที่กำลังหลับตาพริ้มอีกครั้ง แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิม พี่มันบอกว่าผมเหมือนน้องชายเขา แต่ผมว่าผมไม่เหมือนน้องชายพี่เลยสักนิดเพราะน้องชายพี่ต้องไม่ใจเต้นแรงกับพี่แบบนี้สิ
“กูไปละ”
“ครับ” ผมพยักหน้าแล้วโบกมือบ๊ายบายหยอยๆ ให้พี่โต ทำไมวันนี้รถรางขับเร็วจังวะ
“ไม่สาย ไม่ต้องทำหน้างอ” ผมกำลังจะเถียงกลับแต่นิ้วมือชี้ของคนตัวสูงกว่าก็จิ้มลงมาที่แก้มซ้ายผมเบาๆ สองครั้ง
จึ้กๆ
“อะ!..” ผมสะดุ้งและเบิกตาโพลงกับการกระทำนั้นของพี่มัน รู้สึกถึงความร้อนที่ใบหน้าจนอยากจะร้องไห้
“หึ ตั้งใจเรียน” แล้วผมก็นั่งก้มหน้าเพราะทนกับสายตาคู่นี้ที่จ้องมองมาที่ผมไม่ไหว กลัวว่าหัวใจจะกระเด้งออกมาจากอกและหัวสมองของผมก็ประมวลผลอะไรไม่ออกเลย
ผมรู้แค่ว่าก่อนลงพี่มันลูบหัวผมเบาๆ อีกครั้ง ลูบแบบลูบที่ไม่ใช่ขยี้เหมือนไอ้บอส ผมทำอะไรไม่ถูกได้แต่นั่งขยับแว่นตัวเองไปมา แอบมองคนตัวสูงเดินลงไปจากรถ มองหลังกว้างที่เดินเร็วเข้าตึกไป ลมเย็นเหมือนเรียกสติผมกลับมาแต่เหมือนเรียกกลับมาไม่ครบสักเท่าไหร่เพราะผมเอาแต่จับหัวตัวเองแล้วยิ้มออกมาไม่หยุด จนผู้หญิงที่นั่งข้างผมทำหน้าแปลกๆใส่
ผมบอกแล้วว่าผมไม่เหมือนน้องพี่เลยสักนิด น้องพี่น่ะคงไม่ใจเต้นแรงกับทุกการกระทำของพี่ คงไม่อยากกอดหรืออยากจูบพี่ตอนที่อยู่ใกล้กันแน่ๆ
“กูมาทันเว้ย” ผมวิ่งยิ้มร่าเข้าห้องเลคเชอร์ ดีใจสุดๆ เพราะมาทันเวลาแบบเฉียดฉิวแถมอาจารย์ยังไม่เข้าห้องเลยด้วยซ้ำ
“ใช่เวลาอวดไหม นั่งๆ” ไอ้บอสกรอกตาใส่ผมแล้วดึงแขนผมให้นั่งข้างมัน ยังไม่ทันที่ผมจะหันไปหาข้าวที่นั่งอยู่ข้างบอส อาจารย์ก็เข้าห้องก่อน ผมเลยทำได้แค่ส่งยิ้มให้ข้าว
พออาจารย์เริ่มสอนก็เหมือนทุกคนกำลังโดนร่ายมนต์ใส่ อาจารย์เหมือนมีความสามรถในการทำให้หนังตาเป็นอวัยวะที่หนักที่สุดได้และผมก็เป็นหนึ่งในคนที่โดนเวทมนต์นี้ แต่ก่อนที่ผมจะพ่ายแพ้ผมก็หันไปมองเพื่อนที่นั่งอยู่ข้างกัน ไอ้บอสแพ้อาจารย์ไปตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงแรกกำลังนั่งหลับสัปหงก ส่วนข้าวก็เหมือนคนที่เอาชนะเวทมนต์ได้เพียงคนเดียวเพราะตาใสนั้นเอาแต่จับจ้องไปที่ด้านหน้า มือจดทุกคำพูดของอาจารย์
ผมยิ้มออกมาเล็กน้อยตอนไอ้บอสมันเอนหัวไปซบข้าวแต่โดนข้าวจับหัวซบลงบนโต๊ะแทน ข้าวหันมาหัวเราะแบบไม่มีเสียงกับผม แล้วหันไปตั้งใจเรียนต่อ ผมมองภาพนี้สักพักเพราะเป็นภาพที่ผมอยากเห็นใกล้ๆ มานานแล้ว ต่อไปนี้ผมคงไม่ต้องเฝ้ามองดูจากข้างหลังอีกแล้ว ผมยิ้มเล็กน้อยก่อนที่จะ...
“คร่อก” พ่ายแพ้ให้กับเวทมนต์ของอาจารย์
ครืด
“อือ” ผมตื่นขึ้นมาเพราะแรงสั่นของมือถือตัวเองที่วางอยู่บนโต๊ะ งัวเงียลุกขึ้นมามองนาฬิกาหน้าห้องแล้วถอนหายใจ นี่ผมหลับไปเกือบสองชั่วโมงเลย
“เก็บของกันเร็ว หิวแล้ว” ข้าวบอกแบบนั้นตอนอาจารย์เดินออกไปจากห้อง แล้วลุกขึ้นยืนเร่งพวกผม
“กินไรดีวะ” บอสถามข้าวไป เก็บของไป
“ชาบูๆๆๆๆ” ส่วนข้าวก็กระโดดไปมา แบบรู้เลยว่าอยากกินแค่ไหน “ชาบูไหมมิ”
“เคๆ” ผมมันอะไรก็ได้แม้จะต้องเจียดเงินเก็บมาก็ตาม ฮึก วันต่อไปคงต้องพึ่งพามาม่าเพื่อนยาก
ผมหยิบมือถือมาดูข้อความที่เพิ่งส่งเข้ามาและเดินตามหลังข้าวออกจากห้องเลคเชอร์ไป จู่ๆ ไอ้บอสก็เอียงหัวมาดูหน้าจอมือถือผมแบบตั้งใจเผือกมาก “ใครวะ”
“อ่อ พี่โตบอกว่าเรียนเสร็จแล้ว” ผมอ่านข้อความให้ไอ้บอสฟัง
ครืด
“หิว”
“ฮ่าๆ คืนดีกันแล้ว พี่มันต้องรายงานมึงตลอดเลยหรอวะ”
“เอ่อ..” คำว่ารายงานของมัน ทำใจผมกระตุก
“งั้นชวนมากินชาบูกับเราดิ”
“พวกมึงจะไม่อึดอัดหรอ” ผมถามบอสกลับ
“ไม่เป็นไรเว้ย” ไอ้บอสพูดแบบนั้น แล้วกอดคอผม เพื่อลากเข้าลิฟต์ที่ตอนนี้ไม่มีใครเลยนอกจากพวกเราสามคน
“แน่ใจนะ” ผมกังวลจน เผลอขยับแว่น
“แน่ใจสิมิ มาสี่จ่ายสามนะ” ผมมองข้าวที่ชูสี่นิ้วขึ้นมาสลับเป็นสามนิ้วไปมาแบบงงๆ
“รู้เรื่อง!” กว่าจะเข้าใจก็ตอนที่ไอ้บอสกับข้าวแท็กมือกัน
“ฮ่าๆๆๆ” แล้วพวกเราก็หัวเราะลั่นลิฟต์
หลังจากที่พวกผมยืนรอคนหาร เอ้ย รอพี่โตที่หน้าร้านชาบูข้างมหาลัยไม่นานนักพี่โตก็มายืนหล่อสมทบกับพวกเราแต่สิ่งที่นานคือต้องรอคิวเข้าร้าน ยังดีที่พวกเรามีเกมเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ที่ทำให้รอคอยได้ถึงหนึ่งชั่วโมง จนเวลาล่วงเลยถึงบ่ายสองในที่สุดก็ได้เข้ามานั่งที่โต๊ะ
ผมนั่งข้างพี่โตส่วนบอสกับข้าวก็นั่งข้างกัน โดยผมนั่งตรงข้ามกับข้าว พวกเราไม่พูดพร่ำทำเพลงแต่ละคนรีบสั่งของกินและเทลงหม้อกันอย่างลวกๆ ตามแบบฉบับผู้ชายหิวโซ
“มาพี่ผมตักให้”
ผมมองไอ้บอสที่รับถ้วยมาจากพี่โตแล้วหนักใจ ก็มันดันตักปลาหมึกให้พี่มันจนพูนถ้วยขนาดนั้น มันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยถ้าไม่ติดว่าพี่มันไม่กินปลาหมึก ผมมองหน้าคนด้านข้างที่ขมวดคิ้วหน่อยๆ นี่อีกคน ทำไมไม่พูดอะไรบ้าง กลายเป็นผมต้องพูดออกมาเองเพราะทนไม่ไหว
“มึง..พี่โตไม่กินปลาหมึก” ผมรู้เรื่องนี้ก็ตอนโดนแกล้งให้ไปซื้อข้าวปลาหมึกกระเทียมมาให้พี่มันแต่พี่มันดันไม่กินปลาหมึก ผมเลยต้องเดินไปซื้อข้าวผัดหมูให้พี่มันกินแทน จำได้จนวันนี้เพราะวันนั้นมันร้อนมากจนผมคิดว่าผมจะละลายตายไปเพราะแดดประเทศไทย
“จริงดิพี่” ไอ้บอสหยุดตักแล้วมองหน้าพี่โตแบบทึ่งๆ
“อือ” นี่ก็นิ่งซะจนผมคิดว่าพี่มันหลับ
“รู้ใจกันไปอี้ก” มันเอาปลาหมึกทั้งหมดบนถ้วยพี่โตเทลงถ้วยผม แล้วคืนถ้วยให้พี่โต ก่อนจะทำท่าบิดไปมาจนขาผมกระตุก
“ไอ้บอส!”
ผมขึ้นสียงใส่มันแล้วแก้อาการเขินด้วยการหยิบแก้วน้ำขึ้นมาจิบแก้ร้อนที่ใจและใบหน้า ผมแอบกังวลว่าพี่มันจะไม่สบายใจ แอบมองหน้าคนนั่งข้างกันแต่ก็ต้องตกใจที่พี่มันก็หยิบน้ำขึ้นมากินเหมือนกัน พี่มึงมากินน้ำพร้อมกันตอนนี้ทำไม!
“กินน้ำพร้อมกันไปอี้ก” ผมถลึงตาใส่ไอ้บอสให้หยุดพูด
“ชงเก่งขนาดนี้ ไปขายกาแฟเลยไป” ผมพูดไปหน้าร้อนไป
“แหม เขินหรอจ้ะ น้องมิ้นน” ยัง ยังไม่หยุดอีกไอ้เพื่อนบ้า
“มิ้นพ่อง” ทนไม่ไหวเลยหยิบผักปาใส่มัน
“ฮ่าๆ” แต่ไอ้บอสดันหลบหลังข้าวแล้วหัวเราะใส่ผมอีก
“ฮึ่ย”
“พอๆ กินต่อเร็ว” เป็นข้าวที่ห้ามทัพ ผมเลยทำได้แค่นั่งเคี้ยวปลาหมึกไปมองหน้าไอ้บอสไปอย่างเกรี้ยวกราด
“คร้าบ” หมั่นไส้มัน!
หลังจากนั้นพวกเราก็ตั้งใจกินกันอย่างสามัคคี มีหัวเราะกับมุกฮาๆ จากไอ้บอสเป็นระยะ ระหว่างนั้นผมก็แอบมองใบหน้าของคนนั่งข้างกันไปด้วย แอบโล่งใจที่ดูเหมือนพี่โตดูโอเค ถึงพี่มันจะเงียบเป็นส่วนใหญ่แต่ก็ดูไม่อึดอัดอะไร ดีจังเลยนะ
“มึงไปค่ายกับกูไหม” จู่ๆ ไอ้บอสก็หันมาพูดกับผมระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งพักหลังกินเสร็จ
“ค่ายไรอะ”
“ค่ายจิตอาสาไปเก็บขยะตามชายหาดไรงี้ เขาบังคับกิจกรรมเป็นคู่แบบแฮปปี้บัดดี้” ผมมองไอ้บอสที่ดี๊ด๊าผิดปกติ แล้วคิ้วขวาผมก็กระตุกทันที “ไปนะมึง วันเสาร์นี้เอง”
“ก็คือพรุ่งนี้?” ผมมองข้าวที่ตอนนี้นั่งกุมขมับอยู่สลับกับไอ้บอสที่ร่าเริงผิดปกติ พวกมันทำตัวแปลกเกินไปแล้ว เอ๊ะ.. “เดี๋ยวๆ อย่าบอกนะว่า”
“ใช่จ้ะ กูเขียนชื่อมึงไปแล้วเพื่อนเลิฟ” ผมมองมันที่ลุกลี้ลุกลนเบียดตัวควายๆ ของมันไปอยู่หลังข้าว แล้วยังมีหน้าโผล่หน้าออกมาพูดอีกว่า “ก็ข้าวไปคู่กับพี่มันแล้วอะ ฮี่ๆ”
“ยังจะมาฮี่ๆ อีก กูไม่ไป!” ผมตะโกนขึ้นมาทันที พยายามเอื้อมมือไปดึงผมคนที่นั่งอยู่ตรงข้าม โดยมีพี่โตที่คอยยื้อคอเสื้อผมไว้อยู่ “มานี่เลย ใครบอกให้เขียนชื่อกูฮะ!”
“พี่โต ช่วยผมด้วยย” ผมมองหน้าไอ้บอสที่กำลังอ้อนพี่โต แล้วชาบูแสนอร่อยก็แทบจะพุ่งออกมา แต่ก่อนที่ผมจะอ้วกนั้น
“...” พี่โตก็พยักหน้าให้ไอ้บอส แล้วผมก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาแทนทันที “มึงไปค่ายดิ”
หลังจากผมกัดกับไอ้บอสพักใหญ่ เราก็เดินออกจากร้าน ผมยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะไปค่ายดีไหม เลยบอกไอ้บอสว่าจะให้คำตอบคืนนี้ จากนั้นก็แยกย้ายกันไป ไอ้บอสต้องเข้าไปคุยเรื่องดาวเดือนที่คณะ ข้าวเลยอาสาไปเป็นเพื่อนมัน ส่วนผมกับพี่โตก็ตัดสินใจเดินกลับหอด้วยกันสอคน ถามว่าผมตื่นเต้นไหม บอกเลย…
“พะ..พี่ ดูน้อง มะ...หมาสิ แหะๆ” ตื่นเต้นจนพูดไม่รู้เรื่องแล้ว!
“...นั่นกองใบไม้แห้ง” พี่มันพูดด้วยใบหน้าและเสียงเนือยๆ แล้วเดินนำผมไปก่อน
“อ่า...ฮะ จริงด้วย” ทิ้งให้ผมยืนเดียวดายอยู่ท่ามกลางเศษหน้าของตัวเอง โอ๊ย ทำไมถึงมึนขนาดนี้นะ ไม่เท่เลย
“มิม...มานี่”
ผมละสายตาจากกองใบไม้ที่รูปร่างเหมือนหมานอน ไปมองคนที่ยืนอยู่ริมทะเลสาบใหญ่ใจกลางมหาลัย พี่โตเรียกผมแล้วก็หันหลังกลับไป
“ครับ”
ผมตอบรับเบาๆ แล้วเดินไปหยุดข้างคนตัวสูงกว่า เพิ่งสังเกตว่าตอนนี้ก็เริ่มเย็นแล้ว แสงรอบข้างเราเลยกลายเป็นสีส้มไปหมด
“...”
“พี่รู้ไหมว่าพี่เป็นคนแรกที่เรียกชื่อผมถูก” ผมพูดออกไปทำลายความเงียบ
“หรอ” ผมมองใบหน้าคนด้านข้างที่กลายเป็นสีส้มเพราะแสงของดวงอาทิตย์กำลังส่งสัญญาณล่ำลากัน ถึงจะกลายเป็นสีส้มแต่ก็ยังดูดีจนใจผมเต้นแรงขึ้นมาไม่รู้ว่ารอบที่เท่าไหร่ของการอยู่ใกล้กัน
“จริงๆ นะ ไม่เคยมีใครเรียกชื่อผมถูกเลย เหมือนไม่มีใครจำได้” ผมรู้สึกงี่เง่าที่พูดเปิดเผยความอ่อนแอไป อายจนต้องหันกลับมามองผืนน้ำที่กลายเป็นสีส้ม
“ไม่หรอก”
“...” ผมบึนปากไม่เชื่อคำพูดของคนที่ยืนอยู่ข้างกัน
“ทุกคนจำได้” พี่มันเว้นวรรคนานจนผมสงสัยหันหน้ากลับไปมอง ถึงรู้ว่าพี่มันกำลังมองผมอยู่ “ที่เขาเรียกแบบนั้นเพราะว่าเวลาเรียกแล้ว มึงชอบทำหน้าตลกแบบนี้ไง”
“ไม่จริงหรอก” ผมย่นจมูกใส่คนข้างๆ แล้วหันไปมองผืนน้ำอีกครั้ง
“หึ”
เสียงหัวเราะของพี่มันเหมือนลอยมาตามลมที่พัดมา เล่นเอาหัวใจผมคันยุกยิกไปหมด ผมมองดวงอาทิตย์ที่กำลังลากันไปแล้วจริงๆ รอบข้างเริ่มกลายเป็นสีน้ำเงินเข้ม จนผมใจหาย ทำไมกันนะ ช่วงเวลานี้ของวันผมมักจะเศร้าทุกที
“กูอยากให้มึงไปค่าย” ผมเลิกคิ้วทันทีที่พี่มันพูดออกมาแบบนั้น
“ไอ้บอสมันจ้างพี่มาเท่าไหร่”
“หึ” หัวเราะอีกแล้ว “เปล่า กูแค่อยากให้มึงไป”
“ทำไมครับ” ผมมองสบตาคนข้างๆ อีกครั้ง
“อยากให้มึงได้ประสบการณใหม่”
“ผม..” เพราะแววตาคนข้างหน้านั้นจริงจัง จนผมเผลอเปิดความอ่อนแอให้เขาเห็นอีกครั้ง “ผมกลัวเข้ากับคนอื่นไม่ได้”
“เข้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร กูแค่อยากให้มึงได้เจอคนเยอะๆ มึงอาจจะโชคดีได้เจอกับคนที่เข้ากับมึงได้อีกแบบพวกไอ้บอสไง...ไม่ดีหรอ”
“ดีครับ แต่ถ้าไม่เจอ..” ผมเม้มปากแล้วหลบตาคนตรงหน้า หันกลับไปมองท้องฟ้าสีครามข้างหน้าแทนผืนน้ำที่มืดมิด
“ก็เก็บไว้เป็นบทเรียนไง” เหมือนพี่มันจงใจเว้นวรรค ให้ผมได้เตรียมใจกับคำพูดต่อไปของพี่มัน “หรือแบบที่มึงเคยเจอมาก็เก็บไว้เป็นบทเรียนก็พอ อย่าเก็บเอาพวกนั้นมาทำร้ายตัวเองในตอนนี้”
“...” คำพูดที่ทำเอาผมพูดไม่ออก
“การที่มึงเจอคนหลายรูปแบบจะทำให้มึงโตขึ้นและมึงมีค่ากว่าคำพูดของคนพวกนั้น”
“..ฮึก” และสัมผัสอบอุ่นจากมือใหญ่ที่วางอยู่บนหัวของผม ทำเอาผมร้องไห้ออกมา
“ร้องไห้ทำไม หื้ม” ผมไม่รู้ว่าเสียงทุ้มกับลมที่พัดมา อะไรที่ทำให้หัวใจผมลอยไปไกลได้มากกว่ากัน
“ท้องฟ้า...สวยมากเลยครับ” แต่ผมรู้ว่ามันทำให้ผมงี่เง่าชะมัด
“หึ กูก็ว่างั้น” งี่เง่า ที่ชอบคนคนนี้ไปหมดหัวใจแล้ว
หลังจากนั้นเราก็เดินกลับหอด้วยกันด้วยความเงียบแต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกอึดอัดอะไรและผมก็หวังว่าคนที่เดินข้างกันจะไม่รู้สึกอึดอัดกับผมด้วย พอถึงหอผมก็ส่งไลน์ไปบอกบอสว่าจะไปค่ายกับมัน มันดีใจใหญ่จนแทบจะลงมาหาแต่ผมก็ห้ามไว้ทัน ไม่อยากกัดกับมันอีก เปลืองพลังงานในการเตรียมกระเป๋า ถึงจะไปแค่สองวันแต่ผมก็ต้องเตรียมของทุกอย่างให้พร้อม
“ต้องเครียดขนาดนั้นเลยหรอ”
“ครับ” ผมตอบแล้วเงยหน้ามองพี่มันที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จและเดินเข้ามายืนมองผมกำลังเตรียมของใส่กระเป๋า
“จัดตามที่ในกรุ๊ปไลน์บอกก็จบแล้ว” พี่มันหมายถึงกรุ๊ปไลน์ค่าย ที่ไอ้บอสเพิ่งลากผมเข้าไป ในนั้นมีบอกรายละเอียดทุกอย่าง รวมถึงสิ่งของที่ต้องเอาไปด้วย “พี่..ผมเริ่มกังวล จนไม่อยากไปอีกแล้ว”
“กลัวคิดถึงกูรึไง”
ตุบ
เพราะคำพูดนั้น ทำเอามือผมหมดแรงปล่อยถุงแชมพูหลุดมือจนมันกลิ้งไปกระทบเท้าคนที่ยืนค้ำหัวกันอยู่
“มึงนี่นะ” พี่มันหยิบขวดแชมพูแล้วเดินเข้ามานั่งข้างผมหยิบเสื้อผมขึ้นมาพับ “กูช่วย”
“อะไรของพี่” ผมก้มหน้าหงุดไม่ยอมมองหน้าคนข้างกัน ทำไมพูดคำว่าคิดถึงออกมาได้ง่ายดายขนาดนั้นกันนะ
“มิม” ผมไม่ยอมเงยหน้ามองคนที่เรียกกัน จะมองได้ไงเล่า ผมรู้ว่าตอนนี้ผมต้องหน้าแดงมากแน่ๆ
แต่เหมือนผมจะคิดผิดเพราะไม่ทันที่ผมจะพับเสื้อตัวนี้เสร็จ พี่โตก็ใช้สองมือใหญ่นั่นมาประครองหน้าผมให้เงยหน้าไปสบตากันโดยที่ผมไม่ทันตั้งตัว
“พี่..”
“ยอมมองหน้ากันสักที”
เหมือนหัวใจของผมกำลังเต้นประท้วงการกระทำนี้ มันเต้นแรงจนผมกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน ผมพยายามยื้อหน้าออกแต่ก็ต้องชะงักไปเพราะสายตาคนตรงหน้าที่ทำให้ผมใจกระตุก
รอบตัวของพวกเราเงียบงัน ก่อนที่ผมจะรับรู้ว่าใจของผมมันเต้นเร็วกว่าเดิม ก็ตอนที่ปลายจมูกเราสัมผัสกันเบาๆ ผมจ้องตาคนข้างหน้าอีกครั้งราวกับจะได้รับรู้ความรู้สึกของการกระทำนี้ แต่พี่โตกลับหลบตาแล้วลดมือทั้งสองข้างนั้นลง
“พี่..”
สุดท้ายเป็นผมเองที่ดึงไหล่คนตัวโตกว่าเข้ามาหากันและประกบปากตัวเองลงไปที่ริมฝีปากร้อน ความรู้สึกมักไปไวกว่าสมอง ผมบดเบียดริมฝีปากเข้าหาคนตรงหน้า จูบซับเบาๆ ที่มุมปากและพี่โตตอบรับสัมผัสของผมด้วยการขบริมฝีปากล่างของผมเบาๆ มือใหญ่อันอบอุ่นนั้นลูบไล้หลังผมขึ้นมาจนถึงท้ายทอย ผมเบียดตัวเองเข้าหา ให้ริมฝีปากเราได้ใกล้กันอีกนิด
แต่แล้วสัมผัสร้อนก็โดนช่องว่างเข้าแทรก ผมลืมตามองคนข้างหน้าที่ผละตัวออกจากกัน พี่โตไม่สบตาผมและลุกออกไปนอนที่เตียงตัวเองทันที ไม่มีคำพูดใดหลุดออกมาจากปากพี่โตอีกเลย มีแต่แผ่นหลังกว้างที่ผมมองเห็น
“ผม..” นานนับนาที ผมก็หลุดเสียงที่แสนงี่เง่าของตัวเองออกมาทำลายความเงียบ แต่ก็ไม่มีคำใดจะพูดออกมาต่อ มีแต่ความเงียบระหว่างพวกเราเท่านั้น
เมื่อคืนผมนอนไม่หลับและผมก็ไม่รู้ว่าคนที่นอนอยู่บนตียงชั้นสองนั้นนอนหลับรึเปล่า ผมเห็นพี่โตลุกออกไปข้างนอกตอนตีสี่เพราะพี่มันรู้ว่าผมต้องตื่นตอนตีห้าอย่างแน่นอน เพียงแค่เห็นแผ่นหลังกว้างเดินออกไปจากห้อง น้ำตาที่ผมเก็บไว้ทั้งคืนก็หลั่งไหลออกมาไม่หยุด สิ่งที่ผมกลัวที่สุดได้เกิดขึ้นแล้ว จบแล้วสินะ ต่อไปนี้คงไม่มีแววตา สัมผัสหรือคำพูดที่แสนอบอุ่นพวกนั้นแล้ว
แล้วคนที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ก็คือผมเอง ผมทำลายทุกอย่างเอง แค่ได้รับความอบอุ่นก็คิดไปเอง เป็นผมเองที่โลภเองที่หวังมากไป หวังว่าจะได้รับความรักจากเขา จนทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ โดนเกลียดเข้าให้แล้ว
ครืด ครืด
“ตื่นรึยังจ้ะ บัดดี้” เสียงสดใสจากไอ้บอส ทำเอาผมน้ำตาคลออีกครั้ง
“อือ”
“ลงมาเร็ว กูรออยู่หน้าหอ”
สุดท้ายผมก็มานั่งหน้าเศร้าบนรถบัสอยู่ข้างไอ้บอส รอบตัวผมดูสดใสร่าเริงตรงข้ามกับจิตใจผมไปหมดเลย ทุกคนร้องเพลงสันกันเสียงดังและบางคนก็เต้นกันไม่หยุดตั้งแต่ล้อยังไม่หมุน บรรยากาศครึกครื้นทำเอาผมหัวเราะออกมาได้
แต่พอเปลี่ยนเพลงสันมาเป็นเพลงมัดหมี่ ผมกลับหัวเราะไม่ออกเอาดื้อๆ สุดท้ายเลยหันมามองป้ายชื่อสีชมพูที่ห้อยคอตัวเองแทน ป้ายสีชมพูสดใสเขียนด้วยลายมือแสนน่ารักว่า ‘มิมีใคร’ ทำเอาผมหงุดหงิดจนหันไปมองนอกรถแทน แม้แต่ป้ายชื่อยังตอกย้ำกันเลย
“ขอเสียงปรบมือให้กับคู่มาสายแห่งชาติหน่อยจ้า” เสียงแหลมจากพี่แตงสาวประเภทสองที่เป็นหัวหน้าค่ายของเราวันนี้ เรียกความสนใจผมให้หันไปมอง
ทุกคนปรบมือและส่งเสียงแซวคนด้านหน้า ผมปรบมือตามงงๆ และหยิบแว่นขึ้นมาใส่ พอภาพข้างหน้าชัดเจนมือสองข้างของผมก็ชะงักข้างทันทีที่ได้สบตากับตนที่ยืนอยู่ด้านหน้า พี่โตกำลังยืนอยู่ข้างหน้านั่น ที่สำคัญพี่มันกำลังมองจ้องมาที่ผม
“นี่คบกันแล้วจริงจัง? มาด้วยกันแบบนี้” เสียงพี่แตงเรียกสติผมอีกครั้ง ผมหันไปมองผู้หญิงคนที่ยืนอยู่ข้างพี่โต
“พี่แตง” ผู้หญิงคนนั้นสวยจนผมใจหาย เธอตีแขนพี่แตงเบาๆ แล้วหันกลับไปมองใบหน้าพี่โต
“แหม ทำอายลูกแก้วจ๋า ได้ยินข่าวว่าตามเขาต้อยๆ”
“พี่แตง” เธอเขินอายด้วยท่าทีที่น่ารัก
“ฮ่าๆๆ” เสียงหัวเราะพี่แตงดังขึ้น พร้อมกับใจของผมที่แตกสลายลง
“ว่าไงคะ คุณชาย”
“...” และความเงียบของพี่มัน ก็ทิ้งผมให้ยืนเดียวดายท่ามกลางเศษใจตัวเองอีกครั้ง แค่นี้ผมก็เข้าใจทุกอย่างแล้ว
“กริบจ้า เจ๊ขอโทษที่แซวแรง แยกย้ายๆ” พี่แตงดันหลังสองคนให้หาที่นั่ง “คนครบ! ล้อหมุนเลยจ้า เลทโก!!”
ส่วนผมก็ยังโง่เง่าเผลอสบตากับคนที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง ความน้อยใจและเจ็บปวดในอกตีขึ้นมาทันที ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัวจากน้ำตาตัวเอง จนผมมองคนที่กำลังเดินหาที่นั่งไม่ชัด ผมบังคับไม่ให้น้ำตาไหลออกมาด้วยการเบือนหน้าหนีภาพข้างหน้า
แค่เดินข้างกันก็เหมาะสมขนาดนั้นแล้ว ไม่ต้องพูดอะไรทุกคนก็รู้อยู่แล้ว มีแค่ผมที่ไม่รู้อะไรเลย ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่มันเลย