แฟน║FRIEND WITH BENEFIT
บทที่
-14-
อยากให้รู้ว่ารักเธอ
“ถึงแม้จะผิดหวัง แต่การได้รักใครสักคน ก็ทำให้เราได้ใช้หัวใจ”
“มึง ๆ อชิอัปฯ รูปลงเฟซวะ” ผมหันขวับ ทิ้งเกมตรงหน้าอย่างไม่สนใจว่าจะแพ้หรือเปล่า
“ไหนเอามาดูดิ” ผมว่า
“มึงไม่มีเฟซฯ อชิเหรอ”
“ไม่มี”
“ต้องให้ถึงมือกูอีกล่ะ” นิวจิปาก แต่ก็ยอมส่งมือถือมา
ผมหยิบขึ้นดูแล้วอยากแหกปากร้องดัง ๆ แต่ก็ทำได้แค่กรีดร้องแผดเสียงในลำคอ โมเมนต์แบบนี้คนแอบรักเท่านั้นที่จะเข้าใจ
อชิตะเอาข้อความจากโน้ตใบสุดท้ายโพสต์ ผมส่งไปว่า ‘ชอบ’
“มึงเอาไงต่อดีวะ” ผมหันไปปรึกษานิว
“รอบหน้ามึงก็เอาของไปให้มันเอง แล้วลองสารภาพดู”
“จะดีเหรอวะ”
“มาถึงขั้นนี้ละ กลัวอะไร”
ก็จริงอย่างที่มันว่า แต่มันก็เสี่ยงอยู่นา...
“มึงกูยืมเฟซฯ มึงหน่อยดิ”
“?”
“กูอยากโพสต์ แต่ถ้าโพสต์เฟซฯ กู อชิไม่รู้แน่”
“โพสต์ไร?”
"โพสต์อะไรดีวะ กูอยากให้เขารู้เป็นนัย ๆ" หยุดคิดอยู่ครู่ ผมก็ลองหาแคปชันเสี่ยว ๆ แต่ก็ดูตลกไป สุดท้ายนิวก็บอกให้โพสต์เพลง
"มึงโพสต์แล้วแท็กกูมาไม่ดีกว่าเหรอ กูโพสต์ไป อชิก็ไม่รู้หรอกว่าเป็นมึง"
"เอางั้นเหรอวะ"
"เออ เชื่อกู" ว่าจบมันหันไปเล่นเกมต่อ
ผมเลือกเพลงที่สื่อถึงความรู้สึกของตัวเองอย่างเพลงสักวันหนึ่ง ของ มาริสา ผมฟังครั้งแรกจากภาพยนตร์เรื่องสิ่งเล็ก ๆ ที่เรียกว่ารัก แม่งโคตรตรงกับชีวิตคนแอบรัก
หาเพลงได้ ผมก็จัดการโพสต์เอง แท็กเอง อนุมัติเอง ปิดคอมแล้วบอกลานิวทันที
วันนี้ผมกลับบ้านเอง ปกติแล้วถ้าเล่นเกมหลังเลิกเรียน ผมจะให้นิวมาส่งที่บ้าน แต่วันนี้ผมมีเรื่องที่อยากทำ และฟ้าก็เข้าข้างผมด้วย เพราะแม่ออกเวร เลยว่างอยู่บ้านทั้งวัน
ผมวิ่งปรี่เข้าไปกอดย่างอารมณ์ดี
“คุณนาย...”
“อะไรกัน อยู่ ๆ มากอดแม่เนี่ย” ผมไม่ตอบ หอมแก้มแม่ไปฟอดใหญ่ วิ่งขึ้นห้องไปเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้ววิ่งตรงไปยังห้องเก็บของ เพื่อหาอุปกรณ์ที่พอมี
จำได้ว่าแม่เคยเก็บเอาไว้ในนี้นะ...
แม่จัดทุกอย่างเป็นระเบียบ ทำให้หาของง่าย ผมถือไม้นิตติ้ง กับก้อนไหมพรมสีขาว กับสีฟ้าอีกสองสามก้อนออกมาด้วย
“คุณนายสอนผมหน่อย” แม่มองหน้าอย่างประหลาด แต่ผมก็ไม่ได้ลงรายละเอียด บอกแค่ใกล้หน้าหนาวแล้ว
แต่ก็ใกล้เข้าหน้าหนาวแล้วจริง ๆ นั่นแหละ
ผมตั้งใจจะถักผ้าพันคอ แล้วเอาไปให้อชิตะด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าข้อความที่เขาโพสต์จะไม่ได้มีใจความอะไรมากมาย แต่ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี
“คุณนายทำไมตรงนี้มันพันกัน” ผมชอบนั่งมองเวลาแม่ถักไหมพรมบ่อย ๆ มันดูเหมือนง่าย แต่พอได้ลองถักเองเรื่อย ๆ เหมือนผมจะเริ่มงง แล้วก็กลับมาเข้าใจ แล้วก็งงอีกครั้ง มันเป็นแบบนี้วนไปวนมา
หลังจากคล่องมือ ผมก็เอาขึ้นมาถักต่อในห้องนอนของตัวเอง ถักตัดสลับสีฟ้าขาว แถวแรกมันจะเยินหน่อย ๆ แต่พอเริ่มชินก็เริ่มเป็นทรงมากขึ้น
“สกายกินข้าวลูก” เสียงแม่ตะโกนบอก
“ผมไม่หิวครับ” ผมตอบ
นาทีนี้ผมลืมความหิวไปหมดแล้ว อยากรีบถักให้เสร็จเร็ว ๆ จะได้เอาไปให้อชิตะ
จากหนึ่งแถวเพิ่มเป็นสอง ขยับมาเป็นสาม นั่งถักจนดึกก็พลอยหลับไปทั้งที่ยังไม่อาบน้ำ
ตื่นมาอีกทีก็เช้าเสียแล้ว สิ่งแรกควรเป็นล้างหน้าล้างตา แต่ผมกลับเลือกหยิบไม้นิตติ้งขึ้นมาถักต่อจากเมื่อคืน ขนาดผมเข้าไปอึ ยังเอาไปนั่งถักข้างในด้วยเลย
จะว่าไปมันก็เพลินดีเหมือนกันนะ
“อะไรกันเนี่ย จะถักทั้งวันเลยหรือไง” แม่ถามเสียงใส
“ผมรีบใช้”
“แทนที่จะเอาเวลาไปอ่านหนังสือ จะสอบกลางภาคแล้วไม่ใช่หรือไง!”
“เอ๊ะ! คุณนี่ยังไง วันหยุดก็ให้ลูกพักบ้างไม่ได้เหรอ”
“คุณนายผมขึ้นไปข้างบนนะ” ว่าจบผมก็ลุกจากโซฟาตัวยาว
ผมคุยกับแม่เรื่องเรียนต่อแล้ว แม่ยังไม่ให้บอกพ่อ รอให้ผมได้ที่เรียนแล้วค่อยบอกทีเดียว เดี๋ยวแม่จะเป็นคนคุยเอง
อยากหนีออกจากบ้านทุกครั้งที่พ่อพูดถึงเรื่องเรียน มันอึดอัด มันกดดัน เหมือนตัวเองทำให้พ่อผิดหวังยังไงก็ไม่รู้
ผมเกลียดความรู้สึกนี้ที่สุด...
พักกลางวันนี้ผมได้ข้อความจากใครบางคน เป็นคนที่ผมรอมาตลอดหลายวัน เขาต้องการเจอผมเพื่อเอาของมาให้ด้วยตัวเอง
ผมไปยังจุดนัดหมายตามที่ในกระดาษโน้ตเขียนเอาไว้ นั่งรออยู่พักใหญ่ คนที่เดินเข้ามาก็ทำให้ผมตกใจ
สกายเป็นคนส่งโน้ตพวกนี้เหรอ?
เหมือนมีความรู้สึกบางอย่างเข้าแทรก มันทั้งตกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน แต่พอนึกถึงเรื่องที่สกายกับนิวคบกัน ผมก็รู้สึกโกรธขึ้นมาซะงั้น
ยังไม่อยากเจอหน้าเขาในตอนนี้เลย...
ผมตั้งท่าจะลุกเดินหนี แต่ทว่าเสียงของสกายก็ฉุดให้ผมต้องหยุด
“เดี๋ยวสิ...”
“...?” สกายหยิบเอาของบางอย่างออกมาจากกระเป๋านักเรียน พร้อมกับโน้ตหนึ่งแผ่น
พอมองออกว่ามันเป็นไหมพรม แต่ไม่รู้ว่าคืออะไร เพราะมันถูกพับเอาไว้เป็นระเบียบ “ของใคร?” ผมถามเสียงเรียบ แต่ก็รับผ้ามาไว้ในมือ
มันคือผ้าพันคอ
“คือ...” สกายยืนนิ่ง ไม่ยอมพูดอะไรจนผมเองต้องเป็นคนเริ่มพูด เพราะรู้สึกอึดอัด ยิ่งเห็นหน้าสกายผมก็ยิ่งอยากออกไปจากตรงนี้
“งั้นเราไปก่อนนะ”
“เดี๋ยวสิ คือว่า... เราเดินผ่านมาพอดี มีคนตรงมุมตึกขอให้เราเอามาให้อชิ” ผมถอนหายใจ ยัดผ้าพันคอคืนใส่มือสกาย
“งั้นก็ฝากบอกด้วยนะว่าเลิกส่งมาได้แล้ว รำคาญ ไม่ชอบ มันไร้สาระ!”
เขายืนนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วพูดโพล่งออกมาจนผมตกใจ “ก็เอาไปให้เองดิวะ กูไม่ใช่นกพิราบนะเว้ย” ว่าจบก็หมุนตัวเดินออกไป
เขาไม่เคยขึ้นกูขึ้นมึงกับผมเลย นี่เป็นครั้งแรก ผมได้แต่ยืนงงกับเหตุการณ์
สกายเดินย้อนกลับมาอีกครั้ง เพราะเดินเลยถังขยะ เขาเอาผ้าพันคอทิ้งลงถังขยะ แล้วเดินกระแทกเท้าจากไป
เหลือผมที่ยืนอยู่ตรงนี้คนเดียว โน้ตแผ่นเล็กตกอยู่ที่พื้น คงเพราะโมโหมาก สกายเลยไม่ทันสังเกต
ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน ‘ใกล้หน้าหนาวแล้ว เราถักเองเลยนะ :’) ' ผมฉีกยิ้มกับข้อความ ทุกอย่างพังหมดแล้ว เพียงเพราะผมไม่อยากเจอสกายเท่านั้น ที่ผ่านมาผมรออ่านข้อความของเขามาตลอดแท้ ๆ
จากนี้ไปคงไม่มีอีกแล้วสินะ...
เวลายังคงเดินต่อไปข้างหน้า ผันผ่านจากวันเป็นเดือน ผมได้ที่เรียนต่อแล้ว เราทุกคนต่างต้องเดินไปข้างหน้า เติบโตและเรียนรู้ ก้าวเข้าสู่อีกช่วงวัย...
หลังจากวันนั้นผมก็ไม่ได้คุยกับสกายอีกเลย อยากขอโทษ แต่ไม่มีโอกาส สกายเอาแต่หลบหน้า ผมเลยเลิกเข้าไปวุ่นวาย ไม่อยากให้เขาอึดอัดไปมากกว่านี้ แต่กับนิวผมยังมีคุยกันบ้างเหมือนอย่างตอนนี้
“นะอชิกูขอ”
“ไม่เอาพวกมึงไปกันเถอะ”
นิวมาชวนผมไปเที่ยวเชียงใหม่ส่งท้าย เพื่อนหลายคนก็ไปกัน รวมถึงสกาย
และเพราะสกายไปผมถึงไม่อยากไป อยากให้เขาเที่ยวสนุก ๆ ถ้าผมไปด้วยเขาคงจะอึดอัด
“ไปเถอะ กูขอนะ ไหน ๆ เราจะแยกย้ายกันแล้ว อย่างน้อยก็ได้เลี้ยงส่งกันหน่อย สกายก็อยากให้มึงไปนะเว้ย”
“...”
จริงเหรอ?
“ไปเถอะ กูอ้อนมึงมาครึ่งชั่วโมงแล้วนะอชิ”
“เออ ๆ พรุ่งนี้กี่โมง”
“สองทุ่ม ไปถึงก็เช้าพอดี”
“อืม” ผมตอบสั้น ๆ
นิวขอตัวกลับในทันที เพราะต้องไปรับสกายมานอนที่บ้าน ส่วนผมก็เดินกลับเข้ามาขออนุญาตแม่ โชคดีที่พี่สายกลับมาอยู่บ้านแล้ว ผมเลยไม่ต้องเป็นห่วงว่าแม่จะอยู่คนเดียว ช่วงนี้แกป่วยบ่อยมาก
ผมขึ้นมาเก็บกระเป๋าเตรียมเดินทางในวันพรุ่งนี้ แล้วเช็กสภาพอากาศเชียงใหม่ล่วงหน้า เพื่อจะได้รู้ว่าต้องเอาอะไรไปเพิ่มอีกหรือเปล่า
ผมให้พี่สาวมาส่งก่อนเวลาหนึ่งชั่วโมง มีเพื่อนในห้องบางคนมาก่อนแล้ว คิรินเองก็มาด้วยเช่นกัน ผมโทรไปชวนเขาเมื่อคืน ผมไปเขาเลยยอมมาด้วย คิรินค่อนข้างเก็บตัว เขาไม่มีเพื่อนคนอื่นนอกจากผม
ไม่นานทุกคนก็มาครบ เราไปกันทั้งหมดสิบคน พอถึงเวลาที่ต้องไปจริง เพื่อนบางคนก็ติดธุระเลยเหลือกันแค่นี้
นิวอาสาไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้ทุกคน เมื่อถึงเวลาขึ้นรถ เราก็แยกกันนั่งเป็นคู่ ผมนั่งคู่กับคิริน สกายเองก็นั่งคู่กับนิว ผมมองสองคนนั้นหยอกกันจากด้านหลังอยู่เงียบ ๆ
ไม่นานรถก็เคลื่อนตัวออกจากสถานีขนส่ง เพราะเดินทางในช่วงกลางคืน พวกเราจึงหลับกันง่าย ตื่นขึ้นมาอีกทีก็หกโมงเช้า ถึงที่หมายพอดี
มาถึงก็มีเจ้าหน้าที่ที่คุยกันเอาไว้ก่อนหน้ามารอรับที่ท่ารถ เรามุ่งหน้าไปยังดอยค้ำฟ้า ระหว่างทางเจ้าหน้าที่ให้เราแวะซื้อของสดเอาไว้ เพราะข้างบนไม่มีร้านสะดวกซื้อ
การเดินทางเต็มไปด้วยมิตรภาพ และความสนุกสนาน ทั้งยิ้มทั้งหัวเราะ นิวเอากีตาร์มาด้วย เลยมีกิจกรรมให้ทำเยอะขึ้น
เมื่อถึงปากทางเข้าเจ้าหน้าที่ก็พาเราย้ายไปขึ้นรถอีกคัน เป็นรถที่เหมาะกับการเดินทางขึ้นเขามากกว่า จากตอนแรกที่สนุกก็เริ่มนั่งกันเงียบเพราะระหว่างทาง รถโยกไปโยกมา ฝุ่นตลบอบอวล หัวแดงไปตาม ๆ กัน
ใช้เวลาร่วมชั่วโมงเราก็มาถึงที่พัก เจ้าหน้าที่บอกกฎบางอย่างที่พวกเราจำเป็นต้องรู้ และให้พักผ่อนรอเวลาไปยังจุดชมวิว
ที่นี่มีบ้านพักบริการ แต่พวกเราเลือกกางเต็นท์กันข้างนอก เพื่อเอาบรรยากาศ
ตกเย็นเจ้าหน้าที่พาพวกเราไปยังจุดชมวิว อยู่ไม่ไกลจากที่พัก บรรยากาศยามเย็นหนาวจนต้องหยิบเสื้อที่หนากว่าปกติขึ้นมาสวม ลมโชยกระทบผิวหน้าจนขนลุกชัน
ท้องฟ้าถูกย้อมไปด้วยสีทอง ภูเขาวางซ้อนสลับสวยงามราวกับถูกจับวาง ความเมื่อยล้าระหว่างเดินทางหายเป็นปลิดทิ้ง
“ก็ใส่หมวกไว้ เดี๋ยวเป็นหวัด” นิวว่า
“ไม่เอาผมกูเสียทรง”
เสียงคุ้นหูกำลังยืนเถียงกัน นิวพยายามเอาหมวกให้สกาย แต่อีกคนดื้อดึงไม่ยอมท่าเดียว เถียงกันอยู่สักพักเพื่อนคนอื่นก็เริ่มเอ่ยปากแซว
“อะไรกับพวกมึง ยืนเถียงกันอย่างกับผัวเมีย”
“เดี๋ยวกูตบดิ้น” พูดจบสกายก็หันมามองผม ก่อนผมจะหลบตาผินหน้ามองบรรยากาศต่อ
เราเก็บภาพบรรยากาศกันจนเมมฯ แทบเต็ม ยืนดื่มด่ำสูดเอาอากาศบริสุทธิ์กันจนเต็มปอด เจ้าหน้าที่ก็พากลับมายังที่พักในเวลาต่อมา
ตกดึกเราแบ่งหน้าที่กันทำอาหาร ผมได้มาล้างผักกับสกาย คิรินถูกใช้ให้ไปย่างหมูกับนิว อยากชวนเขาคุย แต่ก็ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี ได้แต่มองหน้าสลับกับมองผักในมือ
“เดี๋ยวเรายกไปเอง” ผมว่า
“ไม่เป็นไร ช่วยกันก็ได้” ผมพยักหน้ารับ แบ่งผักกลับมาที่โต๊ะ
อาหารทั้งหมดถูกนำมาวางไว้ เราก็เริ่มนั่งทาน และเริ่มพูดคุยกันอย่างออกรสออกชาติ
หลังทานข้าวเสร็จ เก็บล้างทุกอย่างเข้าที่ เราก็พากันไปนั่งที่หน้าเต็นท์ของดิว มีกองไฟเล็ก ๆ ที่เจ้าหน้าที่เป็นคนก่อให้ นิวหยิบกีต้าร์ขึ้นมาร้องเพลง ข้างบนนี้มีพวกเราแค่สิบคน กับเจ้าหน้าที่ที่พักอยู่ไม่ไกล จึงสะดวกที่จะร้องเพลงและพูดคุย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสียงดังโหวกเหวก
“นี่ ๆ กูเอาของดีมา” ว่าจบ ดิวก็หมุดกลับเข้าเต็นท์ หยิบเอาขวดชาเขียวติดมือมาห้าขวด
“ชาเขียว” นิวหรี่ตามอง
“เดี๋ยวรู้” ดิวฉีกยิ้ม ลุกขึ้นไปหยิบแก้วมาตามจำนวนคน แล้วรินเครื่องดื่มลงไป นิดเดียว “มาเที่ยวทั้งที่เล่นเกมกันหน่อย”
ผมยกแก้วขึ้นดม ก็พอรู้ว่ามันคือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
“แต่เรายังอายุไม่ถึงกันเลยนะ กินเหล้าแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” คิรินว่า
“โฮ ไอ้อ้วนมึงคิดอะไรเยอะแยะ กินเอาสังคมมึงรู้จักไหม” นิวตอบ
“พอ ๆ ไม่ต้องทะเลาะกัน มึงดูมันดิ เนิร์ดขนาดนั้นจะไปรู้เรื่องอะไร มา ๆ เล่นเกมกันดีกว่า” ว่าจบดิวก็เริ่มอธิบายกติกาเกม “กูเสนอเกม ‘กูไม่เคย’ ถ้ากูพูดว่ากูไม่เคย... แล้วใครเคยต้องแดก เรามาวอร์มกันก่อนหมดแก้วสิครับ” ว่าจบทุกคนก็ยกเครื่องดื่มในมือขึ้น กระดกรวดเดียวหมดแก้ว ก่อนดิวจะเป็นคนเริ่มรินเครื่องดื่มให้ใหม่
“กูขอก่อน” นิวว่า “กูไม่เคย...ไม่ช่วยตัวเอง ใครเคยแดกครับ”
“โฮ ไอ้นิวคำถามเหี้ยอะไรเนี้ย” ไม่มีใครไม่ดื่ม ยกเว้นคิริน
“ไอ้อ้วนมึงไม่เคยจริงดิ” นิวว่า
“...” คิรินพยักหน้ารับ ทุกคนลงความเห็นว่าคิรินเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ดื่มจึงได้สิทธิถามต่อ “เราไม่เคยติดศูนย์” สิ้นสุดคำถาม ทุกคนก็ร้องครวญคราง มีผมกับคิรินที่ไม่ได้ยกดื่ม ที่เหลืออีกแปดคนล้วนผ่านประสบการณ์ติดศูนย์กันมาหมด
"ขนาดคำถามมึงยังเนิร์ด" ดิวว่า
“นั้นดิ” แม็กที่นั่งอยู่ถัดจากผมเห็นด้วยกับดิว “คำถามต่อไปกูขอ... กูไม่เคย...ชอบผู้ชาย” ทุกคนนิ่งสนิท มีเพียงนิวคนเดียวที่ยกขึ้นดื่ม
ทุกสายตามองไปยังนิว “มองทำไม ไม่เห็นจะแปลก” นิวยกไหล่อย่างไม่สนใจ
“งี้มึงกับสกาย...?”
“ถ้าจะเป็นผู้ชายกูขอใครก็ได้ ที่ไม่ใช่นิวอะ ฮ่า ๆ” สกายว่า หัวเราะจนตัวโยน
“ระวังเถอะพวกมึง กูเห็นมาเยอะหยอกกันไปกันมาได้กันเอง”
“ไม่มีทาง” สกายส่ายหน้าไหว ๆ
“ต่อ ๆ กูขอถาม” ปราชญ์ยกมือขอ “คำถามคลาสสิกที่พลาดไม่ได้ กูไม่เคยแอบชอบเพื่อนตัวเอง ใครเคยแดกครับ”
ผมชั่งใจอยู่ครู่ แต่ก็ยกดื่ม มีหลายคนที่ยกดื่ม รวมถึงนิว กับสกายด้วย แต่ที่น่าตกใจคือคิรินเองก็ดื่มด้วยเช่นกัน
“ไอ้นิว! มึงเคยแอบชอบเพื่อนด้วยเหรอวะ” ดิวว่า
“เปล่า...กูแค่คอแห้ง” ผมรู้ว่าที่นิวยกขึ้นดื่ม เพราะเขาเองแอบชอบสกาย แต่เรื่องนั้นก็ไม่สำคัญแล้วแหละ การที่เขาทั้งคู่ยกขึ้นดื่มมันก็ชัดแล้ว
“แล้วมึงล่ะอชิ ยกแดกแสดงว่ามี” ดิวหันมาถามผม
“อืม” ผมตอบสั้น ๆ
“เฮ้ย! ใครคือผู้โชคดีวะ” ทุกคนมองอย่างสนอกสนใจ
“เพื่อนน่ะ...ตอนนี้เขามีแฟนไปแล้ว”
“เหี้ย...เศร้าเลย” ปราชญ์ว่า “งั้นมึงถามต่อเลยอชิ”
“...กู---” ยังไม่ทันถาม สกายก็พูดแทรกขึ้นมาก่อน
“กูขอไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ” ว่าจบเขาก็ลุกออกไป โดยที่นิวเองก็เดินตามไปติด ๆ
“มึง กูว่าพวกมันสองคนยังไง ๆ อยู่นะ”
“กูก็คิดงั้นนะบีหนึ่ง”
พวกเรายังนั่งเล่นเกมกันต่อ ไม่นานนิวก็เดินกลับมา แต่เขากลับมาเพียงคนเดียว สกายปวดหัวเลยขอตัวไปนอนก่อน
เวลาล่วงเลย ทุกคนเริ่มไม่ไหวขอตัวเข้านอน ส่วนคนที่ยังไม่ง่วงก็นั่งดื่มกันต่อ
ผมขอตัวออกมาเข้าห้องน้ำ แต่สายตาดันเห็นว่าสกายนั่งพิงต้นไม้อยู่ห่างจากจุดที่เรานั่งสังสรรค์ ไม่รู้เลยว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่แล้ว
ผมเดินกลับมาที่เต็นท์ของตัวเอง หยิบเอาหมวกไหมพรมติดมือ เท้าสาวตรงไปยังจุดที่สกายนั่งอยู่
“เราขอนั่งด้วยได้ไหม”
“...” สกายไม่ตอบ แต่ก็พยักหน้ารับเป็นการอนุญาต
“ใส่ไว้สิ เห็นนิวบอกว่าสกายปวดหัวอยู่ น้ำค้างมันเยอะ”
“ถ้าเราใส่ แล้วอชิจะใส่อะไร” ผมฉีกยิ้มดึงฮู้ดขึ้นสวม สกายจึงยอมรับหมวก
“ปวดหัวไม่ใช่เหรอ ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ”
“ตรงนี้ดาวสวย”
“...”
ก็จริงอย่างที่เขาว่านั่นแหละ บริเวณนี้โล่งมาก เห็นท้องฟ้าได้เต็มตา วันนี้ท้องฟ้าโปร่งเลยได้เห็นดาวส่องแสงระยิบระยับ ประดับอยู่บนท้องฟ้ามืด
เราทั้งคู่ไม่มีใครพูดอะไรอีก นอกจากนั่งมองดาวอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งสกายเริ่มพูดขึ้น
“ดาวสวยเนอะ เสียดายที่ตอนกลางวันมองไม่เห็น”
“เพราะแสงจากดวงอาทิตย์กลบหมดไง” ผมว่า
“เราก็คงทำได้แค่รอให้ตะวันลับขอบฟ้าสินะ”
“ถึงตอนกลางวันจะไม่เห็น แต่ดาวก็ยังลอยเด่น คู่กับท้องฟ้าตลอดนะ...”เราฉีกยิ้มกว้างให้กัน ครั้งสุดท้าย
มันยังคงฝังลึกในม่านความทรงจำ ก่อนที่เราต่างแยกย้ายกันไปเติบโต
วันทรงจำของผมชื่อ
สกาย...@งานเลี้ยงรุ่นที่สี่สิบเก้า ปี 2564“ไงอชิ ปีนี้ก็มาอีกเหรอ” คิริน เด็กอ้วนตอนนั้น ได้กลายเป็นหนุ่มหล่อ กล้ามแน่น นักธุรกิจใหญ่ที่มีหุ้นส่วนทั้งในและต่างประเทศ ปกติคิรินจะอยู่เมืองนอกเป็นหลัก
“อืม แล้วนี่มาอยู่ไทยนานไหม” ผมว่า
"รอบนี้อยู่ยาวไม่มีกำหนด พ่ออยากให้มาประจำที่ไทย"
“ไว้เรานัดกินข้าว เจอกันบ่อย ๆ คิดถึง”
“ได้ดิ หล่อแล้วแต่เราก็ยังเพื่อนน้อยเหมือนเดิมนะ ฮ่า ๆ” ผมยืนคุยกับคิรินอยู่พักใหญ่ เพราะนาน ๆ เจอกันที
เพื่อนคนอื่น ๆ ก็แวะเวียนเข้ามาทักทาย ถามสารทุกข์สุกดิบกันไปเรื่อย จริง ๆ ผมไม่อยากมาเท่าไหร่ ที่มาเพราะหวังใจจะได้เจอคนในความทรงจำ แต่ปีแล้วปีเล่า ผมก็ไม่เคยเห็นเขาโผล่มา
โลกโซเชียลของเขาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆ นอกจากเพื่อนเก่าของผมจะเป็นคนอัปฯ รูป แต่มันก็ไม่เคยถูกแท็กถึงเจ้าตัวสักครั้ง เขากลายเป็นคนสาบสูญ หายไปจากวงจรชีวิตผม...
แต่ปีนี้มันต่างออกไป...
“อชิ ๆ ปีนี้ไอ้นิวลากสกายมาได้วะ” ดิวเดินเข้ามาโอบไหล่ ชี้ไปทางนิว
มันเหมือนม้วนฟิล์มเก่าถูกดึงออกมาฉายใหม่ ภาพในวันวานที่เคยคิดว่าถูกกาลเวลาพรากไป มันได้ตอกย้ำว่าผมยังรู้สึก
หัวใจเต้นเร็ว แต่ทว่าภาพมุมมองกลับเคลื่อนไหวช้าลง จังหวะที่สกายมองมายังผมแล้วฉีกยิ้ม เหมือนเวลาของผมถูกหยุดเอาไว้ ผมไม่เคยลืมเขาได้เลยสักวัน...
#แฟนwithbenefits
เรื่องนี้ต้องตีนิว ก่อนเลย // วิ่งไปหยิบไม้เรียว
*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-*-
*ชื่อตอนเพลง อยากให้รู้ว่ารักเธอ - Joni Anwar
-กำลังทยอยแก้คำผิด-