แม้ว่าทุกคนจะมองว่าไอ้เเจ๊สทำลงไปเพราะอารมณ์ แต่ผมก็รู้สึกได้ว่ามันมีบางอย่างที่เปลี่ยนไประหว่างผมกับไอ้เเจ๊ส...
เริ่มจากผมก่อนเลยคือผมเริ่มพูดอะไรไม่ออกบอกอะไรไม่ถูก อ้ำๆอึ้งๆเวลาไอ้แจ๊สมันมาอยู่ใกล้ๆ ยอมรับก็ได้ว่าพอเผลอผมก็คิดถึงเรื่องของมัน
ส่วนไอ้แจ๊สเองก็เข้าหาผมมากขึ้น ผมว่ามันคุยกับผมบ่อยขึ้น เวลาเดินกันเป็นกลุ่มมันก็มาเดินข้างผมมากกว่าแต่ก่อน แล้วสักพักมันก็เริ่มโทรมาคุยกับผม มันไม่ได้โทรหาผมบ่อย วันหนึ่งก็สักครั้งหรือไม่ก็วันเว้นวัน แล้วก็ไม่ได้คุยกันเรื่องส่วนตัวมากนัก มันก็ชวนผมคุยเรื่องคนโน้นคนนี้ ชวนคุยเรื่องหนัง เรื่องกิน เรื่องเที่ยว จริงๆแล้วผมว่ามันก็คุยเก่งกว่าที่ผมคิดเยอะนะ
ผ่านไปสักพักผมกับไอ้เเจ๊สก็เริ่มสนิทกันมากขึ้น เราเริ่มไปเดินเที่ยวสยามด้วยกันบ่อยขึ้น บางครั้งมันก็เป็นฝ่ายชวนบางครั้งผมก็ชวนมัน ที่โรงเรียนผมกับแจ๊สก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด จนเพื่อนๆหลายคนเริ่มสงสัย ก็มีคนแซวบ้าง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจ ผมเองก็ไม่ได้โง่ ผมรู้ว่ามีบางอย่างกำลังเปลี่ยนไประหว่างผมกับแจ๊สแต่ผมก็ไม่กล้าคิดเข้าข้างตัวเองเหมือนกัน อีกความรู้สึกหนึ่งของผมคือผมชอบที่ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้มากกว่าเพราะผมเองก็ยังไม่พร้อมที่จะเริ่มคบกับใครสักคน
ปีสุดท้ายพวกเราเด็กม.6 มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดงานเลี้ยงประจำปี พวกเราทุกคนต่างก็ตื่นเต้นพวกเพื่อนๆผมหลายคนได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้ารับผิดชอบในหลายๆหน้าที่ สำหรับผมซึ่งเป็นประธานนักเรียนก็ต้องรับหน้าที่หลักในการประสานงานและคอยดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างเพื่อให้มั่นใจว่างานประจำปีปีนี้จะออกดีเหมือนกับทุกๆปีที่ผ่านมา ตั้งแต่เริ่มคุยงานกันได้ไม่ถึงเดือน ผมก็มีงานล้นมือจนดูแลไม่ไหว ผมต้องให้เพื่อนๆที่ผมไว้ใจแบ่งงานไปรับผิดชอบแล้วคอยนัดพวกมันมาประชุมงานกับผมทุกอาทิตย์ แต่มันก็ไม่ได้ช่วยให้ผมเบางานมากขึ้นเท่าไหร่ เพราะผมก็ยังต้องดูแลงานอื่นๆในส่วนของกรรมการนักเรียนควบคู่ไปด้วย มันเหนื่อยนะครับ ไหนจะเรียนไหนจะงาน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจหาเพื่อนมาทำหน้าที่เลขาสักคน ตอนเเรกผมจะให้ไอ้ต้นกับไอ้บิวมาช่วยแต่มันสองคนก็งานเยอะ ผมเลยชวนไอ้แจ๊สแทน
บุคลิกของไอ้เเจ๊สคือมันเป็นคนเงียบๆ ขี้อาย ไม่กล้าแสดงออกเพราะฉะนั้นผมถึงไม่แปลกใจที่พอพูดกับมันได้ยังไม่จบประโยคดีมันก็ปฏิเสธ แต่ฝีมือระดับผมแล้ว … คือถ้าผมจะให้มันเป็นต้นไม้ยังไงมันก็ต้องเป็นต้นไม้ล่ะครับ จำได้ว่าวันเเรกที่ผมพามันเข้าไปคุยงานกับอาจารย์มันไม่พูดอะไรออกมาสักคำ นั่งเฉยๆ ถามคำตอบคำ พอออกมาจากห้องเท่านั้นล่ะครับ มันตบหัวผมจนหน้าแทบคว่ำ
แล้วบอกผมว่า
“มรึงอย่าเอากรูเข้าไปในนั้นอีก”
ถ้าคิดว่านี่หนักแล้วเวลาประชุมมันอาการหนักกว่านี้อีก พี่ๆนึกถึงภาพห้องประชุมที่มันเป็นโต๊ะตัวใหญ่แล้วมีคนนั่งอยู่เป็นสิบๆคน ไอ้แจ๊สมันไม่นั่งข้างผมนะครับ มันลากเก้าอี้มานั่งข้างหลังผมแล้วเวลามันจะพูดหรือจะแสดงความคิดเห็นอะไรมันก็จะกระซิบผม ถามอะไรมันก็บอกว่า “แล้วแต่มรึง” มันทำแบบนี้จนคนอื่นแซวว่าจริงๆแล้วผมไม่ไดเเป็นประธานหรอกไอ้เเจ๊สต่างหากเพราะมันคอยกระซิบผมแล้วผมก็พูดตามที่มันบอก
แต่คนเรามันก็มีพัฒนาการครับผ่านไปได้เดือนกว่าผมก็เริ่มรู้สึกว่ามันกล้าแสดงออกมากขึ้น จากที่ไม่กล้าเข้าไปคุยกับอาจารย์ ตอนนี้มันเข้าไปนินทาผมให้อาจารย์ฟังเฉยเลยครับและจากที่มันไม่เคยพูดอะไรเวลาประชุม ตอนนี้มันยิงแหลก ใครเสนออะไรมามันถามๆๆ กลุ่มไหนลาไปทำงานแล้วโดดเรียนบ่อยๆนี่มันด่ากระจาย ผมแอบยิ้มภูมิใจกับพัฒนาการของมันนะครับเพราะผมปั้นมันมากับมือ
ตอนนั้นผมกับไอ้แจ๊สสนิทกันมาก จากที่คุยกันไม่บ่อยตอนนี้เราโทรคุยกันทุกคืนก็เรื่องงานบ้างเรื่องส่วนตัวบ้าง ไปไหนต้องเดินไปด้วยกันตลอด เหมือนมันเป็นเงาตามตัวผม และก็แน่นอนครับว่ามันตามมาพร้อมกับเสียงกระซิบจากคนรอบข้างว่าผมกับไอ้แจ๊สเป็นแฟนกัน เพื่อนๆกลุ่มผมก็ถามว่าผมกับไอ้แจ๊สเป็นแฟนกันเหรอ ทำไมไปไหนต้องไปด้วยกันตลอดแต่ทั้งผมและแจ๊สต่างก็ปฏิเสธ ผมเคยถูกแซวว่า
“นิวครูให้ขนม อะๆให้ 2 ชิ้น ไปแบ่งกับเเจ๊ส ถือว่าครูให้เป็นของหมั่น ... แต่งกันเมื่อไหร่อย่าลืมมาเชิญครูนะ” ผมก็รับขนมมาแล้วยื่นอีกอันนึงไปให้ไอ้เเจ๊ส ผมอายจนได้แต่นั้งก้มหน้าส่วนมันก็หัวเราะชอบใจใหญ่
ไอ้เเจ๊สเองก็มีแฟนคลับหลายคนเหมือนกันและตั้งแต่ผมกับมันมีข่าวด้วยกันผมว่าน้องๆที่กรีดมันน้อยลงไปหลายคนเหมือนกัน ก็มีบางคนที่คลายกับไอ้นนท์คือทำเป็นไม่รู้ไม่สน ผมกับไอเเจ็สนั้งกินข้าวด้วยกันบางครั้งก็มีน้องเเรงๆเข้ามาคุยกับไอ้เเจ๊สแล้วก็ส่งสายตาจิกๆมาให้ผม ผมก็ขึ้นนะแต่โรงเรียนผมนะถ้ามีรุ่นพี่รุ่นน้องมีเรื่องกัน พี่จะโดนหนักกว่าแล้วผมจะโดนบวกเพิ่มด้วยเพราะเป็นประธานนักเรียน
สำหรับไอ้นนท์ตอนแรกผมคิดว่ามันน่าจะกลัวเท้าไอ้เเจ๊สจนหายเงียบไปแต่มันก็ไม่ได้เป็นเหมือนที่ผมคิด จริงๆแล้วมันหายไปแค่ไม่ถึง 2 สัปดาห์ ผมก็เริ่มเห็นหน้ามันเเวะเวียนเข้ามากวนประสาทผมอีก ผมล่ะกลัวที่สุดคือกลัวไอ้นนท์มันโดนเท้าไอ้เเจ๊สฟาดเข้าที่ปาก เพราะนับวันแจ๊สมันก็ยิ่งแสดงออกว่ามันไม่ชอบหน้าไอ้นนท์สุดๆ ทุกครั้งที่ไอ้นนท์เดินเข้ามาหาผมแม้มันจะคุยเรื่องงานแต่ไอ้เเจ๊สมันก็ชักสีหน้าหาเรื่องใส่ไอ้นนท์ทุกครั้ง แล้วไอ้นนท์ก็ใช้ย่อยยิ่งมันรู้ว่าผมมีข่าวกับไอ้เเจ๊สมันก็ยิ่งชอบเข้ามายั่วโมโหไอ้เเจ๊ส
จนกระทั่งอยู่มาวันหนึ่ง ไอ้เเจ๊สก็เกิดน็อตหลุดขึ้นมาซะดื้อๆ
ผมกำลังนั่งคุยกับเพื่อนๆอยู่ที่หน้าห้องแล้วไอ้นนท์ก็โผล่มา มันก็เข้ามาหยอดๆผมเหมือนทุกครั้งแต่ไอ้แจ๊สที่นั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของตึกสิครับ พอมันเห็นไอ้นนท์เข้ามาคุยกับผมมันก็เดินข้ามฝั่งมาหา ผมพยายามไล่ไอ้นนท์ตั้งแต่เห็นไอ้เเจ๊สลุกมาแล้วครับ หน้าไอ้เเจ๊สแบบว่าเอาเรื่องมาก แต่ไอ้นนท์แมร่งก็โง่ เตือนแล้วทำเป็นเก่งไม่ฟังที่ผมพูด พอเดินมาถึงไอ้แจ๊สไม่พูดอะไรเลยครับ ถีบไอ้นนท์จนล้มกลิ้งไปบนพื้น
ผมก็อึ้งครับ คิดว่าไอ้แจ๊สมันคงเข้ามาไล่ไอ้นนท์เฉยๆ ไม่คิดว่ามันจะลงมือลงไม้กัน
พอไอ้นนท์ลุกขึ้นมาแมร่งก็พุ่งใส่ไอ้แจ๊สเลยครับ ผมก็พยายามดึงไอ้เเจ๊สออกมาแต่มันก็เเรงควายมาก จนเพื่อนๆที่อยู่แถวนั้นต้องมาลากมันสองคนออกจากกัน เห็นไอ้นนท์แล้วก็สงสารมันนะครับ คงโดยไอ้เเจ๊สต่อยเข้าเต็มดั้งจนเลือดกำเดาไหล สภาพแมร่งเหมือนคนโดนรุมกระทืบ ส่วนไอ้แจ๊สก็แค่ปากแตกนิดหน่อย แล้วให้พี่เดาครับว่าใครซวยที่สุด … ผม …
เพราะไม่ถึง 20 นาทีชื่อของผม ไอ้แจ๊สและไอ้นนท์ก็ดังขึ้นจากเสียงตามสาย พวกเราโดนเรียกไปที่ฝ่ายปกครอง พอผมเดินเข้าห้องเท่านั้นล่ะครับ หน้าซีดเป็นเผือกต้มเลย มีอาจารย์ฝ่ายปกครองนั่งอยู่หนึ่งคน ข้างๆเป็นอาจารย์แดง อาจารย์ฝ่ายปกครองไม่ถามอะไรครับไอ้นนท์โดนตีไป 10ที ฐานมีเรื่องทะเลาะวิวาทและปีนเกลียวไปชกกับรุ่นพี่ ส่วนไอ้เเจ๊สโดนไป 20 ทีโทษฐานที่เป็นรุ่นพี่แล้วหาเรื่องรุ่นน้องรวมกับเป็นคนก่อเรื่อง ส่วนผมโดนอาจารย์แดงเทศน์อยู่เกือบชั่วโมง แถมโดนเรียกไปตีกลางลานกิจกรรมอีก 10 ที โทษฐานเป็นประธานนักเรียนประพฤติตัวไม่เหมาะสมและเป็นต้นเหตุของการทะเลาะวิวาท “นี่ผมควรจะดีใจไหม”
และอย่าคิดว่าไอ้เเจ๊สมันจะกลัวนะครับ พอพ้นตาอาจารย์ปุ๊บมันเดินดิ่งไปกระชากคอเสื้อไอ้นนท์เลยครับ
“กรูเตือนมรึงแล้วนะไอ้เหี้ย ถ้าไม่อยากเจอตรีนอีกก็อย่ามาเสือกกับแฟนกรู”
ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบเข้าไปดึงไอ้เเจ๊สออกมา ผมโกรธมากนะครับก็เพราะไอ้ความสิ้นคิดไร้สติของมัน ทำให้ผมต้องโดนตีประจานให้คนทั้งโรงเรียนเห็น แถมอาจารย์แดงก็ยังพูดอีกว่าผมเป็นประธานนักเรียนคนแรกในรอบ 10 ปีที่โดนเรียกมาตี ผมลากมันเข้ามาในห้องกรรมการนักเรียน ในนั้นมีเด็กม.ต้นนั่งเล่นกันอยู่ 2-3 คน ผมเลยขอให้น้องออกไปนอกห้องก่อน
โมโหมากครับ แต่ผมก็รู้ว่าที่มันทำแบบนั้นเพราะมันก็หวังดีกับผม ผมชักสีหน้า นั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็เงียบครับ ผมเป็นคนปากหมาครับ และก็รู้ตัวว่าเวลาโกรธผมจะยิ่งปากเสียมากขึ้นไปอีก ผมถึงเลือกที่จะนิ่งแล้วไม่พูดอะไร ไอ้เเจ๊สก็รู้จักนิสัยของผมดี มันก็นั่งเงียบๆอยู่ข้างๆผมเหมือนกัน จนในที่สุดผมก็อารมณ์เย็นพอจะพูดกับมันได้ ผมบอกมันว่าคราวหน้าให้ใจเย็นกว่านี้ ไอ้เเจ๊สมันก็ขอโทษผม
แน่นอนว่าทุกคนรู้เรื่องที่เกิดขึ้น วันรุ่งขึ้นพอผมเดินเข้าประตูห้องปุ๊บก็โดนแซวแบบไม่ยั้ง กระดานหน้าห้องถูกเขียนด้วยตัวอักษรขนาดใหญ่มากกกกกกกกว่า “Jazz Love New”
อายก็อายครับแต่ผมก็ทำเป็นยิ้มๆแล้วเอากระเป๋าไปวาง หลังจากนั้นเรื่องของผมกับแจ๊สก็กลายเป็นเรื่องสนุกปากของเพื่อนๆ แต่ผมกับแจ๊สก็ยังทำตัวเหมือนเดิม เราก็ยังสนิทกันเหมือนเดิม ไม่มีมากขึ้นหรือน้อยลง ผมกับแจ๊สทำงานเข้าขากันดีครับ มันรู้ว่าผมทำงาน style ไหน ชอบไม่ชอบอะไร
และในที่สุดวันงานประจำปีของโรงเรียนก็ใกล้เข้ามา ผมจำได้ว่ามันเป็นวันสุดท้ายของการเตรียมงานพวกเราทุกคนต้องช่วยกันย้ายข้าวของอุปกรณ์ต่างๆลงมาเตรียมพร้อม แล้ววันนั้นไอ้แจ๊สมันก็เกิดบ้าพาวน์อะไรของมันไม่รู้ ถอดเสื้อแบกของครับ คือแบบว่ากล้ามเป็นกล้าม six packs เป็น six packs
ขนาดผมที่ว่านิ่งแล้วตอนเห็นนี่ยังมีเขวเลยครับ แล้วพอมันเห็นผมมันก็เดินเข้ามาทัก ไอ้แจ๊สมันแย่งเอากล่องที่ผมถืออยู่ไปถือ แล้วมันก็ถือเก้าอี้ด้วยมือข้างเดียว ผมก็เขินนะครับ เป็นใครๆก็เขินทั้งนั้นแหละครับ คนหน้าแต่แบบมัน หุ่นแบบมันมายืนโชว์กล้ามอยู่ตรงหน้า ซึ่งฉากนี้มันก็เรียกเสียงแซวจากคนรอบข้างได้ดีเหลือเกิน ใครเดินผ่านไปผ่านมาก็ต้องหยุดแซวผม จำได้แค่ไอ้บิวมันเเซวว่า "มรึงสองคนไปส่งตาหวานกันที่อื่นไป”
คืนนั้นผมไปนอนบ้านแจ๊สครับ เพราะบ้านมันอยู่ใกล้โรงเรียน และพรุ่งนี้เราสองคนต้องมาถึงโรงเรียนแต่เช้า เราสองคนแวะกินข้าวกันหน้าปากซอยบ้านไอ้เเจ็ส กินข้าวมันไก่ครับ อร่อยดี กว่าจะกลับถึงบ้านมันก็เกือบ 4 ทุ่มแล้ว ผมก็เหนื่อยมันก็เหนื่อย พออาบน้ำ้เสร็จเราก็เตรียมตัวนอนแล้วครับ ผมนอนกับมันบนเตียง
“แจ๊ส กรูเครียดว่ะ” ผมนอนไม่หลับครับ กลิ้งไปกลิ้งมาอยู่เกือบชั่วโมง ผมรู้ว่ามันก็ยังไม่หลับเหมือนกัน
“เครียดไรวะ”
“เครียดเรื่องพรุ่งนี้ … กรูกลัวงานมันจะออกมาไม่ดี” ผมเป็นคนแบบนี้ล่ะครับ ทั้งๆที่เตรียมตัวมาดีแล้ว แต่วันก่อนหน้างานผมก็มักจะคิดมาก กลัวว่างานมันจะล่มบ้าง ออกมาไม่ดีเหมือนที่ผมคาดหวังไว้บ้าง
“มรึงทำเต็มที่แล้วนิว พวกเราทุกคนก็ทำกันเต็มที่แล้ว แมร่งออกมาดีแน่ มรึงไม่ต้องคิดมาก”
“กรูรู้ แต่ยังไงกรูก็กังวล”
“เลิกคิดมากแล้วนอนซะ พรุ่งนี้มรึงต้องใช้เเรงอีกเยอะ จะกลัวเหี้ยอะไรมีกรูอยู่ทั้งคน” แล้วมันก็เอื้อมมือมากุมมือผมเอาไว้ ผมไม่รู้ว่าผมคิดอะไร ถ้าเป็นคนอื่นผมคงสะบัดมือออก แต่สำหับแจ๊ส ผมปล่อยให้แจ๊สกุมมือผมเอาไว้
จริงๆแล้วผมก็นอนไม่หลับหรอกครับ แต่ก็หลับตาไปเรื่อยๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงนาฬิาปลุก
ผมกับแจ๊สไปถึงโรงเรียนตั้งแต่ยังไม่สว่าง ตลอดทั้งวันผมเดินไม่หยุด ข้าวกลางวันก็ไม่ได้กินเป็นชิ้นเป็นอัน จำได้ว่าไปแอบกินข้าวเหนียวหมูปิ้งของเพื่อนหลังเวที แล้วก็ไปแอบนอนงีบพักเอาแรงที่ห้องกรรมการนักเรียนนิดหน่อย ไอ้เเจ๊สดูต้นทางให้ครับ ก็เหนื่อยกันทั้งวันทั้งผมและไอ้เเจ๊ส แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดี หลังจากจบงานชีวิตผมก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง งานผมก็น้อยลงมีเวลาเอาไปนั่งเรียนหนังสือมากขึ้น แต่ผมกับไอ้แจ๊สก็ยังไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด แม้จะจบงานแล้วแต่เเจ๊สมันก็ยังช่วยงานอื่นๆของผมด้วย
วันนั้นผมชวนไอ้แจ๊สไปเอาของที่ห้องกรรมการนักเรียน มันก็เป็นช่วงสายๆของวันธรรมดาๆวันหนึ่งซึ่งก็ไม่มีใครอยู่ในห้อง ผมกำลังก้มๆเงยๆหาของ และผมก็รู้สึกว่าตัวเองถูกโอบกอดจากด้านหลัง ตกใจเหมือนกันครับ เพราะผมสามารถสัมผัสถึงลมหายใจของไอ้แจ๊สที่ไหลมากระทบอยู่ที่ซอกคอ มันใช้เวลาสักแป๊บผมถึงจะดึงสติตัวเองกลับมาได้
“แจ๊สปล่อย กรูไม่ชอบ” ผมแกะมือมันออกแล้วเดินออกจากห้องไปเลยครับ ผมไม่ได้โง่นะ ผมรู้ว่าแจ๊สคิดกับผมมากกว่าเพื่อนแต่ผมก็เลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นมาตลอดเพราะผมสบายใจกับความสัมพันธ์ของเราตอนนี้มากกว่า ผมกลับขึ้นมานั่งอยู่บนห้องสักพัก ไอ้แจ๊สก็เดินหน้านิ่งๆ มันเอาแฟ้มงานที่ผมลงไปหามาให้
หลังจากนั้นผมกับแจ๊สก็ยังเป็นเหมือนเดิม ผมรู้ว่าแจ๊สต้องหาทางพูดกับผม ผมเลยพยายามเลี่ยงสถานการณ์นั้น แต่สุดท้ายแล้วก็เป็นผมที่หนีความจริงไปไม่ได้ตลอด มันเป็นเย็นวันศุกร์หลังสอบเสร็จ พวกผมนัดกันไปกินข้าว ดูหนังที่สยาม กว่าหนังจะเลิกก็ 4 ทุ่มกว่าแล้ว หลังจากล่ำลากันเสร็จเพื่อนๆผมต่างคนต่างก็รีบกลับบ้าน ผมมารู้ตัวอีกทีก็เหลือแต่ไอ้แจ๊สแล้วที่ยืนอยู่ข้างผมและก่อนที่ผมจะได้คิดอะไร
“นิว มรึงรีบกลับเปล่าวะ”
“รีบ”
“ตอแหลสัด มรึงมาเป็นเพื่อนกรูหน่อย” แล้วมันก็กึ่งเดินกึ่งลากผมเข้าสยาม
พี่ๆคิดภาพสยามตอน 4 ทุ่มวันศุกร์นะครับ แมร่งโคตรเงียบ โซนที่มีคนเยอะแถบตรงข้าม Siam Dis. Siam Cen. หรือตรง Hard Rock มันก็ไม่พาผมไปหรอก แมร่งลากผมไปหน้าศูนย์หนังสือจุฬาฯ โคตรเงียบเลยครับ มีคนเดินขึ้นลงตึกบ้าง แต่ก็ไม่มาก ยังดีที่แถวนั้นสว่างแล้วก็มียาม ไม่งั้นผมคิดว่ามันคงลากผมมา
แล้ว
ไอ้แจ๊สมันก็นั่งอยู่ตรงบันไดแล้วก็ไม่พูดอะไร ผมที่นั่งอยู่ข้างๆรอให้มันพูดก็ได้แต่รอๆๆแล้วก็เหลือบมองมันด้วยหางตา มันทำหน้าเฉยๆ เหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ผมก็ดูออก มันกำลังคิดอะไรอยู่
“นิว คือกรู กรู...” แล้วมันก็อ้ำๆอึ้งๆไม่พูดออกมาสักที
“เอาจริงๆเลยนะ กรูชอบมรึงว่ะ … เป็นแฟนกรูนะนิว” ถามว่าผมแปลกใจไหมที่มันพูดแบบนี้ออกมาก็นิดหน่อยนะครับ เพราะผมรู้็ตั้งแต่ตอนที่มันลากผมมาแล้ววว่าวันนี้คงเป็นวันที่ผมต้องพูดความจริงกับมัน ผมเงียบและกั้นใจพูดความรู้สึกของผม...
“กรูก็รู้สึกดีกับมรึงนะ .............. แต่ว่าอย่าเลย กรูยังไม่พร้อมจะมีใครตอนนี้”
พี่ๆต้องเห็นหน้าไอ้แจ๊สเหมือนที่ผมเห็น ใจหนึ่งผมก็สงสารมันนะครับแต่ผมก็ไม่มีวันจะเอาความสุขของตัวเองไปแลกกับอะไรอีกแล้ว วันนั้นแจ๊สเปิดใจพูดกับผมทุกอย่าง มันเหมือนในละครที่ทุกอย่างเริ่มมาจากคำว่าเพื่อนแล้วพอเราเริ่มสนิทกันแจ๊สก็เริ่มชอบผม มันพูดอะไรออกมามากมายในขณะที่ผมไม่ได้พูดอะไรออกมาเลย
จนกระทั่งไอ้เเจ๊สมันคงรู้ตัวว่ามันเปลี่ยนใจผมไม่ได้ มันเลยเดินมาส่งผมเรียกรถ taxi กลับบ้าน ผมกลับถึงบ้านก็อาบน้ำนอน แต่นอนไม่หลับหรอกครับ ในหัวมันคิดถึงแต่เรื่องที่ไอ้แจ๊สพูด
“กรูชอบมรึงว่ะ เป็นแฟนกรูนะนิว”
... ไอ้แจ๊ส …
คนที่ใครๆหลายคนต่างก็ต้องอิจฉาผมที่ได้ยืนอยู่ข้างๆมันและยิ่งถ้ามีใครรู้ว่ามันขอผมเป็นแฟนผมก็คงถูกด่าว่าโง่ที่ปฏิเสธการเป็นแฟนกับไอ้เเจ๊ส ผมรู้ว่าผมโชคดีที่มันชอบผม
ครับ... ผมไม่ปฎิเสธว่าผมก็รู้สึกดีกับไอ้แจ๊สเหมือนกันแต่ผมไม่พร้อมที่จะมีใครตอนนี้จริงๆ ผมเคยคิดว่าผมลืมทุกอย่างและพร้อมจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งแต่ตั้งแต่วันที่มันกอดผมมันก็ทำให้ผมคิดถึงเรื่องราวร้ายๆระหว่างผมกับบาส ผมกลัวครับ กลัวการที่จะเริ่มรักใครสักคน กลัวที่จะยอมปล่อยให้ใครเข้ามาในชีวิตของผมเหมือนที่บาสเคยทำ และสิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือผมกลัวว่าผมจะเสียเพื่อนสนิทคนนี้ของผมไป
ผมกับบาสเราสองคนเริ่มต้นกันมาจากคำว่าเพื่อน ... เพื่อรสนิทแต่กลับจบลงด้วยการไม่มองหน้ากัน ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่กลัว “ความผูกพัน” ไปแล้ว ผมเลยเลือกที่จะไม่ยอมรับรู้ว่ามันรู้สึกกับผมมากกว่าเพื่อน ทั้งๆที่ผมก็รู้อยู่เต็มอกว่ามันชอบผม
หลังจากวันนั้นผมกับแจ๊สก็ถอยออกจากกันคนละก้าว มันไม่ค่อยโทรหาผมหรือมาอยู่ใกล้ๆผมเหมือนแต่ก่อน ผมก็เสียดายที่เหมือนเราสองคนจะสนิทกันน้อยลง แต่อย่างน้อยผมกับมันก็ยังคุยกันได้ มันก็ยังช่วยผมทำงานมาตลอด เราสองคนก็ยังไปเดินเล่นสยามกันบ้างและมันก็ไม่เคยพูดอะไรที่ทำให้ผมลำบากใจ … พอนานเข้าเรื่องราวของเราสองคนก็จางหายไป จนถึงตอนนี้มันก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีของผมคนหนึ่ง
ปล. พี่จำไ้ไหมว่าผมเคยบอกว่ามีเพื่อนแอบเอามือถือผมมาเล่นแล้วกดเจอข้อความที่บาสส่งมาง้อ เพื่อนคนนั้นคือไอ้เเจ๊สครับ