say-hi ในทวิตเตอร์ ฝากติด #เมื่อหินผาจรดสายน้ำ ด้วยนะคะ
ไม่ขออะไรมาก คอมเมนต์ให้กำลังใจกันหน่อยก็ดีจ้า
อย่าเป็นนักอ่านเงาเลย คนแต่งหมดกำลังใจเนอะ ครั้งที่ | “1”การปฐมนิเทศนักศึกษาปีที่หนึ่ง ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีด้วยกันทั้งหมดสามวันเพื่อเป็นการสานสัมพันธ์อันดีระหว่างเพื่อนร่วมชั้นปี และรุ่นพี่กับรุ่นน้อง รวมไปถึงการแนะนำการเรียนของคณะเพื่อให้น้อง ๆ ได้เตรียมตัวและเตรียมใจให้พร้อม และวันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของกิจกรรมนี้ ปีหนึ่งทุกคนมาถึงตั้งแต่เช้าแต่ก็คงไม่ทันรุ่นพี่ที่มาถึงก่อนแล้ว
สายน้ำที่เพิ่งมาถึงก็เดินเข้าไปนั่งต่อแถวตามสีของป้ายชื่อที่คล้องคออยู่ แบงก์กับตั้มเพื่อนที่เจอกันตั้งแต่วันแรกที่มาปฐมนิเทศนั่งอยู่ที่แถวแล้ว เมื่อทั้งสองคนหันมาเห็นก็ยกมือขึ้นทักทาย ก่อนจะย้ายมานั่งเรียงกันแทน
“แล้วนี่เดียร์ยังไม่มาเหรอ” สายน้ำถามไปถึงเพื่อนตัวเล็กอีกคน
“ยังนะ พวกกูมาก็ยังไม่เห็นเลย” แบงก์ตอบคำ ก่อนจะชี้นิ้วไปทางด้านหน้าเมื่อเห็นคนที่พูดถึงเดินเข้ามาด้านใน “อ้าว... นั่นไง มาพอดี มากับใครวะนั่น”
สายน้ำหันไปมองตามมือของเพื่อนใหม่ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันพลางจ้องมองคนที่ยืนอยู่ข้างเพื่อน แต่เพราะอีกฝ่ายยืนอยู่ด้านในแถมยังเห็นหน้าไม่ชัดเขาเลยมองไม่เห็น สุดท้ายก็เลิกสนใจพลางส่ายหน้ากับความคิดของตัวเอง
อาจจะแค่คนที่คล้ายกันก็ได้...
“ว่าไง มากันเร็วดีนี่” คนที่เพิ่งมาถึงยิ้มกว้างทักทาย “มาถึงกันนานแล้วเหรอ”
“กูกับแบงก์มาถึงพักใหญ่แล้ว แต่ไอ้สายน้ำเพิ่งมาถึง” ตั้มตอบคำถาม “เอ่อมึง มึงมีชื่อเรียกสั้น ๆ ไหม เรียกสายน้ำแล้วยาวว่ะ ให้เรียกสายหรือน้ำ”
“เรียกน้ำก็ได้ ส่วนใหญ่ก็เรียกกันแบบนี้” ตั้มพยักหน้ากับคำตอบของสายน้ำ
“ว่าแต่เมื่อกี้เดินมาพร้อมใครอ่ะ คนตัวสูง ๆ อ่ะ” แบงก์หันมาถามเดียร์บ้าง
คนที่เพิ่งนั่งลงเลิกคิ้วขึ้นก่อนจะร้องอ่อออกมาเบา ๆ “ก็... คนรู้จักน่ะ”
“วะ! ก็ต้องคนรู้จักไหมล่ะ ไม่งั้นมึงจะเดินมากับเขาได้ยังไง กวนเหมือนกันนะเราอ่ะ” แบงก์แทบอยากจะยกมือขึ้นเขกหัวเพื่อน
เดียร์หัวเราะชอบใจกับท่าทางนั้น ก่อนจะชี้นิ้วไปทางด้านหน้าแทนเพราะรุ่นพี่ปีสองเดินมายืนอยู่ด้านหน้ากันแล้ว ทุกคนเลยหันไปให้ความสนใจกับรุ่นพี่แทน
กิจกรรมในวันนี้ก็ยังคงคล้ายกันวันที่ผ่าน ๆ มา มีร้องเพลงแนะนำตัวเอง เล่นเกมเพื่อเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ๆ แล้วก็มีงานให้น้อง ๆ ได้ฝึกทำ
ในวันนี้รุ่นพี่ให้น้องแต่ละกลุ่มที่ใช้วิธีการแบ่งตามสีของป้ายที่คล้องคออยู่ วันนี้เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เข้ากลุ่มตามสี เพราะสองวันที่ผ่านมารุ่นพี่จับแต่ละสีมาสลับกัน ซึ่งงานที่รุ่นพี่มอบหมายให้ทำคือช่วยกันเสนอแนวความคิดในการออกแบบอาคารในโลกอนาคต สามารถตั้งโจทย์ขึ้นมาเองได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นความจริง จะข้ามไปในยุคอวกาศ ยุคที่มีแต่หุ่นยนต์ หรืออะไรก็ได้ ให้ทุกคนในกลุ่มช่วยกันเสนอและเลือกออกมา ไม่ต้องเขียนแปลน ไม่ต้องคำนึงถึงอะไรทั้งสิ้น แค่คิดและนำเสนอออกมาเท่านั้น
ระยะเวลาในการทำก็คือวันนี้ทั้งวัน จะให้พรีเซนต์ตอนบ่ายสามโมง พอรุ่นพี่ปล่อยให้ลงมือทำทุกคนก็เริ่มขยับล้อมวงเป็นกลุ่มกระจายอยู่ใต้อาคารสี่จุด มีรุ่นพี่คอยดูแล ให้ความช่วยเหลือ และคำแนะนำ
กลุ่มของสายน้ำนั่งมองหน้ากัน แม้จะอยู่สีเดียวกันแต่ก็ใช่จะได้อยู่กลุ่มเดียวกันเลยไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดี
“เอาอย่างนี้ไหม” เดียร์พูด พลางยกมือขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจากเพื่อน ๆ “เรามาเสนอความคิดกันก่อนไหม คนละความคิด แล้วเราค่อยมาโหวตกันอีกที น่าจะเวิร์คกว่าไหม ไม่ต้องคนละความคิดก็ได้ ใกล้ ๆ กันก็ปรึกษากันก่อน”
พอมีคนเสนอ ทุกคนก็ตอบรับไม่ได้ปฏิเสธอะไร เดียร์จึงกล้าพูดต่อ “อย่างนั้นครึ่งชั่วโมงเนอะ จะได้ไม่เสียเวลามาก”
“อย่างนั้นพวกเรามาช่วยกันคิดละกัน” แบงก์ว่าเมื่อได้ยินข้อเสนอของเดียร์ พวกเขาทั้งสี่คนช่วยกันเสนอความคิด
“กูว่าเอาเป็นในอนาคตที่ย้อนไปในอดีตดีไหมวะ แบบสมัยยุคหินเลยงี้ อาคารสร้างจากหิน แข็งแรง หนักแน่น” ตั้มเสนอความคิด
“แต่กูว่าเอาเป็นในอวกาศเลยดีกว่า ออกนอกโลกเลย แบบทุกคนใช้ชีวิตบนอวกาศ ไม่มีพื้นดินเหยียบ อาคารลอยอยู่บนฟ้าไรแบบนี้” แบงก์เสนอขึ้นมาบ้าง
“กูไม่มีความคิด” สายน้ำยกมือทั้งสองข้างแล้วส่ายหน้า ก่อนจะหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของแต่ละคน “ล้อเล่นน่า กูชอบแบบโลกในอนาคต ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยี แล้วเดียร์ล่ะ”
คนถูกโยนคำถามทำหน้าตาเลิ่กลั่กเพราะไม่ทันได้ฟังอะไรมากนัก มัวแต่นั่งมองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ
“มองอะไรวะ เห็นมองไปรอบ ๆ หลายรอบแล้วนะ” ตั้มชะเง้อคอมองบ้าง หาว่ามีอะไรน่าสนใจที่ทำให้เพื่อนตัวเล็กคอยมองอยู่แบบนี้
“เปล่า ไม่มีอะไร” เดียร์ฉีกยิ้มให้ ก่อนจะเสนอความคิดของตัวเองออกไปบ้าง “นี่ก็เห็นด้วยกับของสายน้ำนะ ถึงแม้โจทย์จะบอกว่าไม่เน้นความเป็นจริง แต่เรื่องของเทคโนโลยีก็เป็นอะไรที่จับต้องได้นะ แต่เราก็เสนอให้มันโอเวอร์ ๆ หน่อย แบบอาคารที่เข้าออกด้วยการสแกนม่านตา หรือ การใช้ชิพอะไรพวกนี้น่ะ หรือไม่ก็ภาพโฮโลแกรม แบบก่อสร้างอาคารโดยการใช้เครื่องโฮโลแกรมสามมิติที่สามารถผลิตของจริงได้ คล้าย ๆ พวกเครื่องปริ้นสามมิติไง”
พอแบงก์กับตั้มได้ฟังก็พยักหน้ารับ เริ่มคิดสนับสนุนความคิดเห็นของเพื่อน พวกเขาทั้งสี่คนเลยตัดสินใจว่าจะเสนอเรื่องอาคารในโลกอนาคตในยุคของเทคโนโลยีกับกลุ่ม จนกระทั่งครบสามสิบนาทีตามที่เดียร์เสนอ แต่ละกลุ่มย่อยก็เสนอความคิดเห็นออกมา มีสามสี่กลุ่มที่เสนอด้านเทคโนโลยีเหมือนกับพวกเขา และเมื่อได้ฟังสิ่งที่พวกเขาพรีเซนต์หลาย ๆ กลุ่มก็เห็นด้วย ก่อนที่ผลโหวตจะออกมาว่าพวกเขาจะเสนอแนวความคิดอาคารในยุคของเทคโนโลยี
คราวนี้ทุกคนก็มาช่วยกันเสนอไอเดียต่าง ๆ ซึ่งก็เยอะมากจนจดกันแทบไม่ทัน เพราะพอได้เริ่มคิดได้จินตนาการ ก็เหมือนความคิดจะโลดแล่นอย่างสนุกสนาน การเสนอไอเดียหยุดลงเมื่อรุ่นพี่ประกาศแจ้งพักเพราะตอนนี้เกือบจะเที่ยงแล้ว ระหว่างกินข้าวไปก็ยังอดที่จะพูดคุยกันอย่างตื่นเต้นไม่ได้เมื่อนึกว่าถ้าในอนาคตมีอาคารแบบที่พวกเขาคิดขึ้นมาจริง ๆ จะเป็นอย่างไร
หลังจากมื้อกลางวันจบลง ทุกคนก็ทยอยกลับไปนั่งล้อมวงที่กลุ่มของตัวเองเหมือนเดิมเพื่อช่วยกันระดมความคิดเพื่อเตรียมพรีเซนต์ จนกระทั่งได้เวลาที่รุ่นพี่แจ้งเอาไว้ รุ่นพี่ปีสองจึงเรียกน้อง ๆ กลับมานั่งเข้าแถวตามเดิม
ตัวแทนแต่ละกลุ่มออกไปพรีเซนต์อาคารในอนาคตของตัวเอง มีทั้งหลุดโลกไปอยู่ในอวกาศอย่างที่แบงก์เสนอในตอนแรก มีทั้งโลกในอนาคตที่ทุกอย่างจะเต็มไปด้วยน้ำ อาคาร และการใช้ชีวิตจะอยู่ใต้น้ำ เป็นดินแดนใต้น้ำ
การพรีเซนต์เป็นไปอย่างสนุกสนานเพราะทุกอย่างคือจินตนาการ ทุก ๆ คนดูเหมือนจะเข้าร่วมไปกับจินตนาการของเพื่อนแต่ละกลุ่ม แม้แต่รุ่นพี่เองก็ยังกระโดดเข้ามาช่วยพูด ช่วยพรีเซนต์ ช่วยเพิ่มสีสันให้มากยิ่งขึ้น
“เอาล่ะค่ะ น้อง ๆ ทุกกลุ่มก็ออกมาพรีเซนต์ครบหมดแล้วเนอะ” เสียงของรุ่นพี่ปีสองอย่างแวนดี้ปรบมือขึ้นหลังจากที่กลุ่มสุดท้ายเดินกลับเข้าไปนั่งที่แล้ว พร้อมกับรุ่นพี่สันทนาการคนอื่น ๆ ออกมายืนด้านหน้า “พวกพี่ปรบมือให้เลยพวกน้องเก่งมาก ๆ ค่ะ ความคิดสร้างสรรค์ดีเลิศมากค่ะ พวกรุ่นพี่คนอื่น ๆ ก็ฝากพี่มาชมเหมือนกัน”
เหล่ารุ่นน้องต่างมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าทันทีที่ได้ยินคำชมจากรุ่นพี่มากชั้นปี
“วันนี้ก็เป็นวันสุดท้ายแล้วเนอะสำหรับกิจกรรมของเรา พี่ก็... ว้าย!” ยังไม่ทันที่แวนดี้จะได้พูดจนจบประโยคก็ต้องร้องออกมาเมื่อได้ยินเสียงดังโวยวายมาจากด้านหน้าของอาคาร น้อง ๆ ปีหนึ่งพากันมองหน้ากันอย่างตกใจเพราะเสียงนั้นดังมากจริง ๆ
“น้อง ๆ ครับ ก้มหน้าไปก่อนครับ ก้มหน้าไปนะครับ” รุ่นพี่ผู้ชายอีกคนตะโกนบอกน้อง ๆ ปีหนึ่งที่นั่งมองหน้ากันให้ก้มหน้า รุ่นพี่ปีสองคนอื่นก็เดินเข้ามายืนล้อมปิดน้อง ๆ เอาไว้
เสียงดังโวยวายภายนอกยังไม่เงียบลง แต่ปีหนึ่งไม่มีใครได้ชะเง้อมอง ได้แต่นั่งก้มหน้าอยู่กับที่ตามคำที่พี่ ๆ บอก
“มึงโทรบอกอาจารย์หรือยังวะ รุนแรงมากเลยเหรอวะข้างนอก”
“เออ โคตรแรงเลยว่ะ”
เสียงพูดคุยของรุ่นพี่ปีสองทำเอาปีหนึ่งที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แล้วได้ยินพากันใจสั่นเพราะไม่รู้เลยว่าข้างนอกนั้นกำลังมีเรื่องอะไรอยู่
เสียงโวยวายยังดังอยู่อีกสักพักถึงจะเงียบลง แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเงยหน้าขึ้นมา ก่อนที่จะพากันสะดุ้งอีกรอบเมื่อมีเสียงดังขึ้นแต่คราวนี้ไม่ใช่เสียงของคนโวยวายกันแต่เป็นเสียงกลองทัด กลองที่เป็นเอกลักษณ์ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์
พอมีแต่เสียงกลองน้อง ๆ ก็เริ่มกล้าที่จะเงยหน้าขึ้น ตรงหน้าของพวกเขามีรุ่นพี่หกคนกำลังตีกลองทัดโชว์อยู่ ทั้งท่วงท่าลีลาทำเอาปีหนึ่งไม่สามารถละสายตาไปไหนได้ ตรงนั้นมีทั้งพี่ผู้หญิงแล้วก็พี่ผู้ชายที่พากันตีกลองอย่างเมามัน แขนที่ยกขึ้นและกดลง สะบัดข้อมือเพื่อตีกลอง ทุกท่าพร้อมกันหมด เป็นจังหวะเดียวกัน
กลองรัวในจังหวะสุดท้ายก่อนที่จะหยุดลง พี่ปีสองพากันปรบมือให้ น้องปีหนึ่งจึงทำตาม เสียงปรบมือแทนเสียงชื่นชมดังไปทั่วใต้ถุนอาคารที่พวกเขากำลังอยู่
“ขอบคุณการแสดงที่แสนสนุกสนานจากพี่ ๆ ปีสามปีสี่ด้วยนะคะ” แวนดี้ กับ แซนดี้ เดินปรบมือเข้ามายืนตรงกลาง
“อ้าว... เดียร์ไปไหนวะ” แบงก์ที่หันไปมองทางด้านหลังพูดออกมาอย่างงง ๆ พลางสะกิดเพื่อนสองคนที่นั่งอยู่ข้างหน้า “เดียร์หายไปไหนไม่รู้ว่ะ”
“เฮ้ย! นั่นไง” ตั้มที่กำลังจะหันมามองชะงักแล้วร้องออกมาพลางชี้นิ้วไปด้านหน้า เห็นเดียร์กับเพื่อนในรุ่นยืนรวมกับพี่ ๆ อยู่หลายคน
“ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับพี่ที่ตีกลองกันก่อนดีกว่านะคะ” แวนดี้เดินไปยืนข้างรุ่นพี่ คนละฝั่งกับแซนดี้ ก่อนจะเริ่มให้พี่ ๆ แนะนำตัวกันทีละคนจนครบหมด
“อ้าว... แล้วน้องปีหนึ่งออกมายืนอะไรกันตรงนี้คะ” แซนดี้หันไปมองแถวด้านหลังพี่กลองก่อนจะกวักมือเรียก “มาค่ะมา ๆ ไหนมาหาพี่สิคะ อุ๊ย! น้องคนนี้น่ารักจังเลยอ่ะ”
เดียร์คือคนที่แซนดี้ว่า มีการยกมือกอดแขนเดียร์แล้วเอาหน้าถูไปมา เรียกเสียงหัวเราะจากคนโดนถูและคนอื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี
“หน้าตาดีน่ารักแบบนี้มีแฟนยังอ่ะคะ สนใจรับแซนดี้แวนดี้ไปกินเล่นไหม” แวนดี้แซวออกมา
คนโดนแซวทำเพียงแค่ส่ายหน้ายิ้ม ๆ ก่อนที่จะตะโกนออกมาเสียงดังจนปีหนึ่งพากันสะดุ้ง รวมไปถึงปีสองที่พากันทำตามที่อีกฝ่ายตะโกน
“ปีสองนั่งม้าครับ!!!”
ปีสองพากันยืดแขนตรงไปข้างหน้าแล้วย่อตัวลงทันที ก่อนที่แซนดี้จะนึกขึ้นได้แล้วพูดเสียงสะบัดคล้ายงอน “โอ๊ย! พี่เดียร์ แกล้งพวกหนูเหรอคะ!”
คราวนี้เดียร์หัวเราะลั่นอย่างชอบใจ ก่อนจะหันมามองปีหนึ่งที่นั่งอยู่แล้วยิ้มออกมา
“ฮึ่ม! เชิญแนะนำตัวเลยค่ะ!”
“สวัสดีครับทุกคน หลายคนคงรู้จักชื่อกันแล้วเนอะ เป็นพี่เนียนครับ ชื่อ เดียร์ ครับ ปีสี่คณะสถา’ปัตย์ครับผม” เดียร์พูดจบก็ฉีกยิ้มกว้างในขณะที่ปีหนึ่งอ้าปากตาค้างไปแล้ว โดยเฉพาะแบงก์ ตั้มและสายน้ำที่อยู่ด้วยกันกับเดียร์ตลอดสามวันที่ผ่านมา
“อย่าโกรธกันนะ พี่ไม่ได้อยากทำแบบนี้ มันสั่งมาอ่ะ” เดียร์เผลอทำหน้าอ้อนอย่างที่ชอบทำพลางชี้นิ้วไปที่แซนดี้กับแวนดี้ “ไม่ได้อยากหลอกเลยจริง ๆ น้า”
“พอค่ะพอ พี่น้องเดียร์ขาเลิกทำหน้าอ้อนค่ะ เด็ก ๆ หน้าแดงกันหมดแล้ว แล้วก็อย่าอ้อนไปทั่วค่ะ พวกหนูกลัวพายุลงค่ะพี่น้องเดียร์” แซนดี้ยกมือโบกไปโบกมาก่อนจะดันตัวเดียร์ให้ถอยหลังไปแล้วให้พี่คนอื่น ๆ ออกมาแนะนำตัวต่อ
“ค่ะ น้อง ๆ ก็รู้จักพวกพี่เขาแล้วเนอะ พี่ ๆ เขาเป็นพี่เนียนค่ะ เนียนมาอยู่ด้วยกันกับน้อง ๆ เพื่อคอยเชื่อมความสัมพันธ์ให้ ถ้าใครสังเกตก็คงจะนึกได้นะคะว่าเวลาเข้ารวมกลุ่มทีไร พวกพี่ ๆ เขาก็จะเป็นคนเสนอความคิด หรือเสนอไอเดียอะไรต่าง ๆ แล้วก็เป็นคนเข้าหาพวกน้อง ๆ ก่อนเอง” แซนดี้พูดหลังจากที่พี่เนียนทุกคนแนะนำตัวเสร็จแล้ว
“พวกพี่ไม่ได้มีเจตนาจะหลอก หรือเห็นเป็นเรื่องสนุก พี่เข้าใจค่ะว่าน้อง ๆ คงจะเฟล ๆ หน่อยเนอะ พวกพี่ก็เข้าใจเพราะเคยโดนมาแล้วเหมือนกัน แต่เจตนาจริง ๆ คือพี่ ๆ แค่อยากช่วยพวกน้อง ๆ ให้รู้จักกันค่ะ น้องมาจากต่างที่ น้องมีหลายคนหลายความคิด พี่เนียนจึงเป็นคนสำคัญที่คอยเชื่อมพวกน้อง ๆ เข้าด้วยกัน แม้อาจจะไม่ได้เต็มร้อยแต่แค่เป็นจุดเริ่มต้นให้ หวังว่าจะเข้าใจพวกพี่ ๆ กันนะคะ” แวนดี้เองก็พูดต่อ
น้องปีหนึ่งพากันส่งเสียงว่าเข้าใจออกมาจนพี่ ๆ ยิ้มได้ เพราะรุ่นพี่ทุกคนเคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาแล้วทั้งนั้นจึงเข้าใจความรู้สึกของน้องปีหนึ่งที่จะต้องมาเฟลแล้วก็แอบผิดหวังที่คนที่คิดว่าเป็นเพื่อนคนแรกในคณะคือรุ่นพี่ที่เนียนมา แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่งก็จะเห็นด้วยกับสิ่งที่แซนดี้ แวนดี้พูด ถ้าหากไม่ได้พี่เนียนเหล่านี้ พวกเขาที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนอาจจะไม่กล้าพูดคุยหรือเข้าหากันก็ได้
“โอเคค่ะ วันนี้เราเจอกันแค่นี้เนอะ เอาไว้เจอกันอีกทีตอนเปิดเทอมนะคะ แล้วก็... สุดท้ายนี้” แซนดี้พูดก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ทุกคนที่ขยับมายืนล้อมน้องเอาไว้
เสียงกลองทัดดังขึ้นเป็นจังหวะหนักแน่นด้วยฝีมือของรุ่นพี่ที่ทำการแสดงไปเมื่อครู่ เสียงกลองดังอยู่ไม่นานก็หยุดลงพร้อม ๆ กับเสียงของรุ่นพี่ทุกคนดังขึ้นพร้อมกัน
“ยินดีต้อนรับสู่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์!!”❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖ ❖
มาแล้วจ้า~
ฟางขอแจ้งการอัปเดทนิยายเรื่องนี้หน่อยนะคะ
ฟางจะแบ่งการอัปเป็น 3 รอบใน 1 ตอนนะคะ จากทุกทีที่แบ่งอัปเป็น 2 รอบ
เนื่องจากว่า... ฟางคิด (ย้ำว่าคิดและคาดคะเนเอาเอง) ว่าถ้าแบ่งเป็น 3 รอบฟางอาจจะมาอัปได้บ่อยกว่า
แล้วก็มีเวลาไปแต่งนิยายสต็อกเอาไว้ด้วยเนอะ ไม่อยากให้รอกันนานเกินไป
ยังไงก็ฝากนิยายเรื่องนี้เอาไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะชอบกันนะ ^^
ช่วงตอบคำถาม
จะมีเรื่องของพี่ฮาร์ทไหม? >> อันนี้คนถามเยอะ แล้วฟางก็ว่าฟางเคยตอบแล้ว แต่จะตอบอีกรอบหนึ่งนะคะ “มีค่ะ” แต่ว่ายังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ เพราะเรื่องของพี่ฮาร์ทยังไม่มีพล็อตจ้า ต้องรอไปก่อนเนอะ ^^
จะมีเรื่องของทัชด้วยไหม? >> เรื่องของเจ้าคนนี้ยังไม่มีอยู่ในแพลนค่ะ ต้องดูโอกาสต่อ ๆ ไปเนอะ