Chapter 30
กนธีตื่นตั้งแต่ตีสี่เพราะวันนี้จะต้องส่งน้องอ้นไปทัศนศึกษา รถบัสจอดรออยู่หน้าโรงเรียน อาจารย์นัดเด็กๆเอาไว้ตอนเจ็ดโมงตรง บ้านของเขาอยู่นอกตัวเมืองเลยต้องเสียเวลาเดินทางพอสมควร
“เอาล่ะ มีอะไรขาดอีก” เขาตรวจดูความเรียบร้อยของเด็กชาย
อินทัชถูกปลุกให้ตื่นตาม เขานั่งหาวหวอด เท้าคางมองพี่กุนต์วุ่นวายอยู่นานแล้ว ทั้งตรวจสัมภาระและสำรวจข้าวของหลายรอบ ไม่แน่ใจว่าอาการย้ำคิดย้ำทำ เช็กนั่นทวนนี่ซ้ำไปมาจะเกิดในผู้สูงอายุทุกคนหรืออย่างไร
“ผ้าเช็ดหน้ามีแล้ว กระติกน้ำมีแล้ว” กนธีพูดทวน “กระเป๋าเงินยังอยู่ดี แล้วก็เบอร์โทรของพี่..ติดตัวไว้นะครับ มีอะไรให้รีบโทรบอก พี่จะไปหาทันที”
อ้นยิ้มเขิน พี่กุนต์ดูแลดีเหมือนพ่อเลย
“เสียดายที่อ้นไม่มีมือถือ” เขาครุ่นคิด “กลับมาค่อยไปซื้อมือถือกัน!”
“เยอะไปพี่” อินทัชเข้ามานั่งยองๆด้านข้าง “มันแค่ไปทัศนศึกษา ไม่ได้ไปออกค่ายแถวชายแดน ถ้าหลงแล้วไม่มีปากขอให้คนช่วยโทรตามครูตามพี่มัน ผมก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว เบอร์ของผมมันก็จำได้”
กนธีผลักบ่ากว้างของเจ้าโอ๊ตอย่างไม่พอใจ “ห้ามว่าน้อง”
อินทัชหัวเราะ เขากำลังจะกลายเป็นหมาหัวเน่าอีกคนแล้วสินะ
“ข้าวกล่องตอนเช้าเอาไว้กินบนรถมีแล้ว ของว่างติดตัวไว้เผื่อหิวอยู่นี่ น้ำเปล่าพร้อม” เขาตบกล่องทัฟเปอร์แวร์น้อยๆในเป้ใบเล็ก “เออ..พี่ให้เงินอ้นหรือยัง เอากระเป๋าตังค์ออกมาดูอีกทีสิครับ”
เด็กหนุ่มรั้งชายเสื้ออีกคนเอาไว้ เขาถอนหายใจ “เพิ่งจะเช็กไปนะพี่”
อ้นหัวเราะ ยกเช็กลิสต์รายการของจำเป็นสำหรับการไปทัศนศึกษาให้พี่กุนต์ดู มีตั้งแต่ดินสอ ปากกา ยางลบ สมุดจด หมวกบังแดด ครีมกันแดด ร่มพับคันเล็ก เสื้อกันหนาวไว้ตอนอยู่ในรถ ของกิน เงินสด ไปจนถึงเบอร์โทรศัพท์เวลาฉุกเฉิน ทุกอย่างทวนซ้ำไม่ต่ำกว่าสามรอบ
“พี่กุนต์ไม่ต้องเป็นห่วงอ้นหรอกครับ” เด็กชายเอามือประคองแก้มคนตรงหน้าไว้ “อ้นดูแลตัวเองได้จริงๆ”
“โอเค” กนธีทำนิ้วเป็นวงกลม ช่วยไม่ได้นี่นา เขาเพิ่งจะรู้สึกเหมือนได้มีลูกชายเป็นคนแรก พ่อที่ไหนก็ต้องตื่นเต้นทั้งนั้นเวลาลูกไปไกลหูไกลตา
“แค่เมืองโบราณ” อินทัชหาวอีกรอบ “ไว้มันไปแอฟริกาใต้ค่อยว่ากัน”
“เงียบไปเลย” เขาหันมองนาฬิกา “พี่โอ๊ตไปพาน้องอุ้มมาได้แล้ว ตีห้าครึ่งแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันตอนเจ็ดโมง” เมื่อวานตกลงกันว่าทุกคนจะไปส่งน้องอ้น งานนี้เลยต้องไปหิ้วปีกน้องอุ้มขึ้นมาจากที่นอนอีกคน
อินทัชเกาหัวแกรก เขาลุกยืนอย่างเกียจคร้านแล้วไปงัดไอ้อุ้มออกจากเตียง จับตัวเล็กป้อมขึ้นพาดบ่า พาไปที่รถของพี่กุนต์ก่อนให้มันนอนต่อ
กนธีที่ประจำตำแหน่งคนขับหันมาถามเด็ก “ผ้าเช็ดหน้ามีหรือยังครับ”
“ได้กินกิงโกะบ้างหรือเปล่าพี่” ร่างสูงส่ายหัว
“เออ..ลืมกิน”
อินทัชหัวเราะ “สงสัยต้องป้อนให้ถึงปาก”
“พี่ไม่ได้ขี้ลืมนะ แค่ตื่นเต้น เลยไม่มีสมาธิต่างหาก” กนธีทำหน้าจริงจัง
“คร้าบๆ” เขากลั้นขำ
หนูกุนต์ของยายเวลาเขินก็จะเปิดที่ปัดน้ำฝนบ้าง อ่านหนังสือกลับหัวบ้าง พอไม่มีสมาธิก็ย้ำคิดย้ำทำ เขาคิดว่าเริ่มจะชินเสียแล้ว
..ชินกับความน่ารักที่เป็นธรรมชาติแบบไม่ได้ปั้นแต่ง..
“แล้วสรุปว่าน้องอ้นมีผ้าเช็ดหน้าหรือยัง” เมื่อครู่ยังไม่ได้คำตอบเลย
อินทัชเอาหัวโขกกระจกหน้าต่างข้างตัวอย่างนึกปลง
“อ้นมีแล้วครับ” เจ้าหนูยิ้มแก้มป่อง ลงมือกินข้าวเช้าที่พี่กุนต์ให้คุณแม่ครัวทำใส่กล่องมาให้ “อ้นเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อตลอดเลย ไม่ลืมแน่ๆครับ”
“โอเค” กนธีพยักหน้ารับ สตาร์ทเครื่องและถอยออกจากโรงจอดรถ
โชคดีที่รถไม่ติดเพราะออกแต่เช้าตรู่ น้องอ้นกินข้าวเสร็จ พี่กุนต์ก็ให้งีบเอาแรง เพราะถูกปลุกให้ตื่นในเวลาไล่เลี่ยกัน จะได้เดินเที่ยวอย่างสนุก ไม่ง่วงระหว่างวัน ส่วนน้องอุ้ม ตั้งแต่พี่โอ๊ตพาขึ้นรถก็ยังไม่ตื่นเลย
“รู้แล้วว่าลืมอะไร” กนธีเพิ่งนึกขึ้นได้ เขาบ่นตอนที่รถติดไฟแดงพลางหันมามองอินทัชที่นั่งหาว..ช่างเป็นพี่ชายที่สบายใจดีจริงๆ
“อะไรครับ” เด็กหนุ่มหรี่ตามอง ถ้าพูดซ้ำเดิมขึ้นมาล่ะก็..น่าดู
“ผ้า..” เขาชะงัก เสียงขาดหายเพราะคนด้านข้างชะโงกเข้ามา
อินทัชกัดปากพี่กุนต์เข้าหนึ่งหน..เป็นการทำโทษคนขี้ลืม
กนธีหน้าร้อนจัด เพราะมัวตะลึง เด็กมันเลยขยับมาใกล้แล้วเปิดปากจูบใหม่ คราวนี้ไม่ใช้การงับแล้วปล่อย แต่เป็นการขบแผ่วเบาแล้วคลึงเคล้าไปมา
“จะพูดว่าลืมผ้าเช็ดหน้าอีกไหมครับ”
เขารู้สึกว่าตอนนี้ปลายหูก็ร้อนตามไปด้วย อันที่จริงเขาไม่ได้พูดว่าลืมผ้าเช็ดหน้าสักหน่อย จะบอกว่าลืมเอาผ้าเย็นให้น้องต่างหาก เอาไว้ใช้เช็ดตัวเวลาเหงื่อออกจะได้สดชื่น แต่คิดไปคิดมา อยู่ข้างนอกตอนแดดเปรี้ยง จากผ้าเย็นมันก็ต้องกลายเป็นผ้าร้อนอยู่ดี ดังนั้นไม่บอกให้เจ้าโอ๊ตมันขำเขาหรอก
กนธีหันกลับไปมองถนน สายตาพร่าพราย “ไอ้เด็กเปรต..”
“ด่าได้ครับ แต่อย่าหูแดง” อินทัชแหย่
“ถ้าขี้ลืมแล้วจะทำไมล่ะ ก็คนมันแก่นี่” เขาบ่นในลำคอด้วยแก้มที่ร้อนวูบวาบ “ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดหน้า”
“อะไรล่ะนั่น” ร่างสูงเขม่น นี่พี่แกตั้งใจกวนอารมณ์จริงๆใช่ไหม
“ผ้าเช็ด..”
อินทัชประกบปากจูบรอบที่สาม เขาตรึงต้นคอของอีกคนเอาไว้ “อยากโดนจนปากเจ่อก็พูดอีกสิ” กระซิบติดริมฝีปากนุ่ม
กนธีกลั้นยิ้ม แกล้งเก๊กหน้าจนเมื่อย “ผ้าเช็ดหน้..” เขาปล่อยให้เด็กมันจูบอีกครั้ง นัยน์ตาสีอ่อนหลุบลงมองใบหน้าอ่อนวัยด้วยความสุข
“เอาอีกไหม..” อินทัชถามเสียงพร่า ประคองต้นคอพี่กุนต์ไว้สองมือ
“ผ้าเช็ดหน้า..” กนธียิ้ม และเจ้าโอ๊ตก็ยิ้ม
เช้านั้น..พวกเขาจูบกันทุกๆไฟแดง กระทั่งถึงโรงเรียน
.
.
.
“นั่งรถดีๆ ห้ามลุกขึ้นมาเดิน ห้ามยื่นแขนออกนอกหน้าต่าง ห้ามเถลไถล เดินหลงออกจากกลุ่ม คอยตามติดคุณครูไว้ แล้วก็ถ้ารู้สึกไม่ดี ไม่สบาย ตัวร้อน ให้รีบบอกคุณครูแล้วโทรหาพี่ทันที เข้าใจไหมครับ” กนธีกำชับน้องอ้น
“เข้าใจครับ” อ้นพยักหน้ารับ
อินทัชยืนกอดอกมอง เขายิ้มมุมปากเมื่อเห็นพี่กุนต์ดูกังวลกว่าคนเป็นพี่ชายแท้ๆอย่างเขาเสียอีก มันทำให้รู้สึกว่าอีกฝ่ายห่วงใยครอบครัวเขาจริงๆ
ไอ้อ้นโตแล้ว เขามองว่ามันเป็นเด็กที่เอาตัวรอดได้คนหนึ่งแต่ในสายตาของผู้ใหญ่อายุสี่สิบอย่างพี่กุนต์ ความห่างของช่วงวัยทำให้มองน้องเขาเหมือนเด็กน้อยไม่ประสา คล้ายว่าเจ้าอ้นยังอยู่อนุบาลอะไรอย่างนั้น
น้องอุ้มที่ถูกปลุกให้ตื่นยืนขยี้ตายิกๆ เกาะขากางเกงพี่โอ๊ตอยู่ด้านข้าง เด็กชายหาวรอบหนึ่งแล้วชูนิ้วโป้งสั้นป้อมให้กำลังใจพี่อ้น
“ห้องหนึ่ง ขึ้นรถเลยค่ะ” เสียงคุณครูประจำชั้นประกาศ
กนธีจูงมือน้องอ้นไปส่ง เขาออกปากฝากเด็กไว้กับคุณครู
“โอเค” เขาลูบเส้นผมดำขลับด้วยความรักใคร่ ตามด้วยการหอมแก้มน้องไปฟอด “เดินทางปลอดภัย เที่ยวให้สนุกนะครับ แล้วตอนเย็นพี่จะมารอรับ”
อ้นหน้าแดงก่ำ ยกมือสวัสดีพี่ๆทุกคนก่อนจะขึ้นรถไป
กนธีเห็นเด็กๆทยอยขึ้นรถแล้วก็ถอยออกมา รถบัสสตาร์ทเครื่องทิ้งไว้ เขาเลยต้องพาน้องอุ้มกลับ จะได้ไม่ยืนดมควัน น้องอุ้มยิ้มอวดฟันหลอเมื่อเห็นพี่อ้นโบกมือบ๊ายบายให้จากหน้าต่าง เจ้าหนูอยากเที่ยวกับเพื่อนๆแบบนี้บ้าง
“วันนี้พี่ต้องเข้าไปดูร้าน แล้วพวกเราเอาไงครับ”
ร้านเปิดตอนสิบเอ็ดโมง ยังมีเวลาเหลือเฟือ ถ้าโอ๊ตกับอุ้มอยากกลับไปอยู่เป็นเพื่อนคุณยาย เขาจะได้ขับไปส่งที่บ้าน
“หนูอยากไปดูร้านของพี่กุนต์” อุ้มปีนมานั่งตักพี่โอ๊ต
“ได้สิครับ” กนธียิ้ม “เดี๋ยวพี่จะแวะเข้าคอนโดก่อน สายๆเดี๋ยวค่อยเข้าร้าน ยังไงถ้าน้องอุ้มง่วงก็นอนต่อนะ”
น้องอุ้มพยักหน้าหงึก ยังไม่ทันไรก็หลับซบบ่าพี่โอ๊ตไปอีกรอบ
“เหมือนหมีโคอาล่า” กนธีขำ เอื้อมมือมาลูบหัวเด็ก “ถึงห้องกินข้าวเช้ากันก่อนแล้วหลับเอาแรงต่อสักงีบ พอเที่ยงก็แวะเข้าร้าน รอน้องอ้นกลับมาตอนสี่โมงแล้วเราไปหาอะไรกินกันในห้างดีไหม พี่อยากซื้อมือถือให้อ้นสักเครื่อง แล้วก็เราน่ะ..อยากได้อะไรก็ไปหาด้วยกันเลย จำได้ว่ายังไม่มีโน้ตบุ๊คนี่”
อินทัชมองพี่กุนต์ยิ้มๆ “ไม่เป็นไรครับพี่ มันยังไม่จำเป็น” ถ้ามีงานต้องพิมพ์ เขายังใช้คอมพิวเตอร์จากห้องสมุดของคณะหรือไปที่หอสมุดใหญ่ได้
“ไปดูก่อนแล้วค่อยปฏิเสธน่า”
จากโรงเรียนของน้องอ้นมาที่คอนโดใช้เวลาไม่นานนัก เรียกว่าน้องอุ้มยังหลับได้ไม่ถึงตื่นหนึ่งเลย อินทัชเลยรับหน้าที่อุ้มน้องขึ้นไปบนห้อง
“เอาล่ะ วันนี้พี่ขอลงมือเอง” กนธีพับแขนเสื้อขึ้น ท่าทางจริงจัง “มื้อเช้าแสนอร่อยจากใจคุณลุง..ผู้ที่ผัดผักบุ้งก็เกือบทำครัวไหม้”
“ขอร้องอย่าพังห้องเลยพี่ ผมขี้เกียจเก็บกวาด”
“บ๊ะ! ดูถูกกันนี่หว่า”
“แล้วผมดูผิดหรือเปล่าล่ะ” เขาให้ไอ้อุ้มนอนบนโซฟา ห่มผ้า เปิดแอร์เย็นฉ่ำเท่านี้ มันก็หลับไปแบบสบายใจแล้ว “จะทำอะไรครับ”
“ข้าวต้มหมูสับ” กนธีลงไปรื้อวัตถุดิบในตู้เย็นออกมา ดูเหมือนว่าของที่เน่าเสียได้จะถูกแม่บ้านเคลียร์ออกไปหมด เหลือแต่ของที่ยังเก็บไว้ในช่องฟรีซ
ช่วงที่ไม่ได้กลับคอนโด เขาจ้างแม่บ้านคนเก่าให้มาดูแลความสะอาดกับช่วยรดน้ำพรวนดินต้นไม้และพืชผักที่ปลูกไว้ ในห้องจึงเป็นระเบียบเรียบร้อยเหมือนมีคนอยู่ทุกวัน แต่เขาคงต้องวางแผนใหม่ เพราะหลังจากนี้ต้องคอยคุมร้านแทนคุณไผท จะให้เดินทางไปกลับจากนอกเมืองมาถึงในเมืองทุกวัน เขาคงแย่แน่ ไหนจะต้องคอยมาเจอลูกค้าของตนเองอีก
“ไปนั่งพักเถอะครับ ผมทำให้เอง” อินทัชเข้ามาช่วย เขาตักข้าวสารในถุง มองพี่กุนต์ก้มๆเงยๆเลือกแครอทในช่องแช่ผักและมองประตูช่องฟรีซที่ถูกเปิดค้าง ใจคิดแวบหนึ่งว่าลุงแกต้องเอาหัวโหม่งแน่ เลยละมือไปปิด
“อ๊ะ! หัวนี้ยังใช้ได้” กนธีลุกพรวด เฉี่ยวประตูช่องแช่แข็งไปเส้นยาแดง
เด็กหนุ่มใจหายวูบ โชคดีที่เขาปิดทัน นึกแล้วก็น่าจับเขย่าคอนัก คนอะไรทะเล่อทะล่าได้ขนาดนี้ ขี้ลืม ต้วมเตี้ยม แต่บางทีก็ปุบปับจนตามไม่ทัน
..ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมต้องมีคนดูแลตลอดเวลา..
“แอบด่าอะไรพี่อยู่หรือเปล่า” กนธีขมวดคิ้ว ชูแครอทค้าง ไอ้โอ๊ตไม่ได้ดีใจไปกับเขาที่อุตส่าห์ค้นเจอผัก มันกำลังมองด้วยสายตาระอาปนขบขัน
“เปล่าครับ” อินทัชอมยิ้ม “ดีใจด้วยที่เจอคุณแครอท แล้วก็เสียใจด้วยที่ต้องประหารชีวิตมันส่งเข้าหม้อข้าวต้มเช้านี้”
กนธีหัวเราะ เขาหันไปปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นลูกเต๋า “เออ..ช่วยละลายเนื้อหมูทีสิ แข็งจนปาหัวโอ๊ตแตกเลย”
“โหดร้ายมาก จะฆาตกรรมผมด้วยเนื้อหมูในฟรีซ” อินทัชจับศีรษะตนโดยอัตโนมัติ “ไม่พอใจอะไรก็พูดตรงๆสิครับ ตายด้วยหมูสับไม่เห็นจะสวยเลย”
คนฟังขำคึ่กๆ “ไม่มีไม่พอใจหรอกครับคุณ มีแต่มันเขี้ยวเด็ก” พูดไปมือก็หั่นแครอทไป นึกขึ้นได้ว่ามีเห็ดหอมแห้ง เอามาลวกน้ำร้อนสักหน่อยก็ใช้ได้
“มันเขี้ยวอะไรผม” เขาเอาถุงหมูสับแช่น้ำจากนั้นก็จัดการต้มข้าว
“มันเขี้ยวเด็กหนุ่มๆ พลังงานเหลือเฟือเกิน” กนธีพึมพำ “เดี๋ยวจูบ เดี๋ยวสะกิด จะแรงเยอะไปถึงไหน” เขาจะหยิบชามแต่ติดแขนเจ้าโอ๊ตที่กั้นขวางทางไว้
คนอายุมากกว่าเงยมอง ไอ้เด็กเปรตเลยถือโอกาสก้มลงงับปากจนได้
“มีปัญหากับจูบของผมหรือ” อินทัชแสร้งถาม ตรึงต้นคอพี่กุนต์แน่น
กนธีตาลาย ถ้าเป็นแบบนี้บ่อยๆ ความดันเขาคงขึ้นแน่นอน “มีสิ..” เขาเก้อเขินจนหูแดงก่ำ “จูบพี่ให้มันน้อยๆหน่อย..” จูบทุกวัน..เหมือนได้กินน้ำเชื่อมติดต่อกันตลอดเวลา “กลัวเป็นเบาหวาน”
“เกี่ยวกันไหม” เขาอมยิ้ม แตะแก้มอีกฝ่ายแล้วงับเรียวปากนุ่มแผ่วเบา ใช้ปลายนิ้วไล้ผิวเนื้อลื่นมืออย่างลุ่มหลง “เดี๋ยวนี้มีอินซูลินแล้วพี่..”
กนธีกลั้นยิ้มจนเมื่อยแก้ม เขาหลับตาลง ปล่อยให้เด็กเข้ามาคลอเคลีย
ข้าวเช้ามื้อนั้นเลยได้กินกันตอนสาย
.
.
.
กนธีมาถึงร้านตอนสิบโมงกว่า ร้านยังไม่เปิดให้บริการ พนักงานแต่ละคนเห็นเขาก็ยกมือไหว้กันสลอน เขาเลยยิ้มรับแล้วชวนคุย
เขาเพิ่งเคยทำร้านอาหารเป็นครั้งแรก คิดว่ายังมีอะไรติดขัดและไม่รู้อีกมาก ดังนั้นแหล่งข้อมูลที่ดีที่สุดก็คือคำบอกเล่าจากปากของพนักงานเอง มีอะไรที่คนเป็นเจ้าของควรปรับปรุงเปลี่ยนแปลง อะไรควรแก้ อะไรดีแล้วควรสานต่อ พนักงานทำงานแล้วมีความสุขไหม ฝืนใจไหม ถ้าทุกคนพอใจ การบริการก็ย่อมดีตามไปด้วย เขาต้องให้ความใส่ใจและดูแลทุกคนพอๆกับการเทคแคร์ลูกค้า
“วันนี้ใครมีเวลาว่าง ช่วยเขียนคำแนะนำและข้อคิดเห็นใส่ลงกระดาษให้ผมหน่อยนะครับ ไม่ต้องลงชื่อก็ได้ คอมเม้นท์ในส่วนของร้าน การบริหาร แล้วก็ความรู้สึกที่ได้ทำงานที่นี่ ใครอึดอัดอยากระบายอะไรก็เต็มที่เลย”
กนธีเป็นคนยอมรับทุกความคิด เขาเปิดกว้างเสมอ
“เงินเดือนน้อยไป งานหนักไป เบื่อกับการทำหน้าที่ อยากย้ายตำแหน่ง เจ้านายไม่ยุติธรรม ถูกลูกค้าด่า เขียนมาได้เลย ไม่มีผลต่อโบนัส” เขายิ้มให้
ทุกคนหัวเราะ รู้ดีว่าคุณกุนต์เป็นเจ้านายที่ดีและเป็นกันเองแค่ไหน
“เขียนเสร็จแล้วพับใส่กล่องไว้ ผมจะมาตามอ่านทีหลัง อย่าลืมว่าไม่ต้องเกรงใจ ซัดให้เต็มที่เลย” กนธีหันมองนาฬิกา “เดี๋ยวจะสิบเอ็ดโมงแล้ว ไปเตรียมตัวกันเถอะครับ วันนี้ก็ขอฝากไว้ด้วยนะ ร้านของเราคงไปต่อไม่ได้ถ้าขาดคนใดคนหนึ่งไป เหนื่อยหน่อยนะครับ แล้วก็ขอบคุณมากจริงๆ”
พนักงานที่ยืนฟังปรบมือให้อย่างชื่นชม แต่ละคนแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตน ที่จริงเจ้านายไม่ต้องมาพูดให้กำลังใจแบบนี้ก็ได้ จะมองว่ารับเงินเดือนแล้วต้องทำให้เต็มความสามารถก็ย่อมได้ แต่การเข้าถึงลูกน้องแบบที่คุณกุนต์ทำ มันเป็นผลดีทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เรียกว่าเป็นการใช้ใจผูกใจ
“เอาล่ะ เราก็ไปแอบงีบหลับบ้างดีกว่าเนอะน้องอุ้ม” กนธีหันมาจูงมือเด็กที่นั่งฟังเขาพูดตาแป๋วเมื่อสักครู่
อุ้มเงยหน้ามองผู้ใหญ่ตรงหน้า “พี่กุนต์เท่จัง”
“หืม?” เขาเลิกคิ้ว มองแก้มกลมป่องแล้วต้องก้มลงฟัดให้หายอยาก
“ทุกคนมองพี่กุนต์หมดเลย หนูเห็นนะ ไม่มีใครไม่ฟังเลย”
อินทัชที่เดินตามหลังโยกหัวไอ้แสบเบาๆ “ก็พี่กุนต์เขาใส่ใจทุกคนไง”
“โตขึ้นหนูอยากเท่แบบพี่กุนต์” เจ้าอุ้มได้ที ยิ่งป้อใหญ่
กนธีหัวเราะชอบใจ “ทุกคนมีความเท่เป็นของตัวเองครับ น้องอุ้มที่ปกป้องแกงส้มกับสี่ถั่วเอาไว้ก็เท่เหมือนกัน ถ้าพวกนั้นไม่ได้น้องอุ้ม ป่านนี้จะเป็นยังไงก็ไม่รู้ หนูทำดีมากเลยครับ ติดนิดหน่อยที่เราไปละเมิดกฎของบ้านเช่ากับลืมปรึกษาพี่โอ๊ต แต่พี่ก็เห็นความตั้งใจดีของหนูนะ”
น้องอุ้มอายแก้มแดง เด็กชายโผเข้ากอดรัดขาพี่กุนต์ เอาหน้าซบแทบไม่ยอมเงยเพราะกลัวพี่ๆจะเห็นว่าอุ้มเขินแค่ไหน
“ขี้อ้อน” กนธียิ้มเอ็นดู เขาพาน้องขึ้นไปบนห้องทำงานชั้นสอง ตรงนั้นมีที่นั่งพักผ่อนสบายๆ เปิดทีวีให้น้องดูฆ่าเวลาก็ยังได้
“คุณไผทกลับปากช่องไปแล้วหรือครับ” อินทัชถาม วันนี้วันจันทร์ เขาไม่ต้องเข้างาน ที่ตกลงกันไว้คือร้องเพลงเฉพาะศุกร์ เสาร์ อาทิตย์
“อืม..เมื่อคืนเขาบอกว่ากลับวันนี้นี่แหละ ตอนเช้ามืด” เขาก้มลงหยิบน้ำผลไม้ในตู้เย็นให้น้องอุ้มและส่งนมกล่องไทยเดนมาร์กให้อินทัช
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว “ทำไมตู้เย็นในห้องทำงานพวกพี่มีนมกล่อง?”
“คุณไผทชอบกินไทยเดนมาร์กเหมือนกัน”
อินทัชส่งคืนแทบไม่ทัน ไปกินเสบียงของไอ้คนขี้ตืดแบบนั้น เดี๋ยวมันคิดค่าเสียหายกล่องละสองร้อยจะทำอย่างไรล่ะ “ถามจริง..เขาแก่ขนาดนั้น ยังคิดว่าตัวเองจะสูงได้อีกสักกี่น้ำครับ มันไม่ช่วยแล้วแหละ”
กนธีสำลักน้ำเปล่าที่กำลังดื่ม “โกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติก่อนหรือ”
“ผมเป็นคนตรงๆและจริงใจครับ ไม่ชอบขี้หน้าใครก็แสดงออกมาเลย ไม่มีการทำสองหน้า” เขาเหยียดปาก “หมอนั่นตั้งแง่กับผมก่อนเอง ช่วยไม่ได้”
“ยังไงเขาก็เป็นเจ้านายนะ” กนธีส่ายหัวอย่างระอาปนขบขัน
อินทัชไม่โต้ตอบ เขาหยิบกีต้าร์ติดมือมาตั้งแต่ข้างล่างแล้ว คิดว่าถ้าไม่รบกวนพี่กุนต์เกินไปก็จะลองซ้อมมือดูหน่อย “ขออนุญาตนะครับ”
“เอาเลย ตามสบาย” กนธีนั่งที่โต๊ะทำงาน เขาเปิดหน้าต่างห้องเอาไว้ จะได้ดูร้านจากบนนี้ได้ จากนั้นก็เปิดสมุดบัญชีดูรายรับรายจ่าย
น้องอุ้มดูดน้ำผลไม้เสร็จก็มานั่งมองพี่โอ๊ตดีดกีตาร์ “ยากไหมอ่า”
“นี่น่ะหรือ” อินทัชยิ้มให้น้องคนเล็ก “ถ้าอุ้มหัดบ่อยๆก็ไม่ยาก”
“พี่โอ๊ตไม่เจ็บนิ้วหรือฮะ”
“ตอนแรกเจ็บ แต่ตอนนี้ชินแล้ว ถ้าอยากเรียน เอาไว้โตกว่านี้ก่อน ตัวกะเปี๊ยกแบบนี้จะจับยังไม่ไหวเลยเรา” เขาโยกหัวน้อง “ไปดูทีวีไป”
“ไม่เอา หนูอยากคุยกับพี่กุนต์”
คนถูกพาดพิงเงยหน้าขึ้น แว่นสายตาตกลงมากองที่ดั้งจมูก เขายิ้มให้ “ว่าไงครับ อยากคุยอะไรกับพี่หรือ”
“อยากดูพี่กุนต์เขียนหนังสือ” น้องอุ้มปีนลงจากโซฟาแล้วเดินไปหา
กนธีหัวเราะ เขาแค่ตรวจบัญชีเลยไม่ได้ทำอะไรมาก ตอนแรกว่าเสร็จแล้วจะโทรไปติดต่อช่างแต่ละรายเพื่อคุยเรื่องการรีโนเวทร้าน แต่เอาไว้ก่อนก็ได้
“มาๆ นั่งตักพี่นี่ เดี๋ยวจะเล่านิทานให้ฟัง”
“อุ้มไปกวนพี่กุนต์หรือเปล่า” อินทัชปรามน้อง
“หนูเปล่ากวน” น้องอุ้มแลบลิ้นใส่
“พี่โอ๊ตเขาอิจฉาที่น้องอุ้มรักพี่กุนต์มากกว่าไง” กนธียักคิ้วให้อีกฝ่าย
“อิจฉามาก” ร่างสูงหัวเราะหึๆ จัดการเสิร์ชหาโน้ตเพลงในอินเทอร์เน็ต
กนธียกตัวน้องอุ้มขึ้นมานั่งตัก เขาพกหนังสือฝึกอ่านภาษาอังกฤษของอ็อกซ์ฟอร์ดเลเวลสองติดตัวมาด้วย เป็นเรื่อง Dracula บทประพันธ์ของ Bram Stoker ตั้งใจว่าจะเอามาอ่านและสอนน้อง ถึงจะยังรู้เรื่องไม่มาก แต่ก็อยากให้เคยชินกับภาษาที่สองตั้งแต่ยังเด็ก จะได้ไม่เกร็งเวลาใช้
“น้องอุ้มกลัวผีไหม”
“หนูไม่กลัว” เด็กชายส่ายหัวดิก
“อื้อหือ เก่งจัง งั้นวันนี้พี่กุนต์จะเล่าเรื่องผีให้ฟังนะ เป็นภาษาอังกฤษ แต่ไม่ยากเท่าไร” เขาเช็ดหัวเหม่งชื้นเหงื่อของน้องด้วยความรักใคร่
“พี่กุนต์ฮะ” อุ้มจับแขนอีกคนไว้ก่อน ทำท่ากระซิบ “หนูไม่กลัวผี แต่ว่าคืนนี้ขอเอาเป็ดเหลืองไปนอนกับพี่กุนต์ได้ไหม~”
“โอเคครับผม..” กนธีกลั้นขำจนตัวสั่น “เริ่มล่ะนะ พร้อมหรือยัง”
น้องอุ้มจ้องไปที่หนังสือตาแทบไม่กะพริบแทนคำตอบ
“In the spring of 1875. Jonathan Harker travels to Transylvania, on a business visit to the home of Count Dracula.” เขาอ่านให้น้องฟัง
ใครอีกคนในห้องเงี่ยหูฟัง เขาชอบสำเนียงอีกฝ่าย
“ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1875 โจนาธาน ฮาร์เกอร์ เดินทางไปยังทรานซิลเวเนีย เพื่อติดต่อเรื่องธุรกิจที่บ้านของท่านเคานท์แดร็กคิวล่า”
“ทรานซิลเวเนียคือที่ไหนฮะ” น้องอุ้มไม่เห็นจะรู้จัก
“เป็นดินแดนในประเทศโรมาเนียครับ พวกฝรั่งเขาอยู่กัน” เขาอธิบายก่อนจะอ่านต่อจนจบหนึ่งพารากราฟและแปลเป็นท่อนๆ
อินทัชยิ้มจาง มองผู้ใหญ่กับเด็กเข้าขากันได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย ส่วนเขาก็ยังวุ่นวายกับการหาโน้ตเพลงและเช็กกีต้าร์ต่อ
“And every day he has more and more terrible things to write. Why does he see Count Dracula only at night?” กนธีก้มมองเด็กน้อยบนตักที่ทำคิ้วผูกโบว์ “Why can’t he see the Count in the mirror? And who are the three beautiful women, with their red mouths and long sharp teeth, that come to his room at night?”
น้องอุ้มเอานิ้วจิ้มภาพท่านเคานท์บนกระดาษ เจ้าหนูตัวจ้อยเงยหน้ามองผู้ใหญ่ข้างหลัง “คนนี้เป็นผีหรือฮะ”
“เก่งจังคนดี” กนธีอมยิ้ม “มาๆ..ตาแก่จะแปลทีละส่วนให้ฟังนะครับ”
อินทัชลอบมองเพลิน พี่กุนต์สอนไอ้อุ้มอย่างใจเย็น อ่านทวนใหม่ในแต่ละประโยคแล้วแปลเป็นภาษาไทย แต่ไม่ได้บอกคำศัพท์แบบชัดเจน ดูเหมือนว่าพยายามให้เจ้าอุ้มจับใจความสำคัญแล้วสร้างภาพในหัวขึ้นมาเอง
“ไนท์..ไนท์” น้องอุ้มคิดจนหัวคิ้วยุ่ง
“ตอนนี้เป็นเดย์ สว่างโล่งโจ้ง” กนธียิ้ม “จากนั้นก็จะเป็นไนท์..มืดๆ”
ไนท์ของพี่กุนต์ก็คือเวลากลางคืนนั่นเอง
“เมาท์..” ร่างเล็กครางเหมือนลูกแมว “ทีธ”
กนธีก้มหน้าลงให้เสมอไหล่น้อง เขาทำปากยื่นปากยู่ให้ดู “This is my mouth.” จากนั้นก็ยิงฟันขาววับ “This is my teeth.”
น้องอุ้มเอานิ้วแตะเรียวปากทั้งบนและล่างของพี่กุนต์
เขาหัวเราะ จับมือนุ่มนิ่ม “This is my lips.”
อินทัชละมือจากการปรับสายกีต้าร์ จู่ๆเขาก็ฮัมเพลงและร้องท่อนหนึ่งขึ้นมา “And in my dreams I’ve kissed your lips a thousand times.”
กนธีสะดุดลมหายใจตัวเอง เขาเงยหน้ามองคนที่ทำไม่รู้ไม่ชี้แล้วตรวจสภาพเครื่องดนตรีต่อไป ไอ้หมอนี่มัน..กวนอารมณ์จริงๆ!
“พี่กุนต์จ๋า” อุ้มหัวเราะชอบใจ ชี้ไปที่ปลายหู “แดงแจ๊ดเลยอ่า”
“อากาศมันร้อนครับ” อ้างไปอย่างนั้นทั้งที่แอร์เย็นเฉียบ
อินทัชเลยพูดลอยๆ “โกหกเด็กจะดีเร้อ”
“ไอ้โอ๊ต~”
เขาหัวเราะในลำคอ ไม่สนใจว่าจะถูกเขม่นมองแค่ไหน ลงท้ายพอพี่กุนต์โวยวายอะไรไม่ได้ก็ต้องสงบปากคำแล้วคุยกับไอ้อุ้มต่อไป
.
.
.
[ต่อด้านล่าง]