บทที่ 9
วันนี้เป็นวันซ้อมใหญ่ พวกเรามาซ้อมกันที่สนามจริงเหมือนกับทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา แต่วันนี้จะซ้อมตามคิวเวลาจริง ผมมาตั้งแต่เช้าแต่ได้ซ้อมจริงก็เวลาบ่ายกว่าๆแล้ว วันนี้อากาศร้อนเหมือนทุกๆวันแต่แดดจ้ามากกว่าวันไหนๆ เลยทำให้พวกเราเหนื่อยเร็วเป็นพิเศษ ผมไม่อยากที่จะแหงนหน้ามองขึ้นไปบนฟ้าเพราะผมคิดว่าหากมองไปยังดวงอาทิตย์ตรงๆนั้นอาจจะทำให้ผมตาบอดได้ แต่การที่ต้องโยนคฑานั้นการแหงนหน้าขึ้นฟ้าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงได้เลย
กานต์มาหาผมตั้งแต่ตอนเที่ยงแล้ว หลังจากนั้นเขาก็ไปนั่งดูผมบนแสตนด์ แต่ดูแล้วก็คงทรมารกับแสงแดด และความร้อนไม่ต่างอะไรกับผม เพราะว่าเวลาผมหันไปมองเขาทีไรก็เห็นกานต์ไม่เอามือพัดเพื่อให้เกิดลม หรือไม่ก็ดื่มน้ำอึกใหญ่ แถมยังไม่สามารถเบิกตามองมาที่สนามได้อย่างเต็มตา
ตกเย็นเมื่อผมเลิกซ้อมแล้ว กานต์ก็แดงไปทั้งหน้า เขาคงจะร้อนมากเพราะพอเขามานั่งในรถปุ๊บก็รีบหันแอร์หันไปทางตัวเขาเป็นการใหญ่ เราทั้งคู่ไม่ได้ไปไหนกันต่อแต่มุ่งหน้าไปที่หอของกานต์กันเลย
เมื่อผมเอารถมาจอดเทียบที่หน้าหอของกานต์ เขาก็ยังคงยุกยิกหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าอยู่ และพอพบจอดรถเสร็จแล้วกานต์ก็ยื่นกล่องหนึ่งใบมาให้ผม เป็นกล่องสีน้ำเงินใบไม่ใหญ่มากนัก
“เราให้” กานต์พูดเมื่อเห็นผมนั่งเฉยๆไม่ได้รับกล่องจากเขา
“คืออันนี้เป็นของขวัญแสดงความยินดีสำหรับพรุ่งนี้ไง” กานต์เสริมเมื่อผมยังคงทำหน้างงอยู่
“ขอบคุณนะ”ผมว่า
“แต่ความจริงเอาไปให้เฟยพรุ่งนี้ก็ได้” ผมพูดต่อ
“คือพรุ่งนี้เขาไม่ไห้คนนอกเข้าไปยุ่ง เราคงเข้าไปหาเฟยไม่ได้ เลยให้วันนี้สะดวกกว่า” กานต์ยิ้ม
“แล้วก็ของขวัญนี้รวมเป็นของขวัญวันเกิดไปด้วยเลยนะ” กานต์ยิ้ม
“ขอบคุณนะ” ผมขอบคุณกานต์อีกครั้ง เขาแค่ยิ้มกลับมาให้ผม เป็นรอยยิ้มเดียวกับเมื่อวันปีใหม่ แล้วจู่ความรู้สึกผิดแปลกๆก็พุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกในจิตใจ
กานต์กลับหันไปจะเปิดประตูรถ แต่ผมเอื้อมมือไปจับแขนของเขาไว้ก่อน กานต์หันมาทำหน้าสงสัย
“เฟยขอโทษ” ผมบอกกานต์หลังจากที่เงียบไปพักหนึ่ง
“ขอโทษเรื่องอะไรเฟย” กานต์ถามผม
“ก็เมื่อวันลอยกระทงที่เฟยเบี้ยวกานต์ไง” ผมพูดพร้อมกับพยายามสบตากานต์ ที่ดูนิ่งไป
“อันที่จริงเฟยไปลอยกระทงกับป๊อบมา” ผมสารภาพแบบหมดเปลือก กานต์เหมือนจะพูดอะไรสักอย่างแต่ก็เงียบไปเหมือนเดิม
“กานต์เฟยขอโทษ” ผมพูดซ้ำ
“ไม่เป็นไรหรอกเฟย” กานต์ยิ้มแต่แววตาไม่ได้ยิ้มเลย
“ขับกลับดีดีนะ” กานต์บอกผมก่อนจะลงจากรถไป
-----
ในที่สุดวันจริงก็มาถึง ผมออกมาจากบ้านตั้งแต่เช้าเพื่อมาเตรียมตัว แต่งานจริงเริ่มประมาณเที่ยง พอถึงเวลาประตูงานเปิดผู้คนก็หลั่งไหลเข้ามาจับจองที่บนแสตนด์กับคับคั่ง เสียงกองเชียร์ของทั้งสองมหาลัยดังกึงก้องไปทั่วบริเวณ ทุกคนต่างมาเชียร์มหาลัยของตน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ปัจจุบัน หรือบัณฑิตที่จบไปแล้วต่างก็มาร่วมงานกันมากมาย
พอถึงเวลาของผมต้องเดินขบวนก็เป็นเวลาช่วงบ่ายแล้ว ซึ่งแดดก็ไม่มีท่าทีว่าจะอ่อนแรงลง และชุดที่ใส่ซึ่งหลายชั้นก็เรียกเหงื่อได้เป็นอย่างดี แต่ผมกลับรู้สึกดีว่าในที่สุดผมก็ทำได้
การเดินขบวนและการโชว์ผ่านไปไวเพียงช่วงแป๊บเดียว จนผมรู้สึกว่าเหมือนเพิ่งจะมาถึงที่สนามเพียงแค่ไม่นานนี้เอง ผมได้พักตอนที่ฟุตบอลซึ่งเป็นไฮไลท์ของงานเริ่มการแข่งขัน ในระหว่างนี้ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เข้ามาแสดงความยินดีมากมาย แต่ผมก็ยังคงไม่เห็นกานต์ ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่ากานต์มาที่งานหรือไม่เพราะผมไม่สามารถมองรู้ได้เลยว่าใครเป็นใครในเมื่อคนบนแสตนด์มีมากจนยากต่อการนับ
สุดท้ายเมื่องานเลิกตอนเวลาเกือบจะสามทุ่ม ก็เป็นเวลาแห่งการแสดงความยินดี ป๊า แม่ และพี่สาวต่างก็มาแสดงความยินดีกับผมด้วย ในจังหวะที่ผมถ่ายรูปอยู่นั้นผมก็เหมือนเห็นกานต์อยู่ไกลเหมือนกำลังจะเดินเข้ามาหาผม แต่เมื่อผมหันไปมองเขากลับหยุดเดินและมองกลับมาที่ผม ผมคิดว่าเราทั้งคู่สบตากัน ผมจึงส่งยิ้มไปให้
“เฟยมองอะไรอยู่” ไหมพี่สาวผมเรียกให้ผมหันไปมองกล้อง
และพอถ่ายรูปเสร็จแล้วพอหันไปมองทางที่กานยืนอยู่ก็ไม่เห็นเขาอยู่ตรงนั้นแล้ว ผมใช้เวลาถ่ายรูปต่อไปอีกเกือบหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดผมก็มานั่งอยู่บนรถโดยที่ผมมีหน้าที่เป็นผู้โดยสารเพราะพี่สาวผมรับหน้าที่เป็นคนขับให้ ผมก็เลยได้มีเวลามานั่งคิดว่าผมเห็นกานต์จริงๆหรือไม่ ผมนั่งคิดอะไรเพลินพอหันไปมองไหมก็นึกถึงเรื่องของผมกับกานต์ขึ้นมาได้
“ไหม” ผมเรียกพี่สาว
“ว่า” ไหมตอบ
“มีอะไรหรือเปล่า” ไหมถามผม เพราะผมเงียบไป
“คือถ้าเพื่อนไหมเมาแล้วมามีอะไรกับไหม ไหมจะรู้สึกยังไง” ผมถาม
“ก็คงรู้สึกไม่ค่อยดี”ไหมตอบ
“แต่แบบข่มขืนหรือเต็มใจ” ไหมถามผมกลับ
“คิดว่าไม่ได้ข่มขืน” ผมพยายามนึกว่าวันนั้นผมขืนใจกานต์หรือไม่ แต่จากวีดีโอกานต์ก็ไม่มีถ้าทีกลัวอะไรเว้นแต่จะมีผลักผมบ้าง แต่ยังไงผมก็เป็นฝ่ายชนะ
“แล้วไหมจะให้เพื่อนไหมมารับผิดชอบหรือเปล่า” ผมมองพี่สาว ซึ่งกำลังตั้งใจขับรถอยู่
“ไหมคงไม่ให้เพื่อนคนนั้นมารับผิดชอบอะไรหรอก แต่เฟยก็ไม่ควรจะอยู่เฉยๆนะ” ประโยคสุดท้ายของไหมดูแปลกๆ
“งั้นไหมก็คิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุ” ผมสงสัย
“มันไม่มีทางเป็นอุบัติเหตุหรอกเฟย คนเมา ไปเอาใครไม่ได้หรอกนะ” ไหมว่า พอฟังประโยคนี้ของไหมแล้วผมก็รู้สึกว่าเหมือนมีกานต์มานั่งพูดให้ฟังอยู่เลย
“เฟยควรจะต้องทำอะไรบ้าง” ไหมยังพูดต่อ
“แล้วทำอะไรหล่ะ” ผมถามกลับ
“ทำให้อะไรๆมันดีขึ้นไง” ไหมว่า ผมเงียบไปเพราะนึกถึงช่วงที่ผ่านมาว่าผมทำอะไรๆให้มันดีขึ้นแล้วหรือยัง
“แล้วเขาคนนั้นคือใครหล่ะ” ไหมถาม
“เดี๋ยวไว้จะพาไปบ้าน” ผมหลุดพูดไป ผมหันไปเห็นไหมยิ้มๆเหมือนว่าหลอกล้วงเอาความลับของผมได้สำเร็จ
ผมคิดว่าคงจะดีกว่าถ้าผมจะเลิกพูดเรื่องนี้กับไหมไปซะ เพราะถ้ายังไม่หยุดผมอาจจะต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้ไหมฟัง ซึ่งผมยังไม่พร้อม ผมจึงเปลี่ยนเรื่องไปคุยเรื่องอื่น จนกระทั่งเราทั้งคู่มาถึงบ้าน ผมเข้าบ้านขนของทั้งหมดขึ้นห้อง ลงมากินข้าว และขึ้นไปอาบน้ำ และในระหว่างที่ผมเช็ดหัวอยู่นั้น ผมก็ไปเห็นกล่องของขวัญของกานต์ ผมเลยเดินไปแกะกล่องเปิดดู ข้างในเป็นเสื้อแจ็คเก๊ตสีน้ำเงินเข้ม ผมยิ้มให้เสื้อตัวนั้นก่อนจะเดินไปหยิบโทรศัพท์ กดเบอร์ของกานต์แล้วโทรออก
“ว่าไงเฟย” กานต์ทักผม
“เสื้อสวยดีนะกานต์ ขอบคุณนะ” ผมขอบคุณกานต์อีกครั้ง
“อือ ได้ยินว่าเฟยจะไปต่างประเทศเลยซื้อมาให้เพราะคิดว่าคงจะได้ใช้” กานต์ว่า
“กานต์” ผมพูดเสียงเรียบ
“ทำไมวันนี้กานต์ไม่เดินเข้ามาหาเฟย” ผมถามเสียงเรียบเหมือนเดิม
“ก็เห็นเฟยกำลังมีความสุขอยู่ ก็เลยไม่อยากเข้าไปทำลายช่วงเวลาดีดี” กานต์ตอบเสียงอ่อย
หลังกานต์พูดจบคำพูดของไหมก็ลอยมาชนผมทันที “ทำให้อะไรๆมันดีขึ้น” ประโยคนี้วนๆอยู่รอบผมตอนนี้แล้วก็พุ่งชนผมอยู่เป็นระยะ
“เฟย” กานต์เรียกผม
“ยังอยู่ไหม” ผมคงเงียบนานเกินไป
“กานต์วันอาทิตย์นี้ว่างไหมไปดูหนังกัน” ผมชวน
“ฮะ เฟยว่าอะไรนะ” กานต์ถามผมซ้ำด้วยเสียงประหลาดใจ
“วันอาทิตย์นี้ไปดูหนังกัน” ผมพูดซ้ำ
“อ๋อ ไปสิ ไป” กานต์ตกลงแต่น้ำเสียงยังคงความประหลาดใจอยู่
“งั้นเดี๋ยวเฟยไปรับกานต์ที่หอนะ” ผมว่าและพอผมพูดจบต่างคนก็ต่างเงียบไป ผมไม่รู้เลยว่ากานต์กำลังคิดอะไรอยู่
“งั้นฝันดีนะเฟย” กานต์พูดในที่สุด
“ฝันดีครับ” ผมบอกลากานต์
ขอบคุณครับ