WATERCOLOR
#ที่พักพิงสีน้ำ
คุณคิดว่าตัวเองเหมือนสีอะไร ?
ภาคิน พิชญเดชา
CH.9
-Peach-
“มึงสั่งนมชมพูมานั่งมองเฉยๆ เหรอวะคิน”
“คนชอบกินไม่อยู่”
“ซึมเลยภาคิน เป็นบุญตาของกูมากๆ ที่ได้เห็นมึงเวลามีความรัก”
“กู? ทำไมวะแปลกเหรอไง”
“แปลก สำหรับกูนะมึงคือคนที่เฉยมากๆ ไม่สนใจเรื่องแบบนี้เลย เวลาที่มึงอยู่กับแก๊งลูกเพื่อนแม่มึงคือที่ปรึกษาให้เพื่อน มึงคือคนที่เพื่อนจะพึ่งพา แน่แหละมึงฉลาดและมีสติสุดเท่าที่กูสังเกต”
“ขนาดนั้นเลยเหรอวะ”
“คือมึงแม่งฉลาดและรู้ทันคนอื่น จนกูนึกภาพไม่ออกเลยว่าเวลาที่มีความรัก ภาคินจะเป็นแบบไหน”
“กูก็เคยมีแฟน มึงอย่าเวอร์”
“ไม่เหมือนว่ะ ตอนนั้นมึงไม่ได้รักมากขนาดนี้”
“ขนาดไหน”
“ขนาดที่นั่งมองแก้วนมชมพูแล้วยิ้มคนเดียว..มึงก็มีมุมแบบนี้เนอะกิ๊บกิ๊วว่ะ น่ารักจังเลยภาคิน”
คินดันหัวเพื่อนที่ทำเป็นแกล้งจะเดินเข้ามาหยิกแก้ม แต่พอนึกตามเพื่อนที่พูดแบบนั้น เอาเข้าจริงก็แปลกใจตัวเองเหมือนกันนี่ก็ทำตัวกุ๊กกิ๊กขึ้นทุกวัน เมื่อก่อนเขาคงไม่ออกจากบ้านเพื่อไปซื้อเครื่องดื่มสีสันสดใสขนาดนี้ แถมไอ้คนที่อยากให้ดื่ม ก็ไม่อยู่ นี่คิดว่าตัวเองตื่นเช้าสุดในรอบปีแล้วนะ แต่ก็ยังไม่ทันครูสีน้ำที่ยังตื่นเช้ากว่าเขาอีก พอไปเคาะประตูร้านข้างๆ ยืนเก๊กหน้าหล่อเต็มที่ หวังไว้ว่าคนที่จะเปิดประตูออกมาคือสีน้ำ แต่กลายเป็นณัฐที่พอเห็นเขาก็ทำหน้า งงๆ
“น้ำไม่อยู่ครับ วันนี้พาเด็กๆ ไปวาดรูปนอกสถานที่”รู้สึกเหมือนได้ยินเหมือนเศษหน้าแตกดังเพล้ง เพราะยืนเก๊กทำหน้าหล่อชนิดพระเอกละครมาเอง คุณณัฐก็น่าจะตลกเขาอยู่เหมือนกันเห็นพยายามกลั้นหัวเราะ สุดท้ายภาคินก็ต้องเดินถือแก้วนมชมพูกลับมานั่งมองที่ร้านตัวเอง
“มึงอยู่กันได้ใช่ไหม เดี๋ยววันนี้กูต้องกลับไปกินข้าวที่บ้าน”
“ได้ครับ อยู่ไม่ได้กูปล้นของร้านมึงไปขายหมดนี่แหละ รวย”
“นี่กูไว้ใจถูกคนป่ะวะ”
“คิน แล้วมึงโอเคเหรอวะที่ต้องไปเจอญาติๆ มึง”
“กูใช้พลังทุกครั้งเวลาที่ต้องกินข้าวกับบรรดาญาติกู มึงก็รู้กอล์ฟ”
“เอาแก๊งลูกเพื่อนแม่มึงไปคนหนึ่งดิไปสู้ ไอ้ตัวจิ๋วอะ ตั้งแต่มีแฟนไม่เห็นหน้าเห็นตาฝากบอกกอล์ฟคิดถึง”
“มึงไม่โดนแฟนมันเตะก่อน ก็โดนไอ้ทิมแกล้งมึงอีกรอบ”
“จำได้ไม่ลืมจ้าตอนปอห้าเอาจิ้งจกปลอมมาใส่ในแก้วน้ำกู กูกรี๊ดลั่นโรงเรียนไอ้นพจินดาปอห้าห้องสาม”
พอนึกถึงวีรกรรมเก่าๆ ก็หัวเราะกันออกมาทั้งคู่ ป่านนี้ทิมน่าจะจามไม่หยุดโดนไอ้กอล์ฟนินทาขนาดนี้ ภาคินตบไหล่เพื่อนที่กำลังเช็คไฟที่สตูดิโอก่อนจะขอตัวขึ้นไปเก็บของที่ห้อง ทันทีที่ประตูปิดลงภาคินก็ถอนหายใจเขาไม่เคยชอบเลยเวลาที่ต้องไปกินข้าวที่บ้านพร้อมญาติมากมาย ทั้งๆ ที่น่าจะชินเพราะเจอเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เด็ก ก็นะ..พอเจอหลายๆ ครั้งก็ต้องบั่นทอนจิตใจเป็นเรื่องธรรมดา บรรดาญาติๆ เขาก็ไม่เคยจะพูดเรื่องอื่นกันสักที พูดแต่เรื่องเดิม ๆ
คิน..ทำงานอะไรอยู่ เห็นเที่ยวตลอด
บอกให้เรียนเหมือนเคทำไมไม่เรียน ไปเรียนทำไม นิทง นิเทศ
มาช่วยงานที่ธนาคารไม่ดีกว่าเหรอ
วาดรูป ถ่ายรูป นี่เงินมันจะพอใช้ได้ไงกันเดาได้เลยว่าวันนี้ก็ต้องเจอเรื่องแบบนี้อีก ที่อดทนเพราะเห็นว่าเป็นญาติและก็ไม่อยากทำให้พ่อกับแม่ลำบากใจด้วย ทั้งๆ ที่พ่อกับแม่ก็บอกแล้วว่าเขาเป็นลูกที่ดี ไม่ได้ทำอะไรให้เสียหายตรงไหน ตัวคินเองก็ดีใจอยู่หรอกแต่เขาก็อยากจะมีสักครั้งที่เห็นคนที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ปกป้องเขาบ้าง
แต่นั่นแหละ เขาคงหวังมากเกินไป ที่จริงเหตุผลหนึ่งที่เขาอยากเจอคุณน้ำในตอนเช้าก็เพราะเหตุผลนี้ด้วย อยากเติมพลังก่อนที่ต้องไปเจออะไรแบบนี้ คินเปิดกล่องสีน้ำตาลออกมาค้นหาโปสการ์ดใบหนึ่งแล้วนำมาหนีบไว้ตรงบอร์ด ก่อนจะหยิบดินสอมาเคาะลงไปตรงคำว่า นมชมพู
“ไม่ใช่เล่นๆ เหมือนกันนะเรา”ไม่ต่างจากที่คิดไว้เท่าไหร่ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา คุณลุง คุณป้า น้า อา เอาแต่ถามเรื่องงาน เรื่องแฟน ถามเป็นรอบที่ยี่สิบห้าว่าเมื่อไหร่จะแต่งงานสักที สามสิบกว่าแล้ว ตอนแรกภาคินก็ตอบเลี่ยงๆ ไป แต่พอตอบประเด็นหนึ่งก็ถามจี้อีกประเด็นหนึ่ง ไม่จบไม่สิ้นสักที
“แล้วมันจะมั่นคงเหรอ บอกแล้วว่าให้มาช่วยงานตาเคไปเรียนอะไรก็ไม่รู้ป้าไม่เห็นว่ามันจะมีประโยชน์..”
เคร้ง! ทุกคนบนโต๊ะอาหารนิ่งสนิทเมื่อคินโยนช้อนส้อมลงบนจานจนเสียงดังลั่น คุณนายญาดาหันมามองมองลูกชายคนเล็กที่ยังคงนั่งท่าเดิมอยู่แบบนั้นพยายามจะเอื้อมมือไปจับไหล่ลูกชาย แต่คินกลับลุกขึ้นยืนซะก่อน
“ถ้าจะพูดเรื่องเดิมๆ ขอตัวก่อนนะครับ..ถ้าผมมันไม่ได้เรื่องขนาดนั้นลืมๆ ไปบ้างก็ได้ว่ามีผมเป็นหลานหรือว่ามีญาติชื่อภาคิน”
ก่อนที่คินจะหันหลังเดินออกไป สายตาก็มองไปยังพี่ชายที่เงยหน้าขึ้นมามองสายตาของพี่ชายคินเองก็ไม่เคยรู้เลยว่ามันหมายความว่ายังไง ต่างคนต่างมองหน้ากันอยู่อย่างนั้นโดยที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา คินลองหยุดแล้วรอดูท่าทางของพี่เค แต่สุดท้ายมันก็เหมือนเดิมจบแบบเดิมๆ พี่เคเงียบโดยที่ไม่พูดอะไรสักคำ คินเลยยกมือไหว้พ่อกับแม่ก่อนจะเดินออกจากบ้าน ว่าแล้ว..มันต้องเป็นแบบนี้ ไม่เคยจะมีอะไรเปลียนไปเลยสักครั้ง ทันทีที่เดินมาถึงรถที่จอดไว้ สายตาก็เหลือบไปเห็นเจ้าเด็กผมจุกที่เกาะกำแพงบ้านมองเขาอยู่
“กลับมานอนบ้านเหรองไงทิม”
“ลูกกระจ๊อก”
“ไม่มีอะไรหรอกมึงก็เดิมๆ กูชินแล้ว”
“แล้วมึงจะไปไหน ไปจังหวัดอะไร”
คินเดินมาที่กำแพงสีขาวก่อนจะเอื้อมมือมาดึงผมจุกของทิมเบาๆ แก๊งลูกเพื่อนแม่ทุกคนรู้ดีว่าเวลาเจอเรื่องครอบครัวแบบนี้เขาเองจะขับรถไปต่างจังหวัดคนเดียว ไปนั่งคิดอะไรสักพักให้หัวมั่นโล่งแล้วค่อยกลับ บางทีก็ไม่มีจุดหมายว่าที่ไหนก็แค่ขับไปเรื่อยๆ
“ยังไม่รู้เลยว่าจะไปไหน”
“บอกกูด้วยนะ”
“บอกทุกครั้งอยู่แล้ว”
“กูฟ้องไอ้มิลเรียบร้อย เบนด้วยมึงโดนด่าแน่นอนชอบหนีไปคนเดียว”
“กลับมาจะไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดแล้วกัน”
คินยิ้มบางๆ เมื่อลูกกระจ๊อกอย่างเขาต้องมาลูบหัวไอ้เจ้านายที่จิกหัวใช้มาตั้งแต่ปอสาม ไอ้ทิมทำหน้าบึ้งตึงก่อนที่เขาจะโบกมือลา ที่จริงคินก็รู้ว่าแก๊งลูกเพื่อนแม่ไม่ชอบให้เขาหนีไปไหนคนเดียวแบบนี้ ถ้าเป็นเรื่องงานพวกนั้นไม่ว่าอะไรอยู่แล้วแต่เขาก็เจอแบบนี้บ่อยๆ พอเขากลับมาจากต่างจังหวัด รามิลจะคอยเตือนสติ ไอ้เบนบ่นยาวเหยียดเป็นหมีกินผึ้งเพราะกลัวเขาเกิดอุบัติเหตุ และตบท้ายด้วยไอ้ทิมที่งอนจนเขาต้องเป็นฝ่ายง้อ ภาคินถอนหายใจแล้วนั่งหลับตาอยู่ในรถเขาเองก็ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน มันมืดแปดด้านไปหมด มันเหนื่อยจนไม่อยากทำอะไร
หัวหิน
กาญจนบุรี
ระยอง
ภูเก็ต
หรือจะไปเชียงใหม่ ..
“เชียงใหม่..”ภาคินลืมตาขึ้นอีกครั้งก่อนจะสตาร์ทรถออกไป
Watercolor
เชียงใหม่ใกล้กว่าที่เขาคิดไว้เยอะ ภาคินยืนกอดอกมองคนที่ใส่ผ้ากันเปื้อนแต่สีน้ำก็ยังเลอะเต็มไปหมด บางส่วนก็เลอะแขนเลอะแก้ม รอยยิ้มยามที่พูดคุยกับเด็กนักเรียนสดใสจนคินเองยังต้องยิ้มตาม คินรอจนนักเรียนคนสุดท้ายโบกมือลาครูสอนวาดรูปก่อนจะเดินเข้าไปหา สีน้ำหันมามองคนที่กำลังเดินมาวันนี้ภาคินแต่งตัวทางการมากกว่าทุกวัน มีเช็ตผมขึ้นเรียบร้อยแปลกๆ จากแววตาที่ดูอ่อนล้าและใบหน้าที่ไม่มีรอยยิ้มทำให้สีน้ำเลือกที่จะยืนอยู่หน้าร้าน และทันทีที่คินหยุดอยู่ตรงหน้าสีน้ำเลยยกมือขึ้นมาแตะแก้มเบาๆ
“เป็นอะไรครับคิน เหนื่อยเหรอ”เพียงแค่ประโยคเดียวคินตัดสินใจรวบตัวคนตรงหน้าเข้ามากอดไว้แน่น สองแขนกอดรัดช่วงเอวใบหน้าซบลงตรงไหล่เล็กๆ นั่น ภาคินไม่ได้สนใจคราบสีน้ำที่มันยังเลอะอยู่บนตัวของครูสอนวาดรูปเลยสักนิด และเดาได้เลยว่าตอนนี้มันน่าจะเลอะเสื้อเชิ๊ตสีขาวที่เขาใส่อยู่เหมือนกัน สีน้ำเองก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมาลูบแผ่นหลังกว้าง
ไม่มีคำพูดใดๆ
มีแค่การสัมผัสเท่านั้น
ภาคินหลับตาลงวันนี้เขารู้สึกว่าเขาเจอแล้ว…
ไม่ต้องไปจังหวัดไหนขอแค่มีคนๆ นี้คนเดียวก็เพียงพอแล้ว พอแล้วจริงๆ
“ไม่มีสอนแล้วเหรอครับวันนี้”
“หมดแล้วครับตอนเช้าผมพาเด็กๆ ไปวาดรูปที่สวนสาธารณะใกล้ๆ นี่เอง คลาสเมื่อกี้ก็คลาสสุดท้ายแล้ว คินล่ะครับปิดร้านเหรอ”
“สตูดิโอเปิดครับ แต่ร้านข้างล่างปิด”
“เหมือนที่คุณเบนบอก คินเปิดร้านปีละสามวัน”
“เดือนนี้สิบวันแล้ว…น้ำไม่ถามผมเหรอครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
ท่าทางหงอยๆ เหมือนหมาตัวโตโดนให้งดอาหารทำให้สีน้ำยิ้มออกมา แบบนี้ภาคินค่อยดูเหมือนคนที่อายุน้อยกว่าเขาหน่อย ทุกทีเห็นชอบทำท่าวางมาดเหมือนคนที่อายุเลยวัยสี่สิบกว่าไปแล้ว พอเห็นเขาเงียบเจ้าตัวก็หางลู่หูตกมากกว่าเดิมจนสีน้ำต้องยกมือขึ้นมาจัดผมให้คนตรงหน้า
“ถ้าคินอยากเล่าผมก็จะฟัง แต่ถ้ายังไม่พร้อมผมก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
“แสนดีที่หนึ่งถึงแม้บางครั้งจะดูร้ายๆ เหมือนไอ้ทิมอยู่เหมือนกัน”
“ฟาดสักทีดีไหม”
“อย่าตีผมวันนี้ผมอ่อนแอ”
“ไปเที่ยวกันไหมครับ”
“ตอนนี้?”
“ครับ เที่ยวแบบวัยรุ่นๆ”
วัยรุ่นสมัยนี้ชอบมาดูนิทรรศการศิลปะเหรอวะคินก็สงสัยอยู่เหมือนกัน นึกว่าเขาจะไปเที่ยวพวกคาเฟ่น่ารักๆ กันซะอีก ก็ตั้งแต่ตอบรับคำคุณน้ำก็ไปอาบน้ำอาบท่าล้างคราบสีที่ติดตามตัวออก แค่เพียงไม่นานก็ออกมาพร้อมหน้าตาใสปิ๊งก่อนจะบอกว่าเดี๋ยววันนี้จะพาไปเที่ยวเอง เห็นท่าทางตั้งอกตั้งใจแบบนั้น ภาคินเลยได้แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นไกด์พาเที่ยวเป็นคนจัดการเองทุกอย่าง
นั่นแหละตอนนี้เขาถึงได้มายืนอยู่กลางนิทรรศการภาพวาดสีน้ำ บอกตามตรงถึงแม้ว่าคินจะอยู่ในแวดวงของวงการศิลปะแต่นับครั้งได้เลยนะที่จะมีเวลามาเดินดูนิทรรศการแบบนี้ ตั้งแต่ทำฟรีแลนซ์ก็ลืมช่วงเวลาที่เดินดูงานศิลปะไปเหมือนกัน
“เบื่อไหมครับ”
“ไม่นะครับก็เพลินดี ไม่เคยได้ดูภาพวาดสีน้ำจริงจังมาก่อนเลย”
“ก็คินไม่ชอบ”
“ขอแก้ตัว เรียกว่าไม่ถนัดจะดีกว่า”
“ยังไม่เคยได้ลองเลย”
“จะค่อยๆ เรียนรู้ครับคุณครู น้ำรู้ไหมไอ้มิลเคยทำนิทรรศการภาพถ่ายต้นกระบองเพชรให้ไม้ด้วยนะ”
“แบบนี้เลยอะนะ”
“แบบนี้เลยเวอร์โคตรๆ รูปใหญ่เท่าฝาบ้าน”
“ไปว่าเพื่อน”
“เพื่อนทำไว้ยิ่งใหญ่มาก ของตัวเองจะต้องใหญ่ขนาดไหนคิดไม่ออกเดี๋ยวแพ้”
“แก๊งนี้นี่มันจริงๆ เลย”
ภาคินหัวเราะเมื่อเห็นว่าสีน้ำถอนหายใจแล้วเดินหนีไปอีกทาง ภาพวาดสีน้ำสีสันสดใสจนทำให้คินรู้สึกสดชื่นขึ้นมาบ้าง แต่คนที่เดินอยู่ข้างๆ น่าจะตื่นเต้นมากกว่า เพราะเห็นเอาแต้จ้องรูปตาไม่กะพริบจนคินต้องแกล้งเอามือไปปัดๆ ผ่านหน้าถึงจะรู้สึกตัวเชื่อแล้วว่าชอบภาพวาดสีน้ำมากจริงๆ จะว่าไปได้มาเดินดูอะไรแบบนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายดีเหมือนกัน พออกจากนิทรรศการก็เลยนั่งพักกันที่ร้านกาแฟ และแน่นอนว่าคินกำลังจ้องไอ้ก้อนขนมตรงหน้าแบบซีเรียส จนสีน้ำก็กลั้นหัวเราะ
“ผมรู้จักนี่เรียกว่าบราวนี่”
“แล้วอันนี้ล่ะครับ”
“เค้ก เค้ก เค้ก แล้วก็เค้ก ”
“จะบ้าตาย”
ก็คงจะจริงอย่างที่คุณทิมเคยบอกว่าคินเป็นผู้ชายประเภทที่ไม่สนใจขนมหวานเลยสักนิด ให้กินมากสุดก็แค่สองคำ สีน้ำมองคนที่กำลังยกกาแฟดำขึ้นมาดื่ม จะว่าไปภาคินก็ไม่ได้เปลี่ยนไปเลยตั้งแต่ครั้งแรกที่รู้จักกัน คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงแต่งตัวโทนสีเดิมๆ ขาว ดำ เทา ขนาดเครื่องดื่มก็ยังไม่เคยเปลี่ยน สีน้ำเคยคิดว่าเขาจะใช้ชีวิตกับคนที่สุดแสนจะมินิมอลขนาดนี้ได้ยังไงกัน มันตรงกันข้ามกับเขาไปหมดซะทุกอย่าง
“มองผมแล้วยิ้มแบบนี้คืออะไร จีบเหรอ”
“ทำตัวเหมือนเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปด แก่แล้วนะ”
“ใครแก่กว่านะ”
“กวนขนาดนี้แสดงวาอารมณ์ดีแล้วสิ”
คินไม่ได้ตอบอะไรแต่หยิบโปสการ์ดที่ซื้อมาจากนิทรรศการภาพวาดสีน้ำขึ้นมา ก่อนจะค่อยๆ วาดบางอย่างลงไป สีน้ำเข้าใจแล้วที่คินบอกว่าถนัดลายเส้นมากกว่าเพราะตอนที่คินวาดรูปมันมีสเน่ห์มากจริงๆ การจับดินสอ การลากเส้น หรือแม้แต่การแรเงา คินเงยหน้าขึ้นมามองคนที่เอาแต่จ้องโปสการ์ดอยู่อย่างนั้นก่อนจะชูโปสการ์ดในมือขึ้นมา
“อยากได้เหรอครับ”
“ไปซื้อมาตอนไหน”
“ผมเห็นน้ำตั้งใจดูรูปอยู่เลยไม่อยากกวน เห็นโปสการ์ดสวยดีเลยแวะไปซื้อ”
“เสียดายผมอยากได้บ้าง”
“ไม่ให้หรอกนะ งก”
“ใจร้ายจริงๆ วันนี้ผมเป็นคนพามาเที่ยวแท้ๆ ”
“เที่ยวแบบวัยรุ่นหรือเที่ยวในวัยสามสิบ”
“ไอ้คนที่หงอยเป็นลูกหมาหายไปไหนแล้ว”
“สีน้ำ..ไว้วันหลังไปทำกิจกรรมซันเดย์กับแก๊งลูกเพื่อนแม่กันนะ”
“กิจกรรมวันอาทิตย์ที่คินเคยบอก จะดีเหรอครับมันเป็นวันของเพื่อนกับคิน”
“ไม้ คีตา พอร์ชก็มา กิจกรรมแรกก็เจอกันที่สนามยิงปืนก่อนเลย”
“ยิงปืน?”
“ไม่ต้องตกใจครับ ตอนแรกไม้กับคีตาก็ไม่ถนัดแต่พอหลังๆ ยิงแม่นแบบตรงเป้าไม่มีพลาด ไอ้มิลกับไอ้เบนกลัวจนตัวสั่น ส่วนพอร์ชกับทิมเหมือนแข่งทีมชาติ สู้กันไม่มีอ่อนข้อ งง ไปหมดนี่แฟนหรือศัตรู แข่งแบบเอาเป็นเอาตาย”
“แต่ที่คินบอกมาคือทุกคนเขาเป็น..เป็น”
สีน้ำเงียบไปไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรที่ทำจะทำให้ตัวเองเขินน้อยกว่านี้ดี ภาคินลุกขึ้นมานั่งดีๆ พร้อมกับยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่มแต่สายตาเอาแต่จ้องสีน้ำคล้ายจะแกล้งคนตรงหน้าให้พูดคำนั้นออกมาสักที แต่สงสัยวันนี้เขาคงจะไม่ได้ยินเพราะเจ้าตัวเอาแต่หยุดอยู่ที่คำว่า เป็น เป็น เป็น แค่นั้น จนสุดท้ายคินต้องยอมแพ้วางแก้วกาแฟไว้ข้างแก้วนมชมพู ก่อนจะจับมือสีน้ำขึ้นมาแนบที่แก้มตัวเอง
“พาไปหาแก๊งลูกเพื่อนแม่ขนาดนี้แล้ว จะเป็นอะไรไปได้อีกครับสีน้ำ”หลังจากกลับจากนิทรรศการและร้านกาแฟ ทั้งสองคนก็พากันกลับมาที่ร้านเพราะเห็นว่าฟ้าฝนเริ่มไม่ค่อยดี เห็นมืดมาแต่ไกล ตอนแรกสีน้ำอยากให้คินพักผ่อนเพราะวันนี้น่าจะเจอเรื่องหนักมาพอสมควร แต่ภาคินก็ส่ายหน้าไปมาท่าทางหงอยๆ เหมือนลูกหมาตัวโตกลับมาอีกรอบ สีน้ำเลยใจอ่อนให้คินทำตัวติดเป็นปาท่องโก๋ ตอนนี้ก็เอาแต่นั่งมองเขาวาดรูปอยู่ข้างๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกเหมือนกันที่สีน้ำยอมให้ใครสักคนเข้ามานั่งในห้องทำงาน ปกติเวลาวาดรูปสีน้ำไม่เคยให้ใครเข้ามาในห้องเพราะเขาต้องใช้สมาธิ แต่ภาคินยกเว้นไว้สักคนแล้วกันนี่ก็นั่งดูหนังสือภาพเล่มใหญ่ไม่พูดไม่จาคงกลัวว่าว่าจะกวนเขาเชื่อฟังยิ่งกว่านักเรียนเขาซะอีก แต่ก็นะ..อยู่ด้วยกันแต่ไม่คุยกันนี่มันก็เงียบไปหน่อย
“คุยได้นะครับ”
“เดี๋ยวโดนครูน้ำดุ”
“จะตีด้วยเนี่ยถ้ายังกวนอยู่แบบนี้ คิน..ลองระบายสีน้ำเล่นไหมไม่ต้องวาดเป็นรูปก็ได้เอาที่คินอยากทำ สำหรับผมเวลาไม่สบายใจมันช่วยได้เยอะเลย”
สีน้ำยื่นสมุดวาดภาพพร้อมกับพู่กันให้ภาคินที่นั่งอยู่ข้างๆ คินหมุนพู่กันในมือไปมาอยู่อย่างนั้นก่อนจะตัดสินใจจุ่มลงบนสีเขียวที่น้ำผสมไว้แล้วป้ายๆ ลงบนกระดาษสีขาวตรงหน้าคินบ่นเบาๆ ว่าไม่สวยเลยแต่สีน้ำก็ไม่ได้เอ่ยขัดอะไรบอกแค่ว่าอยากวาดอะไรก็วาดอยากระบายอะไรก็ทำเลย ไม่มีคำพูดอะไรอีกสีน้ำนั่งวาดรูปของตัวเองส่วนภาคินก็นั่งขัดสมาธิแต้มสีน้ำไปเรื่อยๆ
“วันนี้ผมไปทานข้าวกับญาติมา…..”
สีน้ำหยุดพู่กันที่กำลังแต้มสีอยู่ ก่อนจะหันมามองคนที่กำลังนั่งระบายสีน้ำอยู่ข้างๆ ภาคินยังคงเล่าไปเรื่อยๆ กับเรื่องที่เจอในวันนี้ แต่มือก็ไม่ได้หยุดระบายสีน้ำไปด้วย คล้ายอยากให้มีคนรับฟังและสีน้ำก็แค่นั่งอยู่เงียบๆ ฟังทุกถ้อยคำที่ภาคินกำลังเล่า
“ทั้งๆ ที่น่าจะชินได้แล้วแต่ผมก็ยังหวังว่าพี่เคจะปกป้องผมสักครั้ง เหมือนตอนเด็กๆ”
“คินมีสิทธิ์ที่จะน้อยใจยังไงคินก็เป็นน้องชาย สำหรับผมที่เป็นคนนอกก็คงบอกได้แค่ว่าทุกคนมีเหตุผล บางทีพี่เคเขาก็อาจจะมีเหตุผลของเขา และก็ทุกคนมีด้านที่เราไม่เคยเห็นนะคิน”
“………………………………………”
“จะน้อยใจ จะโกรธก็ได้แต่อย่าเกลียดพี่ชายเลยนะ เท่าที่ผมเห็นพี่เคเขาก็พยายามมากแล้ว พยายามที่จะดูแลน้องชายอย่างคิน ทุกอย่างที่ผ่านมาผมเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริง”
“น้ำรู้ไหม ทุกครั้งที่ผมเจอเรื่องแบบนี้ผมขับรถออกต่างจังหวัดไปอยู่คนเดียวตลอด นั่งคิดอะไรเงียบๆ พออารมณ์เข้าที่ถึงค่อยกลับมา”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงไม่ไปล่ะครับ”
“ที่นี่ก็ต่างจังหวัดนะ”
“ต่างจังหวัดตรงไหน ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ ขนาดนี้”
“เพราะผมนึกถึงเชียงใหม่ ผมถึงมาที่นี่”สีน้ำวางพู่กันที่กำลังระบายสีกระดาษตรงหน้าลงก่อนจะหันมามองคนที่พูดประโยคเมื่อกี้ออกมา ภาคินเลยยิ้มให้ เขาไม่ได้พูดผิดและความหมายก็หมายความตามนั้นจริงๆ สีน้ำกระเถิบเข้าไปใกล้คินพร้อมกับจูบลงบนหน้าผากคินเบาๆ มันเป็นการปลอบใจคินรู้ วงแขนคินรั้งเอวสีน้ำให้เข้ามาแนบชิดจนตัวสีน้ำขึ้นมานั่งบนตัก ก่อนที่คินจะทำแบบเดียวกันบ้าง แก้มขาวตรงหน้าคือเป้าหมายต่อไปคินเอียงหน้าสูดความหอมก่อนจะย้ายไปอีกข้างให้เท่าเทียมกัน
“ถ้าไม่สบายใจจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่อยากให้ไปต่างจังหวัดคนเดียวเลย”
“ตลอดเวลาเลยใช่ไหม”
“ตลอดเวลา คิดซะว่าที่นี่เหมือนเชียงใหม่อย่างที่คินบอกให้เป็นที่ให้คินได้พักเวลาที่เหนื่อย”
“ผมเข้าใจแก๊งลูกเพื่อแม่แล้ว รามิลเวลาเจอปัญหาที่บริษัทมันจะกลับไปหาไม้ที่ร้าน Secret Garden เบนจะกลับคอนโดไปฟังคีตาดีดกีตาร์ ทิมจะกลับไปหาพอร์ชที่บ้านสามร้อยล้านของมัน และตอนนี้ผม”
“…………………………………”
“มาเชียงใหม่แล้วระบายสีน้ำกับครูสอนวาดรูป”ทันทีที่คินบอก รอยยิ้มพร้อมกับแววตาของสีน้ำทำให้ภาคินต้องกระชับกอดแน่นขึ้นพร้อมกับจูบลงบนข้างขมับ สีน้ำมองตามมือของคินที่ยื่นโปสการ์ดที่ซื้อในงานนิทรรศการมาให้ มันเป็นโปสการ์ดรูปท้องฟ้ายามเย็น สีของท้องฟ้ามันเหมือนกับสีของลูกพีช สีน้ำรับมันมาถือไว้รูปวาดเด็กผู้ชายสองคนที่ยืนหันหลังมองภาพวาดสีน้ำและเขาเองก็รู้ดีว่าสองคนในโปสการ์ดคือใคร
“ไม่มีแลกกันเลย ผมน่าจะซื้อมาบ้าง”
ภาคินส่ายหน้าไปมาก่อนจะก้มลงมาบอกใกล้ๆ คนที่ยังคงนั่งอยู่บนตัก เพิ่งเห็นว่าแก้มขาวของสีน้ำเป็นรอยแดงจางๆ สงสัยเขาจะฟัดแก้มสีน้ำหนักไปหน่อยถึงได้ขึ้นสีแบบนี้ไม่รู้ว่าเพราะเขินเขาด้วยหรือเปล่า คินเลยกดจมูกลงบนแก้มนุ่มอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ต่อจากนี้เราอยู่แลกโปสการ์ดกันได้ตลอดเวลาอยู่แล้วสีน้ำ”Watercolor
“มันอยู่ในกรุงเทพจริงเหรอวะ ทุกทีโผล่นู่นสมุย เชียงราย ขอนแก่น เหนือใต้ออกตก”
“เออ คินมันไลน์มาสั้นๆบอกแค่ว่าอยู่ร้าน”
“ร้านมืดสนิทขนาดนี้มีคนอยู่อีกเหรอ กูโทรหาเพื่อนมันที่มาสตูดิโอหมดทุกคนแล้วนะไม่เห็นมีใครเจอคินเลย”
ณัฐกำลังกอดอกยืนมองเมมเบอร์ของแก๊งลูกเพื่อนแม่ ชะเง้อชะแง้เกาะกระจกร้านคุณคินเหมือนเป็นพวกมิจฉาชีพจะมาปล้นร้านคนอื่น ทั้งสามคนบ่นแล้วบ่นอีกแต่ทุกประโยคมันเต็มไปด้วยความเป็นห่วง คุณรามิลหัวหน้าแก๊งเดินวนไปวนมาอยู่หน้าร้านคงจะร้อนใจที่ติดต่อคุณภาคินไม่ได้ คุณเบนกำลังอุ้มคุณทิมให้มองลอดผ่านกระจกดูข้างในร้าน ท่าทางจะรีบร้อนกันออกมาจากออฟฟิศคุณเบนจามินยังเสียบปากกาไว้ตรงหลังหู น่าจะรีบกันมากจริงๆ ณัฐยืนมองอยู่นานก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปหาทั้งสามคน
“ขอโทษนะครับ คุณคิน..”
บรรดาแก๊งลูกเพื่อนแม่ยืนนิ่งอยู่หน้าห้องทำงานของครูสีน้ำ ณัฐหัวเราะกับท่าทางเหมือนเจอผีของทั้งสามคน ยืนนิ่งกันเป็นหุ่น แก๊งนี้นี่มันบันเทิงดีจริงๆ ก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน ก็ภาพตรงหน้าที่ทุกคนเห็นคือบนโซฟามีครูสอนวาดรูปกำลังระบายสีน้ำอย่างตั้งอกตั้งใจน่าจะไม่ได้สนใจอะไรรอบตัว ถึงมองไม่เห็นคนที่ยืนกันอยู่หน้าประตู แต่ที่พวกเขาสนใจก็คือคนที่นอนหลับสนิทอยู่บนตักคุณน้ำคือเพื่อนเขาเอง ภาคินนอนกำพู่กันไว้แน่นบนอกมีกระดาษสีขาวที่แต้มไปด้วยสีน้ำหลากสี แถมตามหน้าตามตัวยังเลอะไปด้วยสีน้ำอีกต่างหาก
เป็นภาพที่แก๊งลูกเพื่อนแม่ไม่เคยเห็นมาก่อน
ทั้งสามคนเลือกที่จะยืนอยู่อย่างนั้นเมื่อเห็นว่า คุณน้ำละสายตาจากภาพวาดตรงหน้าแล้วก้มลงมองคินที่นอนหลับสนิทอยู่บนตัก สักพักก็ยกมือขึ้นมาทาบลงบนแก้มคินคงเช็คดูว่ามีอาการป่วยหรือเปล่า ท่าทางอ่อนโยนและสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงทำให้ ทั้งสามคนยิ้มออกมาก่อนจะค่อยๆ ถอยออกมาแล้วปิดประตูเบาๆ
เบนจามินและรามิลยกมือขึ้นมากอดคอทิมคนละข้างซ้ายขวา
เมื่อเห็นว่าเจ้าชายน้อยของเขากำลังยิ้มอยู่
“ลูกกระจ๊อกไม่ต้องหนีไปไหนไกลๆ อีกแล้วเนอะ เจอที่พักใจแล้ว”
To be con
ps: นิยายรายเดือน ขออภัยที่มาช้ามากค่ะทุกคน
ตอนนี้เราซื้อคอมใหม่แล้วหลังจากคอมเก่าดับตลอดต้องชาร์ตแบตทุกสิบนาที ฮืออออ
PS.1 คู่นี้ดูเป็นคู่รักฉลาดหลักแหลมนะคะ มิสเตอร์แอนด์มิสซิสสมิทธิ์
ps.2 อย่าลืมไปร่วมแสดงความคิดเห็นเรื่อง #สมรสเท่าเทียม กันด้วยนะคะ
ในทวิตเตอร์อาจจะไม่ได้ทวิตเกี่ยวกับนิยายเท่าไหร่
แต่เราอ่านทุกอย่าง ทุกอย่างจริงๆ จังๆ ที่เกี่ยวกับนิยาย
เลยนะคะ เอฟวี่ติงทุกช่องทางเลยจ้า
#ที่พักพิงสีน้ำ#ซีรีส์ลูกเพื่อนแม่
twitter @ribbinbo