เข็มที่ 22 หึง
ธารินออกจากบ้านช้ากว่าที่คิด ตอนแรกเขาใส่เสื้อยืดกางแกงส์ยีนส์สบายๆ เพราะคิดแค่ว่าจะไปกินข้าวกับเพื่อนแต่พอเดินผ่านพ่อกับแม่ที่นั่งอยู่ในห้องโถงก็โดนเรียกไปปรับทัศนคติว่านี่คือการไปเดต และเรียกคุณแอนให้มาพาตัวเขาไปแต่งตัวเสียใหม่ ซึ่งคุณแอนก็ทำหน้าที่ของเธอได้ดีเยี่ยมลากเอาเสื้อสูททั้งราวไล่เฉดสีตั้งแต่ขาวไปถึงดำออกมาให้เลือกจนเขาเวียนหัว สุดท้ายเขาก็ยอมแพ้และปล่อยให้เธอจับแต่งตัวให้เพราะกลัวจะเสียเวลาจนไปไม่ทันนัดกับอาจารย์ตอนสองทุ่ม
แค่เขาแกล้งเล่นตัวตอบช้าหน่อยเดียวว่าจะค้างหรือไม่ค้างยังงอนจนหน้างอ ถ้าเขาไปสายได้โดนปิดประตูใส่หน้าไล่กลับบ้านแน่ๆ
คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เพราะอาจารย์ไม่เคยบอกว่ารักเขาดังนั้นการกระทำเล็กๆ น้อยๆ อย่างจูบเมื่อเช้าหรือที่งอนเขาด้วยเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็แสดงให้เห็นว่าสำหรับอาจารย์แล้วเขาพิเศษกว่าคนอื่น
พอมาถึงร้านอาหารก็พบไพลินนั่งรออยู่ที่โต๊ะแล้ว เธอสวมชุดเดรสสีชมพูยาวกรอมเท้าประดับด้วยผ้าลูกไม้เนื้อดีแต่แฝงความเซ็กซี่ด้วยซีทรูเบาๆ ตรงช่วงอกและรอยผ่าของกระโปรงด้านข้างที่สูงเลยเข่าขึ้นมาเกือบคืบ ความสวยสะดุดตาทำให้เธอเป็นจุดสนใจของคนในร้านที่ไม่ว่าใครก็ต้องเหลียวมาดูเธอโดยเฉพาะหนุ่มๆ ที่พากันจ้องตาแทบถลนยามที่เธอยกขาขึ้นไขว้แล้วชายกระโปรงทิ้งตัวลงเผยให้เห็นท่อนขาเรียวยาว
ธารินยอมรับว่าไพลินเป็นผู้หญิงที่น่ารักและมีเสน่ห์ เขาสัมผัสได้ว่าผู้ชายหลายๆ คนในร้านแอบมองอยู่ว่าใครกันที่สาวสวยคนนี้มาทานอาหารด้วย ถึงจะฟังดูเสียมารยาทแต่เชื่อเถอะว่าเขายอมแลกให้ใครก็ได้มานั่งแทนที่เพื่อจะได้รีบไปซื้อไอศกรีมก่อนที่ร้านจะปิด คนท้องคนไส้ฮอร์โมนขึ้นๆ ลงๆ อารมณ์ก็อ่อนไหวตามไปด้วย เขาไม่อยากเห็นคนรักต้องมานั่งร้องไห้งอนเขาแค่เพราะไม่ได้กินไอศกรีมหรอกนะ
“มาแล้วเหรอริน” ไพลินลุกขึ้นเดินอ้อมโต๊ะมาเกาะแขนและดึงให้ธารินนั่งลงข้างกัน “รินใส่ชุดนี้หล่อจัง ชักอยากเห็นตอนใส่เสื้อกาวน์แล้วสิต้องเป็นคุณหมอที่หล่อมากแน่ๆ เลย แบบนี้เราต้องรีบแต่งงานกันเร็วๆ แล้วนะ”
“ฉันตั้งใจมาคุยกับเธอเรื่องนี้แหละ”
“รินก็อยากแต่งงานกับเราเร็วๆ ใช่ไหม”
ธารินมองตาหญิงสาวที่จ้องมาที่ตาด้วยประกายวิบวับ รู้ว่าคำที่จะพูดต่อไปนี้จะทำร้ายหัวใจและเกียรติของเธอแต่เขาคิดว่าการทำให้เรื่องมันจบเร็วที่สุดยิ่งดีกับทุกฝ่าย “การแต่งงานของเรามันจะไม่มีวันเกิดขึ้น”
“ทำไมล่ะริน”
“เพราะฉันมีคนรักอยู่แล้วน่ะสิ” ธารินตอบเสียงดังฟังชัด
ไพลินรับฟังด้วยอาการสงบนิ่งกว่าที่ธารินคาดคิดไว้ หน้าของเธอซีดลงเล็กน้อยและตอบเสียงเรียบ “อย่างนั้นเหรอ”
เขาค่อยๆ ดึงแขนออกจากการเกาะกุมของเธอ “ขอโทษนะ”
“ไม่เป็นไร เราเข้าใจ… แต่วันนี้รินอยู่กินข้าวกับเราก่อนนะไหนๆ เราก็อุตส่าห์แต่งตัวมาซะสวยแล้วเราก็สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะเลย จะเหลือทิ้งก็เสียดายของนะ”
“ได้สิ” ธารินตอบก่อนจะลุกขึ้นและเลื่อนเก้าอี้ไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“แหมริน เพื่อนกันก็นั่งกินข้าวข้างๆ กันได้นะ ไม่เห็นต้องขยับไปนั่งซะไกลเลย” ไพลินแอบประชดเบาๆ
“แต่เธอเป็นผู้หญิงแล้วฉันเป็นผู้ชาย นั่งใกล้กันมากไปฉันว่ามันดูไม่เหมาะเท่าไหร่” ธารินบอกตามตรงและนั่นก็ทำให้เธอหน้าตูมลงไปอีกเล็กน้อย
หลังจากรับประทานอาหารเสร็จธารินก็ชิงจ่ายค่าอาหารให้เรียบร้อยและบอกลาเตรียมจะกลับ
“รินมายังไง ให้เราไปส่งไหม” ไพลินถาม
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวเรานั่งรถกลับเอง” ธารินตอบพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลาตอนนี้ทุ่มกว่าแล้วถ้าไปร้านที่เคยซื้อไอศกรีมประจำไม่ทันคงต้องวนไปอีกร้านที่ไกลกว่า แล้วป่านนี้ก็ไม่รู้จะกินข้าวเย็นหรือยังเขาควรจะต้องซื้อนมกับของกินง่ายๆ แต่มีประโยชน์ไปเผื่อด้วยสินะ… ว่าแต่อาจารย์ชอบกินอะไรล่ะ ปกติก็เห็นกินแต่ว้อดก้าใส่น้ำแข็ง
ไพลินสังเกตเห็นได้ชัดว่าใจของชายหนุ่มไม่ได้อยู่กับเธอเลยสักนิด ตั้งแต่ตอนที่กินข้าวด้วยกันก็เอาแต่ดูโทรศัพท์ทั้งที่ไม่มีคนโทรมาหรือมีข้อความความเข้าสลับกับดูนาฬิกาเป็นระยะเหมือนกับนัดใครไว้ เธอจึงพยายามยื้อเขาไว้ทั้งชวนกินของหวานและฟังเพลงหลังทานข้าวเสร็จแต่ก็ไม่สำเร็จ อีกฝ่ายก็ยังยืนยันว่าจะรีบกลับอยู่ดี ยังดีที่เขายังมีความเป็นสุภาพบุรุษพอจะไปส่งเธอที่รถจึงได้ยื้อเวลาอยู่ด้วยกันนานอีกหน่อย
“รินอยู่ตั้งปีสี่แล้วพ่อไม่ซื้อรถให้เหรอ”
“เราไม่มีความจำเป็นต้องใช้นี่นา บ้านก็อยู่ห่างมหา’ลัยไปสองป้ายรถเมล์เอง”
“รินนี่เป็นคนง่ายๆ กว่าที่เราคิดอีกนะเนี่ย อุ๊ย!” ไพลินอุทานพร้อมกับนั่งยองลงกับพื้น
ธารินนั่งตามลงมาด้วยความเป็นห่วง เห็นหญิงสาวจับๆ อยู่ตรงข้อเท้า “เป็นอะไร ข้อเท้าพลิกเหรอ หรือว่าเดินสะดุดอะไร เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“สายรองเท้าขาดน่ะ” ไพลินตอบแล้วถอดรองเท้าขึ้นมาหิ้วไว้ด้วยท่าทีสบายๆ “ไปเถอะ”
“เดี๋ยวสิไพลิน เธอจะเดินเท้าเปล่าไปแบบนี้น่ะเหรอ”
“แค่นี้เองสบายมาก สมัยอยู่เมืองนอกเราก็ทำแบบนี้แหละ”
ธารินคว้าแขนหญิงสาวไว้ถึงเขาจะไม่ได้ชอบพอแต่การจะปล่อยให้เธอเดินเท้าเปล่ากลับไปก็ดูจะใจร้ายเกินไป เขาถอดรองเท้าออกและดันไปให้เธอ “เธอใส่รองเท้าเราไปดีกว่า”
“จะบ้าเหรอ เราใส่ไม่ได้หรอกรองเท้ารินใหญ่จะตายดูสิ” ไพลินบอกพลางกระโดดหย็องแหยงกลับมาสอดเท้าเข้าไปในรองเท้าหนังของเขาข้างหนึ่ง มันเหมือนเด็กน้อยใส่รองเท้ายักษ์ไม่มีผิด เธอพูดไปพลางหัวเราะคิกคักและถอดรองเท้าคืน “ไปเถอะริน อย่าเสียเวลาเลย ในรถเรามีรองเท้าแตะสำรองไว้อยู่แล้ว”
ธารินมองใบหน้าเปื้อนยิ้มกับเท้าเนียนเปล่าเปลือยที่ย่ำไปบนพื้นปูนด้วยความขัดใจ “งั้นฉันขออนุญาตนะ”
“ว้าย!” หญิงสาวร้องเสียงหลงเมื่อจู่ๆ ชายหนุ่มก็รวบตัวเธอขึ้นมา
“ริน กระโปรงๆ” ไพลินรีบคว้าชายกระโปรงไว้แน่นพลางหันมองซ้ายขวาตอนนี้คนเกือบครึ่งร้านพากันหันมาที่พวกเขา
“ฉันจับไว้แล้ว เธอจับฉันแน่นๆ ก็พอ”
“เราตัวหนักนะรินวางเถอะ”
“ไม่เป็นไรแค่นี้ฉันอุ้มไหว” ธารินกระซิบแล้วรีบก้าวยาวๆ ออกจากร้านไปท่ามกลางสายตาอิจฉาของใครหลายๆ คนในร้านที่พากันมองตามหลังคู่ชายหนุ่มสาวสวยที่แสดงความหวานกันแบบไม่แคร์สายตาคนอื่น
เช่นเดียวกับใครคนหนึ่งที่จับตามองเขาตั้งแต่วินาทีที่เดินเข้ามาในร้านแล้ว หากไม่ใช่ด้วยความรู้สึกอิจฉา แต่ถ้าถามว่าเป็นความรู้สึกอะไร เจ้าตัวก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน เขารู้แค่ว่าเป็นความรู้สึกไม่สบอารมณ์และปั่นป่วนอยู่ในใจจนพาลกินอะไรไม่ลง
อริญชย์คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าในชีวิตเขาจะมีเรื่องบังเอิญเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ร้านอาหารในกรุงเทพมีเป็นร้อยเป็นพันแต่ดันแจ๊คพอตมานั่งร้านเดียวกันกับเด็กหนุ่มที่แอบนัดสาวสวยที่ไหนก็ไม่รู้มาด้วย
“รินทานขนมไหม” นนท์ประวิชเอ่ยเรียกคนที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง “ไอศกรีมที่นี่อร่อยมากเลยนะ รินน่าจะชิมดูสักคำ”
อริญชย์ถอนสายตาจากทั้งสองหันมามองเนื้อครีมเนียนสวยในช้อนที่ยื่นมาตรงหน้า ภาพของใครคนหนึ่งทับซ้อนเข้ามาในความคิด
...อาจารย์กินอีกคำนะครับ...
อริญชย์ย่นปาก “ขอโทษนะครับพี่นนท์ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเลย เรากลับกันเลยได้ไหม”
“ได้สิ งั้นเช็กบิลเลยนะ” นนท์ประวิชเรียกพนักงานมาคิดเงินพลางเหลือบตามองคนตรงหน้าที่อาหารในจานแทบไม่พร่องเลยสักนิดด้วยความเป็นห่วง
“รินไม่สบายหรือเปล่าทำไมกินน้อยจัง” เขาถามขณะเดินคู่กันไปขึ้นรถ
“นิดหน่อยน่ะครับ” อริญชย์ตอบความจริงแค่ครึ่งเดียว “ช่วงนี้มีเรื่องให้คิดเยอะไปหน่อยทั้งเรื่องยา เรื่องโดนพักงาน และก็เรื่องน้องโฮปอีก”
“มีอะไรก็ปรึกษาฉันได้นะรินไม่ต้องเก็บไว้คนเดียวหรอก”
“ขอบคุณครับแต่ผมไม่เป็นไรจริงๆ”
“ปากแข็งอีกแล้ว ดูสิ! หน้าเน่อไปหมดขนาดนี้ยังจะมาบอกว่าไม่เป็นไรอีกได้ยังไงฮึ!” นนท์ประวิชว่าพลางใช้มือจับคนที่เอาแต่ก้มหน้าตลอดมื้ออาหารให้เงยขึ้นมาสบตา
“พี่นนท์”
ปลายนิ้วอุ่นไล้เบาๆ ไปบนผิวแก้ม มันให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก และเสี้ยววินาทีที่กำลังสับสนนนท์ประวิชก็ก้มหน้าลงมา ริมฝีปากหยักแตะเบาๆ ราวกับจะขออนุญาต อริญชย์หลับตาลงและเผยอปากยินยอมให้อีกฝ่ายลุกล้ำเข้ามาหาความหวานด้านใน
อีกด้านหนึ่งของลานจอดรถ ธารินยืนนิ่งเมื่อเห็นภาพบาดตาตรงหน้า
…อาจารย์บอกเขาว่าจะกลับบ้านไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงออกมากินข้าวกับพี่นนท์… ทำไมถึงมายืนจูบกันตรงนี้ได้ล่ะ…
“ทำไมเหรอริน” หญิงสาวในอ้อมแขนถามเมื่อเห็นเขาเงียบไป
“เปล่า” เขาตอบแล้วรีบก้าวยาวๆ ให้พ้นไปจากตรงนั้นจนกระทั่งมาถึงรถของหญิงสาว
“ขอบใจนะ” ไพลินกล่าวขอบคุณหลังจากที่ธารินวางเธอลงอย่างนุ่มนวล
“ฉันไปนะ”
“ริน” ไพลินคว้าแขนเสื้อ ดึงให้คนที่กำลังจะไปให้หันมาหา “ถึงไม่ได้เป็นคู่หมั้นแล้วแต่เรายังไปหาหรือโทรคุยกับรินได้ไหม ในฐานะเพื่อนสมัยเด็กก็ได้”
“ได้สิ” ธารินตอบรวดเร็วแล้วรีบก้าวยาวๆ เดินจากไปโดยไม่หันกลับไปมองหญิงสาวซ้ำสองเพราะตอนนี้ทั้งหมดของเขากำลังพุ่งตรงไปที่ใครคนหนึ่งด้วยความสับสนและว้าวุ่น
เมื่อทนแรงกดดันในหัวใจไม่ไหวเขาก็ออกวิ่งไปยังจุดที่เห็นคนสองคนยืนจูบกันเมื่อสักครู่นี้ แต่ตอนนี้พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า เขากวาดตามองหาอย่างร้อนรนและออกวิ่งไปรอบๆ ในที่สุดเขาก็เห็นร่างบางคุ้นตากำลังจะเปิดประตูขึ้นรถ
“อาจารย์!”
อริญชย์หันมามองด้วยหางตาแต่ก็ทำเป็นไม่สนใจและก้าวขึ้นรถ
ธารินคว้าตัวร่างบางให้หันมาแล้วดันประตูรถปิดไม่ให้หนีขึ้นรถไปได้
“ปล่อย” อริญชย์พูดเสียงห้วน
ธารินรั้งตัวร่างบางมากอดแนบอกแล้วซุกหน้าลงบนบ่า “ผมขอโทษ”
อริญชย์ตกใจไม่น้อย คิดว่าเด็กหนุ่มจะมาโวยวายต่อว่าที่เห็นเขาจูบกับคนอื่น “ขอโทษเรื่องอะไร”
“คนเมื่อกี้เป็นคู่หมั้นของผมที่เคยเล่าให้ฟังไง”
“อ๋อเหรอ… ก็สวยดีนี่”
“เขาชวนผมมากินข้าวแล้วพ่อก็สั่งให้ดูแลเขาให้ดี”
“เห็นอยู่ อุ้มมาส่งกันถึงรถเลย สวีทหวานน่าดู”
“รองเท้าเธอขาด” ธารินรีบอธิบาย “แล้วผมก็ปฏิเสธเธอไปแล้วนะ”
“ปฏิเสธที่จะอุ้มน่ะเหรอ”
“ปฏิเสธที่จะแต่งงานด้วยต่างหาก” ธารินบอก “ผมบอกไปแล้วว่ามีคนรักอยู่แล้วและตั้งใจจะแต่งงานกับคนๆ นั้นและคนๆ นั้นก็คืออาจารย์นะครับ”
ได้ยินแบบนี้อริญชย์ก็ใจอ่อนลงเล็กน้อยแต่ไอ้ความรู้สึกว้าวุ่นแปลกๆ ในใจมันก็ยังไม่หายไปสักที “เหรอ”
“แล้วนี่อาจารย์มากับพี่นนท์ได้ไงครับ”
“เขาชวนก็เลยมา” อริญชย์ว่า “แล้วนายไม่โกรธที่เห็นฉันจูบกับพี่นนท์เหรอ”
ธารินเม้มปากสนิท เขากำมือจนข้อนิ้วขาวซีด “โกรธครับ แต่ว่าอาจารย์ก็คงมีเหตุผลใช่ไหมล่ะ อาจจะโดนบังคับหรือว่าเผลอ…”
“ฉันตั้งใจ”
“ตั้งใจ...” ธารินทวนคำหน้าซีด “ทำไมครับ… อาจารย์…”
“ฉันอยากประชดคนโกหกที่บอกว่าจะไปอ่านหนังสือบ้านเพื่อนแต่ดันมากินข้าวกะหนุงกะหนิงกับผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้” อริญชย์ตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่นิ่งสนิทและนั่นก็ให้ความรู้สึกน่ากลัวกว่าการที่เจ้าตัวโวยวายออกมาเสียอีก “ก็ไม่ได้อยากจูบนักหรอก แต่พี่นนท์ก้มหน้าลงมาพอดีเลยตามน้ำไปเพราะถ้าไม่มัวทำแบบนั้น ฉันคงเดินเข้าไปกระชากหัวพวกนายสองคนให้แยกออกจากกัน จับยัยเด็กนั่นแหกอก จับนายเจี๋ยนแล้วสับเป็นพันๆ ชิ้นหลังจากนั้นก็เอาไปโยนให้เป็ดมันกิน”
ธารินขนลุกซู่ เขารับรู้ได้เลยว่านั่นไม่ใช่การขู่หรือพูดเล่น “อาจารย์~ ผมขอโทษ อย่าเจี๋ยนผมเลยนะ”
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ฉันไม่อยากฟัง!” อริญชย์ดันตัวออกห่างจากเด็กหนุ่มแล้วหันไปจะเปิดประตูรถเมื่อลำแขนแกร่งสอดกลับเข้ามารอบเอวแล้วดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้าอีกครั้ง
“อาจารย์กลับบ้านกับผมไหม”
อริญชย์ใจสั่นเพราะจู่ๆ แววตาของเด็กหนุ่มก็เปลี่ยนไป “กลับไปทำไม”
“ผมจะกลับไปบอกพ่อกับแม่ว่าขอถอนหมั้นกับไพลินแล้วจะแต่งงานกับอาจารย์แทน” ธารินพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังช้าๆ ชัดๆ ให้รู้ว่าเขาตั้งใจทำแบบนั้นจริงๆ
“นายจะบ้าเหรอ พี่นายเพิ่งบอกว่าจะแต่งงานกับฉันไปแหมบๆ”
“ยังไงพี่กับอาจารย์ก็แค่เล่นละครนี่นา ผมว่าตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ต้องบอกความจริงทุกคนแล้ว ขืนบอกช้าเดี๋ยวอาจารย์ท้องโตจะยิ่งลำบากนะครับ”
“แล้วที่มหา’ลัยนายจะทำยังไง”
“เคยมีข่าวว่าผู้ชายทำใครท้องแล้วโดนไล่ออกด้วยเหรอครับ ผมน่ะสบายมากอย่างมากก็โดนเพื่อนแซวว่ามีเมียแก่ แล้วผมก็เต็มใจให้แซวด้วยเพราะเมียผมถึงจะแก่แต่ก็ทั้งสวยทั้งแซ่บ ยิ่งอาจารย์เคยบอกว่าไม่แคร์เรื่องโดนไล่ออกยิ่งง่ายเลย อยากทำงานต่อก็ตามใจแต่ถ้าขี้เกียจก็มาอยู่บ้านเลี้ยงลูกเฉยๆ เดี๋ยวผมหาเลี้ยงเอง”
“แต่…”
“ไม่มีแต่แล้วครับ ไป! กลับบ้าน วันหลังอาจารย์จะได้ไม่ต้องมาเสียเวลาจูบกับคนอื่นประชดผมอีก คิดว่าตัวเองหึงเป็นเดียวหรือไงครับ ทางนี้ก็อยากจับพี่นนท์เอาหัวโขกกำแพงโทษฐานมายุ่งกับเมียคนอื่นเหมือนกันนะครับ”
“ริน”
“กุญแจรถอยู่ไหนครับ”
“หาเอาสิ”
“อาจารย์อย่ามาตลก ผมรีบครับเดี๋ยวพ่อกับแม่จะหลับเสียก่อน” ธารินควานหากุญแจรถเจอในที่สุด เขาเปิดประตูรถแล้วอุ้มอริญชย์ขึ้นนั่งในรถในขณะที่คาดเข็มขัดปากก็บ่นไปด้วย “ตกลงจะไปไหมครับ”
“ไปก็ไป” อริญชย์บอก “แต่ก่อนไปช่วยอะไรอย่างหนึ่งสิ”
“อะไรครับ”
“ล้างปากให้หน่อย”
ธารินตวัดสายตาขึ้นมองตากลมที่กำลังมองมาที่เขา “ล้างแค่ปากไม่พอหรอกครับ” เขาบอกพลางแตะปลายจมูกลงข้างซอกคอขาว “กลิ่นผู้ชายคนอื่นติดตัวมาหึ่งขนาดนี้คงต้องล้างทั้งตัว”
“ล้างให้สะอาดเลยนะ”
ธารินเงยหน้าขึ้นแตะริมฝีปากบางที่เผยอรออยู่แล้ว มือใหญ่เลื่อนไปปลดสายเข็มขัดนิรภัยออก ปรับเบาะให้เอนราบลงก่อนจะขยับตัวตามขึ้นไปแล้วดึงประตูปิด เขาจูบทั้งปากไล่ขึ้นไปที่หน้าปากแล้วพรมจูบวนไปทั่วทั้งดวงตา สองแก้มและซอกคอก่อนจะวนกลับมาที่ริมฝีปากอีกครั้ง
“อาจารย์อย่าเอาคืนผมด้วยวิธีแบบนี้อีกนะ” ธารินกอดร่างบางแน่น “ผมแทบขาดใจนะรู้ไหม เมื่อกี้เกือบอดใจไม่ไหวโยนไพลินทิ้งแล้วเดินมาต่อยพี่นนท์แล้วนะ”
“แล้วทำไมไม่ทำล่ะ”
“กลัวเธอกลับไปฟ้องพ่อแล้วบ้านจะแตกน่ะสิ”
“แล้วไม่กลัวฉันโกรธหรือไง”
“ขอโทษครับ ผมไม่ทันได้คิด ก็เธอมัวแต่ลีลาอยู่ได้ ถอดรองเท้าให้ใส่ก็ไม่เอา ถ้าปล่อยให้เดินไปเองอีกชาตินึงก็ไม่รู้จะถึงรถไหม ผมรำคาญเลยคิดว่าอุ้มไปส่งเลยดีกว่าจะได้ถึงรถเร็วๆ ก็ผมนัดอาจารย์ไว้สองทุ่มนี่นา ร้านขายไอศกรีมก็จะปิดถ้าไปไม่ทันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะไปซื้อให้ที่ไหน”
“เหตุผลฟังขึ้น วันนี้ยกโทษให้” อริญชย์ว่า “แต่ครั้งหน้าไม่เอาแล้วนะ ต่อไปนี้นายอุ้มฉันได้คนเดียวเท่านั้น”
“แค่อาจารย์เองเหรอ แล้วลูกของเราล่ะ”
“ไม่ให้อุ้ม” อริญชย์ตอบหน้าตาเฉย
“อาจารย์น่ะ อย่ามากีดกันพ่อลูกสิครับ”
“แล้วที่นายปฏิเสธเธอไปน่ะ เธอไม่ว่าอะไรเหรอ”
“ไม่นะครับ” ธารินตอบ “เธอดูเข้าใจดี อีกอย่างเธอก็เป็นอัลฟาที่ทั้งเก่งทั้งสวยคงมีหนุ่มๆ พวกลูกหลานเจ้าของบริษัทมาขายขนมจีบให้เยอะแยะไปหมด ไม่อะไรกับผู้ชายโง่ๆ แถมยังเรียนไม่จบแบบผมหรอกครับ… ผมว่าเราสบายใจเรื่องไพลินได้ จะมีปัญหาก็แค่พ่อแม่ผมนี่แหละ”
อริญชย์นิ่งคิดอยู่อึดใจ “อาทิตย์นี้นายสอบทั้งอาทิตย์ใช่ไหมริน”
“ครับ”
“งั้นสอบให้เรียบร้อยก่อน แล้วเดี๋ยวอาทิตย์หน้าเราค่อยไปคุยกับพ่อแม่นายกันตกลงไหม วันนี้ก็ดึกมากแล้วด้วย อีกอย่างเผื่อพ่อแม่นายไม่ยอมรับเรื่องของเราแล้วอาละวาดขึ้นมานายจะเสียสมาธิและจะพาลสอบไม่รู้เรื่อง”
“ได้ครับ” ธารินรับคำถึงจะมีท่าทีผิดหวังอยู่บ้าง “แล้วนี่อาจารย์จะไปฝากท้องเมื่อไหร่”
“ใจเย็นๆ เพิ่งจะได้สัปดาห์เดียวเอง เดือนสองเดือนนั่นแหละค่อยไปตรวจอีกรอบ ทำอย่างกับไม่ได้เรียนวิชาสูติฯ มา”
“ก็ผมตื่นเต้นนี่นา” ธารินว่ามือลงบนหน้าท้องแล้วลูบเบาๆ “อยากรู้จังว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย”
“แล้วนายอยากได้ผู้ชายหรือผู้หญิงล่ะ”
“ผมอยากได้ลูกสาว” ธารินบอก
“ทำไมล่ะ ผู้ชายไม่ดีเหรอ”
“ผู้ชายก็ดีครับปู่กับย่าคงรักตาย แต่ที่บ้านน่ะมีแต่ผู้ชาย ผมเลยอยากได้ลูกสาวจะได้มีสีสัน แล้วเด็กคนนี้ก็ต้องสวยแล้วก็เก่งมากๆ ด้วย”
“รู้ได้ไงว่าจะสวยอาจจะขี้เหร่ก็ได้นะ”
“ต้องสวยสิครับ ก็แม่สวยซะขนาดนี้” ธารินว่า “ผมว่าจะฝึกถักเปียรอแล้วเนี่ยเดี๋ยวลูกสาวเราไม่มีทรงผมสวยๆ ไปอวดเพื่อนที่โรงเรียน”
อริญชย์มองคนเห่อลูกทั้งที่เพิ่งจะปฏิสนธิเป็นตัวอ่อนได้ไม่กี่วันชักอยากเห็นซะแล้วสิว่าเด็กคลอดออกมาจะดูแลได้ดีแค่ไหน “เด็กคนนี้ท่าทางจะติดนายนะ”
“ทำไมเหรอครับ”
“เวลาอยู่กับคนอื่นฉันจะทนแทบไม่ได้เลย ทั้งคลื่นไส้เวียนหัว แต่พออยู่กับนายอาการพวกนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้งเลย”
“จริงเหรอครับ แหม~ น่ารักจริงๆ เลยลูกพ่อ อุตส่าห์ดูแลไม่ให้คนอื่นมายุ่งกับแม่แทนพ่อด้วย” ธารินขยับตัวลงไปจุ๊บเบาๆ ตรงหน้าท้องครั้งหนึ่ง “กลับบ้านกันดีกว่าครับ เดี๋ยววันนี้ผมขอแก้ตัวโดยการอาบน้ำให้อาจารย์นะ”
“ตามใจ”
ธารินขยับข้ามเบาะไปนั่งที่คนขับแล้วสตาร์ตรถออกไป
อีกฟากหนึ่งของลานจอดรถ ไพลินกำลังนั่งทำหน้าเซ็งอยู่ที่ตอนหลังของรถก็พอดีกับที่ประตูด้านคนขับเปิดออกแล้วตาณก้าวขึ้นมานั่ง
“เป็นไง”
“แฟนคุณธารินเป็นหมอที่โรงพยาบาลที่คุณหนูฝึกงานอยู่ครับ” ตาณรายงานพร้อมกับส่งแท๊ปเล็ตที่ทำการยันทึกภาพพร้อมข้อมูลอย่างละเอียดตั้งแต่ชื่ออายุวันเกิดปีเกิดไปจนถึงประวัติการศึกษาและนิสัยใจคอให้ดู
“เป็นอาจารย์แถมยังอายุมากกว่าด้วยเหรอ” ไพลินใช้ปลายนิ้วปัดภาพบนหน้าจอให้เลื่อนผ่านไปเรื่อยๆ ด้วยความหมั่นไส้ถึงจะอายุไม่น้อยแต่ก็ไม่ได้ดูแก่และยังหน้าตาดีเสียด้วย
“ถ้าจะใช้เป็นประเด็นเป็นอาจารย์อาจจะไม่ค่อยได้ผลนะครับ”
“ทำไมล่ะ”
“เพราะเขาแค่ช่วยดูแลคุณธารินช่วงสั้นๆ ตอนขึ้นฝึกเท่านั้นครับ หรือพูดอีกแง่หนึ่งแฟนคุณธารินก็เป็นคุณหมอที่อายุมากกว่าเท่านั้น”
“แล้วแบบนี้เราจะทำอะไรได้”
“คุณหนูอย่ากังวลไปครับ ลองเปิดไปอีกโฟลเดอร์หนึ่ง ผมมีสิ่งที่คิดว่าคุณหมอคนนั้นไม่อยากจะให้ใครรู้แน่ๆ ครับ”
ไพลินทำตามที่บอกแล้วก็ต้องตาโตกับภาพที่เห็นเธอปัดภาพอริญชย์ที่เดินเข้าเดินออก Devil Club กับผู้ชายไม่ซ้ำหน้าอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “หน้าตาก็ดีการงานก็ดี ไม่น่าเป็นพวกร่านเลยนะ”
“แต่ว่าปัญหาก็ยังมีอยู่อีกนิดหน่อยครับ” ตาณพูดต่อ
“อะไรอีกล่ะ”
“ดูเหมือนว่าคุณหมอคนนั้นจะเพิ่งตั้งครรภ์อ่อนๆ ครับ”
“กี่เดือน”
“แค่สัปดาห์เดียวครับ”
“ก็แค่นั้นเอง อะไรคือปัญหาของนายเหรอ”
“คุณหนูอยากให้ผมทำยังไงกับเด็กคนนั้นครับ”
“แล้วแต่นาย” ไพลินตอบสั้นๆ “แค่ลูกของโอเมก้าแพศยาไม่จำเป็นต้องแคร์อะไรมากนี่นา”
*****************
หุหุ ท่าทางจะงานงอกแล้วนะคะเนี่ยเจ้ารินเอ๊ย~