บทที่ 10 - พบกันอีกครั้ง
เช้ามืดที่ไม่อาจมืดมิด ซึ่งแสงจากดวงจันทร์ยังคงทำหน้าที่ไม่บกพร่อง อากาศชื้นจากฝนโปรยลงมาก่อนหน้า ส่งให้อุณภูมิโดยรอบลดต่ำลงกว่าปกติ ความเย็นคอยกล่อมประสาทให้ผู้คนเข้าสู่นิทรา เช้าวันหยุดซึ่งควรเป็นเวลาแห่งการพักผ่อนบนที่นอน แทนการตื่นตั้งแต่แสงแรกยังมาไม่ถึงเช่นนี้แต่เช้านี้ก็มีคนที่ตื่นขึ้นมาอยู่เป็นเพื่อนพระจันทร์เพิ่มขึ้นสี่คน พวกเขามาจากชมรมกีฬาวิ่งในโรงเรียนเล็ก ๆ ที่รวมตัวกันเพื่อเดินทางจากอำเภอห่างไกลไปสู่ตัวเมืองใหญ่ ระยะทางกินเวลาหลายชั่วโมง จึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปถึงที่หมายก่อนเวลานัด และเผื่อเวลาสำหรับเตรียมความพร้อมก่อนการแข่งขันอย่างไม่เป็นทางการจะเริ่มต้นขึ้น
ความง่วงงันปรากฏชัดบนใบหน้าของเด็กทั้งสาม ขัดกับผู้เป็นอาจารย์ที่ยังคงค้างความตึงเครียดไว้บนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด แม้จะกล่าวกับตัวเองว่าให้เชื่อในตัวเด็กเหล่านี้ ถึงอย่างนั้นก็ยังข่มความกังวลไว้ไม่หมด
การเดินทางครั้งนี้อาจารย์ที่ปรึกษาต้องรับภาระค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด เนื่องจากไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการ ทำให้ไม่สามารถขอความช่วยเหลือจากทางโรงเรียนได้ แต่เหตุผลที่แท้จริงคงเป็นความผิดของชมรมตั้งใหม่นี้ด้วย เพราะมีสมาชิกเพียง 3 คน การขออนุญาตหรือการเบิกค่าใช้จ่ายจึงเป็นเรื่องลำบาก ฉะนั้น วันนี้รถคู่ใจของกฤษจึงเป็นพาหนะนำทุกคนไปสู่จุดหมายปลายทางยังโรงเรียนแห่งการกีฬาอันมีชื่อเสียงโด่งดัง
เช่าตรู่วันใหม่ได้เริ่มต้นขึ้น พร้อมกับอากาศในเมืองใหญ่ที่ร้อนอบอ้าว พวกเขาทั้งสี่มาถึงที่หมายตามคาดการณ์ เมื่อเข้ามาในพื้นที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหล่านักกีฬาที่ต่างออกมาฝึกซ้อมกันอย่างแข็งขัน ทั้งฟุตบอล วอลเลย์บอล บาสเกตบอล และกีฬาประเภทอื่น ๆ อีกหลากชนิด
ในขณะที่นักกีฬาหลายชีวิตกำลังมุ่งมั่นฝึกซ้อมตามตารางฝึกของตนอย่างเป็นปกติ ทว่าเหล่าผู้มาเยือนก็กำลังประสบปัญหา เพราะขณะนี้ทั้งสี่ยังหาสนามกีฬากลางซึ่งเป็นจุดหมายไม่พบ ด้วยขนาดของโรงเรียน แทบทุกชมรมต่างมีโรงยิมและสนามฝึกซ้อมเป็นของตน จำนวนกีฬานับครึ่งร้อยกับจำนวนตึกที่ไม่น้อยหน้ากัน อาคารหลังใหญ่เรียงรายอยู่เต็มพื้นที่ ทำให้พวกเขาสับสนเส้นทางและพากันหลงวนเวียนอยู่รอบโรงเรียนใหญ่เป็นนาน ยังผลให้เวลาล่วงเลยไปอย่างที่ไม่ควรจะเป็น
“พอจะรู้ทางไปสนามกีฬากลางไหมครับ” อาจารย์ที่ปรึกษาทำหน้าที่สอบถามเส้นทาง
“ต้องตรงไปอีกครับ”
“ขอบคุณมาก”
แต่ถึงกระนั้น คำบอกกล่าวจากปากต่อปากยิ่งทำให้กฤษสับสน กว่าจะพบจุดหมายปลายทาง ก็ต้องพึ่งวิธีการสุดท้ายอย่างเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งหากใช้ตั้งแต่แรกคงไม่ต้องวนรถหาไปทั่วโรงเรียนแบบนี้ แต่ด้วยศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ทำให้อาจารย์หนุ่มไม่ยอมตัดสินใจโทรขอความช่วยเหลือจากเพื่อนสนิทที่เป็นธุระจัดการแข่งขันครั้งนี้ได้
“ฮาฮาฮาไอ้กฤษหลงทาง แกหลงทาง ฮาฮาฮา” เสียงของธนัฐดังก้องอย่างไม่อายลูกศิษย์ที่มองดูผู้ฝึกสอนจอมโหดกำลังหัวเราะอย่างไม่เชื่อสายตา
“อย่ามาหัวเราะนะ ก็ใครให้โรงเรียนแกใหญ่ขนาดนี้ ป้ายบอกทางก็ไม่ได้เรื่อง” กฤษปรามเบา ๆ พร้อมส่งสายตาเชือดเฉือนกลับไป แถมด้วยการโทษนั้นโทษนี่อย่างไม่เป็นตัวเอง
“ก็มันตลกจริงนี่ เอาล่ะ ๆ ไม่หัวเราะแล้วก็ได้ มาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ฉันชื่อธนัฐเป็นผู้ฝึกสอนนักกรีฑาประเภทลู่ประจำโรงเรียนแห่งนี้ ยินดีที่ได้รู้จัก” ธนัฐหันมาเอ่ยกับนักผู้มาเยือน
เป็นอย่างที่อาจารย์บอกไว้ไม่มีผิด นักกีฬาหน้าใหม่อย่างมะลิทึ่งในความพร้อมของโรงเรียนใหญ่จนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ โดยเฉพาะนักกีฬาของที่นี่ ทุกคนล้วนผ่านการฝึกฝนอย่างหนัก แค่มองดูก็รู้แล้วว่าสภาพร่างกายแบะจิตใจของพวกเขาพร้อมสำหรับการแข่งขันทุกเมื่อ อีกทั้งยังเสริมทัพความแข็งแกร่งด้วยอุปกรณ์ทันสมัย ตลอดจนสนามกีฬาที่ได้มาตรฐานตรงหน้านี้ด้วย นี่สินะความห่างชั้นที่ไม่มีวันก้าวข้ามไปได้ มีแต่ต้องใช้ความพยายามเข้าสู้เท่านั้น
“จริงด้วย” มะลิเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเสียสนิท
เรื่องที่ว่าเพื่อนคนสำคัญของเขาเรียนได้ทุนนักกีฬามาศึกษาต่อในโรงเรียนแห่งนี้ เขาลืมไปได้ยังไงกัน ทั้ง ๆ ที่คมสันก็บอกตลอดว่าได้ทุนเรียนต่อที่นี่
“มะลิ ?”
“คมสัน ?”
“มะลิจริง ๆ ด้วย ไม่ได้เจอกันตั้งนาน”
จู่ ๆ คนที่กำลังนึกถึงก็มาปรากฏตัวตรงหน้า เป็นคมสันตัวจริงเสียงจริง แม้จะดูต่างไปจากเดิมเล็กน้อย
‘เขาสูงขึ้นใช่ไหม’ มะลิถามตัวเองในใจ ไม่ได้เอ่ยออกไป
‘ไม่สิต้องสูงกว่าเดิมแน่นอน ดูแข็งแรงขึ้นอีกด้วย’ อาจเป็นเพราะต้องฝึกหนักในสภาพแวดล้อมแบบนี้ทุกวัน เลยเปลี่ยนเพื่อนคนสนิทของะลิ จากที่แกร่งอยู่แล้วก็ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก แล้วอย่างนี้เขาจะเอาอะไรไปเทียบเคียงคมสันได้ พอมะลิพยายามก้าวตามให้ทัน คมสันก็จะขึ้นนำอีกก้าวหนึ่ง ทิ้งเขาไว้ข้างหลังตามเคย ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ เพื่อนตัวสูงก็ไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง
“เธอสองคนรู้จักกันด้วยหรือ” ธนัฐผู้ฝึกสอนของคมสันถามขึ้น รวมทั้งคนอื่น ๆ ก็ดูจะแปลกใจไม่น้อย
“ครับโค้ช เพื่อนสนิทผมเอง” คมสันตอบกลับไป
“ฮาฮา งั้นพวกนายก็อย่าอ่อนข้อให้ล่ะ”ธนัฐกล่าวทีเล่นทีจริง เพราะยังไม่อาจประเมินคู่แข่งได้หากยังไม่ลงสนาม
“มะลิ นี่นายรู้จักคน ๆ นี้ด้วยหรือ ตัวแทนจังหวัดปีที่แล้ว” คนที่แปลกใจมากที่สุดคงไม่พ้นใจกล้า เนื่องด้วยคนตรงหน้าที่ยืนเคียงคู่กับเพื่อนร่วมทีมของเขาและมีท่าทีสนิทสนมกัน เป็นคนเดียวกับที่เอาชนะใจกล้าในการแข่งขันคัดเลือกตัวแทนระดับจังหวัดเมื่อปีที่แล้ว เหตุผลที่แท้จริงของความพ่ายแพ้ที่ใจกล้าได้รับในวันนั้น เมื่อมองออกไปยังคนทั้งสองแล้ว แทบไม่แปลกใจในความสามารถของมะลิเลย
มะลิช่วยแถลงข้อสงสัยให้แก่เพื่อร่วมทีม รวมทั้งที่ปรึกษาชมรมซึ่งให้ความสนใจไม่แพ้กัน ใจกล้าฟังเรื่องราวของคนตัวโตที่มีคู่แข่งอย่างคนตัวเล็ก และคนตัวเล็กที่มีคู่ซ้อมอย่างนักวิ่งระดับจังหวัด อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมถึงมีแค่คมสันที่ถูกส่งมาคัดตัวแทนจังหวัดตลอดสามปีที่พวกเขาเข้าสู่วงการวิ่งสมัครเล่น ฝีมืออย่างมะลินั้นเทียบได้กับคมสันเลยก็ว่าได้ แต่ทำไมไม่เคยเห็นนักกีฬาตัวเล็กตรงหน้าในการแข่งขันใดเลย นี่แหละเรื่องที่ใจกล้าหรือแม้แต่กฤษค้างคาอยู่
“คิดไม่ถึงเลยว่าเธอจะรู้จักนักกีฬาชื่อดังแบบนี้” กฤษเอ่ยกับมะลิ คล้ายเป็นการกล่าวชมคมสันไปในตัว
“ชมเกินไปแล้วครับ แค่ตอนนั้นไม่มีมะลิในสนามเท่านั้นล่ะครับ ไม่งั้นคงเกรงน่าดู” คมสันมักทำตัวไม่ถูกเมื่อมีผู้กล่าวชมเช่นนี้ ก่อนหันไปยกยอเพื่อนตัวเล็กของตนอย่างสัตย์จริง
“โอ้โห... แปลกนะที่คมสันเอ่ยชมคู่แข่งแบบนี้ แล้วคนไหนล่ะที่ชื่อมะลิ เธอใช่ไหม” ธนัฐหันไปกล่าวกับเสมอ
“ไม่ใช่ครับ คนนี้ต่างหาก” เสมอปฏิเสธทันควัน ก่อนชี้เป้าหมายให้แก่ผู้เข้าใจผิด
“นี่ทำให้ฉันแปลกใจนะรู้ไหม เธอเองหรือที่ชื่อมะลิ ชักอยากเห็นฝีมือแล้วสิ” ธนัฐตกตะลึงกับเด็กตรงหน้า ไม่ใช่ในความน่ายำเกรง แต่เป็นความไม่น่ายำเกรงนั่นต่างหาก เด็กคนนี้ดูภายนอกแล้วบอกได้เต็มปากว่าธรรมดามาก
“อย่าประมาทลูกศิษย์ฉันแล้วกัน” กฤษเอ่ยขึ้นมา
“มั่นใจขนาดนี้ ฉันเองก็ไม่ออมมือให้หรอกนะ งั้นให้นักกีฬาของนายไปเตรียมตัวได้ เด็กของเราซ้อมกันตั้งแต่เช้าแล้ว ยกสนามให้พวกนายไปซ้อมจนพอใจ พร้อมแข่งเมื่อไหร่ก็บอกได้ทุกเมื่อ”
“ขอบคุณครับ” เสียงลูกศิษย์จากโรงเรียนห่างไกลดังก้อง ก่อนที่ทุกคนจะไปเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการแข่งขันที่ใกล้เข้ามา
ห้องพักนักกีฬาที่ธนัฐจัดให้นั้นค่อนข้างเพรียบพร้อม อาจเรียกได้ว่าอยู่ในมาตรฐานระดับเดียวกับการแข่งขันจริง ซึ่งเกินความคาดหวังของพวกเขา --- พอทุกคนจัดการเรื่องเครื่องแต่งกายสำหรับการวิ่งเสร็จ กฤษก็เรียกประชุมวางแผนก่อนการแข่งขัน เป็นภาพแปลกตาของนักกีฬาทั้งสามอย่างยิ่ง เพราะไม่บ่อยนักที่จะได้เห็นกฤษในโหมดจริงจังเช่นนี้ ที่ปรึกษาของพวกเขาดูเครียดจนจับสังเกตได้ พาให้บรรยากาศกดต่ำลงไปทุกขณะ และส่งผลให้ทุกคนในห้องกว้างแห่งนี้หม่นหมองลงไปด้วย
“นี่พวกเธออย่าทำหน้าสลดตามครูแบบนั้นสิ ก่อนอื่นต้องขอโทษที่เป็นแบบนี้”กฤษรู้สึกตัวก่อนใคร เพราะไม่เพียงเขาที่กำลังเครียด แต่กำลังพาให้ทุกคนจมดิ่งไปด้วย
“วันนี้ครูดูจริงจังกว่าทุกวันนะครับ” มะลิเอ่ย
“ใช่ครับ” เสมอเห็นพ้องด้วย
“ก็คิดมากเรื่องแผนการแข่งวันนี้ ไม่รู้ว่าเร็วไปหรือเปล่าที่ให้พวกเธอซ้อมแข่ง” กฤษแถลงไขความคับข้องภายในใจให้แก่ลูกศิษย์ของตน
“อย่าคิดมากเลยครับ ถึงผลจะออกมาเป็นยังไง อย่างน้อยวันนี้ก็นับว่าเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ครั้งแรกของเรา โดยเฉพาะมะลิกับเสมอ”ใจกล้าเสริมอย่างมีเหตุผล เขาที่คล้ายจะผ่อนคลายที่สุดดึงทุกคนกลับมา
“ใช่ครับ” อีกสองคนขานรับคำกล่าวนั้น
‘ปกติต้องเป็นอาจารย์ที่ต้องให้กำลังใจนักกีฬา แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันต้องให้ลูกศิษย์มาให้กำลังใจแทน ฉันนี่มันจริง ๆ เลย’ กฤษอดเศร้าใจไม่ได้ที่ตนเป็นแบบนั้น และต้องขอบคุณคำพูดของเด็กพวกนี้ ซึ่งช่วยฉุดเขาขึ้นมาจากก้นเหว ความเครียดที่สะสมมาตั้งแต่เมื่อวานราวกับหายไปในพริบตา เป็นเขาเองที่คิดมากจนเกินเหตุ ทั้งที่เรื่องแบบนี้น่าจะเกิดขึ้นกับนักกีฬามากกว่าตัวผู้ฝึกสอน แต่ดูพวกเขาสิ ไม่มีทีท่าร้อนรนหรือกดดันเลย จะปล่อยให้ที่ปรึกษาอย่างเขามาแสดงความอ่อนแอแบบนี้ไม่ได้แล้ว
“เอาล่ะ งั้นพวกเรามาวางแผนรับมือสำหรับการแข่งในวันนี้กันเถอะ” กฤษที่กลับมาจากหุบเหวแห่งความว้าวุ่นใจ เอ่ยออกมาเสียงดังฟังชัด เพื่อให้กำลังใจทุกคน รวมทั้งตัวเขาเอง
“ครับ”สามหนุ่มตอบรับ
บรรยากาศในห้องสี่เหลี่ยมกลับมาผ่อนคลายอีกครั้ง นักกีฬาจากโรงเรียนเล็ก ๆ อย่างมะลิและเพื่อนอีกสองคน ตั้งใจมาเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่าการไขว่คว้าชัยชนะ ครั้งนี้ทั้งสามเพียงต้องการวัดผล การฝึกซ้อมที่สั่งสมมาว่าทำให้พวกเขาก้าวไปได้ไกลแค่ไหน หากชนะก็ถือว่าเป็นผลพลอยได้
“ธนัฐขอคุยด้วยหน่อย” กฤษเข้าไปปรึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการแข่งขั้นในวันนี้
“ว่าไงอาจารย์กฤษ” ธนัฐตอบกลับเพื่อนสนิทตน
“ทางเราอยากเปลี่ยนรูปแบบการแข่งเล็กน้อย” ฝ่ายผู้มาเยือนแจ้งความประสงค์แก่เจ้าถิ่น
“ยังไงล่ะ” ธนัฐไม่ขัด
“จากเดิมที่จะส่งสามคน คนละประเภท ขอเปลี่ยนเป็นส่งสามคนตามเดิมแต่ทุกคนลงทั้งสามประเภท จะได้หรือเปล่า”
“ทางเราไม่ขัดข้องอยู่แล้ว” ธนัฐตอบรับคำขอ
วันนี้เป็นการแข่งขันเล็ก ๆ จึงไม่จริงจังมาก นักกีฬาที่คัดมาอาจต้องตัดออกบางคน แต่เชื่อว่าพวกเขาก็คงไม่เสียใจกับการแข่งอย่างไม่เป็นทางการนี้ ธนัฐคิดเช่นนั้น
“ขอบคุณมาก” กฤษขอบคุณอย่างเป็นพิธีการต่อเพื่อนของตน
“งั้นพวกนายไปเตรียมตัวซ้อมได้เลย ทางนี้ขอคุยกับนักกีฬาเรื่องเปลี่ยนแปลงรูปแบบก่อน พร้อมเมื่อไหร่ก็แข่งได้เลย”
“ขอบคุณครับ” คำขอบคุณจากเด็กหนุ่มทั้งสาม ที่ตามมาสมทบ
นักกีฬาและอาจารย์จากโรงเรียนผู้ท้าชิง เตรียมความพร้อมทางร่างกายในสนาม เป็นครั้งแรกของมะลิที่ได้สัมผัสกับพื้นยางของสนามแข่ง ปกติหากไม่ใช่พื้นหญ้าก็เป็นผืนดินเปล่า ๆ ดีที่สุดก็แค่มีเส้นเขตแดนโรยทับให้พอรู้ว่าเป็นลู่วิ่งเท่านั้น ส่วนใจกล้ากลับคุ้นชินและเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากสมัยมัธยมต้นมีโอกาสใช้สนามลักษณะนี้นับครั้งไม่ถ้วน
ขณะนี้ทั้งสามเริ่มทดสอบการวิ่งจริงหลังจากอบอุ่นร่างกายเสร็จเรียบร้อย มีอาจารย์กฤษคอยกำกับอยู่ข้างสนาม ทั้งใจกล้า เสมอ และมะลิ กำลังวิ่งอยู่ในลู่วิ่งเพื่อทดสอบความเร็วเฉพาะตัว เป็นวิธีที่ใช้ประจำในชมรม โดยจะวิ่งทดสอบเป็นระยะทางประมาณ 800 เมตร เพื่อเก็บสถิติของแต่ละช่วงการวิ่งและที่สำคัญ เพื่อให้ผู้ฝึกสอนรับรู้ศักยภาพก่อนการแข่งขันจริงของลูกทีมทุกคน สำหรับนำมาใช้ปรับแต่งและวางแผนก่อนเริ่มการแข่ง ตลอดจนเช็คความผิดปกติ เป็นการป้องเหตุไม่คาดฝันและอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อก่อนการแข่ง
“กลับมาครบทุกคนแล้วใช่ไหม ครูไม่มีอะไรจะแนะนำเพิ่มเติมมาก แค่อยากบอกว่า ทำให้เต็มที่ แล้วอย่ากดดันตัวเอง ผลแพ้ชนะมันไม่สำคัญเท่ากับการที่พวกเธอจะได้รู้ถึงความสามารถของตนอย่างแท้จริง เอาล่ะไปเตรียมตัวได้”
“ขอบคุณครับ” ทั้งสามเสียงเปล่งออกมาพร้อมเพรียง
‘ปี๊ด...’สัญญาณนกหวีดจากกรรมการประจำสนาม เรียกนักกีฬาทุกคนมารวมตัวกันบริเวณลู่วิ่ง เพราะไม่ใช่การแข่งขันอย่างเป็นทางการ จึงต้องอธิบายกฎและข้อตกลงของทั้งสองฝ่ายให้นักกีฬาทั้งหมดได้รับทราบอีกครั้ง การแข่งในวันนี้จะแบ่งเป็นสามระยะ คือ 200 800 และ 1,500 เมตร โดยผู้ท้าชิงทั้งสามจะลงแข่งทุกประเภท โรงเรียนเจ้าถิ่นจึงต้องส่งนักกีฬาประจำลู่วิ่งทั้งหมด 15 คน สำหรับสามรายการ หนึ่งคนต่อหนึ่งประเภท เนื่องจากนักกีฬาของโรงเรียนเจ้าถิ่นมีจำนวนมากพอ ไม่ว่าผู้ท่าชิงจะมีจำนวนเท่าใด มากหรือน้อยก็ไม่ใช่ปัญหา แต่ก็ไม่บ่อยนักที่จะเปิดรับการแข่งขันกระชับมิตรเช่นนี้ หากไม่ใช่กรณีพิเศษจริง ๆ โรงเรียนอื่นไม่มีทางได้รับโอกาสเช่นนี้แน่นอน
“รายการแรกเป็นการวิ่งระยะสั้น 200 เมตร นักกีฬาลงสนามได้” กรรมการประจำสนามคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
นักกีฬาทั้งหมดลงสนาม รายการแรกกำลังจะเริ่มต้นขึ้น สมาชิกชมรมกรีฑาผู้ท้าชิงทั้งสามคน ซึ่งพกความมุ่งมั่นมาเก็บเกี่ยวสิ่งที่จะได้รับหลังจากนี้ ฝ่าระยะทางไกลเพื่อมาแสดงผลการฝึกซ้อมให้คู่แข่งได้ประจักษ์ถึงการมีอยู่ของพวกเขา
ปั้ง!- - - - - - -
ไม่มีคนอ่านเลย #คิดแล้วเศร้า
บทที่ 10 แล้วแต่ยังอยู่หน้าแรกอยู่เลย 555
มีข้อติชมหรือแนะนำก็บอกกันได้นะ
เห็นของคนอื่นเขาแค่บทนำก็ขึ้นไปแล้วหน้าสองหน้าสาม
ไอ้เราก็จมจ่อมอยู่หน้าเดิมทุกวัน
จนคิดว่าจะเลิกลงแล้ว #น้อยใจ
ปล. ไม่ต้องสนใจนักเขียนมาก แค่อยากระบาย 555