Deen Diary
บทที่ 1 อดีตที่ไม่น่าจดจำ
ผมเคยคิดว่าโลกของเราคงไม่มีเรื่องบังเอิญถึงสองครั้งได้แน่ๆ แต่เชื่อเถอะพระเจ้าไม่เข้าข้างผมเลย หากว่าความบังเอิญทั้งหมดที่ผมได้ผมเจอน่ะมันมากกว่าสองครั้งสามครั้งหรือสี่ครั้งกันนะ แล้วแบบนี้มันควรจะเป็นแค่เรื่องบังเอิญหรือเปล่านะ เรื่องราวของ
ผมมันเริ่มที่ตรงไหนกัน ตอนวัยซนกลัดมันอย่างสมัยม.ปลายก็น่าจะเข้าท่าดี
ย้อนกลับไปในวันที่ทุกอย่างได้เริ่มต้นขึ้น…..สมัยเรียนม.ปลาย
“เฮ้ย มึงน่ะ เฮ้ย ไม่ได้ยินที่กูเรียกหรือไงวะ” เสียงโมโหตวาดมาจากทางด้านหลังที่ผมก็รู้อยู่เต็มประดาว่ามันตั้งใจเรียกผม แต่ผมมีชื่อนี่หว่า ไม่ใช่ชื่อมึงเสียหน่อย ผมแค่เดินต่อไปอย่างไม่ใส่ใจคนทรามๆ ประเภทนั้น
แต่เรื่องมันไม่จบหากว่าเราไปยุ่งกับพวกอันธพาลน่ะ ใครจะรู้ว่าผมนี่เด็กเนิร์ดตัวท็อปของห้องเชียวล่ะ ตั้งแต่เส้นผมจรดปรายรองเท้าไม่มีส่วนไหน จุดไหน ที่ผิดระเบียบ ที่สำคัญผมคือรองประธานนักเรียนของโรงเรียนเลยนะ พอจะมีบารมีกับเขาบ้าง ข้อดีคุณครูโอ๋กันทั้งนั้นนั่นล่ะ
แต่ มันก็มีข้อเสียนะอย่างที่ผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่แสนเกลียดอยู่ในตอนนี้
“มึงหูหนวกหรือไงวะ” ผมหยุดเดิน รับรู้และได้ยินว่ามันกำลังเดินตุบๆ เหมือนหงุดหงิดที่ไม่ได้ดั่งใจ จากนั้นแรงกระชากที่หัวไหล่ก็ทำให้ผมเซและหันไปประจันหน้ากับมันจนได้ เป็นไปตามคาดเลยแฮะ
“มีอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างไม่เข้าใจ ไอ้อันธพาล ไม่สิ ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกแต่เป็นหัวโจกในเรื่องเฮี้ยวๆ แต่เรื่องการเรียนก็อยู่ในระดับที่ใช้ได้ เรียนอยู่คนละห้องกับผมแต่ปีเดียวกัน
“กูเรียกมึงนี่ไม่ได้ยินหรือไง หรือมึงแกล้งไม่ได้ยิน คิดว่าใหญ่มาจากไหนวะไอ้เด็กเส้น” ผมแค่ทำหน้าเฉยๆ ตามปกติ ผมมองหน้าคนที่ตัวเท่าๆ กันความสูงเท่ากันหน้าตาก็ดูดีอยู่นะ ได้ยินว่าคนนี้ฮอตในหมู่ผู้หญิง หน้าตาเหมือนมีเชื้อฝรั่งซึ่งมันเด่นอยู่แล้วในโรงเรียนประจำจังหวัดและยิ่งเป็นโรงเรียนรัฐ
“ไม่รู้จริงๆ นี่ แล้วมีอะไรเหรอครับ” ผมถามต่อ
“ตามมานี่หน่อยดิ พวกกูมีเรื่องจะคุยด้วยหน่อย” มันพูดนิ่งๆ ท่าทางกวนๆ ผมเหล่มองไปทางด้านหลังมีกลุ่มผู้ชายวัยเดียวกันสามสี่คนมองมาทางผมอยู่ คงเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกัน
“ที่ไหนล่ะคุยตรงนี้ไม่ได้หรือไง” ผมไม่เข้าใจ ก็พอจะรู้อยู่ว่าพวกนี้มันเกเร แต่ด้วยความที่ไม่ได้มีเรื่องขัดใจกับพวกนั้นคงไม่น่าจะมีปัญหา และเพราะผมเป็นลูกรักของเหล่าคุณครูด้วยแล้ว คงไม่มีปัญหา...
แต่นั่นล่ะคือปัญหาต่างหาก
“เฮ้ย ไอ้แกน ได้ยังวะ” เสียงจากคนด้านหลังตะโกนมาถาม ‘แกน’ งั้นเหรอชื่อแปลกจริงๆ เหมือนผมเลย
“ว่าไง แค่ไปคุยแป๊บเดียวเอง” แกนพูดเลิกคิ้วมองผมเหมือนกำลังเซ็งๆ ผมเลยตอบตกลงเดินตามหลังมันไป
กลุ่มนี้ผมเห็นผ่านตามาหลายครั้ง เหมือนจะมาไม่ครบขาดไปคนนึง พวกนั้นเดินนำผมไป แกนเดินรั้งท้ายตามหลังผมมา ผมรู้สึกทะแม่งๆ เมื่อพวกนี้พาผมมาหลังห้องน้ำเก่าหลังตึกห้องสมุดเก่า
“จะไปไหนน่ะ มีอะไรคุยตรงนี้แหละ” ผมบอกเพราะแถวนั้นมีแต่พวกเกเรนิสัยทรามๆ มามั่วสุม
“เออ” คำพูดสั้นๆ จากไอ้แกน
ผมถูกผลักจากด้านหลังจากมันจนกระเด็นไปข้างหน้าใส่พวกข้างหน้าสี่คน เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว เหมือนพวกมันนัดแนะกันมาแล้ว คนนึงรวบแขนผมทั้งสองข้างไพล่หลังแล้วลากไปที่มุมอับมิดชิดไม่ให้ใครเห็น ส่วนพวกที่มาสุ่มหัวสูบบุหรี่ก่อนหน้านี้ถูกไล่ออกไปจนหมด
“เฮ้ย นี่มันเรื่องอะไรวะ ปล่อยนะเว้ย ไม่งั้น....” ผมเงียบไป มีสิ่งเดียวที่ผมทำได้ฟ้องครูงั้นเหรอ
“ฟ้องครูเหรอวะ ฮ่าๆ ลูกแหง่นี่หว่า เอาเลย สิ้นเรื่องแล้ววิ่งแจ้นคลานไปฟ้องคุณครูเลย” ไอ้แกนเป็นคนพูด ผมเงียบพยายามดิ้นให้หลุดจากการรัดกุม แรงของผมมันสู้อีกสามคนไม่ได้
“ต้องการอะไรวะ”
“ไม่รู้ดิ แค่ไม่ชอบหน้ามึงต้องมีเหตุผลอื่นด้วยไหมวะ” มันหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องสนุกสนาน ผมไม่ชอบใจที่ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้
“ค้นตัวมันดิ มีตังค์เยอะเปล่าวะ” อีกคนนึงที่ว่างอยู่เข้ามาค้นตามกระเป๋ากางเกงนักเรียนของผม มันหยิบกระเป๋าเงินของผมออกมาเปิดดูจากนั้นก็หัวเราะ
“เฮ้ยแกน มีรูปกับมาม้าด้วยว่ะ โคตรลูกแหง่เลย” ผมไม่เห็นว่ามันจะตลกตรงไหน มันหยิบเอาเงินของผมไปจนหมด ผมตกใจเพราะแม่จะให้เงินไว้ใช้ทั้งสัปดาห์ถ้าหมดก็ขอเพิ่มไม่ได้
“เอาคืนมานะเว้ย! ไอ้พวกขโมย เอาคืนมาดิ” ผมดิ้นอย่างแรงแต่ก็ไม่เป็นผล ผมทำได้แค่ตะโกนห้ามแค่นั้น ผมสู้พวกนี้ไม่ได้หรอก ไอ้แกนแค่มองผมเยาะๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าเงินใส่หน้าผม มันไม่ยอมคืนเงินให้ผมด้วย
“ถ้าอยากได้คืนก็มาเอาที่กูให้ดิ” ไอ้แกนพูดก่อนจะโบกเงินไปมาแล้วเดินไปนั่งบนโต๊ะไม้เก่าๆ ที่กองไว้ริมตึก พวกนั้นปล่อยแขนผมแล้วไปยืนขวางทางไว้ ผมชะงักไป หมายความว่าผมต้องสู้กับพวกนี้งั้นเหรอ ไม่มีทางหรอกผมสู้ไม่ได้
“ทำไมไม่กล้า? ป๊อดนี่หว่า” หนึ่งในนั้นพูดผมจนปัญญา แต่ในใจก็อยากได้เงินคืน นั่นมันเงินของผม
“ทำไมต้องขโมยด้วย ถ้าอยากได้ก็เอาไปครึ่งนึงสิ” ผมบอกไปแบบนี้แต่เหมือนทำให้พวกนั้นหัวเราะกันใหญ่
“ทำไมต้องแบ่งในเมื่อตอนนี้มันอยู่ที่กูก็ต้องเป็นของกูดิ” ไอ้แกนเป็นคนพูดมาจากด้านหลัง ผมนิ่งกำหมัดแน่น ผมโกรธและเกลียดมันขึ้นมาทันที จากนั้นก็พุ่งตัวฝ่าเข้าไปหามันแต่หนึ่งต่อสามมันสู้ไม่ได้อยู่แล้ว
ผมสะบักสะบอม ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะเจอเรื่องแบบนี้ ผมไม่เคยโดนต่อยแบบเต็มแรงขนาดนี้
สุดท้ายผมก็แพ้พวกมันจนได้
“คราวนี้ก็จำใส่หัวไว้ด้วยว่าอย่างหยิ่งแล้วก็ทะนงตัวให้มาก มึงมันขี้แพ้ ถ้าไม่อยากเจอแบบนี้อีกก็ไม่ต้องไปยุ่งกับหนิงอีก” ผมมองมัน หนิงคือเพื่อนร่วมห้องของผม แต่ผมไม่รู้มาก่อนว่าหนิงจะชอบกับไอ้แกนหรือเพราะไอ้แกนมันชอบหนิงกันนะ พวกมันเดินกลับออกไป
“.......” ผมรู้สึกแย่ที่สุดในชีวิตนี้ขึ้นมาทันที
และสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแย่มากกว่าเดิมนั่นคือ ในเวลานี้ผมคิดถึงแม่ มันทำให้ผมเป็นไอ้ขี้แพ้ของจริง
ผมเก็บกระเป๋าเงินมาดู ไม่มีเงินให้ผมสักบาท ผมควรฟ้องครูไหม ในใจผมบอกว่าไม่ ถ้าผมบอกผมต้องโดนพวกมันต่อยอีกแน่ๆ แต่ผมเป็นรองประธานนักเรียนเชียวนะ แต่ก็นั่นแหละ
เพราะแบบนี้ผมถึงได้เจอเรื่องแบบนี้
เพราะผมเรียนเก่งคุณครูโอ๋และเป็นรองประธานนักเรียน
พวกเด็กเกเรคงจะไม่ชอบผมกันเยอะ มีเพียงแค่ใครจะเริ่มก่อนเท่านั้น เพราะไอ้แกนเป็นคนประเดิมซ้อมผมได้พวกอื่นๆ ก็คงไม่รอหรือเกรงกลัวคุณครูอีก มันคงต้องเป็นแบบนี้จริงๆ นั่นแหละ
วันนั้นผมไม่ได้กลับเข้าไปเรียนแค่ไปหลบในห้องน้ำรอเวลาเลิกเรียนแล้วค่อยกลับบ้าน เพราะผมไม่กล้าออกไปในสภาพแบบนี้ คนคงหัวเราะเยาะผมโดยเฉพาะพวกผู้หญิง
มันเป็นความทรงจำแย่ๆ ที่ผมไม่เคยลืมและมันไม่ได้จบลงเพียงแค่นี้
หลังจากที่ไอ้แกนกับพวกพ้องเอาเงินผมไปในวันนั้นเรื่องไม่ได้ไปถึงหูคุณครูเหมือนมันจะได้ใจ ผมจำหน้าจำชื่อมันได้ไม่ลืม ไอ้แกน ไอ้นุ ไอ้โจ้ ไอ้ภัคร และอีกคนนึงที่ไม่ได้มาร่วมออกโรงด้วย ไอ้ท็อป เพราะมันเรียนกันคนละห้องและคนละสายกัน สายวิทย์คณิตเวลาไม่ตรงกันที่จะมาร่วมแจมด้วย แต่ในบางครั้งที่ผมเจอมันระหว่างเปลี่ยนคาบเรียนหรือซื้ออาหาร ไอ้ท็อปมักจะมองผมแปลกๆ อาจจะเยาะเย้ยสมน้ำหน้าดูถูกไปในคราวเดียว โดยรวมแล้วผมไม่ชอบมันทั้งหมดนั่นแหละ
พวกเด็กเกเรกลุ่มอื่นๆ เริ่มมาระรานกับผม ส่วนมากจะมาเอาเงินผมไปเล็กๆ น้อยๆ ช่วงนั้นผมไม่อยากมีปัญหาเลยปล่อยเลยตามเลยจนมันสะสมและเริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อผมเลื่อนชั้นมาจนม.5 ผมออกจากสภานักเรียนโดยอ้างว่าเรียนหนักแต่มันก็หนักจริงๆ แต่ความเลวร้ายของผมยังไม่จบลง ผมยังคงโดนรังควานต่อไปจนผมทนไม่ไหวต่อยหน้าพวกมันไปบ้าง แต่เหตุการณ์มันยิ่งวุ่นวายเมื่อพวกมันมาดักรอผมที่นอกโรงเรียน ไม่มีกฎ ไม่มีระเบียบ อีกต่อไป
ผมแค่วิ่งหนี
“เฮ้ยตามมันไปดิ” เสียงมันดังลั่นมาจากด้านหลังผมวิ่งหนีพวกมันแบบไม่คิดชีวิต เลี้ยวไปตามซอยอาคารพาณิชย์เพราะมีที่ซุกซ่อนได้ง่าย
แต่เหมือนเป็นการขุดหลุมฝังตัวเองได้เช่นกัน
ใครจะไปรู้ว่าพวกไอ้แกนดันโผล่มาจากด้านหน้าดักรอผมไว้ ปิดทางหนีของผมทั้งสองด้าน
“ไม่ได้เจอกันนานเลย ไปทำอะไรให้พวกมันโมโหเข้าล่ะ” ไอ้แกนพูดแล้วยิ้ม ผมอยากจะขอร้องมันแต่ก็ทำไม่ลง จนพวกที่ไล่หลังผมตามมาจนทัน
“เฮ้ย มันอยู่นี่”
เหตุการณ์ชุลมุนเมื่อพวกมันเข้ามาล็อกตัวผมไว้ได้ก่อนจะลากไปที่มุมตึกพาณิชย์เก่าร้างที่ไม่มีคนเช่าแล้ว ผมคิดแค่ว่ามันจะมาเอาเงินจากผมหรือแค่ซ้อมผมเท่านั้น ไม่ได้คิดว่าจะมีเรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นกับผมได้
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ” ผมตกใจเมื่อมันเอาเงินไปจนหมดแต่ยังไม่ปล่อยผมไป แต่ลากผมเข้าไปในตึกร้างแทน ผมคิดอะไรไม่ออก ผมไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เรื่องเซ็กซ์หรือเรื่องเกย์ เพราะพวกไอ้แกนทำให้ผมมาเจอเรื่องน่าอายแบบนี้
“จับมันไว้ดิ”
ผมคิดว่าคงไม่รอด ในขณะที่มันกำลังจะถอดกางเกงผมได้สำเร็จพวกไอ้แกนเข้ามาช่วยได้ทัน ผมรู้สึกดีใจอย่างน้อยก็ไม่โดนทำอะไรน่าเกลียดๆ แต่ในใจรู้สึกเกลียดไอ้แกนเข้าไปอีก ผมรีบหนีออกจากตึก
“เฮ้ย มึง” ผมไม่ได้ยินว่าไอ้แกนมันจะพูดอะไรแต่เหมือนมันจะตกใจ คงไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ผมกลับมาบ้านรู้สึกขุ่นแค้นอย่างบอกไม่ถูก
ผมเก็บกดมันมานานเกือบปี ในใจคิดแค่อย่างเดียวคือเพราะมัน เพราะไอ้แกนใช่หรือเปล่า ที่เรื่องมันแย่ลงเพราะมันคนเดียว ความอดทนของผมหมดลงในวันนั้น ผมบอกแม่ว่าจะย้ายโรงเรียน แม่ไม่ได้ถามอะไรเพราะไม่ได้สนใจใยดีอะไรนอกจากตัวเองและสังคมของแม่ที่หมดเงินไปกับหน้าตาของตัวเองและการเที่ยวไปกับเพื่อน เมื่อก่อนผมไม่ได้คิดว่าสิ่งที่แม่ทำเป็นเรื่องไร้สาระหรือนึกโกรธว่าทำไมไม่ใส่ใจผมเหมือนคนเป็นแม่ควรจะทำ ในตอนนี้ผมโกรธทุกอย่างในโลกนี้
วันที่ผมมาลาออกผมก็เจอกับไอ้แกนตรงทางเดินเพราะสวนกัน
“กูไม่คิดว่าไอ้นันท์มันจะทำแบบนั้นจริงๆ นะเว้ยไม่อย่างนั้น—” ไอ้แกนพยายามอธิบายแต่ผมไม่ได้สนใจจะฟัง ผมเดินหนีมันมาเพราะผมตัดสินมันไปนานแล้วว่ามันคือคนผิดและมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไปด้วย
ผมย้ายโรงเรียนไปเข้าเอกชนอีกจังหวัดหนึ่งแทน ผมอยากหลุดจากที่เดิมๆ และผมเริ่มแปลกไป ความคิดประพฤติเหมือนเหรียญสองด้าน ที่ผ่านมาคงเป็นด้านที่ดีงามแต่พอเหรียญพลิกทุกอย่างที่เคยเป็นมันถูกปิดบังกดทับไป เหลือให้เห็นอีกด้านนึงแทน ด้านมืดของผมเอง
ผมเริ่มกลับบ้านไม่ตรงเวลา ปกติเรียนพิเศษสองทุ่มก็ตรงกลับบ้านทันที แต่มันไม่เป็นแบบนั้นอีกต่อไป
ผมเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆ ไปในที่ที่ไม่เคยไปมาก่อน ผมเดินไปตามย่านผับดังของตัวเมือง แน่นอนเราจะเจอพวกด้านมืดกันในสถานที่แบบนี้ ผมเดินเข้าไปในซอยผับบาร์จนเกือบสุดซอยเจอกับกลุ่มผู้ชายวัยรุ่น การแต่งตัวที่แหวกแนวแฟชั่นเหมือนพวกญี่ปุ่น พวกพังค์ พวกร็อก นั่งสูบบุหรี่เปิดเพลงร็อกหนักๆ บิ้วด์ตัวเอง ผมจ้องมองคนพวกนั้นเหมือนถูกดูดลงไปในโลกของพวกเขา
รู้ตัวอีกทีผมกำลังจ้องมองผู้ชายผิวขาว ตัดสกินเฮด มีรอยสักเต็มแขน กำลังนั่งฉีดสเปรย์ที่กำแพง ลวดลายตามกำแพงดูแปลกตาและเข้าใจยาก มันเป็นรูปของชายหญิงที่แยกกันไม่ออกกำลังสมสู่กันเพราะดูยุ่งเหยิงเกินไปที่จะเรียกว่ากอดจูบ ที่นั่นผมได้รู้จักคำว่า ศิลป์ เป็นครั้งแรก ผมพยายามจะเข้าใจ มันคงกินเวลานานจนเจ้าตัวรู้สึกว่ามีคนจ้องมองอยู่
“สนใจเหรอวะ” เจ้าของผลงานพูดกับผม น้ำเสียงเข้มทุ้มแต่ดูไม่คุกคาม กลุ่มคนพวกนั้นปิดเพลงแล้วหันมาสนใจผมแทน
ผมอึกอักทำตัวไม่ถูก รู้สึกกลัวขึ้นมา
“เอ่อ”
“เฮ้ย แค่ถามเฉยๆ ไม่ได้จะทำอะไรนะเนี่ย โห เด็กนักเรียนนี่หว่า มาแถวนี้ดูไม่ดีเลย” พี่คนนั้นหัวเราะใจดีขัดกับภาพลักษณ์
“.......” ผมไม่ตอบแค่มองไปรอบๆ อย่างแปลกตา กลุ่มคนพวกนั้นประมาณห้าถึงหกคนกวักมือเรียกผม
“ถึงพวกกูจะดูสกปรกแต่ไม่ทำร้ายเด็กๆ อย่างมึงหรอกน่า สนใจที่ไอ้กัสทำเหรอวะ” พี่อีกคนบุ้ยใบ้ไปที่ผู้ชายหน้าดุที่รู้ชื่อเมื่อครู่ พี่กัส
“มันคืออะไรเหรอครับ” ผมถามออกไปก่อนจะเดินเข้าไปหาพวกพี่กลุ่มนั้น พี่กัสแค่หัวเราะแล้วแกว่งกระป๋องสเปรย์ ผมย่นจมูกเพราะกลิ่นสเปรย์ พวกนี้ไม่เหม็นกันเลยหรือไง ผมสงสัยแต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็มีคำตอบ
“เขาเรียกว่ากราฟิตี้อาร์ต”
“สวยดีนะครับ”
“ดูออกเหรอวะ” พี่กัสมองผม
“ไม่ออกหรอกครับแค่รู้ว่ามันสวย” ผมตอบไปตามที่คิด บางครั้งศิลปะไม่ต้องใช้ตามองเพื่อบอกว่านั่นสวย นั่นไม่สวย นั่นเละ แต่มันต้องใช้สุนทรีย์ศาสตร์ในการมองศิลปะสักชิ้นหนึ่ง
“ว้าวๆ ตอบได้ดีไอ้น้อง สนใจร่วมก๊วนไหมพี่จะได้สอนให้ไง เอาเปล่าวะ” พี่กัสยักคิ้วให้แล้วยิ้มเป็นมิตรมาให้ผม
“สอนผมแน่นะพี่” ผมถามอย่างไม่แน่ใจ
“เออน่า พวกพี่ไม่ใช่พวกมิจฉาชีพหรอก แล้วมึงเองก็ไม่มีอะไรให้กูเอาไป ได้เงินคงไม่เยอะหรอก มึงจะมีอะไรให้กูได้อีกวะ” พี่กัสหัวเราะแล้วโยนกระป๋องสเปรย์ให้ผมบ้าง ผมรับมาเขย่าๆ รับรู้ถึงมวลน้ำหนักที่อยู่ในกระป๋อง
“ชื่ออะไรวะ กูชื่อตอง” พี่อีกคนถาม
“ผมชื่อดีนครับ” ผมตอบ
“พี่ชื่อกัส แต่แปลกว่ะ คนอะไรชื่อดีน ฮ่าๆ”
บางทีนี่อาจจะเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตผม
ผมคนที่เคยคิดว่าพฤติกรรมห่ามๆ พวกนี้เป็นสิ่งไม่ดีและดูรุนแรงในสายตาผม แต่แล้วผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเลยสักครั้งว่าทำไมผมถึงก้าวเข้ามาในโลกที่ผมเคยไม่ยอมรับและกลายเป็นว่าผมมองเรื่องความรุนแรงกระทบกระทั่งกันเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยไปได้ เพราะผมมีบาดแผลในใจ ความขาดวิ่นเป็นรูเหวอะน่าเกลียดอยู่ในใจลึกๆ ที่ผมซ่อนไว้เพราะความรู้สึกอับอายที่ผมสู้พวกมันไม่ได้ นั่นล่ะเหตุผลที่แท้จริงมัน ไม่ใช่ความถูกต้องหรือยุติธรรมอะไรเลยทั้งนั้น ผมไม่ควรยอมแพ้หรือล้มลงให้คนแบบพวกนั้น
หลังจากที่ผมเจอกับกลุ่มพี่กัสผมเหมือนเข้ามาในอีกโลกนึงที่ผมไม่เคยเห็นไม่เคยรับรู้มาก่อน มีทั้งดีและเลวไปพร้อมๆ กัน พี่กัสบอกผมเสมอว่าเราเลือกที่จะปฏิเสธกับสิ่งที่อีกฝ่ายยื่นมาให้เราได้แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นพี่กัสเองหรือคนเป็นแม่ก็ตาม เพราะเราเท่านั้นที่จะเป็นฝ่ายเลือกเองและตัวเราเองนั่นแหละที่จะต้องรับผิดชอบต่อผลของการเลือกของตัวเราเองให้ได้
ผมเปลี่ยนความคิดเรื่องการเรียนต่อสายวิทย์ ผมเคยตั้งใจอยากเรียนวิศวะคอมหรือสายวิทยาศาสตร์ แต่ผมกลับเจอสิ่งที่น่าสนใจกว่าและทำให้ผมค้นพบตัวตนของผมเจอได้ นั่นก็คือศิลปะ ผมชอบกลิ่นเก่าๆ ของแปรงสี กลิ่นเฟรมไม้ในโกดังของพี่กัสจนผมมองข้ามความรู้สึกเหล่านี้ไป เพราะคิดว่ามันอาจเป็นมิตรภาพของพี่กับน้อง ผมไม่เคยคิดว่ามันอาจเป็นความชอบที่มากกว่ามิตรภาพของผู้ชาย เพราะผมคิดมาตลอดว่าพี่กัสเป็นต้นแบบของผม เรียกว่าความประทับใจแรกได้ไหมนะ
ผู้ชายคนเดียวที่ผมเห็นว่าเท่ห์ เป็นผู้ชายที่มีรอยสักแล้วไม่น่ากลัวเลยสักนิด ทุกวันนี้ผมก็ยังเห็นเป็นแบบนั้นเหมือนเดิม พี่กัสชวนผมมาสักที่ร้านของพี่ตองเสียค่าสักถูกกว่าราคาตลาดและผมมีแบบอยู่ในใจแล้ว ผมเลือกสักที่ท้ายทอยต่ำลงมาพอให้เสื้อปิดได้ ผมสัหตัวอักษรสามตัวลงไปเหมือนแทนสิ่งที่ติดค้างในใจ
“ชื่ออะไรวะ” พี่กัสหยิบแบบร่างของผมขึ้นมาอ่านผมแค่ยิ้ม
“ไม่มีความหมายหรอกพี่ สักไปเถอะ” ผมตอบนิ่งๆ
หลังจากที่ผมสอบเข้ามหาลัยได้สำเร็จ พี่กัสก็หายไปจากชีวิตผม ผมไม่ได้ข่าวคราวอะไรจากพี่กัสอีกเลย พี่ตองเพื่อนสนิทพี่กัสเองก็ไม่รู้
“เอาน่า มันไม่ได้ตายจากไปไหนหรอก ไอ้เชี่ยนั่นมันอินดี้จะตาย เดี๋ยวหายบ้ามันก็กลับมาเองแหละวะ มึงเองก็ตั้งใจเหอะ สมใจปรารถนาแล้วนี่” พี่ตองยิ้มให้ผมแต่ผมแค่รู้สึกแปลกๆ พี่กัสคงมีเรื่องที่ต้องทำแต่ไม่น่าจะหายไปโดยไม่บอกลาผมแบบนี้
เฮ้อ ผมแค่รู้สึกแย่เหมือนคนอกหักกลายๆ รู้สึกว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีสักกี่คนที่อยู่ข้างๆ ผมไปจนวันสุดท้ายได้บ้าง พอคิดแบบนี้วนเวียนไปมาดูเหมือนว่าโลกใบนี้ชักไม่น่าอยู่และหม่นหมองซะเหลือเกิน
นั่นล่ะเรื่องเก่าๆ ของผม
อย่างที่บอก เรื่องบังเอิญ ผมไม่อยากเจอมากกว่าสองครั้งในชีวิตหรอก ถ้าเรื่อบังเอิญนั้น เป็นสิ่งที่ผมอยากพบเจอ ผมจะรู้สึกดีกว่านี้ และไม่ใช่กับคนที่ผมเกลียดหน้า