แง~~~
อย่าโกรธผมนะฮะ
หายไปนานมากขอโทษจริงๆ นะ เนื่องจากไปรับปริญญามา T^T
มีคนจุดธูปเรียกด้วย มิน่าวิญญาณจะหลุดออกจากร่างตลอดเวลา
เอาตอนใหม่มาส่งฮะ
ตอนที่ 11 เป็นห่วง เวลาผ่านไปสองเดือนแล้วกับความสัมพันธ์ที่จบลง เหมือนคนบนฟ้าพอจะสงสารผมอยู่บ้างเลยส่งคู่หูคู่ฮา lab mate ทั้งสามคนมาให้ผม แล้วก็ยังมีเป้อยู่ข้างๆ ไม่ขาด
ฤดูฝนกำลังจะจางหาย ส่วนหน้าหนาวกำลังจะเข้ามาแทนที่อีกครั้ง กับเรื่องราววุ่นวายของชีวิตที่ก้าวเข้ามาสู่รั้วมหาวิทยาลัย ผมเองก็ยังงงอยู่ว่าทำไมเรื่องราวมันถึงวุ่นวายขนาดนี้ภายในปีเดียว เพราะไอ้ปีก่อนๆ ตอนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันกับปิงก็ไม่เห็นจะมีอะไร อาจจะเพราะเข้ามหาลัยมีหญิงมาตอมไอ้ปิงมากผิดปรกติ ผมก็เลยหึงมัน หรืออาจจะเพราะว่าผมเองก็โตขึ้น ก้าวเข้ามาสู่วัยรุ่นช่วงปลาย และก็อยากจะมีความรักจริงจังและก็ให้ชีวิตของตัวเองชัดเจนสักที
ฝนปรอยๆ เพิ่งหยุดไป ปะทะเข้ากับอากาศเย็น ทำให้ปฎิทินของวันนี้เลื่อนเข้าสู่ฤดูหนาวในความรู้สึกของผมอย่างเต็มที่ พวกเราทั้งสี่คนนั่งอ่านหนังสือกันอยู่ที่ร้านขนมแถวคณะ นอกจากอุณหภูมิที่ลดลงจะทำให้หนาวแล้ว การสอบที่กำลังใกล้เข้ามาทุกทีก็อาจจะทำให้ถึงขนาดหนาว ‘สั่น’ หลังจากที่ผมไถลไถเถือกสัปหงกไปอ่านหนังสือไปอยู่ที่บ้าน ผมก็ตัดสินใจติดรถฟิวมานั่งอ่านหนังสือกับเพื่อนที่นี่
“ว๊ากกกก ทำไมมันเยอะอย่างงี้วะ” โอปอล บ่น พร้อมฟุบหน้าลงไปที่ชีทกองพะเนิน ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ “เออ แม่งเยอะจริงหว่ะ”
“เยอะก็อ่านสิวะมึง นั่งบ่นแล้วมันจะลดลงไหม” ป๋อง เพื่อนผู้ที่ผมคิดว่ากวนตีนที่สุดในคณะ กล่าวขึ้น ยังไงก็ตาม ผมไม่เห็นป๋องมันจะอ่านเยอะแยะ จากการสอบที่ผ่านมา ป๋องเป็นเต็งหนึ่ง คะแนนกระโดดสูงปรี๊ด อย่างไม่เกรงใจเพื่อนฝูง
“เมิงก็ติวให้พวกกูดิ คะแนนก็เยอะ แต่เสือกติวไม่รู้เรื่อง” ไอ้โอปอลตัดพ้อ
“เอาน่า อย่าทะเลาะกัน ไปซื้อกาแฟมากินเพิ่มไหม” อาร์ท หนุ่มต่างจังหวัดคนเดียวในกลุ่ม ด้วยดีกรีที่หนึ่งในจังหวัด และคะแนนเอ็นทรานซ์สูงที่สุดในรอบ 3 ปีของโรงเรียน ทำให้อาร์ทต้องระหกระเหินเดินทางจากบ้านนอกเข้าเมืองกรุงมาเรียนหนังสือ อาร์ทเป็นคนที่ซื่อมากสมกับเป็นเด็กต่างจังหวัด เสมือนเป็นพ่อพระของเพื่อนๆ ในกลุ่ม และมันก็พร้อมจะประณีประนอม... แต่ก็ยกเว้นอยู่เรื่องนึง
โทรศัพท์มือถือแผดเสียงดังขึ้น
“โหล”
“เป้เอง โฟนอ่านหนังสือเสร็จยัง”
“ยังเลยอ่ะเป้ ที่เพลนไว้ วันนี้เหลืออีก 6 ชีท”
“ว้า อีกนานป่ะ เป้อยากชวนโฟนอยู่หนัง”
“อืม .. ดูหนังเหรอ เรื่องอะไรอ่ะ”
ไอ้อาร์ทส่งตาเขียวมาให้
“จองสักสองทุ่มกว่าๆ แล้วกันนะ อีกสองชั่วโมงน่าจะอ่านทัน” ผมบอกเป้ก่อนจะวางหู
“โอ๊ยยยย กูหล่ะเบื่อคนมีแฟน เมื่อไหร่กูจะมีมั่งน๊อออ จะได้โทรมาชวนไปดูหนงดูหนังมั่ง” ป๋องเริ่มกวนตีน
“ก็เขาหน้าตาดี เช็คหน้ามึงซะก่อน จะมีแฟน หญิงที่ไหนจะเอา” โอปอลสวนกลับทันที
“หญิงไม่เอา ก็เอาหนุ่มเหมือนไอ้โฟนก็ได้ง่ายดี กูยอมม” ผมเขินแต่ก็มีสติพอจะเลือกชีทที่หนาที่สุดในฟาดกระโหลกไอ้ป๋องสักป้าบ
“ทำไมต้องไปด้วยล่ะ ไม่ต้องไปก็ได้หนิ เรื่องนี้ตอนแรกนัดดูด้วยกันไม่ใช่เหรอ” อาร์ทเริ่มง้องแง้ง
“อาร์ท...” ผมไม่รู้จะพูดอะไร ไม่รู้อาร์ทมันเป็นอะไรครับ ปกติแล้วมันง่ายๆ ทุกเรื่อง ไม่เคยนอยด์เพื่อน มีแต่เรื่องเป้เนี่ยแหละ มีแบบนี้ทีไร รับรองไอ้อาร์ทนี่เหวี่ยงวงแตกทุกครั้งไป
“เอ๊า อาร์ท จะเป็นอะไรวะ โฟนมันจะไปดูหนังกับแฟน แล้วมึงจะมาหงุดหงิดทำไมเนี่ย” โอปอลพูดพร้อมกับยัดโดนัทชิ้นสุดท้ายบนโต๊ะเข้าปาก
“กูกับเป้ ยังไม่ได้เป็นแฟนเว้ย” ผมแก้ต่าง แต่ถึงจะยังไม่ได้ตกลงอะไรกัน เป้มันเล่นมาเทียวรับเทียวขือผมแบบนี้ ใครๆ ก็ต้องคิดว่าเป็นแฟนกัน
ไอ้อาร์ทหน้าบูด “ก .. ก็ ตอนแรกนัดกันไว้แล้วหนิ”
“เอาน่า กูขอโทษ เดี๋ยวกูเลี้ยงไอติม 2 ถ้วย เคป่ะอาร์ท”
“จริงเหรอ!” -*- .. อาร์ท.... ตกลงนี่มึงเห็นของกินดีกว่ากูใช่ไหมเนี่ย
“เออออ เลิกหน้างุ้มได้แล้ว มึงเหวี่ยงแล้วใครจะเป็นกรรมการห้ามหมากัดกันวะ” ผมแซว
ไอ้โอปอล กับไอ้ป๋อง หันมาพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ใครหมาวะ!”
2 ชั่วโมงผ่านไปแว๊บบบบ เดียว
คุณชายเป้ โผล่เข้ามาพร้อมกับเสื้อเชิ๊ตสีขาว ทับแล้วเสื้อกั๊กไหมพรมตารางสีครีม มึงน่ารักน้อยกว่านี้ได้ป่ะวะ กูถามจริงเหอะหว่ะเป้
“หวัดดี ป๋อง โอปอล ... อาร์ท นายอารมณ์ไม่ดีเหรอ”
“ป.. เปล่า สักหน่อย ไม่มีอะไร” อาร์ทมันคงรู้สึกผิดที่เสียมารยาท
เป้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆ “เป็นไง อ่านเสร็จยัง”
“ยังอ่ะ เหลืออีกชีทนึง”
ไอ้ป๋องสอดเข้ามา “เพื่อนเป้ครับ ผมให้ครับ รักษาสุขภาพนะครับ” ไอ้ป๋องควักกระเป๋าแล้วก็หยิบถุงยางส่งให้เป้
เป้ถึงกลับปล่อยก้าก ออกมา ส่วนผมก็ถีบไอ้ป๋องซะเต็มตีน โอปอลรีบแทรก “เพื่อนเป้จะใช้ก็ระวังหมดอายุนะครับ ป๋องมันไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้หรอกครับ พกไว้งั้นๆ แหละ”
ผมหัวเราะกับความกวนตีนของทั้งคู่ แล้วก็เก็บข้าวของ ไปดูหนังกับเป้
ความสัมพันธ์ของผมกับเป้ ก็พัฒนาไปนะครับ ผมยอมให้เป้หอมแก้มบ้าง จับมือบ้าง แต่ก็คงยังไม่เกินเลยไปกว่านั้น มีเรื่องหนึ่งที่ผมอยากถามเป้มาก แต่ผมก็ไม่กล้าสักที ให้ตายเถอะครับ มันรบกวนผมเหลือเกิน ... ไม่ต้องเดาหรอกครับ มันก็คือเรื่องของปิง
ผมได้ข่าวจากปิงน้อยมาก ตั้งแต่ห่างกันไป เท่าที่รู้คือมันก็ขาดเรียนไปนานเช่นกันกับผม และในที่สุดความอดทนของผมก็หมดลง ผมยอมรับว่าผมยังห่วงมัน
“เป้ เราถามอะไรหน่อยดิ แต่เป้ห้ามโกรธเรานะ”
“เรื่องปิงเหรอ ถามมาดิ เราไม่โกรธหรอก แต่น้อยใจนิดหน่อย”
ผมทำหน้าเกรงใจ
“เอาน่าเรื่องโกรธมันห้ามกันได้ แต่เรื่องน้อยใจ มันห้ามกันได้ซะที่ไหนล่ะ”
“งั้นเราไม่ถามก็ได้” (ฮ่าๆๆ นี่กูงอนเหรอเนี่ย ดัดจริตจริงกู)
เป้ทำหน้าจริงจังขึ้นมา “เดือนกว่าเนี่ย ปิงยังไม่มาเรียนเลย”
“อะไรนะ!”
“จริงๆ ไม่รู้ทำอะไรของมัน เรากับเพื่อนเคยไปหามันที่บ้าน ก็ไม่ยอมออกมาเจอ”
การสนทนาจบลง เป้ขับรถมาส่งผมที่บ้าน ผมหอมแก้มเป้ทีนึงเป็นการขอโทษที่ทำให้วันนี้หมดสนุกเพราะเรื่องของปิง เปิดประตูเข้าบ้านก็ตกใจ บนโต๊ะกินข้าวมีถุงขนมห่อใหญ่วางอยู่ ผมถือวิสาสะเดินไปเปิด ก็เจอแต่ของโปรด
“เจ๊ฟิว ของเจ้เหรอ”
ฟิวตะโกนออกมาจากห้องทำงาน “เปล่า ซื้อมาฝากหว่ะ กินเสร็จแล้วแช่ตู้เย็นด้วย”
“หัวกระแทกอะไรมาวะ อยู่ดีๆ ก็ทำตัวเป็นพี่สาวแสนดีซะงั้น”
“พูดมาก ไม่กินก็เอามา ยิ่งหิวๆ อยู่นะโว้ยยย”
“หิวแล้วทำไมไม่กินล่ะ เนี่ยเยอะแยะ”
“เออน่ะ ก็คนเขาตั้งใจซื้อมาให้ ถ้าชอบเดี๋ยววันหลังเอามาให้ใหม่”
“แท้งกิ้วเจ้” ผมหยิบบลูเบอร์รี่ชีสเค้กมาอันนึง แล้วก็ขึ้นห้อง
ขนมหมดไปครึ่งถาดแล้ว ผมนั่งแหมะอยู่บนเตียงแล้วก็คว้ากีต้าร์มาดีดเหมือนเดิม รูปภาพของผมกับปิงยังอัดแน่นเต็มผนังอยู่เหมือนเดิม เสื้อนักเรียนเปรอะหมึกที่ละเลงกันในวันจากเหย้าก็ยังมีความทรงจำเด่นชัด ความคิดของผมจมลงไปอยู่กับปิงอีกครั้ง
ผมสับสนว่าปิงเป็นอะไร หรือว่าผมนิสัยไม่ดี ผมตั้งหลักได้เพราะมีทั้งเพื่อนทั้งเป้... แต่ถึงปิงจะไม่มีผมมันก็น่าจะอยู่ได้.... หรือว่าจริงๆ แล้วมันจะอยู่ไม่ได้ เพื่อนคนนี้สำคัญกับมึงขนาดนั้นเชียวเหรอวะปิง กูรู้นะว่ากูเห็นแก่ตัวแต่กูทนอยู่ใกล้กับมึงด้วยความรู้สึกแบบนั้นไม่ไหว มันทรมานหว่ะปิง มึงเข็มแข็งขึ้นสักทีสิปิง อย่าให้กูต้องเป็นห่วงแบบนี้อีก
ค่ำคืนของกรุงเทพฯ ยังไร้ซึ่งดวงดาวเหมือนเคย ตอนนี้ทำอะไรอยู่วะปิง.. กูคิดถึงมึง