จานที่ 13 : แฮมเบิร์ก
คนบ้าที่ไหนเขาแสดงความหวงด้วยการบังคับให้ยอมกลับบ้านตอนห้าทุ่มแถมขู่ว่าจะกระเตงลูกมาตามที่ร้านเหล้า สาบานเถอะว่าพี่ยูอายุใกล้เลขสี่แล้ว โธ่ ทำตัวอย่างกับเด็กหวงของ แต่ไม่มีอะไรแย่กว่าผมที่นั่งกลั้นยิ้มมาเป็นชั่วโมงจนเพื่อนหาว่าประสาทแดกนี่ล่ะ เสียภาพพจน์เพลย์บอยหมด เฮ้อ
“เมื่อไหร่มึงจะเลิกทำหน้ากรุ้มกริ่มสักทีวะปัณณ์ เห็นแล้วขนลุก” ไอ้ป้อนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแสดงความรังเกียจก่อนที่มันจะเอื้อมมือมาผลักหัวกันจนเหล้าในแก้วที่ผมถืออยู่กระเฉาะเลอะกางเกง มึงวอนแดกตีนแล้วไหมล่ะ ตัวนี้ราคาเกือบหมื่นที่สำคัญอยู่ที่คนเปย์ให้ต่างหาก...
“เสือกอะไรกับหนังหน้ากูครับ แดกๆ ไป” ผมวางแก้วลงแล้วโบกมือปัดป่ายตรงหน้าเป็นเชิงไล่มันก่อนที่จะเอื้อมหยิบทิชชู่มาซับเหล้าออกจากกางเกงโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง ถือว่ามันคือเพื่อนที่โคตรประเสริฐ เรียนเก่ง หน้าตาพอไปวัดไปวา แต่ที่สำคัญเลยคือได้ผัวหล่อ... ส่วนไอ้ป้อนเป็นคนไร้เมียเพราะเพิ่งโดนทิ้ง แผลสดมากและนี่คือสาเหตุที่ทุกคนมานั่งกระดกแอลกอฮอล์อยู่ตรงนี้
“มีแฟนหรือยัง?” อยู่ๆ มันก็ถามขึ้นมาหลังจากนั่งเงียบไปชั่วอึดใจ ดูท่าทางจะลากผมกับไอ้จิงเข้าโหมดดราม่าแล้วสินะ เหนื่อยใจกับคำว่าอกหัก ไม่รู้จะปลอบมันยังไงดี
“ถามกู?” ผมชี้นิ้วเข้าหาตัวเองเพื่อยืนยัน ไอ้ป้อนพยักหน้าหงึกหงักอย่างแรงก่อนจะยกแก้วขึ้นกระดกรวดเดียวจนหมด ยิ่งดึกเหล้ายิ่งเข้ม โซดาที่สั่งมานั่นเทๆ ดื่มบ้างเหอะ เสียดายของ
“ก็มีมึงคนเดียวนั่นล่ะพ่อเพลย์บอย ไอ้จิงมันได้ผัวเป็นตัวเป็นตนแล้ว ถ้าแม่งท้องได้คงมีลูกตั้งทีมฟุตบอลไปแล้ว” ไอ้ป้อนบ่นยืดยาวก่อนยกนิ้วชี้หน้าคู่กรณีที่ตอนนี้ปัดป่ายมือไปในอากาศเพื่อปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่หลักฐานคือแก้มแดงๆ ของไอ้จิง ผมดีใจกับเพื่อนที่มีคนรักดีๆ ค่อยอยู่เคียงข้างถึงแม้ว่าพี่เขาจะขี้หึงไปหน่อยก็เถอะ เผลอๆ ตอนนี้อาจมานั่งเฝ้ามันตรงไหนสักแห่งของร้านก็ได้ หึหึ
“ไอ้เชี่ยป้อน มึงเมาแล้วปากหมา” ไอ้จิงถึงขนาดยืดตัวจากโต๊ะอีกฝั่งมาเพื่อผลักหัวไอ้ป้อนจนซบลงมาบนไหล่ของผมและไม่มีทีท่าว่าจะกลับไปนั่งตรงแบบเดิม เมาแล้วเรื้อนไม่มีใครเกิน สงสัยต้องขอพี่ยูให้ช่วยไปส่งมันที่บ้านแล้วล่ะ
“อย่าพูดมาก มีหน้าที่ชงเหล้าก็ชงไป กูจะคุยกับน้องปัณณ์สุดที่ร๊าก” น้ำเสียงของไอ้ป้อนมาถึงขั้นที่บรรลัยกู่ไม่กลับ ทั้งยานทั้งฟังไม่รู้เรื่อง สาวโต๊ะข้างๆ ที่ทำท่าจะเข้ามาขอเบอร์มันถึงกับชะงักกึก สงสัยไม่ชอบผู้ชายเมาแล้วพร่ำเพร้อซึ่งเพื่อนผมอาการหนักสุดๆ
“เรียกซะกูขนลุก” ผมเบ้ปากใส่ก่อนเหลือบตามองมนุษย์เพื่อนที่เริ่มใช้หัวถูไถกับไหล่ ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากปล่อยให้มันทำตามใจ ขออย่างเดียวอย่าอ้วกใส่ก็พอ
“อย่าเฉไฉฮะ บอกพี่ป้อนคนนี้มาเร็วๆ ว่ามึงมีเมียหรือยัง?” มันจิ้มนิ้วที่อกตัวเองก่อนจะเปลี่ยนมาจิ้มผมตรงตำแหน่งเดียวกัน เสียงอ้อแอ้ของคนเมาทำให้สาวโต๊ะข้างๆ หลุดหัวเราะออกมาพลางซุบซิบกันเบาๆ ถ้าให้เดาคงคิดว่าไอ้ป้อนหมดสภาพคนหล่อล่ะมั้ง
“ไม่มี” ผมตอบก่อนปัดมือเพื่อนทิ้งแล้วเอื้อมมือไปรับแก้วเหล้าจากไอ้จิง ขยันชงเหลือเกินพ่อคุณ มึงจะมอมพวกกูในขณะที่ตัวเองแดกแต่โค้กไม่ได้นะเว้ย กลัวผัวถึงขนาดไม่กล้าแตะแอลกอฮอล์ น่ารักจริงๆ
“อย่ามาตอแหล ไอ้ที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มนี่ไม่ใช่ว่าคิดถึงเขาหรอกเหรอ?” สาบานว่าไอ้ป้อนเมา ทำไมมันช่างสังเกตขนาดนั้นวะ แล้วมือที่ยกขึ้นหยิกแก้มกันจนเจ็บนี่คืออะไร คนอื่นเขานึกว่าเป็นคู่เกย์หมดแล้ว ส่วนไอ้จิงไม่ช่วยกันทำมาหากินเลยเพราะชงเหล้าเสร็จก็นั่งกดโทรศัพท์สบายใจเชียว
“ทำตัวแสนรู้” ผมใช้มือดันหัวไอ้ป้อนออกเพราะเริ่มรู้สึกปวดไหล่ อีกอย่างคือยังไม่อยากเป็นข่าวกับมันให้พี่ยูแหกอก รายนั้นเห็นทำตัวเงียบๆ แต่ความขี้หึงน่าจะไม่เป็นรองใครสังเกตได้จากการกำหนดเวลากลับบ้าน
“ด่ากูว่าหมาเลยยังดูจริงใจมากกว่า เอิ๊ก” หลับหูหลับตาด่ากันแถมยังเรอเอิ๊กใส่จนกลัวว่ามันจะอ้วกกลางร้าน ไอ้จิงถึงกับคว้าแก้วเหล้าหนีมือเพื่อนด้วยท่าทีหวาดกลัว แล้วมึงจะเทเพิ่มให้กูทำไม โอย สติครับคุณ!
“สัด หยุดแดกได้แล้ว เดี๋ยวอ้วก” ไอ้จิงตะโกนแข่งกับดนตรีจังหวะหนักๆ ที่กำลังเล่นเพลงไว้ใจของวงเคลียร์ ผมถึงกับสะดุดลมหายใจแล้วหันมองไอ้ป้อนโดยอัตโนมัติ มันจะทันฟังหรือเปล่า จะร้องไห้น้ำตาแตกไหม แต่พอเห็นสภาพโยกซ้ายทีขวาทีของเพื่อนก็รู้ว่าสติแตกนานแล้ว อาการคงไม่หนักไปกว่านี้แน่นอน
“นั่งเงียบๆ ไอ้จิง เดี๋ยวกูก็โทรเรียกให้ผัวมึงมารับซะหรอก” เสียงหัวเราะฮิฮิตบท้ายฟังดูโรคจิตยังไงชอบกล ไอ้คนพูดเอาหัวปักกับตักของผมก่อนจะเก็บแข้งขาขึ้นนอนยาวบนโซฟา ทำตัวอย่างกับแดกเหล้าอยู่ที่บ้านไม่อายคนบ้างหรือไง ทาวด้านไอ้จิงนี่ยกขวดอัดลมเตรียมปาแสดหน้าเพื่อนเรียบร้อยแล้ว โว้ว อารมณ์ร้อนจังวะ
“เออ ก็ดี กูจะได้กลับไปนอนให้พี่มันกก!” คำพูดคำจาไม่เหมาะกับแว่นสายตาที่มันกำลังใส่อยู่เลยว่ะ เดี๋ยวนี้ฮาร์ดคอร์แถมหน้าด้านขึ้นเยอะ เอะอะยอมรับ เอะอะอยากโดนกก นี่สินะข้อดีของคนมีแฟน หวานไม่แคร์สื่อ (ผมกำลังหลงประเด็นอะไรอยู่หรือเปล่า แต่ช่างมันเถอะ รู้สึกมึนๆ เหมือนจะเหมาตามไอ้ป้อนไปอีกคนแล้ว)
“แรด!” ไอ้ป้อนผงกหัวขึ้นด่าทั้งที่ตายังปิดสนิททั้งสองข้าง ผมที่เป็นหมอนชั่วคราวก็ทำได้แค่ใช้ข้อนิ้วเคาะหน้าผากมัน หมั่นไส้ปากหมาๆ ที่ชอบหาเรื่องเพื่อนเวลาเมา พอสร่างก็เสือกความจำเสื่อมอีก ไม่รู้เหรอว่าเป็นแบบนี้โคตรวอนโดนตีนเลย
“หยุดหาเรื่องคนอื่นสักทีเหอะไอ้ขี้เมา” ผมเคาะข้อนิ้วลงไปหลายๆ ครั้งจนไอ้ป้อนส่งเสียงจิ๊ะจ๊ะก่อนคว้าหมับเข้าที่ข้อมือ ดวงตาคมปรือขึ้นจ้องเขม็งที่ปลายคาง ถ้ามันลำบากในการมองหน้าขนาดนั้นก็หลับเถอะ กูขอร้อง สภาพทุเรศมากจริงๆ
“มึงตอบคำถามกูมาสิ” แหนะ ข้อต่อรองอะไรของมึงอีก ปัญหาเยอะ คู่กรณีเยอะจริงๆ
“คำถามไหน?”
“ทั้งหมด” เมาแล้วยังจะจำได้อีกเหรอว่าถามอะไรผมไปบ้าง เชื่อมึงเลยจริงๆ ป้อน
“กูลืมไปแล้ว” ผมตอบปัดก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบแก้วตรงหน้าแต่กลับโดนรั้งไว้ด้วยเสียงก่นด่า
“ปัณณ์ มึงมันเลว!” ไอ้ป้อนกระเด้งตัวลุกขึ้นแล้วยกนิ้วชี้ขึ้นฟ้า ผมตกใจที่โดนด่าแต่ก็หลุดขำก๊ากที่เพื่อนเมาเละถึงขนาดนี้ กูไม่บินขึ้นไปอยู่เหนือหัวมึงหรอก ไม่ใช่ซุปเปอร์แมนนะเว้ย
“อ้าว ด่ากูทำไมเนี่ย?”
“ที่ไม่ยอมบอกเพราะหนีกูไปมีผัวใช่ไหม?!” เดี๋ยว ผัวบ้าบออะไร คนหันมามองทั้งร้านแล้วไอ้เพื่อนเชี่ย! ที่หนักสุดคือไอ้จิงพ่นน้ำอัดลมจนกระเด็นใส่หน้าเลย แม่ง สกปรก
“ห๊ะ มะ มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ย?” ปากถามไอ้ป้อนแต่มือควานหากระดาษทิชชู่เอามาเช็ดหน้าโดยมีไอ้จิงช่วยอีกแรง นี่ถ้าพี่เขานั่งเฝ้ามันอยู่จริงๆ เชื่อว่าอีกไม่นานได้มีดราม่ารักสามเส้าเกิดขึ้นแน่ คือกูไม่ได้อยากแย่งเมียใครแต่เขามาเอง ไม่ได้ขอร้องเลย เชื่อสิ!
“อย่าคิดว่ากูไม่เห็นนะ... อึก มีผู้ชายหล่อๆ มาส่งมึงนี่” โอย มึงอย่าเพิ่งอ้วก เอามือปิดปากไว้ถูกแล้ว แต่ผมเนี่ยสิจะทำตามมันเพื่ออะไร ตกใจที่เพื่อนเห็นพี่ยูปะวะ... ต้องใช่แน่ๆ โอย ฉิบหาย
“แล้วไงวะ กูอาจจะเป็นผัวเขาก็ได้ปะ?” ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธเรื่องของเขาแต่เฉไฉเปลี่ยนประเด็นมากกว่า ใครผัวใครเมียไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ ยังไม่ได้คบกัน คนเมาเหมือนจะเริ่มคล้อยตามเพราะมันเอาแต่พยักหน้าก่อนเข้ามาซบไหล่กันอีกครั้ง ท่าทางเหมือนลูกหมาเหงานั้นทำให้อดยกมือขึ้นลูบหัวไม่ได้ ไอ้ป้อนคงเจ็บหนักกว่าที่เห็นภายนอก แฟนนอกใจเป็นอะไรที่แย่สุดๆ ยิ่งกว่าหมดรักกันอีก
“นั่นสิน้า เอิ๊ก แล้วกูควรสนใจผู้ชายแบบพวกมึงด้วยปะ?” มันยิ้มเผล่แล้วผงกหัวมองหน้าผมสลับกับไอ้จิง ถ้าดูเผินๆ คงคิดว่าไอ้ป้อนปกติดี พูดเล่นได้ หากลองสังเกตแววตาสักหน่อยจะรู้ว่าในนั้นสะท้อนความเจ็บปวดไม่มีที่สิ้นสุด
“ใจเย็นๆ ไอ้ป้อน มึงอกหักจนเพี้ยนหรือไง?” ไอ้จิงพูดทีเล่นทีจริงไม่ได้ตั้งใจตอกย้ำแต่อีกฝ่ายกลับชะงักนิ่ง น้ำตาเริ่มก่อตัวก่อนจะไหลลงตามแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเห็นสภาพแบบนั้นเลยรีบคว้ากระดาษทิชชู่มาซับหน้าให้เพราะไม่อยากให้มันดูโสโครกไปมากกว่านี้
“กู... ฮึก” โอเค ในที่สุดไอ้ป้อนก็ยอมร้องไห้สักทีเพราะตั้งแต่โดนบอกเลิกเมื่อวานมันยังอดทนอดกลั้นทำตัวร่าเริงมาตลอด ได้ระบายออกมาอะไรๆ คงดีกว่านี้
“ฉิบหาย กูพูดอะไรผิดเนี่ยปัณณ์?” ไอ้จิงร้องเสียงหลงก่อนจะหันมามองกันด้วยดวงตาเป็นกังวล มือเรียวเอื้อมมาแตะแขนไอ้ป้อนเบาๆ เหมือนกำลังปลอบในขณะที่คนเมาโถมตัวเข้ากอดผมแบบเต็มรัก
“มึงไปจี้จุดมันน่ะสิ” ผมคลี่ยิ้มบางส่งให้ไอ้จิง ยกมือขึ้นลูบหัวไอ้ป้อนช้าๆ เพื่อให้มันรู้สึกอุ่นใจและร้องไห้ระบายความอัดอั้นไปเรื่อยๆ สงสารแต่ก็พูดอะไรไม่ได้กลัวว่าจะทำร้ายเพื่อนมากกว่าเดิม
“กูหนีกลับบ้านได้ปะ? ปลอบไม่เป็น” ไอ้นี่... เอะอะก็จะกลับบ้านอย่างเดียว พี่เขาลีลาเด็ดนักหรือไง
“หยุดเลย ทำมันร้องก็ต้องรับผิดชอบ ไม่ใช่ว่าหนีไปนอนให้ผัวกก” ผมตั้งใจแซวส่วนไอ้เรื่องดุน่ะแค่แกล้งเฉยๆ อยากรู้ว่ามันจะปลอบเพื่อนยังไงหรือปล่อยให้ร้องจนหลับ
“มึงอย่าแซว กูพูดเล่นเว้ย” ครับเพื่อน ตกลงว่าจะไม่ปลอบไอ้ป้อนสินะ ที่ผมนึกอยากแซวเพราะมีจังหวะหนึ่งที่ผมหันหาพนักงานเสิร์ฟเพื่อต้องการขอทิชชู่เพิ่มแต่ดันเห็นหน้าคล้ายๆ แฟนไอ้จิงนั่งอยู่โต๊ะถัดออกไปประมาณสิบก้าว ตกลงพี่เขามานั่งเฝ้ามันจริงดิ ตอนแรกก็แค่พูดเล่น... ส่วนพี่ยูคงงุ้งงิ้งอยู่กับลูกชายมั้งตอนนี้
“หึหึ เหรอครับคุณจิง ~ ไอ้ที่นั่งตาขวางอยู่ตรงโน้นน่ะ ผัวมึงไม่ใช่หรือไง?” ผมพยักพเยิดหน้าไปทางเป้าหมาย พี่เขาเหมือนจะรู้ตัวเลยหันหน้าไปทางอื่นพลางดึงหมวกแก็ปลงปิดครึ่งหน้า แต่เชื่อสิว่าคนที่นอนด้วยกันอยู่ด้วยกันทุกวันต้องจำได้ ยืนยันได้จาตาโตๆ จนแทบเท่าไข่ห่านของไอ้จิง
“ฉิบหาย พี่มันมาตั้งแต่เมื่อไหร่วะ?” มันหันมาป้องปากกระซิบถามผมในขณะที่พี่เขามองตรงมาทางนี้พอดี ดูสายตานั่นสิ แทบจะเดินมากระชากคอเสื้ออยู่แล้ว โอย อยากตะโกนบอกเหลือเกินว่าปัณไม่เคยพิศวาสไอ้จิงเลย แค่เห็นก็รู้สึกคันไปทั้งตัวแล้วครับ
“มึงนัดพี่เขากี่โมงล่ะ?” ดันหัวไอ้จิงออกไปไกลๆ แล้วขยับเบียดคนเมาเพื่อให้พี่เขารู้ว่าผมไม่ได้เป็นชู้กับเมียเขา ถ้าไม่กลัวว่าเพื่อนจะโดนลงโทษจนลุกไม่ขึ้นคงแกล้งไปแล้ว แหย่พวกขี้หึงสนุกดี
“สี่ทุ่มครึ่ง” ไอ้จิงตอบเสียงอ้อมแอ้มก่อนยกแก้วเหล้าของไอ้ป้อนขึ้นจิบอย่างลืมตัว ผมกำลังจะเอ่ยห้ามแต่ไม่ทันเพราะมันพ่นน้ำออกมาจากปาก โอ้โห กรรมเวรอะไรของกูที่ต้องมาเจอแบบนี้เนี่ย เลอะเทอะฉิบหาย
ไอ้ป้อนส่งเสียงอ้อแอ้พึมพำไม่เป็นภาษาอยู่ข้างๆ มือไม้สอดเข้ามารวบเอวผมกอดไว้แน่น ไม่สนใจว่าตัวเองจะได้รับน้ำมนต์จากปากเพื่อนไปเท่าไหร่ ไอ้จิงก้มหัวขอโทษหลายครั้งพร้อมส่งผ้าเช็ดหน้าในกระเป๋าเสื้อมาให้แต่พอเห็นลายบนนั้นก็แทบกลั้นขำไม่อยู่ ใครจะไปกล้าใช้ครับ รูปพี่เขาเต็มผืนเลย แม่ง...
“หนักกว่ากูอีก” ผมเอ่ยแซวมันเรื่องเวลาแล้วผลักผ้ากลับไปให้ ไอ้จิงขมวดคิ้วคล้ายกับงงแต่พอก้มมองของในมือก็พยักหน้าเข้าใจ ไอ้ท่าทางแบบนี่คงไม่ได้เตรียมของเองแน่ๆ พี่เขาจะดูแลเอาใจใส่มันมากไปแล้ว น่าอิจฉาชะมัด
“โดนจำกัดเวลาเหมือนกันเหรอ?” ไอ้จิงไม่ได้โกรธที่ถูกแซวแต่มันดันมองผมด้วยดวงตาเป็นประกายก่อนขยับตัวเข้ามาใกล้จนต้องร้องห้าม ดีหน่อยที่เข้าใจง่าย ถ้าไม่อย่างนั้นกูคงโดนต่อยแน่นอน ก็พี่เขาทำท่าจะพุ่งเข้ามาหาแล้ว
“เออ แต่ห้าทุ่ม”
“เขาหวงเราท่องไว้ แล้วจะมีความสุขกับการโดนจำกัดเวลาเที่ยว” มันคลี่ยิ้มกว้างพร้อมยักคิ้วกวนๆ ส่งมาให้ ส่วนผมพยักหน้ารับคำเพราะเห็นด้วย ถ้าเขาไม่รักไม่หวงจะออกคำสั่งให้เปลืองน้ำลายทำไมจริงไหมล่ะ พอคิดได้แบบนี้ก็อยากกลับบ้านเร็วๆ แล้วสิ ขอเลียนแบบไอ้จริงว่ากลับไปนอนให้พี่ยูกกได้ไหม ก็รายนั้นชอบแอบเข้ามากอดกลางดึก อย่าคิดว่าไม่รู้นะ สงสัยติดใจกลิ่นน้ำหอมพีชแน่ๆ หึ
“เออ ก็ไม่ได้แย่หรอกน่า”
“คนนี้จริงจังใช่ไหมปัณณ์?” ไอ้จิงมองสบตาผม ใบหน้าเคร่งขรึมจนดูตลกแต่ก็เข้าใจความคิดมันว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาปัณณ์ไม่เคยยอมให้ใครมาบงการชีวิตได้ขนาดนี้ แล้วไอ้ที่คุมเวลากลับบ้านน่ะอย่าหวังว่าจะทำได้ ถ้าคนนั้นไม่พิเศษจริงๆ
“อืม ก็รอมานานแล้ว” ผมพยักหน้าก่อนตอบคำถามมันให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ถ้าไม่จริงจังกับพี่ยูคงแย่แล้ว แอบรักเขามาเป็นสิบๆ ปี จะสมหวังอยู่รอมร่อไม่ยอมเปลี่ยนใจหรอก
“ขอให้มีความสุขกับเขามากๆ นะเว้ย” ฟังแล้วนึกว่าอวยพรงานแต่ง...
“เออ มึงก็ด้วยไอ้จิง” ผมจะทำอะไรได้นอกจากเอื้อมมือไปตบบ่าเพื่อนแล้วอวยพรกลับไป อยากให้ทุกคนมีความสุขกับความรักแม้กระทั่งตัวไอ้ทอยเอง หวังว่าเอย์จิจะทำสำเร็จนะ
ไอ้ป้อนที่เงียบไปนานขยับตัวยุกยิก มันผลักออกไปก่อนจะส่งเสียงง้องแง้งไม่เป็นภาษาเพื่อเรียกร้องความสนใจและมันก็สำเร็จเพราะผมกับไอ้จิงยอมหันไปดูสภาพคนเมาอย่างหมา ตอนแรกที่เจอหน้ากันอย่างกับหลุดออกมาจากนิตยสารตอนนี้เหมือนหลุดออกมาจากศรีธัญญามากกว่า หัวยุ่งเหยิงโคตรๆ
“พวกมึงมันเลว ปล่อยให้กูร้องไห้แล้วนั่งคุยกันกระหนุงกระหนิงสองคนเนี่ยนะ ฮือ งอนแล้ว!” ทรงตัวนั่งหลังตรงได้ก็เอ่ยปากด่ากัน พอจบก็ทำท่ากอดอกเชิดหน้าบึนปากขึ้นจนแทบติดจมูก ผมพยายามทั้งกัดฟันเม้มปากเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะแต่สุดท้ายก็ทนไม่ไหวเมื่อเจอคำพูดของไอ้จิง
“น่ารำคาญ!” จบเสียงอีกคนก็มีเสียงร้องโหยหวนของอีกคนดังตามมาไม่ขาดสาย ทั้งอายทั้งเขินจนต้องลากมันออกจากร้านเหล้าแล้วให้ไอ้จิงจัดการค่าเสียหาย ขืนอยู่ตรงนั้นนานกว่านี้เดาไม่ออกเลยว่าขวดแก้วจะลอยมากระทบหัวเมื่อไหร่ เฮ้อ
รอไม่นานพี่ยูก็ขับรถเข้าเทียบหน้าร้าน ผมสอดตัวนั่งประจำที่แล้วคลี่ยิ้มมึนๆ ให้ ก่อนหน้านี้แบกไอ้ป้อนไปส่งให้พี่ปีซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานพ่วงด้วยตำแหน่งรูมเมท เขาอาสามารับถึงที่ ถ้ามองไม่ผิดคนนี้คงดามใจมันได้แน่นอนถ้ายอมเปลี่ยนรสนิยมมาชอบผู้ชายน่ะนะ
“ดื่มไปเยอะหรือเปล่า?” พี่ยูถามขึ้นในระหว่างที่เขาเลี้ยวออกจากร้านเหล้า ผมซึ่งกำลังมองวิวข้างทางเพลินๆ ได้แต่ส่ายหัวดิก จะเอาเวลาที่ไหนจับแก้วล่ะ ต้องดูแลคนเมาอย่างไอ้ป้อนเกือบตลอดเวลา เพิ่งมารู้เดี๋ยวนี้เองว่าทำไมไอ้จิงถึงเลือกนั่งซะไกล แม่ง แผนสูง
“พอจะยกแก้วไอ้ป้อนก็ถามนั่นถามนี่ขัดจังหวะตลอด ผมเสียดายเงินมากอะ ดื่มไปแค่สามแก้วเองมั้ง” ผมบ่นไม่จริงจังนัก ถือซะว่าได้เจอเพื่อนเก่าไปนั่งเป็นที่ระบายให้มัน อัพเดตชีวิตของแต่ละคน
“คราวหน้าพี่จะพาไปเอง เดี๋ยวเลี้ยง”
“เลี้ยงเหล้าผมอะนะ? ปกติไม่ชอบให้ดื่มนี่” ผมหรี่ตามองคนข้างๆ ด้วยความสงสัย ปกติพี่ยูไม่ค่อยชอบให้ดื่มแอลกอฮอล์เพราะมันไม่ดีต่อสุขภาพ ส่วนบุหรี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ห้ามสูบเด็ดขาด แล้วอยู่ๆ จะเลี้ยงเหล้าคืออะไร มีแผนใช่ไหม
“ถ้าปัณณ์ต้องการพี่ก็ไม่ขัดครับ” พี่ยูยิ้มกริ่มจนผมรู้สึกใจคอไม่ดี
“เอาใจจังเลยเนอะ” แกล้งแซวเขาไปทั้งที่ตัวเองแทบนั่งไม่ติดเบาะเพราะพี่ยูแอบเคลื่อนมือมาจับต้นขาตรงรอยขาดของกางเกงแบบพอดิบพอดี ทำไมเดี๋ยวนี้ชอบหลอกแต๊ะอั๋งกันอยู่เรื่อยเลย
“ก็อยากได้ใจปัณณ์นี่ครับ” คำตอบของเขาทำให้ผมชะงักมือที่กำลังจะหยิกแขนอีกคนทันที ใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ อย่างควบคุมไม่ได้ ยิ่งพอพี่ยูออกแรงบีบต้นขาตัวก็ยิ่งเกร็ง อยากทำตัวเป็นคนบ้าไม่รับรู้ โอย เขินเว้ย พูดมาได้ไม่อายปาก ไหนว่าจีบไม่เป็นไง!
“ไม่ใช่ว่าอยากมอมเหล้าผมเหรอ?” แต่คนอย่างปัณณ์ไม่ยอมแพ้เพราะถามสวนกลับด้วยประโยครู้ทัน ดีหน่อยที่พี่ยูใช้สมาธิขับรถเลยไม่ทันสังเกตว่าผมแทบซุกหน้าเข้ากับคอนโซลรถอยู่แล้ว ไอ้อาการเขินตัวจะแตกเพิ่งเข่าใจวันนี้นี่เอง
“อันนั้นก็คือผลพลอยได้ไม่ใช่เหรอ?” ตอบได้หน้าด้านมากแต่ผมดันใจเต้นแรงแทนที่จะโกรธ สมองพาลคิดไปไกลว่าหลังจากเมาแล้วเราทำอะไรกันต่อ...
“จะค้ากำไรเกินควรแล้วนะครับพี่ยู” เสียงอ่อยได้อีก น่าหงุดหงิดที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เลย พออยู่กับเขาทีไรความเข้มแข็งดูเจนโลกก็เหลือแค่เด็กตัวเล็กๆ ที่อยากให้ผู้ใหญ่เอ็นดู แบบนี้เขาเรียกแพ้ทางหรือเปล่า
“ไม่เถียงสักคำเลยครับ” เขายอมรับง่ายๆ ด้วยเสียงกลั้วหัวเราะก่อนจะผละมือออกไปจากขาทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนผมได้แต่สูดหายใจแรงๆ สงบอารมณ์ให้เป็นปกติซบหน้าลงกับคอนโซลเพื่อปิดบังอาการเขินอายของตัวเองจากดวงตาคม
ระหว่างทางที่เราต่างคนต่างจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยมีเสียงเพลงจากคลื่นวิทยุยามดึกเปิดคลอ ผมแอบเหลือบมองพี่ยูเป็นระยะ มีหลายครั้งที่แอบกังวลว่าสิ่งที่เขาพยายามทำอยู่ทุกวันนี้จะเป็นเพียงแค่ความอยากรู้อยากลองหรือเปล่า ถ้าสุดท้ายแล้วมันไม่ใช่อย่างที่คิดแล้วปัณณ์ต้องทำยังไงกับความรู้สึกที่เพิ่มพูนขึ้น รักใครว่ามีแต่สุขเพราะมันมาคู่กับความทุกข์เสมอ
“ปัณณ์ครับ” อยู่ๆ เสียงทุ้มก็ดึงผมกลับมาสู่โลกปัจจุบันกลางสี่แยกไฟแดง พี่ยูขยับเข้ามาใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน กลิ่นมิ้นท์จางๆ คงมาจากลูกอมที่เขากินอยู่
“ครับ?” ผมค่อยๆ เบนตัวไปทางซ้ายเพื่อเพิ่มระยะห่างให้กับตัวเอง ตอนนี้หัวใจเต้นแรงจนน่าเป็นห่วง ถ้าพี่ยูคิดจะทำอะไรเกินเลยคงหนีไม่พ้นแน่นอน
“ตอนนี้รู้สึกยังไงกับพี่?” สีหน้าของเขาเครียดขึงดูจริงจังจนผมประหม่า คำตอบสำหรับเรื่องนี้มันก็มีอยู่แล้วแต่ขอให้ถึงเวลาที่เหมาะสมก่อน
“อยากได้คำตอบแบบไหนครับ?” ผมถามลองเชิงเผื่อว่าพี่ยูจะแค่หยอกกันเล่น แต่พอเห็นแววตาสั่นไหวของเขานั้นก็เข้าใจได้ทันที่ว่าจริงจัง ทำยังไงดี ควรบอกไปตรงๆ ไหมว่าแอบรักมานานแค่ไหน
“เอาความจริง” เขาย้ำอีกครั้งก่อนจะผละออกไปเมื่อสัญญาณไฟจารจรเปลี่ยนสี ผมทำได้แค่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ คิดทบทวนทุกสิ่งว่าถึงเวลาขยับความสัมพันธ์ของเราแล้วหรือยังเพราะค่อนข้างกังวลในความรู้สึกของพี่ยูที่บอกว่าชอบ เข้ามาจีบ และทำท่าจริงจัง
“ผม...”
Rrrrr
ยังไม่ทันได้ตอบอะไรเสียงริงโทนที่จำได้ว่าเป็นของพี่ยูก็ดังขัดจังหวะ ผมถอนลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก เอาเป็นว่าขอเก็บความในใจต่ออีกหน่อยเพื่อรอดูท่าทีของเขา บางคนบอกว่ารักไม่ต้องการเวลา แต่สำหรับคนที่ใช้เวลารักมานานหลายปีมันสำคัญจริงๆ
“จิ๊ รับโทรศัพท์ให้พี่หน่อยสิครับ” พี่ยูส่งเสียงไม่พอใจแต่ก็ยอมปล่อยวางเรื่องของเราก่อนพยักพเยิดหน้าไปทางโทรศัพท์ที่ตั้งอยู่ใกล้กระปุกเกียร์ ผมเลิกคิ้วมองด้วยความไม่เข้าใจ เอาความเป็นส่วนตัวใส่ในมือคนอื่นจะดีเหรอ
“หือ จะดีเหรอครับ? คุณป้าโทรมานะ” ผมยอมรับว่าเป็นคนอยากรู้อยากเห็นเรื่องของพี่ยูเลยเผลอมองหน้าจอสี่เหลี่ยมที่โชว์รายชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่นนั่น
“ดีสิครับ พี่ขับรถอยู่รับสายไม่สะดวก” เขายืนยันเสียงหนักแน่นทำให้ผมที่ลังเลต้องพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้ แค่คุยโทรศัพท์กับคุณป้าแทนคงไม่เป็นอะไรหรอกเนอะ
“สวัสดีครับคุณป้า” ผมกดรับสายแล้วกรอกเสียงลงไป ทางคุณป้าดูจะตกใจเล็กน้อยเพราะหายเงียบไปชั่วอึดใจ คงคิดอยู่ล่ะมั้งว่าเป็นใคร ดึกดื่นป่านนี้พี่ยูคงไม่หนีเที่ยวที่อื่นหรอก ลูกรออยู่ที่บ้านทั้งคน
‘ปัณณ์เหรอจ๊ะ?’
“ครับ พี่ยูกำลังขับรถ” ผมเอ่ยบอกสาเหตุที่ต้องถือวิสาสะรับสายแทนซึ่งปลายสายก็หัวเราะตอบกลับมาเบาๆ คงไม่ซีเรียสเรื่องนี้
‘งั้นป้าคุยกับปัณณ์ก็ได้ค่ะ’
“ครับ”
‘คือป้าจะชวนพวกหนูๆ ไปอัมพวากันอาทิตย์หน้า มียูกิ เอย์จิ ริว แล้วก็ปัณณ์ด้วยค่ะ’ เสียงหวานๆ นุ่มๆ ของคุณป้าช่างเหมาะแก่การโน้มน้าวให้เราคล้อยตามแบบไม่มีเงื่อนไข แต่ผมกลับรู้สึกแปลกกับสรรพนามที่เธอใช่เรียกพวกเรา มันดูน่ารักน่าเอ็นดูเกินไปหรือเปล่า ถ้าใช้กับริวคนเดียวคงไม่เป็นไรหรอก
แต่เดี๋ยวก่อน... ทำไมอยู่ๆ ก็มีชื่อผมรวมอยู่ในทริปนี้ด้วยล่ะ ก็เกริ่นมาเหมือนจะไปเที่ยวเป็นครอบครัวไม่ใช่เหรอ
“เอ่อ ผมด้วยเหรอ?” ผมถามย้ำก่อนจะใช้มือข้างที่ว่างชี้เข้าหาตัวเองอย่างเคยชิน ทางด้านพี่ยูคงอยากรู้เรื่องที่เราคุยกันเลยหันมาเลิกคิ้วใส่ จ้างให้ก็ไม่บอกหรอก ยังมึนๆ งงๆ อยู่เลย
‘ใช่แล้ว ก็ปัณณ์เป็นคนในครอบครัวนี่คะ’ คำตอบของคุณป้าทำให้หัวใจของผมกระตุก ความรู้สึกอุ่นวาบที่เกิดขึ้นข้างในมันช่างรู้สึกดีเหลือเกิน จากที่เคยคิดว่าเหลือเพียงตัวคนเดียวในโลก ตอนนี้มีบุคคลให้พึ่งพิงจิตใจเพิ่มแล้ว รักครอบครัวนี้จัง
“อ่า... ครับ” ผมไม่รู้จะพูดอะไรเพราะรู้สึกตื้นตันจนน้ำตาคลอเบ้ามองเห็นไฟข้างทางกลายเป็นแฉกๆ ไปหมด บ้าจริง พี่ยูหันมาตอนนี้ทำไมเล่า หลบแทบไม่ทันแหนะ
‘เอาเป็นว่าป้าบังคับพวกหนูเลยแล้วกัน อาทิตย์หน้าเจอกันที่บ้านใหญ่นะคะ’
“ดะ เดี๋ยวสิครับคุณป้า” ผมได้แต่อ้าปากพะงาบๆ เมื่อสัญญาณตัดไปแล้ว ตกลงว่าเธอแค่โทรมาบอกให้เตรียมตัวไปเที่ยวใช่ไหม ไม่ได้เอ่ยปากชวนอย่างที่เข้าใจ โธ่... คนบ้านนี้ความคิดซับซ้อนจริงๆ ตามไม่ทัน
“มีอะไรเหรอ?” พี่ยูถามขึ้นทันทีที่ผมวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม เขาหยุดเคาะนิ้วตามจังหวะเพลงหรือทำแม้กระทั่งชะลอความเร็วของรถลงเพื่อรอฟังคำตอบ เขาไม่คิดว่าปัณณ์จะประหม่าบ้างหรือไงวะ
“คุณป้ามัดมือชกพาพวกเราไปอัมพวา” จะบอกว่าชวนคงไม่ได้ใช่ไหมล่ะ
“อ๋อ อาทิตย์หน้าใช่ไหม?” พี่ยูร้องถามเสียงใสก่อนจะเริ่มเคาะนิ้วลงบนพวงมาลัยเหมือนเดิม ดูท่าทางอารมณ์ดีกว่าเก่าเป็นสิบเท่า คำตอบของคำถามที่ค้างไว้คงไม่ต้องการแล้ว แต่แทนที่เขาจะแปลกใจกลับเป็นผมต้องขมวดคิ้ว รู้ล่วงหน้าเหรอหรือยังไง
“ทำไมพี่ยูรู้เรื่องแล้วล่ะ?” ก็คุณป้าเพิ่งโทรมาชวนหรือเปล่าวะ
“จริงๆ โอกาซังเขาจะโทรมาบังคับปัณณ์นั่นล่ะ กลัวจะโดนปฏิเสธไง” พี่ยูบอกเสียงอ่อยเหมือนถูกจับได้ว่าทำความผิดบวกกับรอยยิ้มแหยๆ ทำให้ผมรู้ทันทีว่าครอบครัวเขาวางแผนนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว ถึงเจ้าตัวไม่ขับรถก็คงส่งโทรศัพท์ให้รับแทนอยู่ดี ร้ายนัก ทั้งแม่ น้องชาย และพี่ชายเลย ส่วนคุณลุงละไว้ในฐานที่เข้าใจเพราะวันๆ ทำแต่งานอย่างเดียว ระดับผู้บริหารก็งี้ล่ะ
“โธ่ แบบนั้นไม่ต้องโทรมาก็ได้ครับ” ผมร้องเสียงอ่อยแต่ก็อดคลี่ยิ้มไม่ได้ที่ทุกคนให้ความสำคัญกับตัวเองมากขนาดนี้ ถ้าเจอหน้าคุณป้าจะกอดให้แน่นจนพี่ยูอิจฉาเลยคอยดู แต่เอย์จิคงไม่สนใจเรื่องแบบนี้ เพราะเขาโฟกัสไอ้ทอยมากกว่า ล่าสุดก็โทรมาปรึกษาว่ารายนั้นชอบกินอะไร มีวิธีเช็คตารางบินหรือเปล่า จริงจังยิ่งกว่าตอบสอบเข้าเรียนป.โทอีกมั้ง
“ไปเดทด้วยกันเนอะ” หน้าระรื่นแถมส่งยิ้มทำลายล้างมาให้กันอีก มันใช่เวลาที่จะหยอดให้ผมใจเต้นแรงหรือไง นี่อ่อนยิ่งกว่าขี้ผึ้งรนไฟแล้ว อีกนิดเดียวเท่านั้น ถ้าขาดสติมีปากแตกแน่นอน... อยากพุ่งเข้าไปจูบให้รู้แล้วรู้รอด คนบ้าอะไรชวนเดทได้แบบไม่ทันตั้งตัวเลย!
“อะไรครับ ไปเที่ยวกันยกบ้านจะเรียกว่าเดทได้ยังไง?” ผมไม่ยอมเขินอายเป็นเด็กสาวเพิ่งมีความรักครั้งแรงหรอก ช่วงเวลาไฟมืดๆ ที่มองไม่เห็นสีแก้มแบบนี้ต้องไฟท์ให้ถึงที่สุด
“โอกาซังรับปากว่าจะช่วยดูริวให้ ส่วนเราสองคนก็เดทกันไงครับ” ยัง ยังไม่รู้ตัวอีกว่าคำพูดของตัวเองมันน่าตีขนาดไหน ไปเที่ยวกับครอบครัวจะมีเวลาส่วนตัวได้ยังไง เพ้อเจ้อขั้นสุดแล้ว
“หมายความว่ายังไงเนี่ย ผมไม่เข้าใจ”
“เขารู้เรื่องที่พี่จีบปัณณ์แล้ว” เดี๋ยวสิ พี่ยูพูดเรื่องอะไรวะ สมองผมตื้อไปชั่วขณะ ลมหายใจติดขัดจนน่ารำคาญ คือ... ที่บ้านรู้แล้วว่าเรากำลังคุยกันในเชิงชู้สาวอะนะ ผู้ชายกับผู้ชายทั้งคู่ เฮ้ย ไม่ใช่ว่าคุณป้าจะพาผมไปฆ่าโยนทิ้งทะเลใช่ไหม โอย เครียดๆๆ
ต่อหน้า 3 น้า