ตอนที่ 27 ร่างสูงเล่นเอ่ยขอแบบหน้าด้านๆ พร้อมกับส่งสายตาที่แลดูติดจะออดอ้อนมาให้ด้วย ผมนอนใจเต้นตึกตักรัวๆ แทนที่จะหยิบยื่นลิ้นออกไปให้ตามที่ขอ ผมกลับขบกัดริมฝีปากตัวเองไว้แน่น
ไม่ใช่เพราะหวง แต่เพราะตื่นเต้นและรู้สึกหัวใจพองโตต่างหาก
“วิป” เรียกอีกครั้งเพื่อกระตุ้น
ผมรวบรวมสติสตางค์กลับมาแล้วหลับตาปี๋อ้าปากยื่นลิ้นออกมาตามที่อีกฝ่ายขอ ร่างสูงยิ้มรับนิดๆ แล้วโน้มใบหน้าลงมา อ้าปากเม้มปลายลิ้นของผมเบาๆ เล่นเอาขนลุกซู่ไปทั่วร่าง ร่างหนาค่อยๆ แทะเล็มไปทีละนิดอย่างไม่รีบร้อน อารมณ์ประมาณว่าขนมหวานตรงหน้านี้ยังไงก็ได้กินจนอิ่มแน่ๆ
โอ๊ย กูคิดอะไรอยู่!
ผมรู้สึกมือไม้ตัวเองเกะกะไปหมด ไม่รู้จะวางไว้ตรงไหนดี พี่กันคนดีของผมเลยช่วยหาที่วางให้ โดยการรั้งแขนผมทั้งสองข้างให้ยกขึ้นกอดรอบลำคอแกร่ง ส่วนตนเองนั้นก็มัวเมากับริมฝีปากผมไม่เลิก
ล่องลอย~ ล่องลอยสุดๆ แล้วในตอนนี้ มันนุ่มนวลชวนให้เคลิบเคลิ้มแล้วค่อยเพิ่มความหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ผมเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ปลายลิ้น
รุนแรงไปนะหื้อออ~
“อะ…อื้ม~” เสียงร้องครางหลุดออกมาเบาๆ ไอ้กันดูชอบใจไม่น้อย ยิ่งบดเบียดเข้ามาแนบแน่น มือไม้เริ่มอยู่ไม่สุข เลื่อนลงไปลูบแขนผมเบาๆ ปลายนิ้วเกลี่ยหยอกล้อกับผิว
ผมนอนละทวยใต้ร่าง ใจก็เต้นรัวๆ เลย ในหัวกำลังคิดภาพต่อจากนี้อยู่ บนเตียง จูบกัน มีลูบแล้วด้วย ต่อไปจะเป็นอะไรวะ เฮ้ยตื่นเต้น!
ร่างหนาเมื่อจูบจนพอใจแล้วก็ผละออกไปเล็กน้อย จ้องตาผมด้วยสายตาที่ร้อนแรงและดึดดูด เล่นเอาในใจผมแวบนึงอยากจะดึงพี่แกมาจูบอีกรอบ ยิ้มให้นิดๆ แล้วจูบปลายจมูกผมไปก่อนจะย้ายลงไปนอนข้างๆ
อ้าว
“ไม่ทำต่อเหรอวะ” ผมยันศอกหันไปถาม หน้าตาดูข้องใจมาก พากูเคลิ้มแล้วก็ทำกันอย่างนี้เหรอ
“อยากให้ทำเหรอ” ไอ้นี่ก็กวนตีนกลับมา สายตาโคตรจะล้อเลียน ผมเชิดหน้าแล้วสะบัดหน้าหนีแม่งซะเลย โด่ว~ ไม่ได้อยากให้ทำสักหน่อย แต่ถ้าจะทำกูก็พร้อมนะเออ ไอ้กันหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วรั้งตัวผมเข้าไปกอด
เฮ้ยๆ กอดไมเนี่ย
“อย่ามากอด กำลังหวงตัวอยู่”
“ไม่ทันแล้ววิป เมื่อกี้กูได้ไปเยอะแล้ว” ดูว~ ดูมันพูดเข้า ผมยกมือตีปากไปมันไปที ข้อหาหมั่นไส้ล้วนๆ ไม่มีอย่างอื่นผสม ซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนนี้ผมคงจะโดนกลับมาไม่ใช่น้อย แต่ในตอนนี้ร่างสูงเพียงแค่หัวเราะด้วยความอารมณ์ดีเท่าไหร่ ไม่พอ ยังจับมือผมขึ้นไปจูบหนักๆ อีก
เอาเลย~ กูเขินแน่นอนอยู่แล้ว
“แกล้งมึงก็สนุกดีนะวิป”
“แกล้งมากกูน้อยใจนะเออ”
“เดี๋ยวค่อยง้อไง” นัวเนียชุดใหญ่ เดี๋ยวจูบแก้มเดี๋ยวจูบที่ปลายจมูก มึงรักจมูกกูมากเลยสินะกันๆ เอะอะวนเวียนเข้าแถวนี้ตลอด ผมก็นิ่งใจง่ายยอมให้ผม เล่นตัวทำไมล่ะจริงมั้ย
“ถ้าก่อนหน้านี้กูไม่ฟอร์มจัด กูคงได้กอดมึงเร็วขึ้นกว่านี้สินะ” อยู่ๆ ไอ้กันก็พูดขึ้นมา ผมเบะปากด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเอานิ้วจิ้มๆ ริมฝีปากสวยของมันแรงๆ
“ก็ใช่น่ะสิ มึงเพิ่งจะรู้หรือไง มัวแต่เล่นตัวอยู่นั่นแหละ ฟายยยยย~ ฟายมากๆ”
“พอๆ พอแล้ว เลิกจิ้มได้แล้ว ขอโทษๆ”
“ดีมาก เด็กดีๆ” ผมยืดมือออกไปลูบศีรษะของมัน คราวนี้ไม่มีโมโหวุ้ย ยิ้มยอมให้จับให้ลูบได้อย่างเต็มที่ น่ารักไปอีกหมาน้อยของผม ร่างสูงก็ยิ่งขยับเข้ามาชิดมากยิ่งขึ้น ช่องว่างตรงกลางแทบไม่มีเหลือ
Rrrrrrrr
กอดกันกลมได้สักพักเสียงโทรศัพท์ของก็ดังขึ้น ไอ้กันชักสีหน้าไม่พอใจที่มีคนมาขัดจังหวะ ผมลูบหัวปลอบไปหนึ่งทีก่อนจะหยิบออกมา เบอร์ที่บ้านโชว์หลามาเลย ผมมองร่างสูงก่อนจะยิ้มแหยๆ
“ฮัลโหล วิปวิปพูด~”
[ลูกพ่อ กลับบ้านหรือยังลูก ถึงไหนแล้ว]
ต้องโทษโทรศัพท์มั้ยที่เสียงมันดังเกินไป ดังทะลุออกมาข้างนอกให้อีกคนได้ยิน จากที่หน้าบูดอยู่แล้วยิ่งบูดหนักเข้าไปอีก นี่สงสัยถ้าไม่ติดว่าคนในสายคือพ่อของผมนะ ไอ้หมาบ้าคงดึงโทรศัพท์ไปตัดสายทิ้งแล้วแน่ๆ
“เอ่อ…เดี๋ยวก็กลับแล้วพ่อ”
“ไม่ให้กลับ” เหมือนว่าคำตอบที่ผมตอบพ่อไปนั้นจะไม่ถูกใจไอ้หน้าบูดอย่างแรง พี่แกยื่นหน้าเข้ามากระซิบข้างหูว่าอย่างนั้น กระซิบธรรมดาก็ไม่ได้นะ ต้องทำเสียงเซ็กซี่ด้วย แบบนี้มันยั่วกันชัดๆ เลย ผมกัดริมฝีปากฉับ ไอ้บ้า~ ทำไมแรดแบบนี้ ผู้ชายอ่อยเข้าหน่อยก็ไม่อยากกลับบ้านแล้ว
แต่ว่า…
[เดี๋ยวพ่อรอกินข้าวเนอะ]
เห็นมั้ย จะปล่อยให้พ่อรอมันก็ไม่ถูกต้อง นานๆ ทีพ่อจะกลับมาสักครั้ง แล้วครั้งนี้ก็อยู่นานด้วย (ด้วยเรื่องของผมนี่แหละ) เราต้องใช้เวลาอยู่กับพ่อบ้าง
“โอเค เดี๋ยวกลับแล้ว” ผมบอกก่อนจะวางสาย
“วิป มึงอย่าใจร้ายกับกูสิ” หมาบ้ามันกลายเป็นลูกหมาไปแล้วครับ คงรู้ว่าโมโหใส่ผมก็กลับอยู่ดี เลยเปลี่ยนมาอ้อนแทน แหมรู้มากนะมึง รู้ว่าทำอย่างนี้แล้วกูจะใจอ่อน มองผมตาระห้อยเลย ผมยิ้มแล้วยื่นมือออกไปลูบหัวอีกฝ่าย
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวเราก็ได้เจอกันอีก กลับแล้วน้า~”
เอาคืนเล็กๆ ก็คือความสะใจอีกแบบ
……………………..
ผมต้องบอกเลยว่า ไม่ว่าจะยังไง ไม่ว่าผมจะพยายามพูดข้อดีของไอ้กันๆ ออกมายังไง พ่อก็ไม่ยอมรับมันแม้แต่น้อย ฝังใจเป็นอย่างมากว่าร่างสูงนั้นจะมาล่อลวงลูกชายตนเอง
พ่อก็ช่างคิดได้
และพ่อเองก็ไม่มีแพลนว่าจะกลับด้วยนะ เหมือนอยู่ยาว อยู่ทนคอยขัดขวาง หลังๆ พ่อเริ่มรู้งาน รู้ตารางเรียนของผม พอเลิกปุ๊บมีโทรเช็กด้วยว่าอยู่ไหนแล้ว จะกลับหรือยัง ซึ่ง…หมาบ้าที่ผมเลี้ยงไว้ก็ออกอาการอย่างหนักเพราะไม่ได้อยู่ใกล้เจ้าของ
จะเจอกันก็ได้แค่แป๊บๆ เท่านั้น ซึ่งพี่แกก็หาทางล่อลวงผมไปที่บ้านอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ติดที่พ่อนี่แหละก้างชิ้นใหญ่เลย ขัดตลอด ถ้าเห็นไอ้กันเดินมาส่งผมที่หน้าบ้านเมื่อไหร่นะ เป็นอันได้ไล่ตะเพิดตลอด สงสารหมาบ้าเหมือนกันนะ
มันเองก็เริ่มเคืองผมเหมือนกันที่ไม่ยอมไปเจอ เช้านี้ไม่มีไลน์หรือโทรหาเลย โทรศัพท์เงียบสนิท ผมหยิบขึ้นมาดูแล้วยักไหล่ ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าเพราะอะไรทำไมถึงได้ไม่อะไรมาก อาจจะเป็นเพราะเห็นไอ้กันมันคลั่งผมมากล่ะมั้ง ยังไงมันก็ไปไหนไม่รอดอะไรอย่างนี้
ผมอาบน้ำแต่งตัวเพื่อออกไปซื้อของให้ปู่ตามที่แกสั่งไว้เมื่อคืน มีการทิ้งท้ายไว้ด้วยว่าถ้าไม่รีบซื้อ ข้าวเช้าก็ได้กินช้า แหมะ…เล่นขู่ซะไม่กล้าขัดเลย
ผมเดินลงมา รับตังค์จากปู่แล้วออกมา จริงๆ ถ้าไม่ติดว่าหมาบ้ามันงอนอยู่นะ วันนี้ก็กะจะชวนไปเดินซื้อของที่ตลาดด้วยกันอยู่หรอก แต่ในเมื่ออีกฝ่ายงอนเป็นเด็กๆ อย่างนี้ก็ปล่อยมันไปก่อนแล้วกัน
ผมเดินมาถึงหน้าปากซอยก็ดูใบรายการที่ปู่ให้มาไปด้วย ซื้อเยอะเหมือนกันนะเนี่ย ทำอย่างกับว่ากินกันหลายคนงั้นแหละ นี่ถ้าตังค์ถอนเหลือเรามุบมิบได้มั้ยเนี่ย
พรึ่บ!
เฮ้ย!
กำลังเดินดูใบรายการอยู่ดีๆ จู่ๆ กระดาษในมือก็ถูกดึงออกไป ผมตาโตรีบเงยหน้าคนที่มาดึงมันไป ก่อนจะเผยยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่าเป็นใคร ไอ้พี่พลุมองกระดาษในมือก่อนจะเบ้หน้าหน่อยๆ ด้วยเพราะหน้าพี่แกโหดอยู่แล้ว พอทำอย่างนี้เลยดูเหมือนว่าไม่พอใจรายการที่เขียนไว้
“พี่พลุ ไม่ได้เจอกันนานเลย”
“คิดถึงใช่มั้ยล่ะ”
“เปล่าเลย”
“ว่าไงนะ!!” ผมย่นคอหนีเสียงดังๆ นั่น ไอ้บ้า! แค่พูดความจริงแค่นี้ทำไมต้องตะคอกกลับมาด้วย ผมรีบยิ้มประจบแล้วกวักมือเรียกให้เดินตามไปด้วยกัน ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมไปด้วยอย่างว่าง่าย เออดีเว้ย
“จะไปซื้อของเหรอ”
“เปล่า จะไปขโมย”
“ตลกเหรอ”
“ช่วยขำหน่อยสิ” ไอ้พี่พลุยิ้มรับก่อนจะเดินตามมาเงียบๆ จนถึงตลาด ผมก็ไม่ได้ถามนะว่ามีธุระอะไรที่ไหนหรือเปล่า แต่เดินตามมาขนาดนี้คงไม่มีหรอกมั้ง
พี่แกมาด้วยก็ดีอย่างนะครับ มีคนช่วยถือของด้วย ป้าแม่ค้าแกก็ตกใจนิดหน่อยเมื่อพี่พลุยื่นมือไปรับของแทนผม ป้าแกส่งให้ผมไง แต่พี่พลุมันตัดหน้า เขาก็นึกว่าจะขโมย แต่พอเห็นหน้าก็ไม่กล้าโวย โถ่พี่พลุ คนกลัวพี่เยอะเลยเนอะ
“พี่พลุ วันนี้พี่ไม่ทำงานเหรอ”
“วันนี้พี่หยุด” เอ่ยตอบแล้วรับถุงไข่ไก่จากแม่ค้ามาด้วย พี่พลุแม่งพึงพาได้ว่ะ ตัวใหญ่แรงเยอะ ถือเท่าไหร่ก็ไม่บ่น แบบนี้เรียกเอาใจได้หรือเปล่านะ
พอซื้อของเสร็จก็ได้เวลากลับบ้าน ผมเหมือนมีองค์รักษ์ข้างกายเลยว่ะ ไอ้พี่พลุเดินหน้าโหดจนไม่มีใครกล้าเดินเฉียด มันจะดีก็ดีหรอกนะ แต่เหมือนตัวเชื้อโรคยังไงก็ไม่รู้แฮะ
และในระหว่างที่กำลังเดินอยู่นั้น สายตาผมก็เหลือบไปเห็นเด็กในชุดนักเรียนกำลังปั่นจักรยานอยู่ริมถนน มึงเปรี้ยวมากไอ้น้องเอ้ย ไม่กลัวรถเลยหรือไง ตัวก็เล็กนิดเดียว ผมมองไปเรื่อยๆ ด้วยความเป็นห่วงอยู่ลึกๆ แล้วเรื่องที่กำลังห่วงมันก็เกิดขึ้น! รถมอไซค์ที่ขับมาอย่างเร็ว เฉียดเข้ากับน้องมันอย่างแรงจนร่างเล็กๆ นั่นล้มลง ผมเบิกตากว้าง มือกระตุกแขนเสื้อพี่พลุยิกๆ
“พี่ๆ ดูนั่น!”
“เฮอะ! โง่เอง ขี่ยังไงให้ล้ม” ร่างหนาทำสีหน้าเยาะๆ ไม่มีความรู้สึกเห็นใจอยู่ในนั้นแม้แต่น้อย ขายาวก็ก้าวเดินต่อ ผมอ้าปากค้างนิดหน่อย เอ่อ…กับคนที่พี่ไม่ชอบคือพี่ไม่เอาเลยใช่มั้ย
“เฮ้ยเดี๋ยวสิพี่พลุ! ไปดูน้องมันก่อน”
“มันไม่ตายหรอก!!”
แล้วทำไมต้องตะโกนใส่กูด้วย?
“งั้นเดี๋ยวผมไปดูน้องมันเอง พี่รออยู่นี่นะ เอ้าฝากของด้วย” ผมบอกอย่างร้อนใจ ไอ้บ้า น้องมันตัวนิดเดียว นั่นยังไม่ลุกจากพื้นเลย รถก็เยอะ เดี๋ยวมีคันไหนมาซ้ำอีกเดี๋ยวจะยิ่งไปกันใหญ่ ผมส่งของในมือให้ร่างหนาถือ พี่พลุขมวดคิ้วฉับหน้าดุซะจนผมยังอดที่จะหวั่นใจไม่ได้ มึงอย่าเพิ่งฆ่ากูนะพี่พลุ
“เรารออยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่ดูเอง รถเยอะอันตราย” ด้วยความที่เป็นห่วงผมมากกว่าห่วงไอ้น้องคนนั้น ร่างหนาก็ยัดของที่ถือมาให้ผมแล้วเดินไปดูไอ้เด็กนั่น ผมก็เดินตามเข้าไปด้วยอย่างเป็นห่วง
“เฮ้ย!!” เดี๋ยววววววว!! ไอ้พี่พลุ สาบานดิ๊ว่านั่นคือมึงจะเข้าไปช่วยเขาน่ะ เฮ้ยซะน้องมันตกใจเลย
ร่างเล็กที่นั่งกองอยู่กับพื้นถนน ข้างๆ เป็นจักรยานที่นอนกองอยู่ ใบหน้าเล็กเงยขึ้นมามองไอ้พี่พลุด้วยความตื่นกลัว อย่างว่าแหละ แค่น้ำเสียงพี่มันก็กินขาดแล้ว ดวงตากลมโตน่ารักแบบสุดๆ ไหนจะรูปร่างเล็กนิดเดียวที่น่าพบกลับบ้านนั่นอีก ผิวขาวออร่ามาก แต่ท่าทางดูอ่อนแอไม่น้อย
“พะ…พี่อย่าปล้นผมเลยนะ! วันนี้ผมเพิ่งโดนไถเงินมาเอง”
“ห้ะ!”
อุ๊บ!
ผมเกือบหลุดขำพรืดออกไปดีนะงับริมฝีปากไว้ได้ทัน แต่ก็กลั้นขำจนตัวเกร็งเหมือนกัน ก๊ากกกกก ไอ้บ้า! น้องมันคิดว่ามึงมาปล้นว่ะพี่พลุ ไม่ได้คิดว่ามาช่วย ฮ่าๆๆ โอ๊ย ผมล่ะฮาหน้าพี่แก ทั้งเหวอทั้งอยากถีบปนๆ กันไป ร่างเล็กน้ำตาคลอด้วยความน่าสงสาร เห็นแล้วโคตรอยากจับฟัด น้องมันมีลักษณ์คล้ายๆ กับไอ้น้องตอง น่ารักน่าหยิก แต่น้องคนนี้เขาดูบอบบางกว่าเยอะเลย
“มึงจะบ้าเหรอ!!!” ตะคอกใส่เสียงดัง ขนาดผมที่ไม่ใช่คนที่ถูกตะคอกนะ ผมยังหัวหดเลย แล้วน้องมันล่ะ จะเหลือเหรอ จากที่น้ำตาคลออยู่นั้น ทีนี้ก็ไหลพรากเลยจ้า
“แงงงงงงง!!”
“พี่พลุ! พี่ทำเด็กน้อยร้องไห้!” กูใส่ไฟ ตอนแรกร่างหนาดูไม่ทุกข์ไม่ร้อน มึงจะเป็นอะไรก็เรื่องของมึง แต่พอผมโวยเท่านั้นแหละ อีกฝ่ายก็ถอนหายใจ สบถอย่างหัวเสียก่อนจะย่อตัวลงไปเอามือแตะไหล่เล็กเบาๆ
“กูมาช่วย เห็นมึงล้ม”
“อะ…อ้าว” เหวอไปดิ พี่พลุพยุงร่างเล็กขึ้นมา น้องมันดูท่าจะเจ็บขานะ หักเปล่าวะนั่น ยิ่งดูบอบบางปลิวง่ายอยู่ด้วย ผมมองด้วยความเป็นห่วง น้องมันน่ารักน่าฟัด เห็นแล้วชอบ นอกใจหมาบ้าแป๊บนึงแล้วกันนะ
สรุปแล้วผมก็ให้พี่พลุแกไปส่งน้องเขาซะ บ้านอยู่ถัดไปอีกซอยนึงนี่เองใกล้ๆ พี่พลุตอนแรกแกไม่ยอม บอกไม่ใช่เรื่อง ไม่มีความสงสารให้น้องมันเลย แต่พอผมขอร้องก็เลยยอมไปให้ เห็นมั้ยว่าพี่พลุแกก็น่ารัก
ผมเดินกลับบ้านพร้อมของพะรุงพะรัง ปู่ก็สั่งไม่ดูรูปร่างหลานตัวเองเลยว่าถือไหวมั้ย และพอเดินใกล้ถึงบ้านก็เบรกแทบไม่ทัน ของแทบร่วงจากมือแน่ะพ่อคุณ ร่างสูงของสุดที่รักผมยืนพิงเสาอยู่ใกล้ๆ กับบ้านผมพอดี เหมือนกับว่ากำลังรอผมอยู่ ผมรีบสาวเท้าเข้าไปหา
“มาได้ไง! แล้วมายืนทำไมตรงนี้ เดี๋ยวพ่อเห็น!”
“ให้เห็นไปเลย กูจะอกแตกตายอยู่แล้ว ได้เจอมึงแค่แป๊บเดียวเอง” ไอ้กันก็ไม่ยอม พูดกลับมาด้วยอารมณ์เต็มเปี่ยม มือหนาก็ยื่นมาแย่งถุงของสดในมือผมไปถือไว้แทน เออดี กูกำลังเมื่อย
“เดี๋ยวไปหาที่บ้านก็ได้”
“ไปแล้วก็ให้พ่อมึงมาขัดอีกน่ะเหรอ”
แฮ่~ อย่าทำตาดุสิ
“ทำไมไม่ยอมให้กูเข้าไปคุยกับพ่อมึงตรงๆ วะวิป มึงกลัวอะไร”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น มึงก็เห็นว่าพ่อกูไม่ยอมฟังอะไรเลย เขาเอาแต่ไล่มึง กูก็ห่วงมึงนะกันๆ” ผมพูดด้วยความเหนื่อยใจ ผมก็ไม่ชอบเหมือนกันที่พ่อคอยตามบังคับตามคุมผมอยู่แบบนี้ แต่เพราะเขาเป็นพ่อ ผมเลยไม่ค่อยอยากจะขัดใจ
ร่างสูงเห็นสีหน้าผมไม่ดีก็ยืดตัวตรงแล้วโน้มใบหน้าเข้ามาจนหน้าผากเราแตะกัน คงเพราะมือไม่ว่างมั้ง เอาหน้าผากแตะก็ยังดี
“อยากกอดมึงมากเลยรู้มั้ย” อย่ามาอ้อน เดี๋ยวละลายไอ้บ้าเอ้ย
“อยากกอดเหมือนกัน แต่ตอนนี้กูต้องเข้าบ้านแล้ว” สิ้นคำผมร่างสูงก็มีสีหน้าหงุดหงิด ผมเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกันว่ะ พ่อไม่ได้กีดกันแบบรุนแรง แต่บางครั้งมันก็น่ารำคาญ
“งั้นเอางี้ เดี๋ยวกูเอาของเข้าไปเก็บก่อน แล้วเดี๋ยวจะไปหาที่บ้าน โอเคนะ”
“ก็ได้ เร็วๆ นะครับ” กันๆ ดูไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่แต่ก็ยอม แถมยังทิ้งคำว่าครับไว้เป็นตัวกระตุ้นให้ผมรีบไปหาอีกด้วยนะ มึงมันร้ายไอ้หมาบ้า! รู้ว่าเราแพ้ก็พูดจังเลย
ผมเอาของที่ซื้อเข้ามาเก็บในบ้าน กวาดสายตามองหาพ่อแต่ก็ไม่เจอ ปู่ที่นั่งอยู่เลยชี้ขึ้นไปข้างบน ผมยิ้มกริ่มแล้วพุงตัวเข้าไปอ้อนปู่
“ปู่อ่า~”
“จะเอาอะไร”
“ฮี่! ทำไมรู้ใจเค้าขนาดนี้ รักจุงเบยยยยย~” ผมซบหน้าลงกับแขนของปู่ นี่อ้อนสุดฤทธิ์เลยนะเออ ปู่แกสะบัดออกเหมือนรังเกียจ หูยยยย ทำงี้ใจร้าวนะเว้ย
“คือจะไปหากันๆ อะ ปู่ช่วยหน่อยได้มั้ย”
“ช่วยให้หลานได้ไปหาผู้ชายเนี่ยนะ!” ปู่ขึ้นเสียงใส่ ผมรีบทำเสียงชู่เอานิ้วแตะปาก จะเสียงดังทำไมเล่า เดี๋ยวพ่อก็ได้ยินพอดีหรอก ผมบีบตาอ้อนหวังให้ปู่ใจอ่อน ยังไงๆ ปู่ก็คุยง่ายกว่าพ่อเยอะ แล้วปู่นี่แหละตัวช่วยชั้นดีเลย
“น้า~”
“…”
“จะรีบไปรีบกลับเลย”
“เออๆ อย่านานจนพ่อมึงสงสัยก็แล้วกัน” ปู่ตอบเสียงสะบัดด้วยความรำคาญ ผมยิ้มกว้างลุกขึ้นกระโดดดึ๋งๆ ด้วยความดีใจ ก่อนจะพุงเข้าไปหอมแก้มปู่ฟอดใหญ่ น่ารักอ่า~ แบบนี้เอาใจไปเลย ปู่ทำสีหน้ารังเกียจใส่แล้วสะบัดมือไล่ ผมล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมาวางไว้
“ฝากไว้หน่อย เดี๋ยวกลับมาเอา”
เอาไปพ่อก็โทรตามน่ะสิ ทิ้งไว้นี่แหละ ไม่รู้สึกผิดด้วยเวลาเห็นแต่ไม่รับสาย
……………………
คุณพ่อผู้หวงลูกชายเป็นชีวิตนั้น พอได้ยินเสียงเหมือนว่าลูกจะกลับมาจากซื้อของแล้วก็เดินหน้าบานยิ้มร่าลงบันไดมา กวาดสายตามองหาลูกรักแต่ก็ไม่พบ พบเพียงแค่ของพี่ถูกซื้อมาแล้วเรียบร้อย
“พ่อ วิปล่ะ ไปไหน” เอ่ยถามคนเป็นพ่อด้วยสีหน้าสงสัย ในใจตงิดๆ ว่าลูกจะแอบไปหาไอ้หนุ่มนั่นอีกหรือเปล่า มันบังอาจมากมายุ่งกับลูกชายผู้เป็นดวงใจของเขา ไม่ยอมหรอก ไม่ยกให้!
“ออกไปแล้ว”
“ไป?!! ไปไหนพ่อ!!”
“เห็นบอกว่าเพื่อนมีเรื่องกลุ้มใจ โทรคุยกันเสร็จก็รีบออกไปเลย ท่าทางร้อนรนอยู่ ดูสิ ขนาดโทรศัพท์ยังลืมเอาไปเลย” ว่าแล้วก็ชี้ไปที่โทรศัพท์ที่ถูกวางทิ้งไว้ คุณพ่ออ้าปากค้างนิดๆ ก่อนจะพยักหน้าสองสามหงึกเข้าใจ
“อืม สงสัยจะด่วนมากแน่ๆ เลยพ่อ เป็นห่วงแล้วสิ”
“อืม เป็นห่วงแล้วสิ” คุณปู่ผู้รักหลานพยักหน้าเออออเห็นด้วยแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกทาง ไอ้หลานตัวดี! หาเรื่องให้ได้ตลอดเลย! มันน่านัก!
………………………….
ผมลั้นลาวิ่งดุ๊กดิ๊กๆ มาที่บ้านร่างสูง เดี๋ยวนี้สามารถเข้ามาได้แบบไม่ต้องรอใครอนุญาต เปิดทางโดยกันๆ ที่อนุญาตตลอด ผมโบกมือทักทายลุงชมแกนิดหน่อย แกก็ชินแล้วเห็นที่ผมเข้าๆ ออกๆ บ้านหลังนี้
แกไม่เคยถามอะไรด้วยนะ ไม่สงสัยว่าเป็นผู้ชายทั้งคู่รักกันได้ไง ไม่สงสัยว่าเจ้านายตัวเองเป็นเกย์ด้วยเหรอ ถือว่าดีมากเลย ลุงน่ารัก
“คุณกันอยู่ห้องออกกำลังกายนะ!” ลุงชมแกลุกขึ้นตะโกนบอกด้วยความหวังดี ผมยิ้มกว้างเป็นการขอบคุณแล้วมุ่งตรงไปที่ห้องที่ว่านั่น
เปิดประตูเข้าไปก็พบกับร่างสูงกำลังซิทอัพอยู่เลย ถอดเสื้อโชว์กล้ามท้องสวยๆ ผิวสีแทนชุ่มไปด้วยเหงื่อ เห็นแล้วเกิดอาการน้ำลายไหลขึ้นมาวูบหนึ่ง
ไอ้กันหยุดชะงักลงเมื่อเห็นผม ก่อนจะกวักมือเรียกเข้าไปใกล้ ผมจ้องมองหน้าท้องอีกฝ่ายด้วยความอิจฉาปนๆ อยากลูบ อื้อหื้อออออ~ มันน่าจะแน่นน่าดูเลยนะ
“จ้องใหญ่เลยนะ”
“ชอบ~”
“ลูบมั้ย” ไม่ถามเปล่า ยังมีการลูบหน้าท้องตัวเองให้ดูด้วยเป็นตัวอย่าง แม่งอ่อยว่ะ! ผมริมฝีปากด้วยความหมั่นเขี้ยว ไอ้กันรู้ว่าผมเป็นอะไรก็หัวเราะออกมา ก่อนที่มือหนาจะยื่นออกมาดึงผมให้ล้มเข้าไปในอ้อมกอด
“อี๋~ เหงื่อ”
“อ้าว ไม่ชอบเหรอ” ดูว~ มันถามหน้าระรื่น แล้วก็ไม่ยอมปล่อยผมด้วยนะ อ้อมแขนแกร่งรัดผมไว้แน่นเลย และในเมื่อมันไม่ปล่อยอย่างนี้ผมก็เอนตัวพิงอกหนาเต็มที่
“นึกยังไงมาออกกำลังกาย”
“เดี๋ยวมึงไม่หลง”
“ขอความจริงได้มั้ยหื้ออออ” อีกฝ่ายหัวเราะ
“แค่หาอะไรทำ ไม่คิดว่ามึงจะมาเร็วขนาดนี้” พูดไปแล้วเอาหน้ามาแนบแก้มผมไปด้วย คางก็วางอยู่ที่ไหล่เล็กของผม อ้อนเต็มขั้น ไอ้คนถูกอ้อนก็ตายไปเลย ผมวางมือลงบนมือหนาที่กอดรัดผมไว้อยู่แล้วลูบเล่นเบาๆ
“ขอโทษที กูรีบเองมั้ง”
“รีบมาสิดี คิดถึง” ว่าแล้วก็ขโมยหอมแก้มผมไปฟอดใหญ่ เต็มที่ครับพี่ ผมนั่งนิ่งปล่อยให้อีกฝ่ายได้ทำตามที่ใจต้องการ เอาใจเขาหน่อย เดี๋ยวได้อกแตกตายซะก่อน และเมื่อผมไม่ห้าม ร่างสูงก็วนเวียนจูบแก้มไม่ผละห่าง พอเผลอเข้าหน่อยก็ลากริมฝีปากลงมาที่ซอกคอขาว
“เดี๋ยวๆ น้องเปลี่ยวเหรอ”
“นิดนึง”
กูว่าไม่นิดละแบบนี้ นัวเนียไม่มีปล่อย แถมมือก็เริ่มเลื้อยไปเรื่อย จากที่กอดอยู่เฉยๆ ก็เปลี่ยนมาลูบเบาๆ แล้วย้ายมาวางที่หน้าท้อง ปลายนิ้วค่อยๆ เกลี่ยเข้าที่ชายเสื้อ
“กันๆ กูหิวข้าว”
“อืมมม กูก็หิวเหมือนกัน” กระซิบเสียงแหบพร่าข้างหู มึงหิวกูใช่มั้ยไม่ใช่หิวข้าวหรอกใช่ปะ ไม่ห้ามแบบจริงๆ จังๆ ก็เอาใหญ่ มือหนาสอดเข้ามาภายในเสื้อยืดตัวบาง ผมสะดุ้งทันทีที่ความร้อนจากมืออีกฝ่ายแตะโดนผิว จากที่แค่เอนตัวพิง ตอนนี้มันระทวยทรงตัวไม่อยู่แล้ว
“กันๆ…อืม…อย่าดูดนะ” ผมร้องห้ามเสียงแผ่วเมื่อริมฝีปากสวยที่ผมชอบ วนมาจูบเข้าที่ซอกคอ ขนผมลุกซู่ไปทั่วร่าง ร่างสูงครางรับในรับคอเบาๆ ตอบกลับมา แต่ผมก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจอย่างที่บอกหรือเปล่า
มือหนาลูบไล้ผิวกายของผมขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ วนเวียนอยู่แถวๆ แผ่นอก ริมฝีปากก็คลอเคลียไม่ห่าง ก่อนจะย้ายขึ้นมาเม้มที่ติงหูเบาๆ พร้อมกับกระซิบเสียงเซ็กซี่
“ขอกินได้มั้ยครับ…”
อึก!
“ตะ…แต่ กูยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลยนะ” เรายอมนายได้อยู่แล้ว แต่ปากท้องเราก็สำคัญนะเว้ย ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ข้างหู ก่อนที่ใบหน้าหล่อๆ นั่นจะซบลงกับไหล่ผมอย่างหมดแรง
“อยากกอด…อยากจูบ…อยาก…”
เออออออ!! ก็รู้ว่าอยาก ไอ้บ้าเอ้ย!
“กินข้าวกันเถอะ ไม่ห่วงกูเหรอ”
“แล้วมึงไม่ห่วงกูเหรอวิป” น้ำเสียงที่อีกฝ่ายพูดออกมานั้นโคตรจะหมาหงอย ผมเลิกคิ้วถาม แต่อีกฝ่ายไม่เห็นหรอก ทำไมต้องห่วงวะ เรื่องแค่นี้เอง
แต่แล้วผมก็ได้รู้ว่าทำไมผมต้องห่วงมันเมื่อมือหนาจับมือผมแล้วรั้งให้ไปแตะโดนอะไรบางอย่างที่มันแข็งๆ เข้า ผมนิ่งค้างเบิกตากว้าง อ้าปากพะงาบๆ พูดอะไรไม่ออก
“เริ่มห่วงกูบ้างยัง” แล้วก็ตบท้ายด้วยการพูดอ้อนข้างหูอีกครั้ง มึงวนเวียนวอแวกับหูกูเหลือเกินเนอะ ผมหลับตาปี๋รีบดึงมือกลับ
กูเริ่มไม่ห่วงละ กูห่วงสภาพกูเองมากกว่า
“กินข้าวกันเถอะ!!” ผมตีเนียนเอ่ยไปเรื่องอื่น ไอ้กันเงยหน้าขึ้นมาจากไหล่ก่อนจะหัวเราะหึๆ ด้วยความหมั่นเขี้ยวแล้วกอดรัดตัวผมแรงๆ ไปหนึ่งที
“โอเค กินข้าวก็กินข้าว”
“ดีมากค้าบบบ”
“เสร็จแล้วค่อยกินมึงก็ได้” แฮ่~ ยิ้มร้ายด้วยไง กูไม่รอดแน่ๆ งานนี้
ไอ้กันพาผมออกมานั่งรอป้าแม่บ้านทำกับข้าวให้กิน ส่วนพี่แกก็ขอตัวแวบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่ กลับลงมาแบบตัวหอมฟุ้ง แต่ก็ยังคงไว้ด้วยสภาพเดิมคือไม่ใส่เสื้อ มาพร้อมกางเกงยีนส์เท่ๆ ตัวเดียว เห็นขอบบ๊อกเซอร์แพลมๆ
“เสื้อไม่ได้ซักเหรอพี่”
“ซัก แต่จะอ่อยคนแถวนี้ เลยไม่ใส่”
ไอ้บ้าาาาาาาาาาา~
___________________________________________