ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก แจ้งภาคต่อ เรื่องของน้องตี้ [31/08/56] P.11  (อ่าน 186353 ครั้ง)

ออฟไลน์ sukie_moo

  • ปัจจุบัน คือ อดีตของอนาคต
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3488
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +457/-15
หมั่นไส้รัก

ออกแนวรังเกียจรงค์

และสงสารตี้จับใจ

bluebird

  • บุคคลทั่วไป
เชื่อว่าจุดนี้ทุกคนสงสารน้องตี้จริงจัง T.T
อ่านแล้วรู้สึกตลอดเวลาว่า ซักทีๆ 555+
คือจะอะไรก็ทำซักทีอิตาสองคนนี้ จะรักจะเลิก จะมีเยื่อใย อย่ามาหน่วงๆแบบนี้
อ่านแล้ว อินนนน+อึดอัดอภิมหา โฮ กรี๊ดๆๆ

ออฟไลน์ yeyong

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5857
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +917/-26
เพลียอ่ะ
.
เอางี้ ให้เครื่องบินตกซะเลย จบเรื่องราวเจ็บปวดทุกอย่างที่มีของทุกคน!!!

เม้นท์นี่สุดยอด

ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
ปล่อยไปเถอะน้องตี้น่ะ
กลับมาคืนดีกับไรอันถูกแล้ว

ปล. แต่เราก็แอบเชียเจมส์อยู่ลึกๆนะ^^

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ปล่อยไปเถอะน้องตี้น่ะ
กลับมาคืนดีกับไรอันถูกแล้ว

ปล. แต่เราก็แอบเชียเจมส์อยู่ลึกๆนะ^^

เอ๋อ?? เชียร์เจมส์?? อะไรยังไงกับใครคะ คนเขียนอยากรู้ อิ๊ๆๆ

bellity

  • บุคคลทั่วไป
สงสารน้องตี้มากๆ เลยนะ รู้สึกไม่ชอบตัวเอกแวปใหญ่ๆ เลยแฮะ
เฮ้อ แต่กับไรอันเป็นคนประเภทที่ทำให้ผมเคยเสียน้ำตามาปี๊ปใหญ่ๆ เลยนะ
ทั้งๆ ที่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่อะไรกับแฟนมากๆ กินข้าวก็ตามโอกาส แต่เวลาเค้าป่วยเราก็เป็นห่วงไปดูแล
กลายเป็นว่าเราไปวุ้นวายกับชีวิตเค้าอีก เลยเลิกกัน อ่านแล้วสะท้อนใจแฮะ แต่ไรอันดูน่ารักกว่าแฟนผมเยอะ
เพราะแบบแฟนผมโคตรเอาแต่ใจเลย แบบมากจนบางทีรู้สึกว่าเห็นเราเป็นตัวอะไรซักอย่างที่ไม่แฟน
บางทีก็รู้สึกว่าเค้าแค่คบเราคลายเหงาหรือคบแก้ขัดเท่านั้นเอง -3-

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า "รัก" เป็นตัวละครที่ชอบน้อยที่สุดในบรรดาตัวละครที่ผ่านๆ มา   :serius2:

คุณริน อย่าเพิ่งโมโหข้าพเจ้านะ   :monkeysad:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคก่อนส่งท้าย]

เมื่อรถบัสเดินทางมาถึงที่หมายแรกคือวัดฉลองหรือวัดไชยธาราราม ทุกคนก็ลงจากรถเพื่อไปสวดมนต์ขอพรในพระอุโบสถ บ้างก็เสี่ยงเซียมซีแล้วซื้อประทัดเพื่อจุดบวงสรวงอย่างสนุกสนาน หลังจากให้เวลาทุกคนได้ถ่ายรูปและเดินเล่นกันพอสมควร ไกด์สาวก็นำทุกคนไปทานมื้อกลางวันที่ร้านอาหารซึ่งจองไว้ล่วงหน้า ก่อนจะเดินทางต่อไปไหว้พระใหญ่ซึ่งประดิษฐานอยู่บนยอดเขา

พอมาถึงบริเวณฐานของพระใหญ่ซึ่งสูงเหนือน้ำทะเลหลายร้อยเมตร หลายคนก็ถ่ายรูปวิวอ่าวฉลองซึ่งเต็มไปด้วยเรือยอร์ชและเรือใบหลากสีสันแบบไม่กลัวเมโมรีการ์ดจะเต็ม จนกระทั่งแดดร่มได้ที่ ไกด์สาวจึงขานเวลาเพื่อพาทุกคนไปรอชมพระอาทิตย์ตกยามเย็นเหนือแหลมพรหมเทพ เนื่องจากเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญและอาจหาที่จอดรถลำบาก จึงต้องรีบไปจับจองที่ทางกันก่อนจะถึงเวลา

เมื่อรถจอดที่หน้าทางขึ้นจุดชมวิว ทุกคนก็ลงจากรถแล้วกระจัดกระจายกันไปคนละทาง บ้างก็ต่อคิวเข้าห้องน้ำหรือแวะดูร้านขายของที่ระลึก บ้างก็เข้าไปชมประภาคาร บ้างก็หามุมถ่ายรูปหรือชี้ชวนกันดูวิว เนื่องจากวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใสและมีเมฆน้อยมาก ทำให้แดดยามบ่ายแก่ๆ ก่อนพระอาทิตย์จะตกดินค่อนข้างแรง สาวๆ หลายคนจึงต้องคว้าหมวกปีกกว้างมาสวมหรือหาผ้าคลุมไหล่กันแดดให้วุ่น

ณรงค์แยกตัวจากคนอื่นๆ และเดินถ่ายรูปเล่นไปเรื่อยเปื่อย สำหรับทริปนี้เขาพกกล้องถ่ายรูปดีเอสแอลอาร์ซึ่งนานๆ ครั้งจะใช้มาด้วย ความจริงแล้วสมัยเรียนเขาเคยเคยรับถ่ายรูปตามงานแต่งงานหรืองานรับปริญญาเพื่อหารายได้พิเศษด้วยซ้ำ แต่พอทำงานประจำก็เริ่มไม่มีเวลา แถมกล้องจากมือถือก็มีความละเอียดมากพอแล้วยังปรับแต่งรูปได้เลย ทำให้ห่างหายจากการเล่นกล้องไปนานพอสมควร

ลมที่โชยมาบริเวณเหนือแหลมที่ทอดยาวออกไปในทะเลสดชื่นและไม่เหนียวตัว ถึงแม้แดดจะแรงอยู่บ้างแต่ณรงค์ก็ไม่ยี่หระ อาจมีบางครั้งที่เขาต้องดึงปีกหมวกแก๊ปที่สวมลงเพื่อบังแสงที่ส่องเข้าตา แต่เมื่อเดินผ่านช่วงโค้งของเนินไปอีกฝั่งและเห็นร่างสูงโปร่งที่กำลังยกกล้องขึ้นถ่ายรูปทะเล ณรงค์ก็ลดกล้องในมือลงก่อนจะเดินเข้าไปหา

ผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งยืนถ่ายรูปอยู่ตามลำพังใต้ต้นไม้ใหญ่ แต่เนื่องจากแสงที่สาดเฉียงมาจากพระอาทิตย์ที่ใกล้จะตกดินทำให้ต้นไม้นั้นไม่ได้ให้ร่มเงาใดๆ เลย ไรอันอยู่ในเสื้อยืดแขนสั้นที่ไม่เข้ารูปมากนักกับกางเกงขาสามส่วนสีเขียว อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันแดดมีเพียงแว่นกันแดดเลนส์สีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ พอเห็นอีกฝ่ายยืนถ่ายรูปนิ่งๆ อยู่กลางแจ้งโดยไม่คิดจะหาที่หลบแดด ณรงค์ก็เดินเข้าไปใกล้

“เดี๋ยวผิวคุณไหม้หมดนะ”

ณรงค์เอ่ยเมื่อเข้าไปในระยะที่ห่างจากอีกฝ่ายเพียงหนึ่งก้าว ไรอันจึงลดกล้องถ่ายรูปในมือลงและเหลือบมาทางเขา แต่เพราะเลนส์แว่นที่เป็นสีเข้มจัด ณรงค์จึงไม่อาจเห็นแววตาสีน้ำตาลอ่อนได้ว่ากำลังแสดงอารมณ์ใด

“I’m not a girl.”

ไรอันเอ่ยแล้วก็หมุนตัวหนี ณรงค์จึงรั้งไว้ด้วยคำถามที่ทำให้ฝีเท้าของหนุ่มลูกครึ่งชะงัก

“ใจคอคุณจะไม่ยอมคุยกับผมดีๆ ให้ผมได้มีโอกาสขอโทษเรื่องเมื่อคืนนี้เลยเหรอ?”

ณรงค์ถามอย่างตัดพ้อ เขาพยายามหาโอกาสที่จะได้คุยกับไรอันตามลำพังมาตั้งแต่เช้าเพราะอยากขอโทษกับความหุนหันพลันแล่นเมื่อคืน แต่พอสบจังหวะ เจ้าตัวก็ทำเหมือนอยากรีบหนีเขาไปไกลๆ เสียอีก

“Consider that done then.”

ไรอันตอบรับและตัดบทไปในทีเดียว ณรงค์จึงไม่รู้จะทำอย่างไรนอกจากมองแผ่นหลังของคนที่เดินหนีห่างไปเรื่อยๆ

“This is the most fucked up thing I’ve ever seen on earth.”

ณรงค์หันกลับไปตามเสียงและพบว่าเจมส์เดินมายืนกอดอกอยู่ข้างๆ ชายหนุ่มขมวดคิ้วก่อนจะหันกลับไปมองไรอันที่หยุดยืนถ่ายรูปห่างไปราวสิบเมตรอีกครั้ง

“คุณหมายถึงเรื่องอะไร?”

“เรื่องอะไรเหรอ? ก็เด็กที่อ้างว่าเป็นแฟนคุณกับท่าทางของคุณกับไรอันวันนี้น่ะสิ ตกลงนี่มันอะไรกันแน่?”

เจมส์ถามอย่างไม่เข้าใจ ณรงค์เห็นสาวๆ ในบริษัทพากันรี่เข้าไปขอถ่ายรูปกับไรอัน เขาจึงยกกล้องของตัวเองขึ้นมาปรับซูมแล้วเก็บภาพไว้บ้าง

“เขาไม่ได้อ้างหรอก ตอนที่เจอคุณเมื่ออาทิตย์ก่อนเรายังเป็นแฟนกันจริงๆ แต่ตอนนี้มันจบแล้ว”

ญาติผู้พี่ของไรอันเงียบไปพลางมองณรงค์ที่กำลังพยายามเก็บภาพอิริยาบถต่างๆ ของไรอันด้วยสีหน้าพิจารณา

“คุณอยากคืนดีกับไรอันใช่มั้ย?”

“ถ้าเขาจะยอมฟังผมบ้างล่ะก็นะ คุณเคยได้ยินสำนวนตบมือข้างเดียวไม่ดังไหมล่ะ?” ณรงค์ถามกลับพร้อมกับแค่นยิ้ม หนุ่มลูกครึ่งทำท่านึกแล้วก็ส่ายหน้า

“ไม่เคย But I think I’m looking at two clueless people who don’t know how to express their feelings.”

หนุ่มลูกครึ่งท่าทางอยากพูดอะไรต่อ แต่ก็ถูกขัดจังหวะเพราะมีคนร้องเรียกให้ทั้งคู่ไปถ่ายรูปหมู่รวมกับกลุ่มที่เพิ่งเดินทางมาทีหลัง ไกด์ทั้งสองคนรับกล้องของเหล่าพนักงานที่อยากจะฝากถ่ายรูปไปห้อยไว้เต็มมือจนต้องวางบางส่วนบนโต๊ะ พวกคนที่ยืนแถวหน้าต่างก็ช่วยกันกางผ้าใบผืนใหญ่ที่สกรีนชื่อบริษัทไว้เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระลึก ณรงค์ตัวสูงจึงเลือกยืนด้านหลังเยื้องไปข้างๆ แต่พอไกด์สาวยกมือขึ้นเล็งกล้องแล้วก็ส่ายหน้า

“รบกวนทุกคนยืนชิดๆ กันหน่อยนะคะ คนเยอะล้นกล้องค่ะ คุณพี่เขยิบเข้ามาอีกหน่อยนะค้า”

หญิงสาวเจ้ากี้เจ้าการจัดตำแหน่งจนกระทั่งไกด์อีกคนยกนิ้วเป็นสัญญาณว่าโอเค และณรงค์ก็พบว่าตัวเองจับพลัดจับผลูได้มายืนข้างไรอันซึ่งอยู่แถวหลังสุดเพราะต่างก็ตัวสูงทั้งคู่ ส่วนเจมส์ยืนห่างไปอีกด้านใกล้กับผู้บริหารท่านอื่น

หนุ่มลูกครึ่งทำท่าไม่สนใจณรงค์ในทีแรก แต่แล้วก็ขมวดคิ้วมุ่นก่อนจะเหลือบตาขึ้นมองผ่านเลนส์แว่นกันแดดเมื่อณรงค์สอดนิ้วมือเข้าประสานกับมือเขาแล้วกุมไว้

“ชู่วว์”

ณรงค์ส่งเสียงเตือนเบาๆ และกระชับมือแน่นขึ้นเมื่อไรอันทำท่าจะกระตุกมือออก และนั่นทำให้ข้อมือที่เคล็ดปวดระบมจนเผลอส่งเสียงลอดไรฟัน

หนุ่มลูกครึ่งจับอาการเจ็บของณรงค์ได้ จึงทำได้เพียงแสดงท่าทางฮึดฮัดไม่พอใจ แต่ว่าก็ไม่ได้สะบัดมือหนีอีกตลอดเวลาที่ไกด์ทั้งสองทยอยถ่ายรูปด้วยสารพันกล้องที่มีเยอะจนราวจะไม่หมดสักที กระทั่งไกด์ทั้งคู่กดชัตเตอร์ครบทุกกล้อง ทุกคนก็รีบฮือกันไปรับกล้องคืนเพื่อจะได้เก็บภาพพระอาทิตย์ลับลงหลังผืนทะเลให้ทัน

 ไรอันถือโอกาสนี้รีบชักมือออกจากอุ้งมือณรงค์แล้วหันไปคว้าแขนเจมส์เพื่อหาจุดถ่ายรูปที่ไกลจากเขาที่สุด แต่คราวนี้ณรงค์ไม่ได้เดินตามไป เขาเพียงมองตามแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้มอ่อนๆ พลางยกมือขึ้นสูดกลิ่นโคโลญจน์บางเบาที่ตกค้างจากสัมผัสเมื่อครู่

อะไรบางอย่างที่ไรอันแสดงออกตอนเห็นเขาทำท่าเจ็บข้อมือทำให้ณรงค์รู้สึกเหมือนหัวใจที่เคยลีบเล็กได้รับน้ำหล่อเลี้ยง บางทีฝ่ายนั้นเองก็อาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเผลอแสดงสีหน้าเป็นห่วงออกมา แต่นอกจากนั้นยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ณรงค์สังเกตเห็น และสิ่งนั้นก็ทำเอาเขาเกือบจะแกล้งยกมือไปโอบไหล่อีกฝ่ายตอนถ่ายรูปไปแล้วหากไม่ใช่เพราะยังเกรงใจพนักงานคนอื่นๆ

เขาเห็นผิวแก้มสีงาช้างแดงเรื่อตลอดเวลาที่ถูกกุมมือเมื่อครู่...



++------++



พอขอบฟ้าสีหมากสุกเริ่มหม่นมัวด้วยพระอาทิตย์ที่ตกดินมากขึ้น ไกด์ทั้งสองก็รีบพาทุกคนขึ้นรถเพื่อเข้าเช็คอินที่โรงแรมก่อนที่ฟ้าจะมืดสนิท หลังจากทุกคนรับแจกคีย์การ์ดแล้วก็แยกย้ายกันไปเข้าห้องพักกับคู่ที่ถูกจัดให้ ณรงค์ได้พักห้องเดียวกันกับอิสรา และเขาก็ค่อยวางใจไปเปลาะหนึ่งเมื่อรู้ว่าเหล่าผู้บริหารจะได้พักห้องสวีทกันคนละห้องโดยไม่ต้องแชร์กับใคร เพราะนั่นหมายความว่าไรอันกับเจมส์จะไม่ต้องนอนห้องเดียวกัน

พนักงานทุกคนมีเวลาเข้าห้องพักและทำธุระส่วนตัวหนึ่งชั่วโมงก่อนจะไปรวมกันที่ห้องอาหาร ณรงค์อาบน้ำแล้วเปลี่ยนมาใส่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายตารางกับกางเกงยีนส์ หลังจากรออิสราอาบน้ำแต่งตัวเสร็จแล้วก็เข้าไปที่ห้องทานอาหารด้วยกัน โดยระหว่างมื้อค่ำนั้นไกด์ทั้งสองออกมาเล่นเกมจับรางวัลเล็กน้อยก่อนจะขานเวลาสำหรับทำกิจกรรมในวันรุ่งขึ้น จากนั้นก็ปล่อยให้เหล่าพนักงานพักผ่อนยามค่ำคืนกันตามสบาย

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังถามไถ่กันว่าจะออกไปเที่ยวเล่นที่หาดอื่นหรือไปดวลเพลงกันที่ห้องคาราโอเกะ ณรงค์ก็รีบมองหาว่าไรอันอยู่ไหน พอเห็นอีกฝ่ายเดินเลี้ยวออกจากห้องอาหารไปทางชายหาดตามลำพังก็รีบสาวเท้าตาม หนุ่มลูกครึ่งเหลือบเห็นเขาแต่ก็เพียงเม้มปากและเดินต่อ แต่สุดท้ายก็ดูเหมือนจะทนกับเสียงฝีเท้าที่เดินตามไม่ไหวจึงหันกลับมา

“Will you leave me the fuck alone? Or I won’t ever talk to you again in my entire life!”

ไรอันหันกลับมาแหวใส่ณรงค์เมื่อเขาไม่หยุดตามเสียที ร่างสูงใหญ่มองหน้าอีกฝ่ายที่แดงเพราะความโกรธแล้วก็เลิกคิ้ว อาจเพราะสัมผัสได้ว่าไรอันเองก็ยังหวั่นไหวตอนถูกเขาจับมือระหว่างถ่ายรูปเมื่อตอนเย็น ตอนนี้ณรงค์จึงฮึกเหิมขึ้นกว่าเดิม

“นี่คุณก็แทบจะไม่พูดกับผมอยู่แล้วนี่ อีกอย่างหาดนี้มันไม่ใช่หาดส่วนตัวนะ ผมไม่มีสิทธิ์ไปเดินเล่นเหรอ?”

ไรอันถลึงตาใส่ มือทั้งสองข้างกำแน่นอยู่ข้างตัว แต่ครู่เดียวก็หมุนตัวหนี

“ขอผมอยู่คนเดียวเถอะ”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยเป็นภาษาไทยในที่สุด กังวานขอร้องในน้ำเสียงทำให้ณรงค์ชะงักฝีเท้าที่กำลังจะก้าวตาม และได้แต่มองแผ่นหลังที่อยู่ในเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ซึ่งเดินห่างออกไปทีละน้อย

คุณจะไม่ยอมให้โอกาสผมแก้ตัวบ้างเลยหรือไง...

ณรงค์ตัดสินใจทำตามที่ไรอันขอ แต่ก็ไม่ได้เดินกลับห้องในทันที เขาเดินขึ้นไปยังบาร์ซึ่งอยู่บนชั้นลอยกลางแจ้งแล้วหามุมที่นั่งซึ่งสามารถมองออกไปเห็นหาดทรายหน้าโรงแรมได้ จากนั้นก็สั่งเบียร์ขวดหนึ่งมานั่งจิบพลางมองคนที่กำลังเดินเล่นบนหาดไปด้วย ถึงแม้จะเป็นระยะที่ค่อนข้างไกล แต่แสงจากโคมไฟริมหาดที่ส่องลงต้องเสื้อยืดสีขาวก็ทำให้ณรงค์มองเห็นไรอันจากบนบาร์ได้ไม่ยาก

ชายหนุ่มเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงเลื่อนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามออก ก่อนที่เจมส์จะนั่งลงและยกขวดเบียร์ที่ถือติดมาขึ้นดื่ม นัยน์ตาสีน้ำตาลอมเทาทอดมองออกไปยังคนที่กำลังเดินเล่นอยู่ริมหาดเช่นเดียวกับณรงค์

“Seriously, seeing you two is like I’m watching a soap opera.”

เจมส์เอ่ยก่อนจะหันมายิ้มอย่างหน่ายๆ กับณรงค์ คนถูกทักจึงแค่นหัวเราะพลางยกมือหนึ่งขึ้นแกะผ้าก๊อซที่ปิดแก้มออก พอได้เห็นรอยข่วนซึ่งเป็นขีดสีแดงสี่รอยถนัดตา ญาติผู้พี่ของไรอันก็หรี่ตาลงแล้วใช้นิ้วข้างที่ถือขวดเบียร์ขึ้นชี้ถาม

“ฝีมือไรอันสินะ?”

“...ผมสมควรโดนแล้วล่ะ”

ณรงค์ตอบพลางใช้ปลายนิ้วลูบบนรอยข่วนเบาๆ เจมส์จึงระบายลมหายใจยาวพลางยกเบียร์ขึ้นดื่ม

“ผมจะไม่ถามก็แล้วกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมคิดว่ามีอะไรบางอย่างที่คุณควรจะรู้ และมันอาจจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง”

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อเจมส์ชูมือซ้ายขึ้นมาตรงหน้า เขามองหลังมือของอีกฝ่ายแล้วก็สบตาอย่างมีคำถาม สุดท้ายเจมส์จึงต้องบอกใบ้ให้ด้วยการใช้อีกมือหมุนแหวนทองคำเกลี้ยงบนนิ้วนางซ้ายไปมา และคราวนี้สายตาของณรงค์จับจ้องที่แหวนวงนั้นราวกับเห็นสิ่งแปลกประหลาดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย

“เคยสังเกตแหวนของผมบ้างมั้ย? คุณคิดว่าผมใส่ไอ้นี่ไว้เล่นๆ เหรอ?” เจมส์ถามขึ้นในที่สุด ขณะที่ณรงค์ต้องใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าจะประมวลข้อมูลในหัวได้

“คุณ....แต่งงานแล้ว?”

ชายหนุ่มตอบเหมือนคนเบื้อใบ้ ขณะที่เจมส์ยกสองมือกางออกแล้วมองฟ้าพลางขยับปากเป็นคำพูดว่า ‘Thank God.’

“Yes! ให้ตายเถอะ! ผมนึกว่าคุณรู้ตั้งแต่ตอนที่เราเจอกันครั้งแรกแล้วซะอีก ไม่นึกเลยว่าคุณจะตาถั่วจนไม่ได้สังเกตคนอื่นนอกจากไรอันขนาดนี้ ทีนี้ก็ฟังไว้นะ ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรเรื่องของผมกับหมอนั่นก็เลิกคิดได้เลย ที่ผมคอยเป็นห่วงไรอันไม่ใช่เพราะเราเป็นญาติกันเท่านั้น แต่เพราะเมียผมเป็นเพื่อนสนิทสมัยเรียนของหมอนั่น แล้วเธอก็คอยขอให้ผมรายงานความเป็นไปของเพื่อนเธอให้ฟังทุกครั้งที่ผมมาเมืองไทยต่างหาก!”

เจมส์รัวคำอธิบายยาวเหยียดก่อนจะยกเบียร์ขึ้นดื่มอย่างกระหาย และสิ่งที่ได้ยินก็ราวกับแสงไฟที่ส่องตัดม่านหมอกในใจของณรงค์ ความรู้สึกผิดที่เคยเข้าใจว่าตัวเองโดนสวมเขาและปรักปรำไรอันไปจึงแล่นเข้ามาแทนที่จนจุก

มิน่า...ไรอันถึงได้โกรธเขามากขนาดนั้น...

“ผมขอโทษ ผม...ไม่เคยสังเกตเลยจริงๆ นั่นแหละ ถ้างั้นเมื่อคืนวานคุณไปรอไรอันที่ตึกทำไม?”

เจมส์วางขวดเบียร์ลงพลางขมวดคิ้ว “เมื่อคืนวาน? อ๋อ เพราะรถหมอนั่นมีปัญหาต้องส่งซ่อม แล้วพอดีผมไปกินข้าวเย็นกับเพื่อนแถวๆ นั้นก็เลยแวะเข้าไปรับ ไม่นึกเหมือนกันว่าจะเจอคุณเดินลงมาก่อน หลังจากนั้นไรอันไม่ได้เล่าให้ผมฟังหรอกนะว่าพวกคุณคุยอะไรกัน แต่ที่แน่ๆ สายตาคุณที่มองผมวันสองวันนี้ทำผมขนลุกเพราะนึกว่าจะโดนต่อยหลายครั้งแล้ว”

ณรงค์คลี่ยิ้มเจื่อนๆ เขาพอจะรู้ตัวว่าคงเผลอใช้แววตาไม่เป็นมิตรมองอีกฝ่ายในบางครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะชัดเจนจนโดนจับสังเกตได้ 

“จริงๆ แล้วไม่ใช่แค่เรื่องนี้หรอกที่ผมอยากจะบอกคุณ อีกเรื่องก็เกี่ยวกับไรอันเองนั่นแหละ” เจมส์เอ่ยหลังจากทั้งสองนั่งเงียบกันครู่ใหญ่ ณรงค์ที่เพิ่งยกเบียร์ขึ้นจิบจึงเหลือบตาลงมองข้อมือที่สวมปลอกผ้าของตัวเอง

“…ถ้าหากเป็นเรื่องที่เขากลัวการมีความรัก ผมคิดว่าพอจะเดาได้แล้วล่ะ”

ถึงแม้จะใช้เวลาถึงหนึ่งเดือนรวมกับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้กว่าจะได้ข้อสรุปนี้ออกมา แต่ณรงค์ก็คิดว่านั่นคงไม่คลาดเคลื่อนจากความจริงนัก เจมส์ทำหน้าแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า

“Glad to hear you’ve figured it out. แต่ที่คุณไม่รู้คือสาเหตุว่าทำไมหมอนั่นกลัวการมีความรักขนาดนี้”

ณรงค์ดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของคนที่กำลังนั่งกอดเข่าดูคลื่นอยู่บนหาดทราย เจมส์ยกเบียร์ขึ้นดื่มอีกอึกก่อนจะทำหน้าเหมือนกำลังคิดหนักว่าควรจะเล่าดีหรือไม่

“จริงๆ แล้วผมอาจไม่ควรเล่าเรื่องนี้ก็ได้ แต่ผมชักทนอาการปิดกั้นตัวเองของหมอนั่นไม่ไหวขึ้นทุกที ผมจะเล่าแบบย่อๆ เลยก็แล้วกันนะ พ่อของไรอันเคยนอกใจน้ารุ้งจนทั้งคู่แยกทางกันไปปีนึงเต็มๆ ระหว่างที่ไรอันอยู่โรงเรียนประจำ”

ณรงค์ทำตาโต เพราะไรอันแทบไม่เคยเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง ดังนั้นแน่นอนว่าเจ้าตัวจึงไม่เคยปริปากเรื่องนี้ให้ได้ยินเลย

“ความจริงพวกเขาตั้งใจจะปิดเรื่องนี้จนกว่าไรอันจะเข้าไฮสคูล แต่ผู้หญิงที่คาร์ลไปมีความสัมพันธ์ด้วยกลับแอบไปหาไรอันที่โรงเรียนและบอกว่ากำลังจะมีน้องสาวให้ พอหมอนั่นรู้ก็อาละวาดยังกับพายุลงเลยล่ะ ตอนนั้นไรอันน่าจะอายุประมาณสิบสามได้”

“แล้วต่อจากนั้น?”

ณรงค์แทบไม่อยากคิดว่าการที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงแปลกหน้ามาหาและบอกว่าเป็นภรรยาใหม่ของพ่อ สำหรับจิตใจของเด็กชายอายุสิบสามที่นานครั้งจึงจะได้เจอผู้ปกครองเพราะเข้าโรงเรียนประจำตั้งแต่เด็กจะเจ็บปวดแค่ไหน

เจมส์ฟังคำถามแล้วก็ระบายลมหายใจยาว “ไรอันหนีออกจากโรงเรียนไปอยู่กับน้ารุ้งกับคุณยายที่บริสเบน คาร์ลเลยต้องไปตามกลับมา สุดท้ายทั้งสองคนก็คืนดีกันเพราะเห็นแก่ลูกชายคนเดียว ถึงตอนนี้พวกเขาจะรักกันดี แต่คาร์ลก็ยังต้องส่งค่าเลี้ยงดูให้ผู้หญิงคนนั้นกับลูกสาวที่เกิดด้วยกัน ผมคงไม่ต้องอธิบายนะว่าสำหรับไรอันที่โตมากับเรื่องนี้จะมีบาดแผลฝังใจแค่ไหน”
 
หนุ่มลูกครึ่งเล่าจบก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดขวด ความเงียบที่ตามมาทำให้เสียงคลื่นที่ม้วนซัดหาดทรายและเสียงลมกระทบยอดไม้ดังฟังชัด และณรงค์ก็ได้ตระหนักว่าความผิดหวังในวัยเด็กของไรอันมาบรรจบกับตัวเขาได้อย่างไร

เท่ากับว่า เขาเองที่เป็นคนทำให้ทุกอย่างเลวร้ายลง ตอนแรกไรอันเพียงแต่สับสนเลยไล่เขาออกจากห้อง แต่ต้นเหตุที่ทำให้ฝ่ายนั้นตัดสินใจยุติความสัมพันธ์ก็เป็นเพราะเขาไปมีคนอื่นเอง ต่อให้เพราะเมาและไม่ตั้งใจก็ตามที

“นี่ผม...ทำเรื่องที่ไม่ต่างจากพ่อของไรอันเลยน่ะสิ”

ณรงค์เอ่ยขึ้นในที่สุด เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมคืนที่ไรอันไปเห็นเขาที่ผับ อีกฝ่ายถึงได้เดินมาสาดน้ำใส่เขากับธีระ แต่หลังจากนั้นก็บอกเลิกได้ราวไม่รู้สึกอะไรสักนิด

เพราะไม่เชื่อในความรักอยู่แล้ว...เมื่อถูกตอกย้ำรอยแผลจากคนที่คบด้วยก็เลยยิ่งปิดใจมากเข้าไปอีก...

“ข้อดีก็คือ...อย่างน้อยคุณยังมีโอกาสแก้ตัวโดยไม่ได้ทำร้ายครอบครัวใคร สำหรับคืนนี้ผมถือว่าผมพูดเยอะเกินไปแล้ว ต่อจากนี้คุณควรจะทำอะไรก็คิดเอาเองเถอะ”

เจมส์ลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าไปในโรงแรม ส่วนณรงค์ยังคงนั่งที่บาร์และมองคนบนหาดทรายจนกระทั่งไรอันเดินกลับไปยังห้องพัก ชายหนุ่มแหงนหน้าขึ้นมองผืนฟ้าสีดำราวกำมะหยี่ที่มีแสงดาวพร่างพราย จากนั้นก็ยกเบียร์ขึ้นดื่มจนหมดขวดพร้อมกับไฟของความมุ่งมั่นที่ถูกจุดขึ้นในใจอีกครั้ง



++------++
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-11-2011 12:50:15 โดย bellbomb »

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ช่วงเช้าตรู่วันถัดมา ทุกคนต่างมาถึงห้องอาหารตั้งแต่เวลาเปิดเพราะต้องเตรียมตัวข้ามฝั่งไปเที่ยวเกาะ หลายคนมีสีหน้าสะโหลสะเหลเหมือนนอนไม่พอ แต่ก็ยังยิ้มแย้มทักทายกันอย่างแจ่มใส สาวๆ หลายคนแต่งตัวแบบเตรียมพร้อมจะไปเล่นน้ำทะเลกันเต็มที่

ไรอันนั่งทานอาหารเช้าอยู่กับเจมส์ที่โต๊ะบริเวณชานด้านนอกห้องอาหาร บริเวณนี้ค่อนข้างเป็นส่วนตัวจากคนอื่นๆ เนื่องจากแสงแดดส่องถึงรำไรซึ่งทำให้ไม่มีใครอยากมานั่ง แต่ก็ไม่พ้นสายตาของณรงค์ที่พยายามมองหาหนุ่มลูกครึ่งจนเจอ

“ผมขอนั่งด้วยคนนะ”

ณรงค์เอ่ยพลางวางถ้วยข้าวต้มลงและลากเก้าอี้มานั่งอย่างไม่รอคำตอบ ไรอันชักสีหน้าทันทีและทำท่าจะถอยเก้าอี้เพื่อลุกหนี แต่เนื่องจากด้านหนึ่งของโต๊ะติดกับกำแพง และณรงค์ที่นั่งข้างๆ ก็กางขาคร่อมขาเก้าอี้เขาไว้จนถอยออกไม่ได้ หนุ่มลูกครึ่งจึงถลึงตามองเขาตาขุ่น ส่วนเจมส์กลั้นหัวเราะจนต้องกระแอมกลบเกลื่อน

“I’m gonna go get more coffee.”

ญาติผู้พี่รีบหาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกจากโต๊ะ ทำให้เหลือเพียงไรอันกับณรงค์ตามลำพัง และณรงค์ก็ตักอาหารเช้าเข้าปากพลางทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับแววตาขุ่นเขียวที่กำลังมองเขาอย่างไม่พอใจ

“ไม่มีโต๊ะอื่นว่างให้คุณไปนั่งแล้วหรือไง?”

“มี แต่ผมอยากนั่งกับคุณมากกว่า”

ณรงค์ตอบแบบกำปั้นทุบดิน และทำเอาไรอันอึ้งไปเพราะนึกคำพูดโต้ตอบไม่ออก ณรงค์เห็นว่ากาแฟในถ้วยของหนุ่มลูกครึ่งพร่องลงจึงกวักมือเรียกพนักงานที่กำลังถือกาใส่ชากับกาแฟให้มาเติมให้

หลังจากพนักงานของห้องอาหารเดินจากไป ไรอันก็เหลือบตาลงมองกาแฟในถ้วยที่ร้อนจนมีควันสีขาวลอยกรุ่นแล้วมองหน้าณรงค์อีกครั้ง ตั้งแต่ได้เปิดผ้าก๊อซให้เจมส์ดูแผลเมื่อคืนแล้วเขาก็ไม่ได้ปิดผ้ากลับเข้าไปอีก ทำให้เห็นรอยถลอกจากปลายเล็บเป็นขีดสีแดงสี่ขีดอย่างชัดเจน

“ผมไม่เจ็บแล้วล่ะ ขอบคุณที่เป็นห่วง”

ณรงค์เอ่ยลอยๆ พลางตักข้าวต้มขึ้นทาน หนุ่มลูกครึ่งจึงรู้ตัวว่าเผลอมองรอยแผลบนหน้าเขานานไปจนโดนจับได้ เลยรีบหยิบโถครีมเทียมมาตักใส่กาแฟแทน

“What a shame.”

ไรอันเอ่ยพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ใบหน้าหล่อเหลาหันมองไปทางอื่นจนณรงค์แอบยิ้ม ชายหนุ่มกวาดตามองรอบตัวเร็วๆ และเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เขาก็เปลี่ยนมาใช้มือซ้ายตักข้าวต้มแทนแล้วเลื่อนมือขวาลงกุมมือซ้ายของไรอันไว้ หนุ่มลูกครึ่งหันกลับมาทันทีและพยายามจะชักมือหนี แต่ณรงค์ไม่ยอมปล่อย

“อย่าดื้อสิ ข้อมือผมเจ็บอยู่นะ”

ณรงค์พูดพลางตักข้าวต้มขึ้นทานต่อ ความจริงแล้วตั้งแต่มานั่งที่โต๊ะด้วย เขายังไม่เหลือบตามองหน้าไรอันสักครั้ง แต่การกระทำต่างๆ กลับขัดแย้งกับการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงอย่างสิ้นเชิง  และณรงค์ก็เห็นได้จากหางตาว่าผิวแก้มของคนข้างตัวชักจะซับสีเลือดจนแดงก่ำขึ้นทุกที แต่เพราะอายหรือโกรธก็สุดที่จะเดา

“You are truly a pain in the ass.”

หนุ่มลูกครึ่งเค้นเสียงลอดไรฟัน พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่อณรงค์ยกมือของเขาที่ถูกจับไว้ขึ้นจรดริมฝีปาก

“ขอบคุณนะที่ยอมกินมื้อเช้าวันนี้กับผม”

ณรงค์เอ่ยแล้วยิ้มให้ และคราวนี้หน้าของไรอันแดงเหมือนลูกตำลึงสุก หนุ่มลูกครึ่งบิดมือออกแล้วถอยเก้าอี้อย่างแรงจนณรงค์รีบชักขาหนีแทบไม่ทัน

“Don’t. Ever. Come. Near. Me. Again!!”

ไรอันกระแทกเสียงแล้วก็คว้าหมวกของตัวเองขึ้นสวมก่อนจะรีบเดินเร็วๆ ออกไป ณรงค์มองตามแล้วก็ได้แต่ยิ้มพลางยกกาแฟขึ้นจิบ อย่างน้อยตอนนี้เขาก็สามารถทำให้ไรอันแสดงปฏิกิริยาอย่างอื่นใส่นอกจากการเฉยเมยเหมือนเขาไม่มีตัวตนได้แล้ว

ไม่ให้เข้าใกล้เหรอ ถ้างั้นคุณจะโกรธหรือเปล่า ถ้ารู้ว่าหลังจากนี้ผมจะตื๊อไม่เลิกจนกว่าคุณจะยอมแล้วน่ะ...



++------++



เมื่อใกล้ถึงเวลาที่นัดไว้ พนักงานของบริษัทก็มารวมตัวกันในล็อบบี้เพื่อรอขึ้นรถที่จะมารับไปยังท่าเรือ คราวนี้ไกด์ทั้งสองคนสลับกันดูแลลูกทัวร์กลุ่มที่ตนไม่ได้ดูแลเมื่อวาน ณรงค์จึงค่อยรู้สึกว่าโล่งหูขึ้น เพราะไกด์สาวเสียงแปดหลอดคนนั้นได้ไปดูแลรถบัสอีกคัน ส่วนรถเขาได้ไกด์ซึ่งเป็นหนุ่มรูปร่างท้วมอัธยาศัยดีแต่ไม่ไฮเปอร์เท่าเพื่อนมาแทน

ณรงค์ตั้งใจรอให้ทุกคนขึ้นรถก่อนจึงค่อยก้าวขึ้นเป็นคนสุดท้าย พอมองเห็นว่าเจมส์กับไรอันนั่งอยู่ตรงไหนก็รีบเดินเข้าไปหา ฝ่ายเจมส์ก็เอื้อเฟื้อสละที่ให้อย่างรู้หน้าที่ ส่วนไรอัน...พอเห็นท่าทางของทั้งคู่ที่เข้าขากันขนาดนั้นก็โกรธจนควันแทบออกหู

“ไอ้ที่ผมบอกเมื่อเช้ามันไม่ได้เข้าไปในหัวคุณเลยใช่มั้ย?”

ไรอันเข่นเขี้ยวถามแม้จะต้องกดเสียงพราะไม่อยากให้คนอื่นได้ยิน และณรงค์ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจ เพราะตราบใดที่ยังต้องอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมงาน อีกฝ่ายก็ออกฤทธิ์ใส่เขาเต็มที่ไม่ได้

“คำขอของคุณมันขัดกับความต้องการของผมน่ะ แล้วผมก็อยากทำตามใจตัวเองมากกว่าคอยตามใจคุณด้วยสิ”

ณรงค์พูดพลางหันไปสบตากับหนุ่มลูกครึ่งตรงๆ และจับมือข้างหนึ่งไว้แน่น คราวนี้เขาไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้แสดงท่าทางยียวนเหมือนที่ห้องอาหารอีก แต่นัยน์ตาที่มองลงไปในตาของอีกฝ่ายอย่างแน่วแน่ก็ทำให้ไรอันขมวดคิ้ว และวูบหนึ่งที่ณรงค์เห็นนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายวูบไหวอย่างรุนแรงพาดผ่าน ขณะที่ริมฝีปากหยักได้รูปก็เม้มแน่นอย่างขัดใจ

แต่ครู่เดียวประกายนั้นก็หายวับราวกับณรงค์ตาฝาดไปเอง

หลังจากไกด์หนุ่มร่างสมบูรณ์เช็คชื่อว่าสมาชิกขึ้นรถครบแล้ว คนขับก็นำรถออกจากโรงแรมเพื่อมุ่งสู่ท่าเรือตามกำหนดเวลา ไรอันไม่หันมาสนใจณรงค์อีกเลยหลังจากนั้น หนุ่มลูกครึ่งเอาแต่เท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างรถทั้งที่แดดส่องเข้ามาเต็มๆ แต่ณรงค์ก็รู้ดีเกินกว่าจะแสดงท่าทางเป็นห่วงเป็นใยหรือใช้คำพูดจู้จี้จุกจิกในเวลาเช่นนี้ เขาเพียงแต่กุมมือของไรอันเอาไว้โดยใช้เสื้อเชิ้ตที่ติดมาด้วยคลุมทับเพื่อบังสายตาคนอื่น และทั้งสองก็ต่างคนต่างนั่งเงียบไปตลอดการเดินทางโดยไม่ได้สนใจฟังไกด์อธิบายกำหนดการของวันนั้นเลยแม้แต่นิดเดียว

ดูเหมือนตั้งแต่ณรงค์ประกาศจุดยืนของตัวเองออกไป ท่าทีที่แข็งกร้าวของอีกฝ่ายก็เหมือนกับขี้ผึ้งที่ถูกลนจนเริ่มอ่อน หนุ่มลูกครึ่งไม่ได้แสดงท่าทางเกรี้ยวกราดหรือใช้วาจารุนแรงกับเขาอีก แต่ก็ไม่ได้โอนอ่อนเข้าหาหรือแสดงท่าทางยินดีที่เขามาคอยเอาใจใส่ หลายครั้งที่ไรอันขมวดคิ้วเมื่อณรงค์ทำอะไรดีๆ ให้ เช่นช่วยฉุดมือตอนจะก้าวขึ้นเรือ ตอนเปิดประตูในเรือให้เดินผ่านเข้าไปก่อน หรือแม้กระทั่งตอนที่เขาไปขอน้ำอัดลมยี่ห้อที่ไรอันชอบจากตู้แช่บนเรือมายื่นให้ หนุ่มลูกครึ่งรับไมตรีทุกอย่างโดยไม่ปฏิเสธ แต่ก็ไม่ได้เอ่ยคำขอบคุณหรือยิ้มให้เลยสักครั้ง

แต่ณรงค์ก็มุ่งมั่นกับเป้าหมายจนไม่มัวมาคิดน้อยใจอีกแล้ว

หลังจากนั่งเรือกันสักพัก ทุกคนก็มาถึงหมู่เกาะตามตารางเที่ยวที่จัดไว้ นอกจากกรุ๊ปของบริษัทณรงค์แล้วก็มีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นประปราย ไกด์คู่หูทั้งสองแจกอุปกรณ์สำหรับการดำน้ำตื้นและสอนวิธีใช้ให้กับผู้ที่สนใจจะดำน้ำ ส่วนใครที่อยากเดินเล่นชมเกาะหรือแค่เล่นน้ำบนหาดก็เลือกได้ตามอัธยาศัย

“ไปสนอร์กเกิ้ลกันมั้ย?”

ณรงค์ถามไรอัน แต่ในมือกลับถือหน้ากากดำน้ำกับเสื้อชูชีพอย่างละสองชุด หนุ่มลูกครึ่งเหลือบมองอุปกรณ์เหล่านั้นแล้วก็ขมวดคิ้วแต่ไม่ตอบ ณรงค์จึงดันอีกฝ่ายไปลงเรือเล็กซึ่งจอดรอรับคนที่ต้องการจะไปดำน้ำโดยไม่ถามซ้ำ

ดูเหมือนหลังจากรู้แล้วว่าใช้คำพูดแรงๆ แค่ไหนก็ไม่มีผล ไรอันเลยเปลี่ยนยุทธศาสตร์มาตั้งรับณรงค์ด้วยสงครามเงียบแทน แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ย่อท้อ และคิดเข้าข้างตัวเองว่าดีเสียอีกที่ไม่ต้องมาคอยปะทะคารมให้ไรอันยิ่งอารมณ์เสียกับเขามากขึ้นไปอีก

เรือลำเล็กออกจากอ่าวที่เรือใหญ่ทอดสมอและพาผู้ที่ต้องการจะดำน้ำตื้นซึ่งมีประมาณสามสิบคนไปยังอีกอ่าวหนึ่งซึ่งเป็นอ่าวปิด จากนั้นก็ทอดสมอให้ผู้ที่ต้องการชมปะการังและสัตว์น้ำได้ลงไปชมความงามใต้ผิวน้ำ ไรอันเหลือบมองณรงค์ด้วยสีหน้าไม่ค่อยเต็มใจขณะเข้าแถวรอคิว แต่พอหย่อนตัวลงน้ำแล้วหนุ่มลูกครึ่งก็คว้าหน้ากากขึ้นสวมก่อนจะว่ายห่างออกไป ณรงค์จึงไม่รอช้าที่จะตามลงไปทันที

แสงแดดอันแผดร้อนยามสายตัดกับความเย็นของน้ำทะเลสีครามที่ใสราวกับแก้ว และความงามของธรรมชาติใต้บาดาลก็ดูเหมือนจะช่วยละลายอารมณ์ขัดเคืองของไรอันไปได้ไม่น้อย เพราะในไม่ช้าหนุ่มลูกครึ่งก็เพลิดเพลินไปกับการว่ายชมสีสันของดอกไม้น้ำและสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเลจนลืมว่าณรงค์อยู่ข้างๆ ไปเสียสนิท

หลังจากดำน้ำชมปะการังกันได้ครู่ใหญ่ ณรงค์ก็เงยหน้าขึ้นจากน้ำแล้วมองไปรอบตัว และพบว่าเพื่อนร่วมงานต่างกำลังสนใจกับการดำผุดดำว่ายชมทิวทัศน์ใต้ท้องทะเล ส่วนคนขับเรือก็นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนเรือแถมหันหลังให้ เขาจึงว่ายเข้าไปหาไรอันแล้วฉุดข้อมือเบาๆ ให้ว่ายน้ำตามไปทางซอกโขดหินข้างหน้าผาไม่ห่างจากบริเวณที่ทุกคนกำลังดำน้ำกันอยู่มากนัก

เมื่อมาถึงมุมที่ค่อนข้างลับตาคนอื่นแต่ยังพอจะมองเห็นเรือได้ ณรงค์ก็ดึงไรอันเข้าไปหาแล้วจับให้อีกฝ่ายพิงหลังกับโขดหิน จากนั้นก็ปลดหน้ากากทั้งของไรอันและของตัวเองออก หนุ่มลูกครึ่งขมวดคิ้วเมื่อณรงค์ก้มลงหาและทาบทับริมฝีปากลงมา แต่ก็ไม่ได้ขัดขืนแม้เมื่อถูกปลายลิ้นอุ่นหยอกเย้าจนจั๊กจี้ และเผยอปากให้ณรงค์ได้ดื่มด่ำกับความหวานภายในในที่สุด ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ผละริมฝีปากออกอย่างเชื่องช้าเมื่อได้ยินเสียงร้องเรียกจากคนขับเรือว่าหมดเวลาดำน้ำแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่ได้ถอยห่างและใช้ร่างตัวเองดันหนุ่มลูกครึ่งจนหลังติดโขดหินอยู่อย่างนั้น

ไรอันหน้าแดงก่ำเมื่อคนตัวใหญ่กว่าสบตาเขานิ่งพลางสอดมือเข้าใต้เสื้อชูชีพแล้วไล้นิ้วหัวแม่มือกับยอดอกข้างหนึ่งอย่างอ้อยอิ่ง ถึงแม้ว่าใต้เสื้อชูชีพจะยังมีเสื้อยืดอยู่อีกชั้น แต่เนื้อผ้าที่อุ้มน้ำจนแนบเนื้อก็ไม่ได้ช่วยลดความวาบหวามจากสัมผัสของนิ้วแข็งแรงได้เลย

“How old are you? Sixteen?”

หนุ่มลูกครึ่งปัดมือของณรงค์ออกและว่ายน้ำหนี ณรงค์จึงหัวเราะที่ในที่สุดไรอันก็ยอมพูดด้วยแม้จะเพื่อกระแนะกระแหน ร่างสูงใหญ่หมุนหน้ากากดำน้ำที่ห้อยคอไปไว้ด้านหลังพลางว่ายตามไปใกล้ๆ

“เฉพาะเวลาอยู่กับคุณเท่านั้นแหละ”

หลังจากสมาชิกทุกคนกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ไกด์ก็นำขึ้นเรือใหญ่เพื่อเที่ยวชมรอบเกาะและพาไปทานอาหารกลางวันที่อีกเกาะหนึ่ง ช่วงนี้ณรงค์ปล่อยให้ไรอันนั่งทานข้าวกับพวกผู้บริหารโดยไม่ตามไปป้วนเปี้ยนเพื่อให้เจ้าตัวได้พักบ้าง แต่พอหมดเวลาอาหารและทุกคนสามารถเลือกพักผ่อนชมร้านค้าในหมู่บ้านชาวเลหรือเล่นน้ำตามอัธยาศัย ณรงค์ก็ตามประกบไรอันอีก ทั้งคู่เดินเข้าซอยนั้นออกซอยนี้ในตลาดด้วยกัน แต่ไรอันก็เพียงหยิบข้าวของบางชิ้นมาดูแต่ไม่ได้ซื้อ

“คุณไม่อยากได้อะไรเลยเหรอ?”

ณรงค์ถามหลังจากเห็นไรอันเดินผ่านร้านขายของที่ระลึกอีกร้านโดยไม่ซื้ออะไร หนุ่มลูกครึ่งยักไหล่แต่ก็ไม่ตอบ ดูเหมือนตอนนี้ความท้าทายของณรงค์ก็คือการพยายามทำให้อีกฝ่ายยอมสื่อสารกับเขาด้วยเสียงให้ได้ไปแล้ว ชายหนุ่มหยุดเดินที่หน้าร้านขายเครื่องประดับจุกจิกโดยปล่อยให้ไรอันเดินนำหน้าไปก่อน ครู่หนึ่งจึงค่อยเดินเร็วๆ ตามไปจนทันแล้วกระตุกข้อมือหนุ่มลูกครึ่งเบาๆ

ไรอันเอี้ยวคอมามองเขาพลางขมวดคิ้ว แต่ยังคงไม่พูดอะไรเช่นเดิม ณรงค์จึงยิ้มแล้วเอาของที่เพิ่งซื้อมาสวมลงบนคอให้

มันเป็นสร้อยใส่เล่นทำจากเส้นหนังสีดำที่ห้อยยาวลงจนถึงกลางอก ปลายด้านหนึ่งร้อยเข้ากับจี้ซึ่งทำจากเปลือกหอยสีขาวเหลือบประกายมุกที่แกะสลักเป็นรูปใบคลัฟเวอร์สี่แฉก สัญลักษณ์ที่ทางตะวันตกเชื่อว่าจะนำมาซึ่ง ‘ความโชคดี’ ให้แก่ผู้ที่พบหรือสวมใส่

ไรอันหยิบจี้ที่ห้อยคอขึ้นดูแล้วก็เม้มปากขณะที่ณรงค์อธิบาย “ผมจำได้ว่าคุณเคยบอกว่านับถือพุทธ แต่อย่างน้อยเครื่องรางพวกนี้มันก็เป็นสากล ผมอยากให้คุณใส่ไว้จะโชคดีนะ รัก”

ณรงค์เรียกไรอันด้วยชื่อเล่นที่ไม่ได้เรียกมานาน และเมื่อคำนั้นหลุดจากปาก เขาก็รู้สึกเหมือนได้พูดความในใจไปด้วย บางทีที่เขาชอบเรียกไรอันด้วยชื่อเล่นก็เพราะมันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เขาจะได้สื่อสารความในใจให้อีกฝ่ายรู้บ่อยๆ นี่เอง

“...ทำไม?”

“หือ?”

ไรอันถามเสียงเบาจนณรงค์ต้องเงี่ยหูฟัง หนุ่มลูกครึ่งจึงเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนมีประกายราวกับมีกองเพลิงเล็กๆ ที่สุมด้วยความโกรธอยู่ในนั้น

“ทำไมคุณไม่เลิกยุ่งกับผมเสียที! คุณมีเด็กคนนั้นแล้วไม่ใช่รึไง!? หรือว่าการมีคนรักหลายคนพร้อมกันมันสนุกนักถึงได้ตามรังควานผมอยู่ได้!??”

เสียงของไรอันเกือบจะเป็นตะเบ็งตอนท้ายประโยค ร่างของหนุ่มลูกครึ่งสั่นเทิ้มขณะที่ผิวหน้าแดงจัดด้วยอารมณ์อันคุกรุ่น คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมารวมทั้งพ่อค้าแม่ค้าเหลือบมองพวกเขาแล้วต่างก็รีบหันหน้าหนีหรือทำเป็นไม่สนใจ หากแต่ยังเป็นโชคดีของทั้งคู่ที่เดินเข้ามาในตลาดลึกมากจนคนอื่นในบริษัทยังเดินมาไม่ถึง บริเวณนั้นจึงไม่มีใครที่รู้จักพวกเขาเลย

ณรงค์ยืนจ้องตากับไรอันนิ่งอยู่กลางทางเดินโดยไม่หลบตา เขามองใบหน้าที่ฉายชัดถึงความโกรธเกรี้ยวของอีกฝ่าย และสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่ถูกบดบังด้วยน้ำเสียงและท่าทางฉุนเฉียวเหล่านั้น แต่ก็ไม่ได้โกรธตอบและมีเพียงความเข้าใจที่สะท้อนอยู่ในแววตา

ไรอันไม่ได้เกลียดเขา ข้อนี้ณรงค์ไม่สงสัยเลย ไม่อย่างนั้นเขาคงโดนชกไปตั้งแต่ตอนที่นั่งจับมืออีกฝ่ายที่ห้องอาหารเช้าแล้ว แต่เพราะแผลในใจที่ฝังแน่นมาตั้งแต่เด็ก บวกกับความผิดของเขาเองที่ทำให้ไรอันปักใจว่าเขานอกใจไปมีคนอื่น ทำให้ไม่อาจยอมรับความรู้สึกของณรงค์ที่มาคอยตามงอนง้อได้อย่างง่ายดาย

และก็เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเรียกความมั่นใจนั้นคืนมา ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่มีวันได้ใจของไรอันกลับมาอีกเลย

“มันไม่สนุกหรอกที่ต้องคอยปฏิเสธหัวใจตัวเองน่ะ และก็เพราะผมรู้แล้วว่ามันเจ็บแค่ไหน ผมถึงได้บอกเลิกเขาเพื่อจะมาตามง้อคุณคนเดียวนี่ไง”

“…ฮะ??”

ไรอันทำหน้าเหมือนหูฝาด และณรงค์ก็ชักจะเขินกับคำพูดเลี่ยนๆ ของตัวเอง แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้เขาก็มีแต่ต้องเดินหน้าต่อเท่านั้น

“ผมกำลังบอกว่าคนที่ผมรักมีแต่คุณคนเดียวไงล่ะ ยกโทษให้ผมแล้วกลับมาดีกันเถอะนะ”

ณรงค์คิดว่าได้ยินเสียงกลั้นหายใจจากหลายคนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้น...



++---TBC---++



A/N: ขนาดเขียนเองยังเหนื่อยตามณรงค์ไปด้วย ดูเหมือนพอพ่อคุณอยากง้อก็กลับเข้าโหมดหื่นใส่ไรอันทันทีทันใด แต่คนอ่านอาจจะบอกว่านี่แหละนิยายของ Bellbomb ก็ได้นะ เพราะถ้าพระเอกไม่หื่นแล้วจะเขียนไม่ออกพิกล

ตอนก่อนมีคนยุใ้ห้น้องตี้คู่กับพี่เจมส์ (ซึ่งก็เข้าใจได้ เพราะเรื่องนี้มีตัวละครเด่นน้อย) แต่ตอนนี้คงทำหลายคนอกหักดังเป๊าะเนื่องจากพี่เจมส์มีคู่เป็นตัวเป็นตนอยู่แล้ว แต่ไม่ต้องเสียใจแทนน้องตี้ค่ะ เพราะว่าเราก็คิดหาคนมาคู่ให้น้องแล้วเหมือนกัน แต่ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ว่าเป็นใคร อย่างไร อะไร ที่ไหน(?) เท่านั้นแล ขอเขียนเรื่องของคู่หลักให้จบก่อน แค่นี้ก็ปวดเศียรแทบแย่แล้ว อิอิอิ

สำหรับตอนนี้ก็ทิ้งท้ายแบบให้ลุ้นกันต่ออีกนิด สารภาพว่าคิดชื่อตอนนานมว้ากเพราะมันก็ยังไม่ใช่ตอนสุดท้าย เลยมาลงตัวที่ "ตอนก่อนส่งท้าย" นี่แหละ แล้วไว้มาติดตามคำตอบของไรอันในตอนหน้ากันนะคะ หวังว่าคงเป็นตอนสุดท้าย-ท้ายสุดเหมือนกัน โฮ่ๆๆ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่า "รัก" เป็นตัวละครที่ชอบน้อยที่สุดในบรรดาตัวละครที่ผ่านๆ มา   :serius2:

คุณริน อย่าเพิ่งโมโหข้าพเจ้านะ   :monkeysad:

คุณผึ้ง จว๋าย อ่านตอนนี้แล้วจะหมั่นไส้ไรอันน้อยลงไหมอ่า หนุ่มรักเขาก็มีความเป็นมาน่าเห็นใจอยู่เหมือนกันน้า ^___^"

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ berlyn

  • Put Van The Man on the jukebox then we start to dance
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 265
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-2
โอ้ยเขินนน^^// ตอนที่ณรงค์พูดกับไรอันช่วงสุดท้าย ใจอ่อนสักนิดก็ดีนะ เค้าอุส่าห์รู้ใจตัวเองแล้วนะ
แต่ก็เข้าใจแหละนะว่า ไรอันมีเรื่องฝังใจมาก่อน

เจมส์ ไม่น่าแต่งงานแล้วเลย

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
เจมส์ ไม่น่าแต่งงานแล้วเลย

คนนี้ taken แล้วค่ะ อิอิอิ

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
โธ่ ไรอัน มีปมอดีต กลัวความรักนี่เอง ...........
...แล้วจะยอมคบกับรงค์ทำไมตั้งแต่แรกฟร่ะ นึกอยากจะรักก็ทำตัวน่ารัก พอนึกหวาดระแวงความรักก็บอกว่าน่ารำคาญงั่นเหรอว่ะ???
.
น่าจะจับกดน้ำหลังโขดหินนะ เห๊อะ!

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
โธ่ ไรอัน มีปมอดีต กลัวความรักนี่เอง ...........
...แล้วจะยอมคบกับรงค์ทำไมตั้งแต่แรกฟร่ะ นึกอยากจะรักก็ทำตัวน่ารัก พอนึกหวาดระแวงความรักก็บอกว่าน่ารำคาญงั่นเหรอว่ะ???
.
น่าจะจับกดน้ำหลังโขดหินนะ เห๊อะ!

ป้าดดดดด โหดง่ะ XD

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
ถึงว่า...ทำไมไรอันถึงโกรธรงค์มากมายขนาดนั้น ......ที่แท้ไรอันมีปมในอดีตนี่เอง

แอบเสียดายที่เจมส์แต่งงานแล้ว เฝ้ารอดูคู่น้องตี้ว่าจะเป็นใคร

เหมือนว่าอะไรๆมันจะดีขึ้นแล้วเนอะ แอบโล่งใจ ^^



ปล. คิดถึง~ คุณเชษฐ์กะภัทรจังเลย >_<

ออฟไลน์ silverspoon

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2426
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +275/-12
ตี้กลายเป็นคนดีไม่มีที่อยู่

(ซุ่มอ่านมานาน ขอเม้นท์ด้วยข้อความข้างบนนะคะ  :laugh:)

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
เอาใจช่วยคู่นี้มากถึงมากที่สุด เพราะอย่างน้อยๆ คู่นี้เขาก็มีมุมน่ารักๆๆ ในตัวของตัวเอง 

ถึงแม้จะไม่ค่อยปลื้มปนหมั่นไส้ ไรอัน ก็ตามเถอะ แต่ก็อยากให้เจ้าหนูรัก มีความสุขนะเนี่ย  :o8:

คุณริน เลิกแกล้งตาลุงณรงค์ กับ หนูรัก ได้แล้วนะ  o18

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
เป็นกำลังใจให้รงค์

ก็เข้าใจไรอันอยู่นะ กับบาดแผลในวัยเด็ก
แต่ก็นะ ตอนนี้โตแล้วนี้น่าจะแยกแยะได้

 :เฮ้อ: :เฮ้อ:

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
คุณริน เลิกแกล้งตาลุงณรงค์ กับ หนูรัก ได้แล้วนะ  o18

แอร๊ยยย์ อัพเกรดให้เป็นคุณลุงแล้วเร้อออออ XD

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
จะเป็นภาคส่งท้าย อีกที ปลายปีเลยป่าวครับ?

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
จะเป็นภาคส่งท้าย อีกที ปลายปีเลยป่าวครับ?

ปลายปีมันเร็วไปเหรอคะ งั้งหลังปีใหม่ละกันเนอะ ไหนๆ ก็ไหนๆ ละ ^^a

ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10
จากที่อ่านมาแต่ต้น เห็นว่ารงค์กะรักเค้าเริ่มต้นกันตอนช่วงคริสมาสต์
ก็เลยนึกเล่นๆว่าถ้าจะส่งท้ายในช่วงเวลาเดียวกันอ่านแล้วก็น่าจะรู้สึกว่าพิเศษดี
.
แต่ถ้าคนแต่งสะดวกเลยปีใหม่แล้วก็รออ่านช่วงนั้นแหล่่ะครับ

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ยินดีที่ได้รู้จัก...รัก ตอนพิเศษ Square One [ภาคบทสรุป]

"ผมกำลังบอกว่าคนที่ผมรักมีแต่คุณคนเดียวไงล่ะ ยกโทษให้ผมแล้วกลับมาดีกันเถอะนะ"

ณรงค์ไม่รู้ว่าควรคาดหวังอะไรหลังจากขอคืนดี แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ความเงียบงันของคนที่กำลังเม้มปากแล้วก็หรี่ตามองเขาท่ามกลางผู้คนที่เดินผ่านไปมาเหมือนตอนนี้แน่

ไรอันไม่ตีโพยตีพายอีก  เพียงแต่เดินผ่านเขาเพื่อกลับไปที่เรือใหญ่ ทำให้การเดินชมตลาดของสองหนุ่มจบลงก่อนถึงเวลาที่ไกด์นัดรวมตัวเป็นชั่วโมง และแม้ว่าหลังจากนั้นณรงค์จะตามเอาเครื่องดื่มไปให้หรือพยายามชวนคุยอย่างไร ไรอันก็ไม่ปริปากพูดด้วยอีกเลยแม้แต่คำเดียว กระทั่งทุกคนทยอยกลับมาที่เรือแล้ว ณรงค์จึงตัดใจปลีกตัวไปรวมกลุ่มกับรุ่นน้องในทีมเพราะสัมผัสได้ว่าหนุ่มลูกครึ่งอยากอยู่คนเดียว กระนั้นระหว่างที่เรือเบนหัวกลับสู่ฝั่ง มีบางครั้งที่เขาหันไปทางไรอัน ซึ่งพอสายตาประสานกัน อีกฝ่ายก็จะมุ่นหัวคิ้วแล้วหันมองไปทางอื่น ขณะที่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็สะท้อนแววครุ่นคิดอันยากจะตีความอยู่ตลอดเวลา

ถ้าหากจะมีใครในโลกนี้ที่ทั้งเข้าใจยากและง้อยากกว่าจนน่าถอดใจ ณรงค์ก็เชื่อว่าคงไม่มีใครเกินผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งของเขาแน่ แต่แย่หน่อยที่เขารักไรอันไปแล้ว และต่อให้ฝ่ายนั้นทำตัวแย่กว่านี้อีกสักสิบเท่า ณรงค์ก็คงมองข้ามเรื่องเหล่านั้นและตั้งหน้าตั้งตาง้อเหมือนที่กำลังทำในตอนนี้อยู่ดี

อย่างน้อยหากไรอันแสดงออกว่ารับรู้ถึงความมุ่งมั่นของเขาและพูดอะไรออกมาบ้าง...ไม่ว่าจะในเชิงตอบรับหรือปฏิเสธ ณรงค์คงใจชื้นขึ้นกว่านี้...

เมื่อกลับมาถึงฝั่ง ไกด์ก็นำทุกคนขึ้นรถบัสเพื่อกลับโรงแรม เนื่องจากคืนนี้ทางบริษัทวางแผนจะจัดงานปาร์ตี้ แถมยังจะมีการแสดงและมอบรางวัลประจำปีด้วย ทีมงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องเข้าไปซักซ้อมและเตรียมตัวกันก่อนจะถึงเวลา ขณะที่คนซึ่งไม่เกี่ยวข้องก็ได้มีเวลาพักผ่อนมากกว่าไปโดยปริยาย

เนื่องจากณรงค์เป็นคนออกแบบการตกแต่งห้องจัดเลี้ยง เมื่อถึงโรงแรมเขาจึงแวะตรวจความเรียบร้อยของสถานที่ก่อนจะกลับห้องพักไปอาบน้ำแต่งตัว ธีมของงานที่ค่อนข้างจะเป็นทางการ ทำให้เขาต้องใส่กางเกงแสล็คกับเสื้อเชิ้ตและเสื้อแจ็คเก็ตทับด้วย เพียงแต่แบะคอปกออกและไม่ได้ผูกเน็คไทหรือหูกระต่าย

“นานๆ แต่งตัวแบบนี้ทีไม่คุ้นเลยแฮะ ทำไมมาทะเลเขาถึงไม่จัดปาร์ตี้ให้มันเข้ากับธีมชายหาดหน่อยนะพี่รงค์?”

อิสราบ่นขณะทั้งสองเดินออกจากห้องพักด้วยกัน โชคยังดีที่พวกเขาทำงานอยู่ฝ่ายครีเอทีฟ อย่างน้อยแจ็คเก็ตที่ใส่จึงยังได้รับอนุโลมให้ออกแนวลำลองกว่าพวกผู้บริหาร

“ก็ผลโหวตของบริษัทดันออกมาแบบนี้นี่นา พวกสาวๆ คงอยากแต่งชุดค็อกเทลสวยๆ กันมากกว่าบีชปาร์ตี้ละมั้ง”

ณรงค์ตอบขณะที่เดินไปสมทบกับพนักงานคนอื่นๆ หน้าห้องจัดเลี้ยง ด้านในถูกตกแต่งตามที่เขาออกแบบไว้ แต่พนักงานจะถูกจัดให้นั่งโต๊ะแยกกันด้วยวิธีจับสลาก ซึ่งเป็นแผนของฝ่ายบุคคลที่ต้องการให้แต่ละแผนกได้กระชับความสัมพันธ์กันมากขึ้น

ณรงค์เข้าคิวเพื่อหยิบหมายเลขโต๊ะที่จะได้นั่งจากกล่องหน้าทางเข้างาน จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงเพื่อหาโต๊ะและนั่งลง สำหรับเขานั้นให้นั่งกับใครก็ไม่ต่างกันเพราะรู้จักทุกคนในบริษัทอยู่แล้ว จนกระทั่งใกล้จะได้เวลาเริ่มงานและทุกคนมารวมกันครบ ชายหนุ่มก็เลิกคิ้วเมื่อเห็นว่าสมาชิกคนสุดท้ายที่กำลังเดินมาที่โต๊ะคือใคร จากนั้นก็หุบยิ้มแทบไม่ลงกับความบังเอิญ

ไรอันชะงักเมื่อเห็นณรงค์นั่งอยู่ที่โต๊ะ นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบลงมองกระดาษในมือเพื่อเช็คหมายเลขอีกครั้ง ณรงค์ดูออกว่าเจ้าตัวคงไม่อยากนั่งข้างเขาในเมื่อตอนนี้ที่โต๊ะเหลือเก้าอี้ว่างที่เดียว แต่หากขอแลกกับคนอื่นก็คงทำให้ใครๆ เกิดคำถาม สุดท้ายหนุ่มลูกครึ่งจึงต้องยอมนั่งตรงนั้นเพื่อตัดปัญหาอย่างช่วยไม่ได้

งานเลี้ยงเริ่มขึ้นโดยทีมพนักงานใหม่เป็นผู้เปิดการแสดง จากนั้นพิธีกรก็ขึ้นไปเชิญผู้บริหารกล่าวเปิดงานและเริ่มพิธีมอบรางวัล ณรงค์เองก็ต้องลุกขึ้นไปรับรางวัลด้วยในฐานะซีเนียร์ดีไซเนอร์ที่ทำผลงานได้โดดเด่นที่สุดในปีที่ผ่านมา ขณะที่ไรอันก็ต้องผละจากโต๊ะไปมอบรางวัลสลับกับผู้บริหารรายอื่นเป็นบางครั้ง

แต่ทุกครั้งที่ทั้งคู่นั่งที่โต๊ะพร้อมกัน
สิ่งหนึ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นเลย ก็คือ ณรงค์จะเลื่อนมือข้างหนึ่งลงไปวางทาบบนต้นขาไรอันไว้ตลอดเวลา

เขาไม่รู้ว่ากำลังล้ำเส้นหรือเปล่า แต่ณรงค์ก็คร้านจะสนใจ  ในเมื่อตั้งใจแล้วว่าจะใช้ทริปนี้ปรับความเข้าใจกับไรอันให้ได้ และโชคก็ช่างเข้าข้างเหลือเกินที่ทำให้ได้มีโอกาสใกล้ชิดอีกฝ่ายมากมายโดยไม่ต้องทำอะไรกระโตกกระตากให้คนอื่นเอะใจแม้แต่น้อย ถึงแม้เขาจะรู้ว่าคนข้างตัวเหล่ตามามองด้วยความหมั่นไส้อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มือเขาไม่ได้แค่วางเฉยๆ แต่ออกแรงบีบเบาๆ เป็นระยะอย่างเรียกร้องความสนใจด้วย

งานเลี้ยงดำเนินไปร่วมสองชั่วโมงโดยมีการแสดงจากพนักงานใหม่คั่นเวลาอีกสองชุด กระทั่งตกดึก พวกผู้บริหารที่อายุมากหน่อยก็ขอตัวลากลับห้องพัก เปิดทางให้พวกหนุ่มๆ สาวๆ เปิดฟลอร์แดนซ์กลางห้องจัดเลี้ยงกันได้เต็มที่

ไรอันซึ่งนั่งอยู่ข้างณรงค์ยกแก้วไวน์ขึ้นดื่มจนหมดแล้วทำท่าจะกลับห้องเช่นกัน หนุ่มลูกครึ่งแทบไม่พูดกับใครเลยระหว่างมื้ออาหาร กลายเป็นณรงค์เสียอีกที่ชวนทุกคนคุยจนต่างค่อยคลายความอึดอัดกับท่าทางไม่รับแขกของผู้บริหารหนุ่มลงบ้าง แต่ไรอันยังไม่ทันจะได้ลุกก็มีพนักงานสาวๆ มารุมชวนให้ออกไปเต้นด้วยกัน

“I don’t dance.”

ไรอันขมวดคิ้วพลางตอบด้วยน้ำเสียงเฉื่อยนิดหน่อย เพราะระหว่างที่ณรงค์ชวนคนอื่นคุย หนุ่มลูกครึ่งก็เอาแต่ดื่มไวน์อย่างเดียวเพื่อปิดกั้นการสนทนา ตอนนี้ใบหน้าคนพูดจึงแดงเรื่อเพราะแอลกอฮอลล์

“แป๊บเดียวก็ได้ค่ะคุณไรอัน นานๆ จะได้มาสังสรรค์กันทั้งบริษัททั้งที นะคะๆๆ พลีสสสส”

ดูเหมือนเหล่าสาวๆ เองก็จะไม่ยอมแพ้เช่นกัน ณรงค์ได้แต่กลั้นหัวเราะเพราะสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกของไรอัน ในเมื่อเขาก็รู้ว่าสาเหตุจริงๆ ที่เจ้าตัวปฏิเสธไม่ใช่เพราะเต้นไม่เป็นเสียหน่อย แต่หนุ่มลูกครึ่งได้ยินจึงเหลือบมองเขาตาขวาง

“Alright, if he goes, I’ll go.”   

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อโดนหนุ่มลูกครึ่งชี้นิ้วโป้งมาทางเขา เหล่าสาวๆ ที่กำลังพยายามยื้อไรอันจึงหันมารุมจ้องเขาตาวาว

“รงค์/ พี่รงค์ เห็นแก่เพื่อนๆ/ น้องๆ หน่อยนะ มาเต้นเป็นเพื่อนคุณไรอันหน่อยเร้ววววว”

“เฮ่ย! เดี๋ยวๆๆๆ”

ชายหนุ่มพยายามร้องห้ามแต่ก็ช้าไป เพราะเพื่อนร่วมงานทั้งสาวน้อยสาวใหญ่ต่างพากันลากและดันเขากับไรอันให้ออกไปร่วมวงจนได้ เนื่องจากไฟกลางในห้องจัดเลี้ยงถูกปิดและไฟดิสโก้หลากสีถูกเปิดขึ้นแทน เมื่อพนักงานหลายสิบคนมารวมกันเต้นตรงกลางฟลอร์ที่เป็นพื้นที่ว่างแคบๆ จึงแทบจะดูไม่ออกว่าใครเป็นใคร

ณรงค์ไม่ใช่นักเต้นเพราะปกติชอบนั่งดื่มอย่างเดียว แต่การเคลื่อนไหวของคนรอบข้างก็ทำให้ต้องขยับโยกตัวบ้างพอเป็นพิธี นัยน์ตาเฉียบคมพยายามมองหาไรอันเพราะทั้งคู่ถูกฉุดแยกไปคนละมุมของฟลอร์ เขาจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังโดนสาวๆ รุมล้อมอยู่ตรงไหน

โชคยังดีที่ไรอันไม่ใช่ไบเซ็กชวล แถมพนักงานของบริษัทก็มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ไม่อย่างนั้นณรงค์คงไม่วางใจจนปล่อยให้หนุ่มลูกครึ่งโดนลากออกมาเต้นตั้งแต่แรก แต่กระนั้นเขาก็ยังอดห่วงไม่ได้ว่าจะมีสาวใจถึงคนไหนเข้าไปเต้นรำใกล้ชิดแบบถึงเนื้อถึงตัวอีกฝ่ายหรือเปล่า

ไฟดิสโก้หลากสีบนเรือนร่างของผู้คนบนฟลอร์ผสานกับเสียงดนตรีสร้างบรรยากาศอันเย้ายวนใจ แต่ณรงค์ก็มีเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวคือร่างสูงโปร่งที่มีผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน และในชั่ววูบหนึ่งที่กำลังเบียดคนอื่นเพื่อหาหนุ่มลูกครึ่ง เขาก็รู้สึกราวได้ย้อนความทรงจำกลับไปสู่คืนคริสมาสต์อีฟที่เจอไรอันในผับอีกครั้ง

เพลงที่ถูกเปิดในห้องจัดเลี้ยงเร่าร้อนไม่ต่างจากคืนนั้น เพียงแต่เหล่าคนที่กำลังเต้นไม่ได้อวดลีลาเชิญชวนเท่าลูกค้าที่ผับ ไม่นานณรงค์ก็กวาดสายตาไปพบกับแผ่นหลังที่คุ้นเคย ถึงแม้ไรอันจะไม่ได้เต้นด้วยท่วงท่าสุดเหวี่ยงเหมือนในความทรงจำก็ตาม

แผ่นหลังที่ยามไร้อาภรณ์ปกปิดเคยทำให้เขาหลงใหลจนแทบคลุ้มคลั่ง

ณรงค์เดินเบียดเพื่อนร่วมงานที่กำลังเต้นกันเข้าไปหาร่างอันคุ้นตาที่กำลังมีสาวๆ รายล้อม เขาไม่ได้ขยับเข้าไปแทรกกับคนอื่นๆ แต่เพียงแค่ยืนซ้อนไรอันไว้และสอดมือทั้งสองเข้าใต้ชายเสื้อแจ็คเก็ตไปจับเอวสอบ ก่อนจะกระซิบเสียงเบาจากด้านหลังเพื่อไม่ให้ตกใจ

“ชู่วว์”

 ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าช่วงไหล่ของคนตรงหน้าเกร็งขึ้น แต่ไรอันก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหนีหรือปัดป้อง อาจเพราะด้วยวางใจว่าเป็นเขา และไฟที่สลัวรวมทั้งเหล่าเพื่อนร่วมงานที่เบียดกันอยู่ก็ช่วยบังมือของณรงค์ที่สอดอยู่ใต้ชายแจ็คเก็ตก็เป็นได้ เพราะครู่เดียวไหล่ที่เกร็งของหนุ่มลูกครึ่งก็ค่อยผ่อนคลายลงตามเดิม

ณรงค์ขยับตัวตามการเคลื่อนไหวของคนตรงหน้า ซึ่งดูเหมือนจะเพียงแค่โยกตัวให้เข้ากับจังหวะเพลง โชคดีที่หลายคนซึ่งยืนอยู่รอบๆ ก็คงดื่มกันหนักจนค่อนข้างเมา เลยไม่ค่อยมีใครสนใจณรงค์ซึ่งยืนเบียดอยู่ด้านหลังของผู้บริหารหนุ่มลูกครึ่งสักเท่าไหร่

ลมหายใจของไรอันสะดุดเมื่อมือทั้งสองที่จับอยู่บนเอวเริ่มไม่อยู่นิ่ง แต่ค่อยๆ เปะป่ายสูงขึ้นบนแผ่นอกโดยอาศัยว่ามีแจ็คเก็ตช่วยบังไว้ หนุ่มลูกครึ่งสูดหายใจลึกเมื่อปลายนิ้วใหญ่กดลงนวดคลึงบนยอดอกทั้งสองข้างผ่านเสื้อเชิ้ต ขณะเดียวกันคนข้างหลังก็ยิ่งบดสะโพกเข้ากับบั้นท้ายเครียดเกร็งของเขาอย่างจงใจขึ้นทุกที แต่หนุ่มลูกครึ่งก็ควบคุมเสียงที่เกือบจะหลุดออกมาได้ด้วยการเม้มปากแน่นและไม่หันไปข้างหลังสักแวบเดียว กระนั้นณรงค์ก็มั่นใจว่าหากไม่ใช่เพราะไฟที่ค่อนข้างสลัวซึ่งบดบังไว้ ใบหน้าของไรอันที่คงแดงก่ำจากการถูกสัมผัสคงทำให้ใครต่อใครสงสัยแน่

และเขาเองก็กำลังจะควบคุมตัวเองให้หยุดแค่นี้ไม่ไหวแล้วด้วย

“...ผมจะออกไปรอตรงประตูด้านข้างเวที อีกสามนาทีคุณค่อยตามมา”

ณรงค์ก้มลงกระซิบเสียงต่ำแข่งกับดนตรีที่ดังกระหึ่ม ก่อนจะค่อยๆ ลดมือลงและเดินแยกไปทางจุดนัดพบที่เล็งไว้แล้วว่าไม่น่าจะมีใครเดินผ่าน หลังจากเปิดประตูและก้าวออกไปยืนรอในทางเดินแคบๆ ชายหนุ่มก็ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูแล้วพยายามสงบสติอารมณ์รอ

เขากำลังเดิมพันกับตัวเอง

ณรงค์รู้ว่าไรอันมีเหตุผลร้อยแปดที่จะไม่ออกมาเจอตามที่นัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากฝ่ายนั้นไม่พอใจกับสิ่งที่เขาเพิ่งทำในห้องจัดเลี้ยง แต่ถ้าหากยังเลือกที่จะตามออกมา ก็เท่ากับไรอันยอมรับคำขอคืนดีของเขา และทำใจแล้วว่าจากนี้ไปจะไม่มีวันสลัดณรงค์ออกจากชีวิตได้อีก

เสียงดนตรีในห้องจัดเลี้ยงดังแทรกประตูออกมาให้ได้ยินอย่างเบาบาง แต่ณรงค์ก็ยังอดทนยืนพิงผนังรอนิ่งๆ ไม่ไปไหน เขาพยายามไม่เหลือบลงมองนาฬิกาบ่อยๆ ด้วยรู้ว่ามีแต่จะเพิ่มความกระวนกระวายให้มากขึ้น แต่ละวินาทีที่ผ่านไปช่างยืดยาวในความรู้สึกเสมือนกับนานเป็นชั่วโมง

สามนาทีผ่านไปแล้ว...

ณรงค์จ้องนาฬิกาข้อมือที่เข็มยาวชี้เกินเวลาที่นัดไว้ ความรู้สึกสิ้นหวังพลันประดังขึ้นมาในอกจนเสียดแน่น เพราะดูเหมือนท้ายที่สุดแล้ว ความพยายามในการขอคืนดีก็สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง

หรือเขาจะมั่นใจในตัวเองเกินไปว่าไรอันยังมีความรู้สึกให้? หรือเขาหวังมากไปว่าอีกฝ่ายยังมีเยื่อใยพอที่จะยอมคืนดี? หรือการที่เขาประกาศไปว่าเลิกกับธีระแล้วและต้องการจะตามง้ออีกฝ่ายอย่างเดียวไม่มีค่าอะไรเลย? ทั้งหมดนั้นเขาเพียงแต่คิดไปเองว่ามันเพียงพอที่จะสร้างความมั่นใจให้ไรอันมอบโอกาสให้อีกครั้ง?

ร่างสูงใหญ่เงยหน้าขึ้นจนท้ายทอยแตะผนังก่อนจะหลับตาแล้วแค่นยิ้ม เขาคงบ้าไปเองที่คิดว่าเวลาเพียงแค่วันสองวันจะช่วยเปลี่ยนความคิดของคนหัวดื้อคนนั้นได้ ที่สำคัญหลักฐานว่าเขาเลิกกับธีระแล้วก็มีแต่วาจาปากเปล่าเท่านั้น ไม่มีอะไรที่จะยืนยันให้อีกฝ่ายเชื่อได้อย่างเป็นรูปธรรมเลยสักอย่าง

แล้วทำไมไรอันจะต้องยอมเชื่อใจเขาด้วยล่ะ...

ความคิดอันชวนหดหู่นั้นไม่ต่างกับมีดที่กรีดลงบนอก แต่แล้วจู่ๆ ใจที่กำลังถูกความรู้สึกหนึบหน่วงบีบรัดก็ราวจะหยุดเต้นเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูด้านข้างเวที ณรงค์หันขวับไปมองคนที่กำลังแทรกตัวเข้ามาพร้อมกับเสียงดนตรีในห้องจัดงานที่ดังกระหึ่มตามขึ้นวูบหนึ่งก่อนจะแผ่วไปเมื่อบานประตูถูกปิดลง

ไรอันยืนนิ่งมองมือตัวเองที่จับอยู่บนลูกบิดประตู ครู่หนึ่งจึงค่อยๆ ผินหน้ามาสบตากับณรงค์ ผิวแก้มยังคงเรื่อสีเลือดฝาดเล็กน้อย อาจจะเพราะด้วยฤทธิ์ไวน์ที่ยังตกค้าง รวมทั้งความร้อนจากการไปเต้นเบียดกับเพื่อนร่วมงานอยู่กลางฟลอร์ แต่นั่นก็ไม่สำคัญต่อณรงค์เท่ากับว่า อีกฝ่ายยืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้วในนาทีนี้

ตามที่เขาเอ่ยขอเอาไว้จริงๆ

“I took more than 3 minutes…didn’t I?”

หนุ่มลูกครึ่งถามเสียงเบา ณรงค์จึงกะพริบตาปริบๆ แล้วก็พาซื่อยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู

“ก็...ไม่เท่าไหร่หรอก สายไปแค่สองนาทีเอง เมื่อกี้ผมนึกว่าคุณจะไม่ออกมาแล้วด้วยซ้ำ”

เฉดสีบนโหนกแก้มของหนุ่มลูกครึ่งพลันเข้มขึ้น ร่างสูงโปร่งทำท่าจะเปิดประตูเพื่อกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยงอีกครั้ง ณรงค์จึงค่อยได้สติและรีบก้าวไปดันประตูกลับพร้อมกับดึงไรอันให้หันมาหา จากนั้นก็รีบก้มลงแนบริมฝีปากบนเรียวปากที่กำลังเผยอเตรียมจะว่าเขาทันที

“...ขอโทษ สำหรับคุณต่อให้สายกว่านี้ผมก็รอได้”

ณรงค์กระซิบชิดริมฝีปากได้รูป เขาใช้ร่างกายตัวเองและมือทั้งสองข้างยันผนังคร่อมหนุ่มลูกครึ่งไว้เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่หนี ก่อนจะไล่จุมพิตผะแผ่วไปตามคางและแก้มด้วยความรู้สึกโหยหาอย่างที่ไม่เคยมีให้ใครมาก่อน

ไรอันหลุบตาลงขณะที่มือทั้งสองข้างกำสาบเสื้อแจ็คเก็ตของณรงค์แน่น ร่างสูงโปร่งครางแผ่วเมื่อติ่งหูถูกขบเม้มเบาๆ กระทั่งดูเหมือนณรงค์จะจูบเขาจนพอใจและยอมถอยหน้าออกห่าง หนุ่มลูกครึ่งจึงค่อยช้อนตาสีน้ำตาลอ่อนขึ้น

“บางทีคุณก็ทำให้ผมอยากต่อยคุณจริงๆ รู้ตัวหรือเปล่า?”

ณรงค์ฟังแล้วก็ยิ้มอ่อนๆ พลางใช้ข้อนิ้วข้างหนึ่งไล้แก้มของคนตรงหน้าอย่างแผ่วเบา ตอนนี้ถึงจะโดนใช้วาจาคุกคามยังไงเขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยอีกแล้ว เพราะความจริงก็คือไรอันยอมที่จะตามเขาออกมาด้วยตัวเอง ไม่ใช่เพราะว่าถูกบังคับหรือจำใจ

“ถ้างั้นก็ขอบคุณนะที่ยังไม่ต่อยผม”

ความดีใจที่อาบล้นไปทั้งอกทำให้ณรงค์ปากกล้าขึ้นโดยอัตโนมัติ ไรอันจึงหรี่ตาลงด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะเงียบไปจนคนตัวใหญ่กว่าขมวดคิ้ว

“รัก...เป็นอะไรไป?”

“พูดตามตรง...ผมไม่รู้ว่าตัวเองมาทำอะไรอยู่ตรงนี้”

คำตอบจากคนที่ทอดสายตาลงต่ำทำให้ณรงค์ใจหายวูบ นัยน์ตาสองข้างเบิกกว้างมองคนตรงหน้าราวกับไม่เชื่อหู มือข้างที่กำลังเกลี่ยไล้บนแก้มของไรอันหยุดชะงัก ส่วนภายในสมองก็ว่างเปล่าด้วยไร้ประโยคที่จะโต้ตอบ

ไรอันยังคงพูดต่อโดยไม่เลื่อนสายตาขึ้นสบกับเขา “หนึ่งเดือนที่ผ่านมา ผมเคยคิดว่าการตัดคุณออกจากชีวิตเป็นสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว เพราะในที่สุดคุณก็ทนผมไม่ได้จริงๆ ยิ่งพอคุณมีเด็กคนนั้น...ผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก จนกระทั่ง....คุณมาทำบ้าๆ บอๆ ใส่ช่วงสองสามวันนี้ และมันน่าขำตรงที่...ลึกๆ ผมกลับดีใจ I’m such a hopeless bastard.”

ท้ายประโยคไรอันแค่นหัวเราะราวกำลังเยาะเย้ยตัวเอง นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่มองไปทางอื่นฉายแววรวดร้าวที่ยากจะปล่อยให้ใครเห็น แต่วินาทีนั้นเองที่ณรงค์รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เจ็บปวดกับการแยกทางตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมา

“ไรอัน....ฟังผมนะ”

ชายหนุ่มใช้มือสองข้างช้อนหน้าของหนุ่มลูกครึ่งให้เงยขึ้น และอธิบายด้วยความจริงใจที่สุดที่จะมอบให้ใครได้ผ่านคำพูดและนัยน์ตาที่มองลึกลงในตาอีกฝ่ายอย่างแน่วนิ่ง

“หนึ่งเดือนที่ผ่านมาระหว่างเราคือความผิดพลาด ผมยอมรับว่าไม่มั่นคงพอเองถึงทำให้เกิดเรื่องนั้น แต่ผมให้สัญญาได้ว่าจากนี้ไปมันจะไม่เกิดขึ้นอีก ดังนั้นผมขอแค่เรื่องเดียว ให้โอกาสผมได้แก้ตัวสักครั้ง คราวนี้ต่อให้คุณจะดื้อ จะไล่ผมยังไง ผมก็จะไม่ยอมทิ้งคุณไปไหนเด็ดขาด”

ไรอันสบตากับณรงค์นิ่ง ริมฝีปากเม้มแน่นเข้าหากันจนเป็นสีชมพูเข้ม และณรงค์ก็เชื่อว่าเขาตาไม่ฝาดที่เห็นร่องรอยของความหวั่นไหวในแววตาสีน้ำตาลอ่อนที่เจ้าตัวเคยพยายามซ่อนเร้นมาจนถึงบัดนี้

“ถ้าทำให้ผมผิดหวังอีก คราวนี้ผมจะเกลียดคุณไปตลอดชีวิตแน่”

ณรงค์รู้ได้ทันทีว่าความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำขู่นั้นคืออะไร มันไม่ใช่เพียงการขอความเชื่อมั่น หากแต่ยังมีความหมายแฝงที่ลึกซึ้งกว่านั้นด้วย

ทำให้ผมมั่นใจว่าคิดไม่ผิดที่รักคุณที...

ณรงค์เสยผมหยักศกบนหน้าผากไรอันขึ้น ก่อนจะค่อยๆ จรดริมฝีปากลงและกระซิบเสียงเบา

“ผมจะไม่ทำให้คุณผิดหวังอีก ผมสัญญา”

ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนรอบตัวหนุ่มลูกครึ่งแน่น ราวกับจะตอกย้ำน้ำหนักของวาจาที่เพิ่งได้ลั่นออกไป ต่อให้จากนี้ไรอันจะยังทำตัวเข้าใจยากจนน่าโมโหแค่ไหน เขาก็จะไม่น้อยใจอีกและยอมรับว่านั่นคือตัวตนที่ทำให้เขาหลงใหลตั้งแต่แรก และแขนสองข้างที่ค่อยๆ ยกขึ้นกอดเขาตอบก็ทำให้ณรงค์ดีใจจนยิ่งออกแรงกอดคนในอ้อมแขนแน่นขึ้น

“…Shall we go before everyone leaves?”

ไรอันถามหลังจากทั้งสองยืนซึมซับความอบอุ่นในอ้อมแขนของกันและกันครู่ใหญ่ ณรงค์จึงค่อยยืดตัวขึ้นจากไหล่ที่เมื่อครู่ก้มลงซบและมองไปทางประตูที่แม้จะปิดแต่ก็ยังพอได้ยินเสียงดนตรีเล็ดลอดออกมา

“จริงด้วยสิ ไม่รู้ว่าจะเลิกปาร์ตี้กันกี่โมง ขืนรอเดี๋ยวคนอื่นได้มาเห็นผมกับคุณกันพอดี”

“So, my room?”

ณรงค์หันกลับมาสบตาไรอันอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจว่าได้ยินถูก หนุ่มลูกครึ่งจึงยิ้มมุมปากน้อยๆ ก่อนจะโน้มคอเขาลงไปกระซิบที่ข้างหู

“ตอบแทนเรื่องสร้อยที่คุณให้ผมเมื่อตอนบ่ายก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มมองลงไปในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนแล้วก็ยิ้มตาม มือข้างที่ไม่ได้เคล็ดเลื่อนลงเกาะเกี่ยวมือของไรอันไว้ ก่อนจะจูงแล้วพาออกจากช่องทางเดินแคบๆ เพื่อไปยังทางเชื่อมระหว่างห้องพัก ในใจของเขาตอนนี้ลิงโลดไม่ต่างกับเด็กหนุ่มวัยรุ่น และคนข้างๆ ก็เป็นคนเดียวที่ทำให้ณรงค์รู้สึกเช่นนี้ได้ในรอบสิบกว่าปี

พอเข้ามาถึงห้องสวีทซึ่งอยู่คนละปีกอาคารกับห้องพักธรรมดา ไรอันก็หันไปล็อคประตูทันที ร่างสูงโปร่งยังไม่ทันจะหันกลับก็ถูกณรงค์รั้งตัวเข้าไปจูบและค่อยๆ ดันไปทางเตียง เมื่อทั้งสองล้มลงบนฟูก  ไรอันก็รีบพลิกตัวขึ้นเป็นฝ่ายทาบทับทั้งที่ริมฝีปากยังไม่ผละจากกัน แต่แล้วหนุ่มลูกครึ่งก็ชะงักเมื่อได้ยินคนข้างล่างส่งเสียงลอดไรฟันด้วยความเจ็บ

“ขอโทษ ผมลืมไป”

ไรอันคว้าข้อมือขวาของณรงค์ที่เมื่อครู่เผลอใช้กำลังกดขึ้นมาลูบเบาๆ ณรงค์จึงยิ้มเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจแล้วส่ายหน้า

“ไม่เป็นไรหรอก ผมสะเพร่าเองที่ไม่ได้ใส่แถบรัดข้อมือลงมา ไม่ต้องห่วง”

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
ณรงค์ดึงมือกลับแล้วค่อยๆ  ปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตให้ไรอันที่กำลังถอดแจ็คเก็ตออกทั้งที่นั่งคร่อมเขาอยู่ จากนั้นก็ลูบไล้มือไปตามแผ่นอกเปลือยเปล่าที่มีกล้ามเนื้อตึงแน่น รอยยิ้มบนมุมปากของชายหนุ่มหยักลึกขึ้นเมื่อเห็นว่าไรอันใส่สร้อยที่เขาซื้อให้เมื่อตอนบ่ายไว้ใต้เสื้อเชิ้ต และเส้นหนังสีดำที่ห้อยยาวลงถึงกลางอกก็ตัดกับผิวเนียนลื่นสีงาช้างจนกลายเป็นภาพอันแสนจะเย้ายวนสายตา

ไรอันสูดหายใจลึกพร้อมกับแหงนเงยหน้าขึ้นเมื่อณรงค์ ไม่ละเลยที่จะบีบคลึงยอดอกสีชมพูเข้มทั้งสองข้าง ก่อนที่มือหนาจะเริ่มเลื่อนต่ำลงจากแผ่นอก ร่างสูงโปร่งกระตุกและเกร็งหน้าท้องเมื่อณรงค์รูดซิปกางเกงให้แล้วสอดมือเข้าไปเย้าแหย่กับส่วนที่ไวต่อการปลุกเร้า

“You bloody tease.”

ไรอันกระซิบเสียงหอบพลางก้มลงสบตากับเขา นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่ปกติสดใสเริ่มขุ่นมัวด้วยความปรารถนา ณรงค์จึงพลิกตัวให้หนุ่มลูกครึ่งนอนข้างล่างแล้วช่วยปลดเปลื้องอาภรณ์ที่เหลือของทั้งคู่จนผิวกายเปลือยเปล่าสัมผัสกันโดยตรง

“ผมคิดถึงคุณ”

ณรงค์พูดพลางก้มลงพรมจูบบนแผ่นอกที่หอบกระเพื่อม ขณะที่มือทั้งสองยังคงหยอกเย้าไปบนร่างกายที่อุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มชะงักเมื่อถูกไรอันใช้สองมือประคองใบหน้าให้เงยขึ้นสบตา และได้พบว่านัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็สะท้อนถึงความรู้สึกที่อัดแน่นไม่ต่างกัน

“…Me too. อ๊ะ...”

ไรอันสำลักลมหายใจเมื่อมือของณรงค์เลื่อนลงช้อนส่วนอ่อนไหวขึ้นกอบกุม ร่างสูงใหญ่มองคนในอ้อมแขนที่ปิดตาแน่นและริมฝีปากเผยอโดยไร้เสียงร้อง ร่างกายสมส่วนราวนายแบบบิดเกร็งไปมาเพราะสัมผัสที่ได้รับ ณรงค์จึงยิ่งเร่งการเคลื่อนไหวของมือพร้อมกับก้มลงขบผิวตลอดแนวลำคอขาวเนียนไปด้วย

“ฮ้า....อื้มมมม!!”

ร่างของหนุ่มลูกครึ่งกระตุกอย่างแรงขณะลอยล่องสู่ห้วงแห่งความสุขสม ไหล่กว้างสั่นไหวอยู่ในอ้อมแขนของณรงค์พร้อมกับเสียงหอบหายใจที่ดังสะท้อน พลันนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็เบิกกว้างเมื่อรู้สึกถึงการรุกรานจากปลายนิ้วแข็งแรงซึ่งชุ่มด้วยหยาดหยดของตนเองที่ช่องทางด้านหลัง

“ผมพกถุงยางมา ไม่ต้องห่วง”

ณรงค์กระซิบเมื่อเห็นแววตาหวั่นเกรงของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก้มลงล้วงเข้าไปในกระเป๋าด้านในของเสื้อแจ็คเก็ตที่หย่อนไว้ข้างเตียงก่อนจะหยิบถุงยางอันหนึ่งขึ้นมา ใบหน้าของไรอันเปลี่ยนเป็นสีแดงจัดเมื่อณรงค์ผละมือไปรูดรั้งส่วนไวสัมผัสของตัวเองก่อนจะครอบถุงยางที่ฉีกออกจากซองลงจนแนบสนิท

“นี่คุณพกไอ้นี่ติดตัวตลอดเวลาเลยหรือไง? อื้อ!!”

ไรอันถามไม่ทันจบประโยคก็เสียงสะดุดเมื่อณรงค์กลับมาใช้ปลายนิ้วสร้างความคุ้นเคยให้กับช่องทางอันคับแน่นอีกครั้ง และคราวนี้ชายหนุ่มสอดนิ้วเพิ่มเข้าไปด้วย หนุ่มลูกครึ่งส่งเสียงครางต่ำเมื่อนิ้วทั้งสองค่อยๆ ขยับไปมาเพื่อขยายช่องทางที่ไม่เคยถูกใครล่วงล้ำมาก่อนอย่างใจเย็น

“ก็ตั้งแต่วันวาเลนไทน์ที่โดนคุณถามนั่นแหละ รัก...อย่าเกร็งนะ”

ณรงค์ปลอบพลางใช้อีกมือหยอกเอินส่วนไวสัมผัสของไรอันเพื่อเบี่ยงความสนใจ หนุ่มลูกครึ่งปิดตาแน่นพลางเกร็งมือกำผ้าปูที่นอนจนข้อนิ้วซีดขาว เช่นเดียวกับเรียวขาที่แยกออกกว้างและจิกปลายเท้าลงบนเตียงด้วยความรัญจวน จวบจนณรงค์คิดว่าอีกฝ่ายน่าจะพร้อมรับเขาได้แล้ว จึงถอนนิ้วออกและแทรกตัวเข้าระหว่างช่วงขาแข็งแรง จากนั้นก็ค่อยดันส่วนปลายของแก่นกายที่สวมเครื่องป้องกันเข้าในช่องทางอันเล็กแคบช้าๆ

“…hurts…”

ไรอันเอ่ยลอดไรฟันที่ขบแน่น เรือนร่างที่กำลังรองรับความแข็งแกร่งเกร็งขึ้นโดยอัตโนมัติ ขณะที่ณรงค์ก็ต้องควบคุมกล้ามเนื้อทุกส่วนไม่ให้เผลอกระตุกแล้วเดินหน้าอย่างที่ใจต้องการ เขาไม่ต้องการให้คนในอ้อมแขนเจ็บหรือรู้สึกไม่ดีกับครั้งแรกจึงพยายามอ่อนโยนที่สุด ซึ่งกับธีระเขายังไม่ใส่ใจถึงขนาดนี้เลยด้วยซ้ำ

“ไม่เป็นไรนะ ผมจะทำช้าๆ เด็กดี หายใจลึกๆ ไว้”

ณรงค์ให้กำลังใจพร้อมกับลูบท่อนขาและปลุกเร้าส่วนอ่อนไหวให้ ขณะเดียวกันก็ก้มลงจูบบนยอดอกและซอกคอเพื่อให้ไรอันผ่อนคลายลงด้วย ชายหนุ่มพยายามแทรกกายให้ช้าที่สุดเพื่อให้เวลาอีกฝ่ายได้ปรับตัว กว่าเขาจะรู้สึกว่าร่างกายหลอมรวมกับหนุ่มลูกครึ่งอย่างสมบูรณ์ บนหน้าผากกับแผ่นหลังของณรงค์ก็มีเหงื่อซึมออกมาจนชุ่ม

ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าด้านในของไรอันกำลังบีบรัดเขาอย่างแรง จึงพยายามบังคับร่างกายให้อยู่นิ่งและก้มลงจูบแลกลิ้นกับคนในอ้อมแขนไปเรื่อยๆ จวบจนเขารู้สึกว่าช่องทางคับแน่นเริ่มคลายแรงบีบรัดสิ่งรุกรานลงบ้างแล้ว เช่นเดียวกับลมหายใจของไรอันที่เริ่มผิดจังหวะน้อยลง เขาจึงค่อยๆ ขยับสะโพกเข้าออกในช่องทางอุ่นแน่นช้าๆ

“ไรอัน...รัก...ผมรักคุณ”

ณรงค์พร่ำพูดพร้อมกับขยับกายด้วยจังหวะที่เร่งเร้าขึ้นเรื่อยๆ และเขาก็รู้สึกได้ว่าไรอันก็เริ่มขยับตัวตอบสนองแม้จะค่อนข้างช้าเพราะไม่ชิน กระทั่งท่วงทำนองของทั้งสองเริ่มปรับเข้าหากัน ณรงค์ก็คุกเข่าพลางรั้งขาของไรอันให้เกาะเกี่ยวเอวเขาไว้ ก่อนจะเท้ามือลงบนฟูกแล้วปลดปล่อยความต้องการออกมาเต็มที่โดยไม่ยั้งไว้อีก และความรุนแรงนั้นก็ทำให้ไรอันต้องคล้องแขนรอบคอแข็งแรงแน่นเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวท่ามกลางเพลิงของดำฤษณาที่โหมเข้าแผดเผาทั้งคู่มากขึ้นทุกที

“ณรงค์...อ๊า!!”

เสียงกรีดร้องและจังหวะตอดรัดถี่ของร่างกายที่ประสานกันทำให้ณรงค์รู้ว่าไรอันกำลังบรรลุความสุขสมอีกครั้ง จึงก้มลงจูบผนึกเสียงของอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะเดียวกันก็เร่งการเคลื่อนไหวของตัวเองและสอดมือลงเพื่อช่วยให้ไรอันถึงฝั่งเร็วขึ้น เมื่อเขาผงกหัวขึ้นก็เห็นสายสร้อยหนังสีดำกับจี้สีขาวมุกที่คล้องรอบคอหนุ่มลูกครึ่งถูกอาบด้วยหยาดเหงื่อบนแผ่นอกจนสะท้อนแสงไฟในห้องเป็นเงาวาว เกิดเป็นภาพอันยั่วยวนที่ดึงดูดสายตาของณรงค์ให้หรี่มองอย่างหลงใหล พร้อมๆ กับที่รู้สึกได้ถึงความปรารถนาของตัวเองที่กำลังจะแตกปะทุหลังจากเก็บกดมานานเช่นกัน

นี่คือวินาทีที่เขาใฝ่ฝันถึงมาตลอด วินาทีที่ได้หลอมรวมร่างกายและจิตใจกับคนที่กุมหัวใจเขาไว้อย่างแท้จริง และณรงค์ก็หลับตาขณะปล่อยให้ร่างกายขับเคลื่อนไปตามสัญชาตญาณจนสุดทางโดยไม่ควบคุมอะไรอีก

"Fuck...."

ไรอันครางเสียงต่ำหลังจากคลื่นพายุแห่งความปรารถนาหอบใหญ่พัดผ่าน เหลือไว้เพียงความอิ่มเอมผสานกับความเหนื่อยล้าที่โรยรายอย่างอ้อยอิ่งเป็นหลักฐาน แผ่นอกตึงแน่นกระเพื่อมถี่ตามลมหายใจที่ยังหอบระรัว ขณะที่ณรงค์จูบเคลียไปบนจมูกและตามผิวแก้มของไรอันที่กลายเป็นสีชมพูจากโลหิตที่สูบฉีด ร่างสูงใหญ่เท้าตัวบนศอกทั้งสองข้างและรอจนกระทั่งช่องทางด้านล่างคลายแรงบีบจึงค่อยถอนกายอย่างช้าๆ จากนั้นก็รูดถุงยางออกทิ้งในถังขยะซึ่งตั้งอยู่ไม่ห่าง

“...Shit!!”

ยังไม่ทันจะได้ปรับลมหายใจให้เป็นปกติ ไรอันก็สะดุ้งและพยายามจะผลักศีรษะณรงค์ออกเมื่อร่างสูงใหญ่ก้มลงเก็บกวาดหยาดหยดบนหน้าท้องของเขาด้วยปลายลิ้น แต่ณรงค์ก็ไม่สนและใช้มือยึดเอวสอบให้อยู่นิ่ง กระทั่งปลายลิ้นร้อนลามเลียต่ำลงถึงแก่นเนื้ออุ่นที่บัดนี้อ่อนตัวอยู่บนหน้าขา ไรอันก็ได้แต่ทิ้งตัวลงแล้วส่งเสียงครางหวิวอย่างสิ้นแรงจะห้าม

“ผมอยากทำแบบนี้กับคุณมานานแล้ว”

ณรงค์ใช้หลังมือปาดคราบที่หลงเหลือบนริมฝีปากแล้วค่อยเลื่อนตัวขึ้น แววตาที่จ้องมองนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนซึ่งปรือขึ้นช้าๆ นั้นไม่สะท้อนว่ากระดากปากกับสิ่งที่เพิ่งเอ่ยสักนิด  ใบหน้าของไรอันจึงเห่อแดงขึ้น เช่นเดียวกับนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนที่เบิกกว้างด้วยความเขินอายและคาดไม่ถึง

“You pervert!!”

หนุ่มลูกครึ่งยกหมอนตีไหล่ณรงค์แล้วรีบตะแคงตัวหนี การเปลี่ยนอิริยาบถอย่างฉับพลันกระเทือนช่องทางเบื้องล่างที่เพิ่งผ่านการช้ำจนเขาหลุดเสียงครางในคอ ณรงค์จึงรีบจับไหล่ไว้แล้วก้มลงถามอย่างเป็นห่วง

“คุณเจ็บเหรอ? เดี๋ยวผมดูให้นะว่าเป็นแผลหรือเปล่า”

“DON’T!!! I just…need to clean myself up!”

ไรอันรีบพลิกตัวกลับมาห้ามด้วยความตระหนก ทั้งหน้าและใบหูแดงยิ่งกว่ามะเขือเทศสุก ตอนแรกณรงค์ขมวดคิ้วด้วยไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายต้องอิดออด แต่แล้วก็นึกขึ้นได้ว่าคงเพราะอายที่เขาบอกว่าจะช่วยดูตรงที่เจ็บให้

ถึงยังไงก็เพิ่งจะครั้งแรกนี่นะ...

เมื่อตระหนักในข้อนี้ มุมปากของณรงค์ก็หยักขึ้นน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นลุกไปห้องน้ำไหวมั้ย? หรือให้ผมอุ้มไปจะดีกว่า?”

ดูเหมือนไรอันจะอ่านรอยยิ้มของณรงค์ออก จึงปัดมือที่ยื่นมาช่วยด้วยความหมั่นไส้และพยายามลุกจากเตียงเองอย่างทุลักทุเล แต่พอออกเดินได้แค่สองก้าวก็ต้องรีบคว้าขอบโต๊ะเอาไว้เพราะเข่าอ่อนกะทันหัน ณรงค์จึงรีบลงจากเตียงไปช้อนตัวขึ้นอุ้มจนถูกโวยวายใส่

“Put me down! I’m not some bloody girl!!”

“รู้แล้วว่าไม่ใช่ แต่หลังครั้งแรกถ้าคุณยืนไม่ไหวก็ไม่แปลกหรอก ให้ผมช่วยพาไปอาบน้ำดีกว่าจะได้รีบออกมานอนพักไง”

ณรงค์ไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแล้วก็อุ้มไรอันเดินเข้าไปในห้องน้ำเลย ฝ่ายหนุ่มลูกครึ่งแม้จะอยากแผลงฤทธิ์แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่มีแรงจริงๆ จึงต้องจำยอมให้ณรงค์อาบน้ำชำระร่างกายให้ พอเสร็จแล้วทั้งคู่ก็ใส่เสื้อคลุมที่ทางโรงแรมเตรียมไว้แล้วออกมานอนบนเตียงด้วยกัน

จากห้องพักของไรอันจะสามารถได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งได้อย่างชัดเจน ณรงค์นอนตะแคงแล้วใช้มือหนึ่งเท้าศีรษะไว้ ส่วนอีกมือม้วนผมไรอันเล่นไปเรื่อย ขณะที่อีกฝ่ายเพียงแต่นอนฟังเสียงคลื่นนิ่งๆ ถึงแม้จะยังมีท่าทางอ่อนเพลีย แต่นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนยังฉายประกายแจ่มใสว่าไม่ง่วง และบนคอก็ยังสวมสร้อยที่ณรงค์ซื้อให้อยู่ด้วย

ตอนอยู่ในห้องน้ำณรงค์ร่ำๆ จะชวนไรอันต่อรอบสองไปหลายครั้ง แต่ก็เห็นใจว่านี่เพิ่งเป็นครั้งแรกของอีกฝ่าย แถมพรุ่งนี้พวกเขายังต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ พร้อมเพื่อนร่วมงานอีก ถ้าเกิดผู้บริหารหนุ่มลุกเดินไม่ไหวโดยไร้คำอธิบายคงดูไม่ดีแน่ จึงทำได้อย่างมากเพียงชวนอีกฝ่ายสัมผัสร่างกายกันเหมือนครั้งที่กลับไปเยี่ยมบ้านช่วงสงกรานต์เท่านั้น

“James would have a field day tomorrow if he found out about this.”

ณรงค์เลิกคิ้วเมื่อจู่ๆ ไรอันก็เอ่ยถึงเจมส์ขึ้นมา หนุ่มลูกครึ่งเหลือบเห็นสีหน้าของเขาจึงรีบอธิบาย

“ขอบอกไว้ก่อนนะ ที่ก่อนนี้ผมโกรธที่คุณกล่าวหาเรื่องผมกับหมอนั่นก็เพราะเราเป็นแค่ญาติกันจริงๆ อีกอย่างเจมส์ก็แต่งงานแล้วด้วย แฟนเขา...จูเลียเป็นเพื่อนมหา’ลัยของผมเอง ที่พวกเขาได้เจอกันก็เพราะผมนี่แหละ หมอนั่นถึงได้รู้สึกว่าอยากเห็นผมมีคนรักบ้างล่ะมั้ง”

ณรงค์ยิ้มเมื่อเห็นไรอันพยายามเล่าความเป็นมาของตนกับญาติผู้พี่เพื่อให้เขาสบายใจ และที่ทำให้ใจเขาพองโตมากที่สุดก็คือคำว่า ‘คนรัก’ ที่ไรอันพูดออกมาโดยไม่มีอาการอึกอักเลยแม้แต่น้อย

“เจมส์บอกผมแล้วล่ะ เขาเป็นห่วงคุณมากจริงๆ นั่นแหละ ขอโทษด้วยนะถ้าหากผมทำให้คุณนึกถึงเรื่องที่พ่อคุณเคยทำ...ถ้าเจมส์ไม่บอก ผมคงไม่รู้ว่าตอนเด็กคุณต้องผ่านอะไรมาบ้าง”

ชายหนุ่มเอ่ยแล้วก้มลงจูบบนเรือนผมหยักศกที่สระและเป่าจนแห้งแล้ว แต่พอไรอันได้ยินก็ผุดลุกขึ้นนั่งทันที

“เจมส์บอกคุณ? เรื่องพ่อผม?”

น้ำเสียงและสีหน้าไม่พอใจของไรอันทำให้ณรงค์เอะใจว่าอาจไม่ควรพูดเรื่องนั้นขึ้นมา เขาก็ดันจำไม่ได้เสียด้วยว่าเจมส์ได้บอกให้เก็บเรื่องที่คุยกันเป็นความลับหรือไม่ แต่ดูท่าทางแล้วเขาคงทำพลาดไปแน่ๆ

“เอ่อ...ก็ใช่ เดี๋ยวสิรัก! คุณจะไปไหน?”

“I’m going to kill that bastard!!”

ณรงค์รีบรั้งเอวคนที่ทำท่าจะลุกลงจากเตียงไว้แล้วกดให้นอนอยู่กับที่ ไรอันจึงดิ้นขลุกขลักจนเสื้อคลุมหลุดลุ่ยไปหมด ดูเหมือนเรี่ยวแรงของหนุ่มลูกครึ่งจะกลับมาแล้วหลังจากได้นอนพักไปครู่ใหญ่จนณรงค์ต้องพลอยออกแรงตามไปด้วย

“เดี๋ยวสิ! ไม่เห็นต้องทำอะไรแบบนั้นก็ได้นี่ อย่างน้อยเจมส์ก็เป็นคนช่วยให้ผมกับคุณคืนดีกันนะ!!”

“ไม่ได้หมายความว่าต้องเล่าเรื่องพ่อแม่ผมให้คุณฟังนี่!! ปล่อย!!!”

หนุ่มลูกครึ่งยังพยายามจะดิ้นหนีไม่เลิก ณรงค์เลยต้องออกแรงกอดรัดเต็มที่เพื่อให้อยู่นิ่งๆ กว่าจะทำให้คนดื้อยอมสงบลงได้ก็ต่างฝ่ายต่างเสียเหงื่อกันอีกรอบ

“...ทำไมจะต้องห้ามผมด้วย!?”

ไรอันตะคอกถาม แต่ด้วยท่าทางที่ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะโดนณรงค์กอดไว้จากด้านหลัง แถมยังเอาขาเกี่ยวไว้อีกจนดิ้นหนีไม่สะดวก ณรงค์จึงยิ้มเหนื่อยๆ พลางถอนหายใจ

“ก็นี่มันดึกแล้วนี่นา ขืนปล่อยให้คุณไปเคาะประตูห้องเจมส์จะได้กลายเป็นขี้ปากคนอื่นน่ะสิ อีกอย่างที่เจมส์เล่าเรื่องนั้นให้ฟังก็เพราะอยากให้ผมกับคุณคืนดีกัน เขาทำให้ผมเข้าใจคุณมากขึ้นนะ”

ไรอันทำเสียงฮึดฮัดในคออย่างไม่ยอมลงให้ ณรงค์เห็นดังนั้นก็พอจะนึกออกว่าตอนเด็กๆ อีกฝ่ายคงทำให้คนรอบข้างปวดหัวน่าดู จึงพยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบด้วยการก้มจูบต้นคอเบาๆ

“ต่อจากนี้คุณก็เล่าเรื่องที่บ้านของคุณให้ผมฟังเองสิ นะ? ผมจะได้ไม่ต้องไปถามจากเจมส์อีกไง”

ร่างสูงใหญ่ค่อยคลายแรงกอดรัดเมื่อไรอันยอมสงบลง จากนั้นก็ใช้มือเสยผมที่ปรกบนหน้าผากให้แล้วเพียงนอนกอดเอวอีกฝ่ายหลวมๆ ทั้งสองนอนฟังเสียงคลื่นที่ดังลอดหน้าต่างเข้ามาครู่หนึ่ง ไรอันที่เงียบไปนานก็ถามขึ้น

“ตอนที่คบกับเด็กคนนั้น...คุณรักเขาบ้างหรือเปล่า?”

คำถามนั้นทำให้ณรงค์ขมวดคิ้ว เขาจับไหล่คนในอ้อมแขนให้พลิกกลับมาหา แต่ไรอันก็เอาแต่เม้มปากแน่นและไม่สบตาด้วย ชายหนุ่มจึงถอนหายใจก่อนจะลูบไหล่ใต้เสื้อคลุมไปมา

ไรอันยังไม่อาจเชื่อใจเขาได้เต็มที่ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้หากพิจารณาจากประสบการณ์วัยเด็กและบทเรียนที่เพิ่งผ่านไปไม่นาน แต่เขายินดีจะใช้เวลาต่อจากนี้ทำทุกอย่างจนกว่าคนที่รักจะเชื่อใจเขาเต็มร้อย ต่อให้นั่นจะรวมถึงการต้องคอยย้ำเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำมาก็ตามที

“กับเด็กคนนั้น...ผมเอ็นดูแล้วก็สงสาร รู้สึกผิดที่ดึงเขาเข้ามาเกี่ยวข้อง แต่ความรู้สึกที่ผมมีให้เขา...เป็นคนละอย่างกับที่ผมมีให้คุณ”

ณรงค์ใช้นิ้วโป้งลูบแก้มไรอันเบาๆ ขณะพูด ในที่สุดนัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็ยอมเหลือบขึ้นมอง
และณรงค์ก็เห็นความหวั่นไหวที่สะท้อนในดวงตาคู่นั้นอย่างชัดเจน

“คุณก็เห็นแล้วว่าผมนิสัยเสียแค่ไหน ในอนาคตคุณอาจจะเสียใจก็ได้ที่ทิ้งเด็กคนนั้นมาหาผม”

ไรอันจับมือณรงค์ที่ลูบอยู่บนแก้มและวางลงบนที่ว่างระหว่างทั้งคู่ นัยน์ตาของทั้งสองสบกันนิ่งโดยไม่มีการแลกเปลี่ยนคำพูดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนที่ณรงค์จะยิ้มและยกหลังมือไรอันขึ้นจูบ

เขากำลังโดนลองใจ....แต่นั่นก็เป็นเพราะไรอันกลัวว่าจะเจ็บจากความเสี่ยงที่อาจต้องเสียเขาไปอีกครั้ง ถึงได้รีบบอกเป็นนัยๆ ว่า ‘กลับใจตอนนี้ยังทัน’

ถ้าไม่เพราะรัก...จะกล้าพูดอย่างนี้ทั้งที่เพิ่งมีอะไรกันได้หรือ...

“ผมจะเสียใจมากกว่า ถ้าหากผมหลอกหัวใจตัวเองด้วยการไม่กลับมาหาคุณ”

ชายหนุ่มขยับเข้าไปแนบริมฝีปากลงบนริมฝีปากหยักได้รูปอย่างแผ่วเบา สัมผัสนั้นอ่อนโยน ปราศจากการรุกเร้า ราวกับเพียงเพื่อตอกย้ำความในใจที่เขาเพิ่งเอ่ย เมื่อณรงค์ถอนริมฝีปากออก ไรอันก็มองตาเขาเงียบๆ ก่อนจะขยับเข้ามากอดเอวไว้และซุกหน้าลง

“Promise me you’ll never take those words back.”

ลมหายใจอุ่นๆ ซึ่งรดเรี่ยอยู่บนแผ่นอก กอปรกับความอบอุ่นของร่างที่เป็นฝ่ายกอดเขาก่อนเป็นครั้งแรกทำให้นัยน์ตาของณรงค์เป็นประกายระยับ ไม่ต่างจากหัวใจที่เต้นรัวเร็วขึ้นด้วยความยินดีที่อาบเอิบจนชุ่มฉ่ำไปทั้งอก

จะมีอะไรที่น่ายินดีไปกว่านี้...เมื่อคนที่รักขอคำมั่นว่าไม่ให้ลืมเลือนคำบอกรักที่เขามอบให้เพราะหวั่นเกรงกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง และณรงค์ก็ยินดีจะมอบคำสัญญานั้นโดยไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยสักกึ่งเสี้ยววินาที

ในเมื่อเขามั่นใจในคำตอบที่มีอยู่แล้ว

“I promise.”



++------++

ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
เช้าตรู่วันถัดมา ณรงค์ตื่นแต่เช้าเพื่อออกไปถ่ายรูปและเล่นน้ำทะเลกับไรอันที่หาดหน้าห้องสวีท จนเมื่อพระอาทิตย์ลอยขึ้นพ้นขอบน้ำแล้วจึงกลับไปอาบน้ำแต่งตัวที่ห้องก่อนอิสราจะตื่น พอเขาแต่งตัวเสร็จและเดินไปยังห้องอาหารเช้าก็พบว่าไรอันยืนตักอาหารอยู่ก่อนแล้ว ส่วนเพื่อนร่วมงานส่วนใหญ่ยังไม่ลงมาเพราะเมื่อคืนคงจะปาร์ตี้กันหนัก เขาจึงเดินเข้าไปกระซิบถามข้างหูผู้บริหารหนุ่ม

“โต๊ะเดิมที่นั่งเมื่อวานนะ?”

ไรอันเหลือบตาขึ้นยิ้มและพยักหน้ารับ และณรงค์ก็รู้สึกราวกับรอยยิ้มของอีกฝ่ายวันนี้สดใสที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นตั้งแต่ทั้งคู่รู้จักกันก็ว่าได้

ชายหนุ่มแยกไปเดินตักอาหารของตัวเองบ้าง จากนั้นก็ถือไปนั่งรอที่โต๊ะตัวเดียวกับที่พวกเขาทานอาหารเช้ากันเมื่อวาน ไม่นานไรอันก็เดินตามมานั่งลง

“ผมสังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ดูคุณชอบกินคอร์นเฟล็กกับโยเกิร์ตมากกว่านมนะ?”

ณรงค์ทักขณะใช้มีดกับส้อมหั่นไส้กรอกในจาน ไรอันจึงเหลือบมองอาหารเช้าของตัวเองซึ่งมีเพียงคอร์นเฟล็ก ไข่ดาว ขนมปังหนึ่งชิ้นแล้วก็ผักอบก่อนจะยักไหล่ “เพราะแม่ผมก็ชอบกินแบบนี้ผมเลยกินตามล่ะมั้ง? อีกอย่างผมอ้วนง่ายเลยไม่ค่อยชอบอะไรมันๆ แบบนั้นเท่าไหร่”

หนุ่มลูกครึ่งพูดพลางใช้ปลายส้อมชี้มาทางเบคอนทอดที่กองพูนในจานของณรงค์ เขาจึงยิ้มแล้วชะโงกตัวเข้าไปกระซิบข้างหูอีกฝ่าย

“ก็เมื่อคืนใช้พลังงานไปตั้งเยอะ ผมก็ต้องกินชดเชยไอ้ที่เสียไปบ้างสิ อุ้ก!!”

ชายหนุ่มแกล้งงอตัวเมื่อโดนไรอันตุ๊ยท้องเบาๆ เข้าให้ หนุ่มลูกครึ่งตักอาหารเช้าทานต่อเหมือนไม่รู้สึกอะไร กระนั้นก็ปิดบังสีชมพูอ่อนๆ ที่เรื่อบนโหนกแก้มไม่ได้

น่ารักชะมัด...

ความคิดนั้นผุดขึ้นในหัวณรงค์ที่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนคนเห็นเริ่มจะหมั่นไส้ ทันใดนั้นเจมส์ก็เดินมาพร้อมกับถ้วยกาแฟและลากเก้าอี้มานั่งร่วมวงด้วย

“May I?”

เจมส์ถามยิ้มๆ แต่ณรงค์ก็เพียงยิ้มตอบและพยักหน้าให้ เพราะรู้แล้วว่าไม่มีความจำเป็นจะต้องระแวงญาติผู้พี่ของไรอันอีกแล้ว

“You look very good today if I might say, you too, bro.”

เจมส์ตบบ่าณรงค์ก่อนจะหันไปหาไรอันพร้อมรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ หนุ่มลูกครึ่งที่อ่อนวัยกว่าจึงวางแก้วน้ำที่เพิ่งดื่มลงแล้วหยิบผ้าเช็ดปากขึ้นวางบนโต๊ะ

“Actually, I kinda have something to say to you too. Can we have a minute?”

ไรอันเอ่ยแล้วก็ลุกขึ้นยืน ส่วนเจมส์ได้แต่ยิ้มค้าง ณรงค์จึงมองทั้งคู่สลับกันอย่างไม่เข้าใจ

“ไม่ต้องห่วง ผมแค่จะคุยกับเขาเป็นการส่วนตัวแป๊บเดียวเท่านั้นแหละ”

ไรอันยิ้มให้ณรงค์ก่อนจะลากแขนเจมส์แล้วเดินหายไปทางมุมตึก ชายหนุ่มได้ยินเสียงคุยแว่วๆ เป็นภาษาอังกฤษที่จับความไม่ได้ ก่อนจะตามด้วยเสียงที่เหมือนกับ ‘Ouch!’ ครู่หนึ่งทั้งคู่จึงเดินกลับมาโดยที่ไรอันนำมาก่อน ส่วนเจมส์เดินตัวงอตามหลังมาช้าๆ โดยมีมือข้างหนึ่งกุมท้อง ใบหน้าหล่อเหลาเหยเกด้วยความเจ็บปวด

“ผมจะไปเอากาแฟเพิ่ม คุณจะเอาด้วยมั้ย?”

ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะก็ถามณรงค์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น พอเขาปฏิเสธด้วยแววตางุนงง อีกฝ่ายก็ฉวยถ้วยกาแฟกับจานรองแล้วเดินหายเข้าไปด้านใน ฝ่ายเจมส์ที่เดินมาถึงโต๊ะในที่สุดก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงนั่งพร้อมกับส่งเสียงอูยไปด้วย

“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”

ณรงค์ขมวดคิ้วถาม เจมส์ซึ่งยังลูบท้องไปมาจึงตอบเสียงค่อย “เอ่อ...ภาษาไทยคงเรียกว่าทำโทษมั้ง? หมอนั่นไม่พอใจที่ผมเล่าเรื่องพ่อกับแม่ให้คุณฟัง แล้วก็เลยสั่งสอนปิดท้ายมานิดหน่อย ผมคงยังไม่ได้บอกคุณล่ะสิว่าหมอนั่นเคยเรียนมวยไทยสมัยเด็กๆ หมัดยังหนักเหมือนเดิมเลยให้ตาย”

ณรงค์เดาได้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ แล้วก็ได้แต่ยิ้มอย่างเห็นใจญาติผู้พี่ของไรอัน เพราะเขาเองก็เคยโดนฤทธิ์หมัดของหนุ่มลูกครึ่งมากับตัวตอนที่ขโมยจูบแรกในห้องน้ำ

เคยเรียนมวยไทยมาจริงๆ ด้วยสิ...สงสัยจะต้องหัดระวังตัวไว้บ้างแล้ว

“You still here?”

ไรอันเดินกลับมาถึงโต๊ะแล้วก็เลิกคิ้วถาม เจมส์จึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นอย่างลำบาก “Yeah yeah love birds. I’m just an eyesore now, alright. At least I have a new gossip to tell Julia this time.”

หนุ่มลูกครึ่งถลึงตาใส่ญาติผู้พี่ที่เดินสวนออกไป พอร่างสูงโปร่งนั่งลงก็เห็นณรงค์จ้องเขาอยู่โดยเท้าคางบนกำปั้นข้างหนึ่ง จึงหยิบโถครีมเทียมมาตักใส่กาแฟแล้วถามขึ้น

“What?”

ณรงค์ส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่มีอะไร ผมแค่กำลังคิดว่าถ้าต่อไปเกิดทำอะไรไม่เข้าตาคุณจะโดนต่อยหรือเปล่า”

“ผมไม่ใช่พวกใช้ความรุนแรงพร่ำเพรื่อหรอกน่ะ ถ้าหากว่าไม่จำเป็นจริงๆ”

ไรอันตอบพลางยกกาแฟขึ้นจิบ ณรงค์จึงยกมืออีกข้างของหนุ่มลูกครึ่งขึ้นมาประทับริมฝีปากลงไปเบาๆ “งั้นก็หวังว่าจากนี้คุณจะไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงกับผมก็แล้วกัน”

หนุ่มลูกครึ่งพ่นหัวเราะทางจมูกโดยไม่สัญญิงสัญญาด้วย นัยน์ตาสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเห็นอะไรไหวๆ ทางหางตา จึงหันไปกระซิบข้างหูณรงค์ “ว่าแต่คุณอาจจะต้องอธิบายเรื่องของพวกเรากับรุ่นน้องคุณแล้วล่ะนะ สองคนนั้นยืนอยู่หลังพุ่มไม้โน่นแน่ะ”

ณรงค์เลิกคิ้วก่อนจะมองตาม แล้วก็เห็นเงาคนสองคนยืนหลบอยู่หลังพุ่มไม้ที่กั้นระหว่างห้องอาหารด้านในกับด้านนอกแวบๆ ซึ่งกระโปรงผ้าพลิ้วสีเขียวแปร๊ดพิมพ์ลายดอกสีแดงนั้นเป็นตัวเก่งที่ยุพดีใส่บ่อยจนเขายังจำได้ จึงถามหนุ่มลูกครึ่งโดยกระชับมือที่จับไว้แน่นขึ้น

“ผมบอกเรื่องของพวกเราได้ไหมล่ะ?”

“ก็ถ้าคุณไม่คิดว่าจะไปคบคนอื่นนอกจากผมอีกล่ะก็นะ”

ไรอันตอบหน้าตาย และถ้าไม่ติดว่ารู้ว่าอิสรากับยุพดีแอบยืนดูอยู่ ณรงค์คงดึงคนพูดมาหอมแก้มด้วยความมันเขี้ยวไปแล้ว

“I’ll see you at the lobby.”

หนุ่มลูกครึ่งเอ่ยก่อนจะเดินกลับไปห้องพักเพื่อเก็บกระเป๋าเตรียมเช็คเอ๊าท์ ณรงค์จึงพยักหน้าให้แล้วลุกเดินไปทางที่เห็นเงาของรุ่นน้องทั้งสอง

“ผึ้ง อ๋อง ไม่กินข้าวเช้าหรือไงถึงมายืนตรงนี้?”

พอถูกเรียกและมั่นใจว่าลับหลังไรอันแล้ว รุ่นน้องสาวก็รีบพุ่งออกจากที่ซ่อนตัวมาหาเขาทันที “พี่รงค์!!!! ตะกี้ๆๆๆ…ตะกี้มันอะไรอ้ะ!!?? บอกทีว่าผึ้งไม่ได้ตาฝาดใช่มั้ย???  พี่รงค์กับคุณไรอัน....โอ๊ย!! เป็นไปได้ไง!? ผึ้งไม่อยากจะเชื่อ!!!”

จากคำพูดโวยวายไม่ปะติดปะต่อ ณรงค์ก็เดาได้ว่าคงไม่ต้องอธิบายอะไรมากแล้ว จึงเพียงแต่เลิกคิ้วแล้วกอดอกถาม

“เราเห็นพวกพี่ตั้งแต่ตอนไหน แล้วนึกยังไงถึงมาแอบดู?”

“เฮ่ยพี่รงค์! พวกผมไม่ได้ตั้งใจนะ แค่จะเดินหาว่าพี่รงค์อยู่ไหนจะได้ชวนไปถ่ายรูปเล่นเท่านั้นเอง ก็ทันมาเห็นตอนพี่...ดึงมือคุณเขามาจูบน่ะ ดีนะว่ายายคนนี้ไม่เผลอกรี๊ดออกมา”

อิสราตอบพลางเหล่มองคนข้างๆ ส่วนยุพดีเอาสองมือกุมแก้มไว้แล้วทำตาโตเมื่อฉุกคิดได้

“คนที่แอบชอบมีชื่อขึ้นต้นด้วย ร.เรือ! ที่แท้ก็อย่างนี้เอง!! ว่าแต่ๆๆ พี่รงค์...แล้วน้องผู้ชายคนนั้นล่ะ? ตกลงน้องเขาไม่ใช่แฟนพี่รงค์หรอกเหรอ??”

คำถามนั้นทำให้รอยยิ้มของณรงค์แข็งค้าง ตลอดทริปนี้เขามัวแต่มุ่งมั่นกับการง้อไรอันจนลืมเรื่องธีระไปสนิท อิสราสังเกตเห็นแววตาของณรงค์จึงสะกิดเพื่อนให้เก็บปากเก็บคำ ส่วนณรงค์เสมองไปทางอื่น

“...เรื่องมันซับซ้อนน่ะ ที่เคยบอกว่าจะนัดมากินข้าวด้วยก็คงต้องแคนเซิลแล้วล่ะนะ ยังไงก็อย่ากระโตกกระตากเรื่องของพี่กับไรอันก็แล้วกัน ถ้าหากคนอื่นจะรู้ก็ปล่อยให้เขารู้กันเอง”

ยุพดีกับอิสรามองตากัน จากนั้นก็หันมาพยักหน้าขันแข็งให้ณรงค์แม้จะไม่รู้ตื้นลึกหนาบาง แต่ทั้งคู่ก็เป็นผู้ใหญ่พอที่จะไม่เซ้าซี้หรือละลาบละล้วง ชายหนุ่มจึงยิ้มให้ก่อนจะเดินกลับไปทางห้องพักของไรอัน สีหน้าของเจ้าของห้องดูแปลกใจเมื่อพบว่าคนที่มาเคาะประตูคือเขา

“คุณจัดกระเป๋าเสร็จแล้วเหรอ?”

“อืม จริงๆ ก็ไม่มีของที่ต้องเก็บเยอะเท่าไหร่ เดี๋ยวผมโทรให้อ๋องจัดการให้ก็ได้ ตอนนี้ผมอยากอยู่กับคุณมากกว่า”

ณรงค์เอ่ยก่อนจะปิดประตูแล้วรั้งเจ้าของห้องมากอด ชายหนุ่มสูดกลิ่นตัวอ่อนๆ ที่ทำให้สบายใจพลางดันร่างอีกฝ่ายให้ถอยไปเรื่อยๆ จนทั้งสองล้มลงบนเตียง

หากไม่นับเสียงคลื่นเซาะหาดทรายที่ดังลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ภายในห้องก็ไร้ซึ่งเสียงสนทนาหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ไรอันมองเพดานพลางยกมือขึ้นสางผมณรงค์ที่นอนทับตัวเองอยู่เบาๆ

“….เสียใจที่บอกเรื่องของพวกเราให้รุ่นน้องคุณรู้เหรอ?”

คนถูกถามส่ายหน้า “เปล่า...ไม่ใช่ยังงั้นหรอก จริงๆ ผมอยากป่าวประกาศให้รู้กันทั้งบริษัทเลยด้วยซ้ำ เพียงแต่...ผมคงต้องเจอตี้อีกครั้งแล้วคุยกันให้เป็นเรื่องเป็นราว เพราะผมบอกเลิกเขาด้วยการเขียนโน้ตให้ก่อนจะมาภูเก็ตแค่นั้นเอง”

ณรงค์ระบายความในใจด้วยเสียงหนักหน่วง ก่อนจะรู้สึกได้ว่าไหล่ของคนในอ้อมแขนเกร็งขึ้น ชายหนุ่มจึงได้สติและรีบยันตัวขึ้นมองหน้าอีกฝ่ายทันที

“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมแค่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมที่จะจบความสัมพันธ์กับใครด้วยกระดาษแผ่นเดียว อีกอย่างเขาก็เป็นเด็กดี ผมไม่อยากให้มันจบไปแบบที่ยังมีเรื่องคาใจกันอย่างนั้น”

เหมือนตอนที่คุณบอกเลิกผมโดยไม่อธิบายเหตุผลเลยสักคำ..

ไรอันมองตาที่ฉายแววร้อนรนใจของณรงค์ ก่อนจะดันเขาให้ลุกออกแล้วยันตัวขึ้นนั่ง หนุ่มลูกครึ่งหลับตาพลางใช้มือหนึ่งนวดขมับ และณรงค์ก็ได้แต่มองท่าทีนั้นอย่างกระวนกระวาย เพราะเกรงว่าไรอันจะเข้าใจผิดว่าเขายังอยากสานสัมพันธ์กับธีระในรูปแบบที่เขาไม่ได้ต้องการ

“คุณเคยบอกว่ารักผมใช่มั้ย?”

ในที่สุดไรอันก็ลืมตาขึ้นและหันมามองเขา น้ำเสียงและแววตาไม่ได้สะท้อนความโกรธหรือหวั่นไหว แต่เปล่งประกายที่เรียกร้องขอคำตอบที่สัตย์จริงเพื่อตัดสินใจ ซึ่งณรงค์ก็ตอบรับหนักแน่นโดยปราศจากซึ่งเศษเสี้ยวของความลังเล “มากจนผมไม่อยากเชื่อว่าผมจะรักใครได้ขนาดนี้เลยล่ะ”

ณรงค์ตอบแทบจะทันที จริงอยู่ว่าเขาอยากพบกับธีระเพื่อบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย แต่หากไรอันไม่สบายใจและไม่อยากให้เขาทำอย่างนั้น เขาก็ยินดีจะทำตามโดยไม่อิดออด

ต่อให้จะต้องเสียดายมิตรภาพฉันท์พี่น้องที่มีกับเด็กหนุ่มก็ตาม

ไรอันสบตาณรงค์อย่างค้นหา ครู่หนึ่งจึงขยับตัวเข้าใกล้และโน้มคอเขาลงไปจูบ ชายหนุ่มแปลกใจนิดหน่อย แต่ก็สอดแขนรอบเอวอีกฝ่ายและจูบตอบแต่โดยดี เมื่อผละริมฝีปากจากกัน ไรอันก็ยิ้มมุมปากอ่อนๆ ให้

“เข้าใจแล้ว แต่สัญญาก่อนว่าห้ามไปคุยกันนานนะ”

ณรงค์เลิกคิ้วอย่างไม่เชื่อหู “คุณโอเคจริงๆ นะ?”

ณรงค์ถามย้ำ ถึงแม้จะโล่งอกที่ไรอันไม่ได้โมโหจนหาเรื่องทะเลาะ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายเพียงแต่อนุญาตเพื่อให้เขารู้สึกดี แล้วปล่อยให้เรื่องนี้กลายเป็นเสี้ยนหนามที่ตำใจทั้งคู่ต่อไปในอนาคต

หนุ่มลูกครึ่งมองหน้าเขาแล้วก็ย่นจมูก “ผมยอมรับว่าก่อนหน้านี้ทำตัวเป็นเด็กไม่รู้จักโต แต่ถึงยังไงผมก็เป็นผู้ใหญ่กว่าเขา อีกอย่างก็เพราะผมเชื่อใจคุณ ผมรู้ว่าคุณไม่มีวันทำร้ายผมอีกแน่ๆ ถูกไหมล่ะ?”

ไรอันตอบก่อนจะหันกลับไปเก็บเสื้อผ้าลงกระเป๋าต่อ ณรงค์จึงยิ้มแล้วขยับเข้าไปนั่งกอดอีกฝ่ายจากด้านหลังพร้อมกับฝังจมูกลงบนแก้ม

“ผมคิดถูกจริงๆ ที่รักคุณ”

“Don’t think I’ll always be this kind.”

หนุ่มลูกครึ่งตอบพลางรูดซิปปิดกระเป๋า ณรงค์จึงผงกหัวขึ้นแล้วยิ้มตอบ เขาเริ่มชินแล้วที่ไรอันจะตอบรับคำหวานด้วยการเฉไฉไปอีกทาง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นวิธีแสดงออกถึงการรับรู้ในแบบของเจ้าตัว

“ถ้าเป็นคุณ ถึงโหดแค่ไหนผมก็รัก”

ไรอันเหลือบตามายิ้มให้อย่างหมั่นไส้ หนุ่มลูกครึ่งหย่อนกระเป๋าเสื้อผ้าที่เก็บเรียบร้อยแล้วลงข้างเตียงก่อนจะหันกลับมาหาณรงค์ทั้งตัว

“ไว้วันหยุดยาวเมื่อไหร่ไปบ้านคุณอีกดีมั้ย? ผมชักคิดถึงกับข้าวฝีมือน้าหนิงแล้วสิ”

ร่างสูงโปร่งเอ่ยพลางยกมือคล้องคอณรงค์และขยับขึ้นนั่งคร่อมตักเขา ณรงค์จึงยิ้มมากขึ้นพลางลูบหลังอีกฝ่ายไปมา “นั่นสินะ ไอ้เจ้าแฝดก็โทรมาถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะพาคุณไปเยี่ยมอีก อืม.....”

ณรงค์ส่งเสียงครางในคออย่างพอใจเมื่อไรอันเป็นฝ่ายจูบเขาก่อน ชายหนุ่มปล่อยให้คนบนตักดันเขาให้นอนลงบนเตียงและมองอีกฝ่ายปลดกระดุมเสื้อให้ยิ้มๆ

“ไม่รีบออกไปรอเช็คเอ๊าท์กับคนอื่นที่ล็อบบี้เหรอ?”

ไรอันยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูก่อนจะยิ้มให้คนถาม จากนั้นก็ลูบมือไปมาบนแผ่นอกของณรงค์จนชายหนุ่มสยิว ร่างสูงใหญ่มองคนที่นั่งคร่อมซึ่งกำลังถอดเสื้อยืดออกหย่อนลงข้างเตียงก่อนจะก้มลงกระซิบชิดริมฝีปาก

“We have 30 minutes. Let’s make it productive.”

ภายนอกห้องสวีทริมชายหาด แสงแดดยามสายส่องผ่านหมู่ต้นมะพร้าวจนพาดเงาสีเข้มยืดยาวลงบนตัวอาคารสีอ่อน เกลียวคลื่นสีเขียวมรกตม้วนตัวเข้ากระทบชายฝั่งครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งคราบชื้นและฟองขาวเอาไว้บนผืนทรายเนียนละเอียดดุจฝุ่นแป้ง เสียงคลื่นแผ่วเบาและเสียงร้องของนกทะเลดังคละเคล้ากับเสียงหายใจหอบและคำบอกรักที่ชายหนุ่มสองคนมอบให้แก่กันผ่านการแสดงออกทางกายในห้องกว้างที่หันหน้าออกสู่ทะเล ไม่มีความกังขาใดหลงเหลือในความรู้สึกที่ต่างมีให้กันและกันอีก

หัวใจสองดวงที่เริ่มนับหนึ่งใหม่ได้โผบินไปด้วยกันแล้ว...



++---End Square One---++



ออฟไลน์ bellbomb

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1561
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1261/-7
    • Bellbomb's Blog
A/N: แทบอยากฉลองตอนจบของ Square One ด้วยการทิ้งงานไปทะเล นั่งเก้าอี้ริมหาดแล้วจิบเบียร์เย็นๆ แกล้มทะเลเผาแซ่บๆ (เฮ่ย! ไม่ใช่ละ) สารภาพว่าตอนเริ่มเขียนตอนนี้ไม่ได้กะจะลากยาวจนซอยย่อยได้ขนาดนี้ แต่พอเขียนไปๆ ก็อยากเติมรายละเอียดให้แน่นขึ้น ยิ่งเพราะเรื่องนี้เขียนแบบจบในตอน ความสัมพันธ์ของณรงค์กับไรอันที่ผ่านมาก็เอาแต่วนอยู่ในอ่าง อย่างน้อยเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็ทำให้ทั้งสองคนเข้าใจกันมากขึ้นและมี “พัฒนาการ” อย่างที่หลายๆ ท่านรอคอยสักที แถมน้องตี้ซึ่งเป็นตัวละครใหม่ก็ทำเอาหลายเสียงเชียร์ให้ณรงค์เปลี่ยนใจจากหนุ่มลูกครึ่งเลยซะงั้น แต่ณรงค์เป็นพวกหน้ามืดได้แป๊บเดียว สุดท้ายเลยต้องกลับไปหาเจ้าของหัวใจตัวจริง ซึ่งถึงแม้นี่จะเป็นตอนจบของ Square One แต่เชื่อได้ว่าจะมีตอนอื่นมาให้อ่านกันอีกแน่นอน ไหนๆ คู่นี้ก็ทะเลาะผิดใจกันขั้นรุนแรงไปแล้ว ตอนต่อจากนี้คงมีแต่เนื้อหาหวานๆ จนพานให้เลี่ยนแล้วละมั้ง? (หรือเปล่าหว่า?)

ส่งท้ายสำหรับบทสรุปนี้ เพราะเชื่อว่ายังจะมีตอนต่อไปให้มาอ่านเล่นเพลินๆ กันอีกแน่นอน ก็ต้องขอบคุณทุกคนมากๆ ที่ติดตามเนื้อหาตอนนี้มาตลอด ทั้งตามทวงและถึงกับโป้งคนเขียนไปเลยที่หาเรื่องช้ำใจให้ตัวละคร ^^” เป็นตอนที่อ่านคอมเม้นต์แล้วเราสนุกมากเลยเพราะแตกต่างกันหลายสายดี ก็หวังว่าทุกคนจะมีความสุขและอิ่มเอมไปกับบทสรุปของสองหนุ่มไรอัน-ณรงค์ไปด้วย แล้วพบกันใหม่กับการอัพเดทครั้งต่อไปค่า~

ออฟไลน์ love2y

  • (′~‵)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2059
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-11
อั๊ยยะ!!!!!!! ในที่สุดก็แฮปปี้

ว่าแต่...ณรงค์มั่นใจมากเลยนะ ว่าต้องได้คืนดีกัน ถึงได้พกถุงยางมาด้วยเนี่ย หุหุ

เห็นด้วยที่ควรจะไปเคลียกับตี้ซะ อย่าให้มีอะไรค้างคานานเกินไป

ขอบคุณคุณรินมากมาย มาแต่ละตอนยาวววววววววววววววววสะใจและเคลียเลยค่ะ ^^


ออฟไลน์ badcow

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1677
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +112/-10

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
+1  จ้า

ในที่สุดก็กลับมารักกัน
 รัก ก็ดูโอเค  มากขึ้น

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ dahlia

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4239
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +695/-4
มาส่งสายตาวิ้งๆๆๆ  รอตอนพิเศษ 555555555555   :o8:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด