you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.05 หมอป่วยขอคนช่วยดูแล
I never knew you were the someone waiting for me
'Cause we were just kids when we fell in love
เข้าวันที่สี่ของการเวิร์กชอป บอกเลยว่าทุกคนต่างมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า ใต้ตาหลายคนดำคล้ำผลพ่วงมาจากพักผ่อนน้อย เพราะนอกจากการมาเวิร์กชอป ทุกคนยังคงมีหน้าที่หลักที่ต้องทำ บางคนยังเป็นนักศึกษา บางคนมีธุรกิจส่วนตัว บางคนกำลังรอเรียนต่อ บางคนก็ทำงานในวงการ และบางคนก็เป็นหมอ…
คนหลังน่าจะอาการหนักสุด เพิ่งมารู้จากปากของเขาเมื่อวาน ขณะล้อมวงพักเบรคกินขนมที่ทางทีมงานจัดมาให้ว่าหลังจบเวิร์กชอปคุณหมอจะต้องกลับไปเข้าเวรต่อจนเช้า และเข้าเวรอีกทีตอนหลังเวิร์กชอปของวันถัดไป ซึ่งจริงๆ กินเวลาเวรของคนอื่นไปถึง 2 ชั่วโมง ทำให้หลังจากนี้จะต้องไปชดใช้เวรกรรมให้คนอื่นทดแทน พอมานั่งนับจำนวนชั่วโมงนอนก็คิดว่าไม่น่าจะดูอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่ร่างสูงสภาพอิดโรยบอกต่ออีกว่าจะต้องเข้าเรียนอีกตอนบ่าย อื้อหือ ไม่แปลกใจเลยทำไมสภาพคุณหมอดูอ่อนล้าเต็มที ทำได้แค่ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางเจ้าของร่างสูงหน้าคมที่ตอนนี้ใต้ตาดำกว่าก้นหม้อ กลัวว่าจะต้องเรียกกู้ภัยมาส่งหมอไปโรงหมอแทน
พาร์ทหลังของการเวิร์กชอปวันนี้ คือ การแสดงออกทางอารมณ์ที่เกิดจากความขัดแย้งและซับซ้อนกว่าสิ่งที่เคยเรียนไป คนดูแลบทเรียนนี้คือครูต้นสุดโหด แต่เป็นคุณครูที่อธิบายการแสดงออกได้ดีที่สุดเลย มีการไกด์ให้เห็นภาพทำให้เราเข้าใจว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไร การกลั่นอารมณ์ตัวเอง แม้กระทั่งจังหวะการพูดเวลาที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์นั้น ส่วนไดอะล็อกที่ได้นำมาฝึกวันนี้มากจากซีรี่ส์วายชื่อดัง ฉากปะทะคารมณ์ของสามตัวแสดง นั่นคือ พระเอกที่หลงรักนายเอกและพยายามผลักไสแฟนเก่าต่อหน้าผู้ชายที่ตัวเองเลือก อารมณ์ทั้งโกรธปนเศร้าของสามคน นับเป็นซีนที่ยากมากเพราะฉากจริงจะมีฝนตกลงมาด้วย แต่ครูต้นแค่อยากให้แสดงอารมณ์ความโกรธปนเสียใจออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่ถึงกับต้องสร้างฝนเทียม
“เอาล่ะ เด็กๆ ในเมื่อเรามีผู้หญิงน้อย ผู้ชายบางคนต้องเล่นเป็นผู้หญิงแทนนะ แต่อารมณ์ไม่ต่างกัน หรือจะสมมติเป็นรักสามเศร้าของผู้ชายสามคนก็ได้”
“วู้วววว วู้วววว” เสียงโฮ่แซวจากปากผู้ชายรอบห้องซ้อมการแสดง
“เอาล่ะๆ เริ่มจับกลุ่มกันเลย พวกบทพระเอกต้องจับคู่นายเอกนะ อย่าลืมตำแหน่งตัวเอง”
“ศิๆ มาจับคู่กัน พี่ดิมๆ มาเร็วฮะ” ผู้ชายสัญลักษณ์ของความร่าเริง ที่วันนี้มัดจุกด้วยยางสีเหลืองเหมือนเคยคว้าแขนผมและผู้ชายร่างสูงที่ยืนหาวรอบที่สามสิบ ก่อนจะผลุบนั่งลงเป็นกลุ่มก่อนใครเพื่อน ผมนี่หน้าเหว๋อหน่อยๆ ไม่คิดว่าจะต้องมาเข้ากลุ่มกับคุณดิม...ตั้งแต่เวิร์กชอปมา 3 วันเข้าวันที่ 4 ก็คือวันนี้ มีวันแรกเท่านั้นที่ได้คุยกันบ้าง เพราะหลังจากที่หมอพูดคำนั้นผมก็ไม่กล้าสู้หน้าสู้สายตาเขาอีกเลย
“ตัดผมแล้วจำแทบไม่ได้เลยนะ”
“ดีสิ”
“น่ารักดี”
คุณดิมไม่มีทางรู้หรอกว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำจะมีอิทธิพลกับผมมากแค่ไหน มันเพิ่มพูนความรู้สึกหลายอย่างให้พองโต ชัดเจน แม้จะพยายามปฏิเสธมาโดยตลอดก็ตามที ได้แต่เตือนตัวเองว่าคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีกก็แค่อารมณ์เผลอไผลจากการใกล้ชิดเกินควรก็เท่านั้น
“แค่ก แค่ก อ่ะ ขอโทษที” ร่างสูงที่นั่งถัดจากพูลล์ไอแห้งๆ สงสัยคงมีอาการเจ็บคอแล้ว
“พี่ดิมไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดจัง” ผู้ชายที่สดใสกระทั่งเสื้อผ้าที่เลือกใส่ เสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดเข้ากับบุคลิกที่น่ารักของเขาที่สุด และความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนที่แสดงออกก็น่ารักมากจริงๆ
“เจ็บคอนิดหน่อย ไม่เป็นไร เรามาเริ่มซ้อมกันดีมั้ย” คุณหมอยกน้ำเปล่าที่ถือติดตัวเสมอจิบเพื่อลดอาการระคายคอ ก่อนจะใช้สายตาคมๆ นั่นมองผมอย่างตั้งใจ แต่นั่นแหละอย่างที่รู้ว่าผมพยายามหลบหน้าเขามาตลอดหลายวัน แต่วันนี้ดูจะทำไม่ได้เสียแล้ว
“...”
“งั้นเรามาแบ่งบทกันดีมั้ยศิ ศิอยากเล่นเป็นใคร”
“เรากับพูลล์คงต้องเลือกใครซักคนใช่มั้ย เราเป็นแฟนพระเอกก็ได้นะ”
“อืมมม แต่เราว่าศิเล่นเป็นนายเอกเถอะ เผื่อได้เล่นจริงๆ อะ” เจ้าของร่างสมส่วนพูดพร้อมโน้มตัวมาใกล้ และยิ้มเหมือนล้อเลียนผมกับผู้ชายที่นั่งอ่านบทอยู่
“ใช่ที่ไหนเล่า”
ครูต้นให้เวลาเราซ้อมครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มบททดสอบตามความสมัครใจ หลายๆ กลุ่มผลัดกันแสดงอย่างไม่มีใครอิดออด ครูทุกคนย้ำเสมอว่าคุณสมบัติของนักแสดงที่ดีคือสปิริต ฉะนั้นพวกเราทุกคนในที่นี้เลยพยายามแสดงออกถึงสปิริตให้มากที่สุด ผมจับตาดูกลุ่มของอาโปมากที่สุดเพราะรู้ว่าอาโปหวังในการถูกคัดเลือกเป็นตัวจริงมากๆ และที่ผ่านมาอาโปก็ทำได้อย่างดีเสมอจนครูชมในทักษะและการพัฒนาที่เห็นได้ทุกวัน ส่วนตัวผมหลังจากซ้อมกับคุณหมอที่หายใจแรงผิดปกติข้างๆ ก็ดูน่าจะไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะคุณดิมกับพูลล์ส่งอารมณ์มาให้ดีมาก กลับกลายเป็นว่าผมเสียอีกที่ดูจะเป็นตัวถ่วงของทีมยังไงไม่รู้
“เธอไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า”
“...”
“นี่เธอ”
ร่างสูงใหญ่ที่ดูจะอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนแผ่กระจายออกมาจากตัวจนผมที่นั่งข้างๆ รู้สึกได้ ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำได้แค่นิ่งทั้งที่ใจนั้นเต้นระรัวเพราะไม่กล้าสู้หน้าคนๆ นี้จริงๆ กลัวว่าจะเผยความรู้สึกบางอย่างทีที่ไม่ควรแสดงออกให้เขารับรู้ว่าดีใจแค่ไหนกับคำชมไม่กี่คำ
ห้ามเด็ดขาดเลยศิ“ป่าวครับ ไม่มีอะไร”
“คุณดิมไม่สบายหรือเปล่า ทำไมตัวร้อนจัง” การพยายามเลี่ยงประเด็นการพูดคุยเรื่องนี้น่าจะดีที่สุด
“อืม สงสัยจะใช่แล้วแหละ”
“หมอก็ป่วยเป็นด้วย” ผมเย้า
“หมอก็คน คนที่ดีแต่ดูแลคนอื่น แต่ไม่เคยดูแลตัวเอง” คนข้างๆ พูดพร้อมเหยียดยิ้มให้ตัวเอง
“มากลุ่มสุดท้าย คุณหมอ พูลล์ ศิ” เสียงครูต้นทำให้บทสนทนาที่ไม่ได้ลื่นไหลหยุดลง อย่างที่ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ
เริ่มการแสดง พูลล์และคุณดิมเผชิญหน้ากัน ส่วนผมยืนอยู่หลังร่างสูงใหญ่ในฐานะมือที่สามขี้ขลาด การเผชิญหน้าของตัวละครทั้งสามตัวที่มีความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง เพื่อให้การเล่นอย่างไหลลื่นครูเลยอยากให้พวกเราใช้ชื่อตัวเองเพื่อจะได้อินมายิ่งขึ้น
“พี่ดิมเลือกมันใช่มั้ย” พูลล์พยายามที่จะเข้ามาใกล้ตัวผมแต่ถูกคนตัวใหญ่กว่าขวางทางเอาไว้
“พูลล์อย่าทำอย่างนี้ เราจบกันไปแล้ว”
“จบสิวะ เพราะพี่นอกใจไปหามันไง แน่จริงมึงเอาหน้าหนาๆ ของมึงออกมาดิ มุดหลังแฟนคนอื่นอยู่ได้” พูลล์ชี้หน้าและพูดออกมาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด สายตาอาฆาตที่แสดงออกมาอย่างน่ากลัว
“เฮ้ย อย่าให้พูดไม่รู้เรื่องนะพูลล์ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” คุณดิมชี้หน้าพูลล์ด้วยอารมณ์เหลืออด สายตาที่บอกเลยว่าใครมาได้เห็นต้องถอยกรูเพราะรู้แน่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ
“หึ พี่รู้ตัวป่ะว่าตัวเองเป็นยังไงตอนอยู่กับเขา พี่ดูมีความสุข พี่ดูรักและห่วงใย เหมือนที่เคยทำกับผมทุกอย่าง! ทุกอย่างที่คนอย่างมึงแย่งไป!” พูลล์ย่างก้าวเข้ามาเหมือนจะทำร้ายผม อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ต่างจากเมียน้อยที่ไปแย่งสามีคนอื่นมา พาลคิดถึงชีวิตจริงของตัวเองที่คิดไม่ซื่อกับผู้ชายที่หลบหลังเขาอยู่ตรงนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของและไม่มีทางที่จะคิดเป็นอื่นกับผมได้ก็ยังหน้าไม่อายที่จะรู้สึก
“หยุด มึงหยุดนะ!” คุณดิมผลักพูลล์จนล้มลง ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น ความรู้สึกของตัวละครที่ผมได้รับขาดสะบั้น การถูกตราหน้าว่าเป็นคนแย่งคนรักของคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของเขามาก่อนมันก็แย่พอตัว แต่การต้องมาถูกด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงก็หมดความอดทน อดทนที่เห็นคนที่ตัวเองรักทำร้ายคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้
“พี่ดิมพอเถอะ พอ!” จู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาทั้งที่ในบทไม่มีถึงขนาดนี้
“ฮึก พี่แม่งโกหก ทำไมต้องโกหก ไปทำร้ายเขาทำไม เขาทำอะไรผิด คนผิดอยู่นี่ ศิเอง ฮือ ศิผิดเองที่ไปรักคนแบบพี่”
“ศิ..” คุณดิมมีท่าทีตกใจที่เห็นผมร้องไห้ แต่ก็นั่นแหละมันไหลออกมาเอง
พูดจบก็ต้องหันไปประคองพูลล์ที่ล้มอยู่ที่พื้น
“ขอโทษ ขอโทษนะ” พูดขอโทษพลางจับแขนเล็กที่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าผลักกระเด็น เพื่อจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น
พลั่ก พูลล์ผลักผมเต็มแรงจนล้มลง คุณดิมกำลังจะมาช่วย และผมต้องตบคุณดิมแบบเฉียดๆ ด้วยอาการผิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้อย่างที่สุด
เพี๊ยะ
“ออกไปจากชีวิตศิ ออกไป!!” แล้วก็เดินไปด้วยอาการเสียใจ
เสียงปรบมือดังจากรอบห้อง พร้อมเสียงโห่ร้องจากเพื่อนๆ ที่นั่งดู รวมถึงคุณครูที่ยกยิ้มให้ พวกเราสามคนจับมือกันพร้อมโค้งรับการแสดงความชื่นชม
ผมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีมือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมสีใหม่เบาๆ อย่างไม่นึกฝัน คล้ายจะปลอบประโลมอารมณ์ที่เข้าถึงบทบาทให้คลายความรู้สึกลง แต่เหตุการณ์นั้นก็เกิดเพียงเสี้ยววิ แต่เป็นเสี้ยววิที่ทำให้ใจกระตุกจากการกระทำที่อ่อนโยนจากคนที่ไม่คาดหวัง
“วันนี้ทุกคนทำดีมากๆ ครูดีใจที่เห็นพัฒนาการของทุกคนเลย” ทุกคนในห้องนั่งฟังครูต้นพูดอย่างตั้งใจ เป็นการสรุปปิดท้ายกิจกรรมแบบที่ทำทุกวัน เพื่อแจ้งว่าในวันพรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไรกันบ้าง
“ศิ ร้องไห้ทำไม บอกครูได้มั้ย”
“คะ..ครับ” ครูต้นถามขึ้นขัดความคิดที่ยังโดนตรึงอยู่กับสัมผัสแผ่วเบานั้น
“อ่อ สงสารพูลล์ครับ”
“ทำไมถึงสงสารล่ะ”
“ก็แค่คิดว่าทำไมพูลล์ต้องเป็นคนโดนกระทำจากความเห็นแก่ตัวของคนสองคน เขาไม่ได้ผิดอะไร เลยเสียใจแทนพูลล์มั้งครับ”
“Exactly! การเข้าใจในอารมณ์ของตัวละครที่เราสวมบทบาท รวมถึงการเข้าใจอารมณ์ของตัวละครอื่นที่เราเข้าฉากด้วย จะทำให้เกิดการแสดงที่เป็นธรรมชาติ และแสดงออกมาอย่างคนที่เข้าใจโลกเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ หมดหวัง แยกแยะและทำออกมาให้ชัดเจนอย่างที่ตัวละครเป็นคนๆ เดียวกับเรา”
“วันนี้เธอทำดีมากศิรัส รวมถึงคนอื่นๆ ที่ครูไม่เอ่ยชื่อด้วย ครูภูมิใจในตัวพวกเธอมาก” ทุกคนยิ้มเป็นปลื้มกับคำชมคำแรกที่ได้จากครูต้น ปกติครูจะไม่ค่อยชมแต่จะให้คำแนะนำ วันนี้ถือว่าพวกเราสอบผ่านที่ได้รับคำชมจากครูต้นได้
ครูทุกคนให้แยกย้ายกลับบ้านได้ ผมและอาโปก็มุ่งหน้าไปลานจอดรถ เราแยกกันเพราะได้ที่จอดคนละชั้น พวกเราเห็นความจำเป็นของรถส่วนตัว แม้จะไม่ชอบขับรถเองเท่าไหร่ อีกอย่างถนนเส้นนี้รถติดมาก แต่ก็อย่างที่ทราบสภาพวันแรกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ร่างกายก็ยมเกินกว่าจะพาตัวเองขึ้นบีทีเอสกลับ หรือจะใช้บริการแท็กซี่ในเวลาดึกดื่นคนเดียว เลยเลือกขับรถตัวเองมาดีกว่า
มินิคูเปอร์สีเหลืองสดจอดข้าง BMW 4Series Coupe ทะเบียนคุ้นตา คงจะเป็นคุณหมอที่มาจอดเทียบทีหลัง เพราะตอนแรกที่ผมจอดข้างเป็นเบนซ์สีขาว อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นวะ ใช้สายตาสอดส่องหาเจ้าของรถ ก็พบว่ากระโปรงด้านหลังเปิดอยู่ อาจจะกำลังเก็บของ เลี่ยงยากที่จะไม่เผชิญหน้าแล้วสินะ เพราะผมก็ต้องเก็บของหลังรถเช่นเดียวกัน พอเดินไปถึงก็เห็นร่างสูงสวมเสื้อยืดสีขาวของ CK กำลังนั่งหลับตาพิงกระโปรงรถที่เปิดไว้อยู่ ดูท่าอาการป่วยของคุณหมอจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขนาดมานั่งหลับแบบนี้
“คุณดิมครับ”
“หืม”
“อ่า โอเคหรือเปล่า” เขาไม่ได้หลับแฮะ สีปากและสีหน้าของคุณหมอแดงระเรื่อ พิษไข้คงเล่นงานคนที่แข็งแรงอย่างเต็มที่แล้ว
“ปวดหัวนิดหน่อย สงสัยไข้จะขึ้น” คุณหมอเอาหลังมือเช็กอุณหภูมิร่างกายผ่านหน้าผากและลำคอของตัวเอง มันไม่น่าจะไข้ขึ้นธรรมดาน่าจะไข้สูงเลยล่ะมั้งเนี่ย
“เข้าไปนั่งในรถดีมั้ยอะ ตรงนี้อบอ้าว” คุณหมอพยักหน้ารับก่อนจะปิดกระโปรงรถ และเดินมาเปิดประตูข้างคนขับก่อนจะพาตัวเองเข้าไปนั่ง ผมได้แต่เดินตามและมองการกระทำที่ดูพร้อมจะวูบหลับได้ตลอดเวลา
“คุณกินยาหรือยังครับ”
“กินแล้วล่ะ เลยดูง่วงขนาดนี้ไง” ร่างสูงที่เคยแข็งแรงตอบเสียงเอื่อยก่อนจะยกมือนวดขมับตัวเอง
“เธอพอจะมีทิชชู่เปียกหรือเปล่า ขอใช้เช็ดตัวหน่อยสิ”
“อ่า ไม่มีครับ เดี๋ยวผมวิ่งออกไปซื้อเซเว่นให้ รอแป๊บนึงนะ”
“ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร”
“ศิ!” เสียงสดใสของพูลล์ที่ผมเริ่มจะชินหูดังขึ้น คนตัวเท่าผมกำลังวิ่งมาอย่างหน้าตั้ง
“ยังไม่กลับหรอ”
“อื้อ ก็กำลังแล้ว เอ้อ พูลล์พอจะมีผ้าเย็นหรือว่าทิชชูเปียกมั้ย คุณดิมเขาไม่สบายน่ะ”
“เฮ้ย มีๆ” คนน่ารักและโอ้อวดว่ากระเป๋าตัวเองมีทุกอย่าง กำลังรื้อกระเป๋าเป้โดราเอม่อนก่อนจะยื่นผ้าเย็นซองสีชมพูให้คุณหมอ
“พี่ดิมโอเคหรือเปล่า ทำไมอาการดูแย่กว่าตอนอยู่ในห้องอีก อะนี่น้ำครับ” พูลล์ยื่นน้ำแร่ไม่เย็นให้คุณหมอที่นั่งบนเบาะรถฝั่งคนขับที่เปิดประตูไว้ตามไปด้วย
“ขอบคุณครับ”
“นี่แล้วจะขับรถกลับไหวหรอ สภาพแบบนี้ มีเข้าเวรต่อมั้ยเนี่ย” น้ำเสียงสดใสดูจะห่วงใยเพื่อนรุ่นพี่ในวงการพอตัว จริงๆ พูลล์ก็เป็นคนที่เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนทุกคนอย่างเป็นนิสัยอยู่แล้ว
“มีครับ อาจจะจอดรถไว้นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา เดี๋ยวไปแท็กซี่ได้”
“ได้ไงพี่หมอ เอางี้มั้ย ศิไปส่งพี่หมอสิ” ใบหน้าใสหันมามองคนที่ตัวเองเสนอชื่อ
“อะ...อ้าว” เหว๋อสิครับ ไม่คิดว่าโบนัสจะลงที่ตัวเอง เหอะๆ
“ก็บ้านเราไกลกว่าโรงพยาบาลพี่หมอคนละโยชน์เลย ศิแหละไปส่งพี่เขาหน่อยน่า”
“แต่ว่า…”
“ไม่เป็นไรไม่รบกวนหรอก กลับกันเถอะพวกเราน่ะ ดึกแล้วจะอันตราย ผมไม่เป็นไร ผมเป็นหมอนะ แค่กๆ” เสียงทุ้มกว่าปกติของคุณดิมปนกับเสียงไอทำให้ต้องกลับใจ แอบรู้สึกผิดที่ดูเหมือนปฏิเสธเขาทั้งที่เขาก็เคยอาสาไปส่งที่คอนโดตั้งสองครั้ง
“เดี๋ยวผมไปส่งครับ มีของอะไรที่คุณต้องใช้บ้าง”
“มาๆ เดี๋ยวเราช่วยขน” พูลล์ที่ออกเสนอตัวมีอาการร่าเริงสุดๆ หลังจากที่ผมรับปากว่าจะไปส่งร่างสูงที่นั่งกุมขมับเพราะอาการปวดหัวที่คงจะทวีขึ้น ไวรัสคงเล่นงานเขาหนักจริงๆ ควรพาไปเข้าเวรให้เร็วที่สุดดูท่าจะดี จะได้มีพยาบาลดูแล สงสัยวันนี้คุณหมอคงต้องงดดูแลคนอื่น
“ขับรถดีๆ น้าาา” เสียงสดใสร่ำลาก่อนจะโบกมือให้จนมินิคูเปอร์คันโปรดของผมเลี้ยวจนสุดทางออก
เจ้ากี้เจ้าการนักนะ เจ้าพูลล์ติ๊ง! เสียงแจ้งเตือนจากมือถือขณะที่รถยังไม่เลี้ยวออกจากตึกดี เลยรีบปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของคนที่หายใจถี่อยู่เบาะข้างคนขับ แต่เจ้ากรรมมือดันไปเลื่อนเปิดซะนี่ เป็นสตอรี่ไอจีของพูลล์ที่แท็กชื่อผมกับคุณดิม! วิดีโอรถสีเหลืองสดกำลังเลี้ยวออกจากตึก
@thesimoonnie
เป็นคุณหมอก็ป่วยได้แต่มีคนไปส่ง งิงิ
@dim.akira
พูลล์ ว้อยยยยยยยยยยยยไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระแสในทวิตเตอร์มันจะพุ่งทะยานขึ้นน่านน้ำเมืองชิปเปอร์แค่ไหน
ในช่วงแรกที่พี่ใบชามาขอความร่วมมือในการใช้พื้นที่สื่อของตัวเองให้เป็นประโยชน์ หลายคนที่พอจะมีฟอลโลเวอร์เป็นฐานทุนเดิม พอลงรูปหรือไอจีสตอรี่ก็จะมีคนแคปไปลงทวิตเตอร์พร้อมติดแท็กซีรี่ส์ ไม่ก็มีการจิ้นคนนั้นกับคนนี้เป็นแฮทแท็กต่อท้าย และ #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ ก็ยังคงมีการพูดถึงอยู่ตลอดเวลาที่ผมเข้าไปส่อง มีบ้างที่มือลั่นกดหัวใจแต่คงไม่มีใครสังเกตว่าเป็นผมหรอกเพราะใช้รูปตัวละครในเกมเป็นโปรไฟล์ อีกอย่างชื่อแอคเคาทน์ก็ไม่เหมือนไอจีตั้งมั่วๆ จะได้ไม่มีคนจำได้ ที่สุดแล้วนั้นการจิ้นมันเลยเถิดมาเป็นชื่อจริงของคุณดิมกับผมแทนแฮทแท็กยาวนั่นแล้ว #ดิมศิ จั๊กจี้หน่อยๆ นะ
มันค่อยๆ โหมกระพือเพราะเพื่อนที่เวิร์กชอปหลายคนชอบจับสังเกตทั้งผมและคุณดิม หลังจากวันแรกก็มีโดนแซวบ้างเพราะแฮทแท็กเด็กหมออะไรนั่น แต่แล้วเหมือนโดนล่มเรือโดยผมเองที่แทบไม่ได้คุยกับคุณดิมเลย กิจกรรมกลุ่มก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน รูปหรือสตอรี่หลายๆ คนอาจจะมีติดผมบ้าง ติดคุณดิมบ้าง เหมือนกำลังโดนจับตามอง แต่แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมเมนต์ให้คนได้จินตนาการต่อเลย จนนี่แหละวันนี้ เจ้าพูลล์ตัวดียื่นไม้พายให้เหล่าคนขี้ชิปคนได้จิ้นต่อ ตัวผมมันไม่เท่าไหร่ กังวลก็แต่คนที่ป่วยไม่สบาย ซึ่งตอนนี้น่าจะหลับไปแล้วจะไม่ชอบใจเอา จิ้นในซีรี่ส์เป็นแค่งาน จิ้นในชีวิตจริงอาจจะไม่เหมาะ
ก็เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่อีกเรื่องคือศิคนนี้มีไอจีกับเขาแล้ว ไม่โดนด่าว่าหลังเขาแล้วน้าาา เพิ่งสมัครแอคเค้านท์ไปไม่กี่วันก่อน ยอดฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นทุกวัน เฌอเป็นคนสอนผมเล่นพร้อมด่าไปด้วยกับอาการสองจิตสองใจในการเลือกชื่อแอคเค้านท์ ชื่อที่ไม่มีคนใช้ก็ไม่ชอบ ชื่อที่เฌอคิดให้ก็ไม่เอา เลยจบลงที่ชื่อที่เมฆคิดให้ นั่นคือ @thesimoonnie เพราะชื่อจริงผมแปลว่าพระจันทร์ และมูนนี่ก็น่ารักดี ผมก็เลยเออออไม่อย่างนั้นเฌอคงกินหัวผมเป็นแน่
รูปแรกที่ลงเป็นรูปที่เฌอแอบถ่ายวันที่ตัดผมเสร็จ เราแวะกินไอติมก่อนกลับ ไม่เคยรู้เลยว่าใช้สายตามองของกินแบบนั้น ลูกไอติมสามสีน่ารักเรียงบนโคนจับ และผมก็ยิ้มให้กับไอติมที่กำลังจะถูกกลืนลงพุงน้อยๆ ของตัวเอง เป็นรูปที่เฌอบอกน่ารักดีก็เลยลงรูปนี้เอาฤกษ์เอาชัย คนที่ฟอลก็นี่แหละเดอะแก๊งทั้งสามคน คนไลก์ก็นี่แหละเฌอ เมฆ และอาโป และไม่ลืมที่จะบอกชื่อแอคเค้านท์ให้พูลล์รู้คนแรก เท่านั้นแหละ พูลล์ก็แคปไอจีผมลงสตอรี่แล้วบอกให้คนอื่นไปฟอล วันเดียวยอดฟอลโลเวอร์ขึ้นสองพันกว่าคน โอ้โห นี่แหละนะพลังของเซเลบบิตี้ คนตามในไอจีพูลล์ตั้ง 2 แสนกว่าแหนะ ห่างจากผม 20 เท่า ฮ่าๆ
ระยะทางจากบริษัทถึงโรงพยาบาลของคุณหมอจริงๆ ไม่ได้ไกลมาก แต่ว่ารถติดพอสมควร ครับ รถติดเวลาสี่ทุ่มหากจะใช้เส้นทางที่ไปคอนโดผมก็จะต้องไปกลับรถไกลพอสมควร แสดงว่าคุณดิมจะต้องใช้เวลาอยู่บนถนนเวลากลับจากเวิร์กชอปนานเหมือนกัน ใช้ชีวิตสมบุกสมบันจริงๆ
ใบหน้าคมระเรื่อด้วยเลือดฝาด ทำให้หน้าและปากเขาแดงขึ้นมากเพราะพิษไข้ ซึ่งเขาหลับตาลงตั้งแต่ออกรถ และขออนุญาตผมปรับเบาะเพื่อให้นอนสบายขึ้น เลยยกผ้าห่มลายหมีวีบาร์แบร์ส์ให้ยืมห่มป้องกันอากาศเย็นจากแอร์ หลังจากนั้นเขาก็ภาพตัดไม่รับรู้อะไรอีก ลมหายใจสม่ำเสมอและเผลอไอบ้างในบางที
“คุณดิมครับ” ผมพยายามเรียกคนที่หลับสนิทเพราะตอนนี้มาถึงภายในโรงพยาบาลแล้วแต่ไม่รู้จะต้องไปตึกไหนต่อ
“....”
“คุณดิม” เหมือนจะไม่รู้สึกตัว หรือเขาจะช็อกไปแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย
“คุณดิม คุณดิม ตื่นครับ!” ผมใช้เสียงที่ดังขึ้น พร้อมกับแตะที่แขนเขาเบาๆ
“....”
“คุณๆ นี่ตื่นเถอะครับ ทำไงดีวะ ลงไปเรียกคนมาช่วยดีมั้ยเนี่ย” รำพึงกับตัวเองเพราะเริ่มกว่าว่าเขาจะช็อกไปจริงๆ
หมับ มือใหญ่ที่อุ่นร้อนจับลงบนข้อมือเล็กกว่าที่ใช้ปลุกคนป่วยเมื่อสักครู่
“อื้อ ได้ยินแล้ว แต่มันลืมตาไม่ขึ้น”
“เฮ้ออ โล่งหน่อย คิดว่าคุณดิมช็อกไปแล้ว ผมตกใจหมด”
“ถึงโรงพยาบาลแล้ว ต้องไปอาคารไหนครับ”
ร่างสูงค่อยๆ ปรับเบาะและปรับสายตาให้รับแสง พร้อมคลายมืออุ่นจนร้อนที่จับข้อมือผมออกช้าๆ ก่อนจะมองว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้
“เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย ตรงไปที่อาคารผู้ป่วยใน ลานจอดรถจะอยู่ข้างหน้าเลย”
“ครับ คุณเป็นไงบ้าง ไหวหรือเปล่า”
“ท่าจะแย่ อยากได้ยาสักเข็ม ปวดหัวสุดๆ” คนป่วยตอบด้วยเสียงที่ดูจะแหบขึ้นกว่าเดิม แต่บอกก่อนว่าหาเค้าความเซ็กซี่ไม่ได้เลย น่าสงสารมากกว่าที่เสียงเท่ๆ กลายเป็นเสียงเป็ดไปแล้ว
“ถึงแล้วครับ เดี๋ยวผมถือของไปส่ง”
“ผมต้องเรียกรถเข็นมั้ยเนี่ย คุณเดินไหวหรือเปล่า”
“ได้น่า” อะ ได้ก็ได้
กวาดสัมภาระทุกอย่างของคุณหมอใส่สองมือ แต่คนป่วยก็ยังดื้อจะถือเอง แค่พาตัวเองเดินลงจากรถเข้าตึกยังดูงงๆ สะบัดหัวไล่ความมึนตั้งหลายที ทำมาเก่งจะถือของหนักๆ คิดว่าตัวเองเป็นเดอะฮัคส์หรือไงทั้งที่เป็นแค่ปลาหมึกป่วยๆ
พี่พยาบาลที่กำลังเข้าเวรพอเห็นสภาพคุณหมอสุดหล่อของเธอดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ตะโกนสั่งบุรุษพยาบาลให้เอารถเข็นมารับคุณหมอ ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อให้คุณหมอที่เข้าเวรได้ตรวจอาการของคนป่วย ตอนแรกผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนเลยได้แต่เดินตามพวกเขามา พร้อมหอบหิ้วสัมภาระที่โคตรหนักตามไปด้วย ไม่กล้าวางหรอกถ้าหายมาจะทำยังไง กระเป๋าบาลองเซียก้าไม่ใช่ถูกๆ
“ไข้หวัดนะครับพี่ 39.5 เลยนะ ไปทำอะไรมาครับ” คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งน่าจะเด็กกว่าคุณดิวที่โดนวินิฉัยอาการอยู่
“สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอน”
“ฉีดยากับขอน้ำเกลือซักขวดนะ วันนี้หมอคงต้องราวด์คนเดียวแล้วไหวหรือเปล่า”
“สบายพี่ วันนี้มีเอ็กเทิร์นหลายคน”
“ขอบคุณนะ”
หลังจากฉีดยาและเจาะสายน้ำเกลือคุณหมอที่ตอนนี้เป็นคนป่วยเต็มรูปแบบก็โดนเข็นเข้าไปในห้องพักแพทย์ ที่มีทั้งเตียงและห้องน้ำส่วนตัว บุรุษพยาบาลช่วยพยุงคุณหมอให้นอนบนเตียงก่อนจะออกจากห้องไป ผมเงียบพร้อมของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าห้อง ยังคิดว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ วิญญาณหลุดออกจากร่างตั้งแต่พี่พยาบาลเจาะสายน้ำเกลือที่แขนข้างขวาแล้วใจจะวาย อาการกลัวเข็มมันไม่เคยหายไปจากใจ ฮือ
“อ้าว ยังไม่กลับหรอ”
“อ่า ผมไม่รู้ว่าจะเอาของพวกนี้ไปวางที่ไหน กลัวหายอะ”
“หึหึ” คุณหมอยิ้มเมื่อมองเห็นสภาพของผมตอนนี้ มือข้างขวาถือเสื้อกาวน์ มือซ้ายยกกระเป๋ารองเท้า ส่วนหลังก็สะพายกระเป๋าเป้ พ่วงกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กสะพายข้างอีก บอกแล้วว่ามันดูเกะกะมากๆ
“เอาไปวางที่โต๊ะก็ได้” เลยเดินเข้าห้องพักแพทย์ที่ดูสะอาดและมีกลิ่นของความเป็นโรงพยาบาลอ่อนๆ แม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลรัฐแต่ก็นับว่ามีสวัสดิการสำหรับหมอดีเหมือนกัน
“ปกติไม่ได้มาอยู่หรอกห้องนี้ ต้องเป็นระดับอาจารย์หมอที่มีเคสผ่าตัดนานๆ” เหมือนคนป่วยจะอ่านใจผมออกว่ากำลังพินิจสถานที่นี้อยู่
“อ้าว งั้นปกติที่คุณเข้าเวรไปอยู่ที่ไหนหรอครับ”
“ข้างๆ ห้องพยาบาลที่เดินผ่านมานั่นแหละ”
“ห้ะ แคบๆ นั่นหรอครับ” ผมแอบตกใจเพราะมันไม่ได้กว้างแถมเห็นมีโต๊ะหลายตัว แสดงว่าต้องอยู่กันหลายคน
“ใช่ อยู่กลางคืนก็จะได้ใช้บ้าง แต่กลางวันไม่ค่อยได้เข้าไปหรอก ส่วนมากก็ต้องตรวจคนไข้ทั้งวัน”
“....”
“ทำไมทำหน้าแบบนี้” ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำหน้ายังไง แต่ว่าไม่อยากจะเชื่อเลยที่อาชีพที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นจะมีคุณภาพชีวิตที่เหนื่อยขนาดนี้
“ป่าวครับ แค่กำลังคิดตาม ถ้าผมเรียนจบแล้วมาทำงานในโรงพยาบาลจะเป็นแบบคุณมั้ย”
คุณหมอยกยิ้มแต่ทว่าอ่อนแรงคล้ายกับพลังงานที่เหลืออยู่กำลังจะหมดลง
เดี๋ยวนะ ทำงาน งาน การบ้าน!!
“เห้ยทำงาน! ตายห่าการบ้านอ.ปวีณามัยยังไม่เสร็จ” ฉิบหายแล้ว คืนนี้ไม่ต้องนอนล่ะมึงไอ้ศิ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูโอ้โห ห้าทุ่ม แล้วต้องส่งก่อนแปดโมงวันศุกร์ one night miracle จงบังเกิดกับตัวข้าเถิด
“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ การบ้านยังไม่เสร็จเลย”
“กลับเถอะ ขอบคุณมากนะ” คุณหมอยิ้มให้อีกแล้ว วันนี้ยิ้มบ่อยจัง เสือยิ้มยากเวลาป่วยจะยิ้มมากกว่าปกติหรือไง
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย” ผมถามออกไปอย่างลืมตัวว่านี่คือโรงพยาบาลคงไม่มีพยาบาลกล้าปล่อยให้บุคลากรคนสำคัญเป็นอะไรไป
“อ่า นี่โรงพยาบาล เด๋ออีกละ” ยกมือเกาหัวอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหนเพราะปล่อยโป๊ะตูมใหญ่
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ เอ่อ หายไวๆ นะ”
"เดี๋ยว"
"วันนั้นถ้าผมทำเธอไม่สบายใจ ขอโทษด้วย"
"ครับ?"
"รู้สึกแปลกๆ ที่ผู้ชายชมว่าน่ารักสินะ"
"ก็มั้ง..." เป็นอีกครั้งที่คุณหมอแปลเจตนาของผมผิด แต่ก็ดีแล้วแหละ อย่าให้เขารู้เลยความจริงเป็นยังไง เพราะมันไม่ควรจริงๆ
"คิดซะว่าผู้ใหญ่ชมเด็กแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องหลบหน้ากันอีก"
"ครับ"
"กลับเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ"
ยกมือไหว้คนป่วยที่อาวุโสกว่าก่อนจะปิดประตูและปิดไฟตามที่คุณหมอขอ พร้อมออกมาด้วยความรู้สึกที่ใจโหวงๆ ยังไงพิกล
เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว
แต่ที่ผิดปกติคือผมเองที่คาดหวังในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้
ไม่รู้จะเก็บใจที่มอดมิดกลับไปจุดไฟให้ปั่นงานคืนนี้ยังไงได้
เฮ้อมีต่อ