คู่มือในการเลี้ยงดูผีข้อที่ ๒ : การเลี้ยงผีนั้นมีกฎข้อห้ามที่ต้องปฏิบัติ "ผัวมึงยังไม่หายงอนอีกหรอวะ "
ผมหันไปถอนหายใจใส่ไอ้ตินที่นอนเอกเขนกจิ้มมะม่วงน้ำปลาหวานข้าปากแบบอย่างสบายอุราอยู่บนเปลใต้ถุนบ้าน....สบายกว่าเจ้าของบ้านอย่างผมซะอีก!
"ช่างแม่งเถอะ ทำกูซะลายพร้อยขนาดนี้ยังเสือกจะงอนอีก"
ผมตอบอย่างไม่สบอารมณ์...คุณๆคงจำได้ใช่ไหมครับว่าไอ้กลอนถูกทำโทษเพราะขัดคำสั่งห้ามดื่มเหล้า แต่หลังจากที่ทำโทษผมจนสาแก่ใจมันแล้วไอ้ผีหื่นก็หายจ้อย ทิ้งให้ไอ้กลอนนอนตายอยู่บนเตียง โชคดีที่ไอ้หมาตินหอบเสื้อผ้าอพยพมาสิงอยู่ด้วย ไอ้กลอนเลยรอดตายมีคนหาข้าวหาน้ำให้กิน
"พี่เค้าใจอ่อนกับมึงจะตาย อ้อนนิดอ้อนหน่อยเดี๋ยวเขาก็หายงอนเองแหละ"
"ให้มันโผล่หน้ามาให้กูอ้อนก่อนเถอะ!"
"นั่นสิ- -นี่ก็ตั้งสามวันล่ะ" ไอ้ตินพยักหน้าหงึกหงัก "แล้วพี่เค้าไม่ทิ้งโน้ตเอาไว้ให้เหรอวะ?"
"งวดนี้ไม่มีว่ะ" ไอ้กลอนตอบเสียงหงอย....ไม่นึกเลยว่าพี่ภพมันจะโกรธมากขนาดนี้ แล้วทำไมไม่ว่าตั้งแต่แรกวะจะได้เลิกไม่ดื่มต่อ
โว้ย!....ช่างแม่งเถอะ มันหายงอนเมื่อไหร่ก็โผล่มาเองแหละ!
"กูจะไปดูเครื่องสูบน้ำที่ท้ายสวนหน่อย มึงยังจะเอาสายบัวอยู่ไหม?"
"เอาดิวะ กูว้อนท์อยากกินแกงสายบัวอยู่เนี่ย"
"เออ เดี๋ยวกูเก็บมาให้"
ผมเดินหน้าบูดมาดูเครื่องสูบน้ำที่ท้ายสวน หลังเติมน้ำมูกน้ำมันเรียบร้อยแล้วก็เดินเลยออกเขตสวนจนมาถึงบึงบัว อันเป็นบึงสาธารณะใช้เก็บกักน้ำของชาวบ้านแถวนี้ แต่ก่อนที่จะลุยน้ำไปเก็บสายบัวให้ไอ้ติน ผมก็ดึงโทรศัพท์ออกมาเพื่อปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญยิ่งเสียก่อน
".........." "มันสบายดี กินอิ่มนอนหลับ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะเก็บเสื้อผ้ากลับไปว่ะ"
".....อืม" ปลายสายตอบมาหงอยๆแค่คำเดียวแล้วก็ตัดสายไป ทิ้งให้ไอ้กลอนถอนหายใจใส่โทรศัพท์อย่างกลุ้มใจ ครับ....คนที่ผมเพิ่งคุยด้วยด้วยคือไอ้โรม สุดท้ายความกังวลของไอ้หมูอบก็เป็นจริง หลังจากสะบัดก้นแยกย้ายกันไปได้แค่วันเดียว ไอ้ตินก็หอบผ้าหอบผ่อนมาขออยู่กับไอ้กลอนด้วยสภาพแก้มบวมตุ่ย พร้อมด้วยใบหน้าดุจัดพร้อมจะกัดทุกอย่างที่ขวางหน้า ทำให้ผมไม่กล้าแม้แต่จะออกปากถาม ครั้นโทรถามคนที่น่าจะรู้มากที่สุดอย่างไอ้โรมก็ดันบอกสั้นๆแค่ว่าฝากมันอยู่ด้วยสักระยะ
ไอ้กลอนเป็นคนประเภทที่ไว้ใจใครแล้วก็เชื่อจนหมดใจ พร้อมจะแบ่งปันความลับและความรู้สึกทุกอย่างจนหมดแม็ก....
แต่ไอ้ตินมันตรงกันข้าม- -รายนั้นเวลาที่มีเรื่องทุกข์ใจแทบจะไม่เอ่ยปากบอกให้ใครรู้
ไม่ใช่ว่ามันไม่ไว้ใจ.....
แต่ไม่บอกเพราะไม่อยากให้คนที่ตัวเองแคร์ทุกข์ไปด้วยต่างหาก เจ็บก็จะยอมทนเจ็บคนเดียว....นั่นแหละคือไอ้ติน
อันที่จริงในฐานะรุ่นพี่ที่มีประสบการณ์มาก่อน ไอ้กลอนก็พอเดาได้ว่ามันทะเลาะกันเรื่องอะไรจากสภาพสังขารที่ดูไม่ได้ของมัน ถึงจะถูกว่าด่าว่าโง่อยู่บ่อยครั้ง ทว่าผมก็ยังพอรู้ว่าเรื่องนี้เงียบไว้และทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้จะดีที่สุด....
"พี่กลอนจ๋าาาาา"
"เหวอ!!!!" ผมสะดุ้งโหยงร้องดังลั่นม้วนสายบัวที่หอบมาหลุดร่วงลงพื้น
"จะตกใจอะไรขนาดนั้น?"
ไม่ตกใจก็บ้าแล้ว! เดินมาเพลินๆแม่เด็กน้ำว้าก็หายตัวโผล่พรวดออกมาให้เห็นแบบระยะประชิด ผมไม่เป็นลมก็บุญล่ะ....จะให้สุ้มให้เสียงก่อนก็ไม่มี แถมวันนี้เจ้าตัวมาในชุดนุ่งโจงห่มสไบสีเขียวตองอ่อนสมเป็นนางตานีแบบเต็มยศ เป็นคนอื่นคงวิ่งป่าราบไปแล้ว
แน่นอนว่าไอ้กลอนได้แต่บ่นในใจเท่านั้นแหละ....
"คืนนี้อย่าเพิ่งรีบนอนล่ะ มีเรื่องจะคุยด้วย"
แม่เจ้าประคุณบอกเสร็จปุ๊บก็หายตัวไปทันที ไอ้กลอนจะอ้าปากถามอะไรก็ไม่ทันซะแล้ว อีกอย่างหลังจากเจอวีรกรรมสุดแสบของคุณเธอผมก็หวาดผวากลัวแม่เด็กน้ำว้ายิ่งกว่าไอ้พี่ภพซะอีก
"มึงไปขุดถึงเหง้าหรือไงวะ? หายไปนานชิบหาย" ไอ้ตินร้องทักจากในครัวมันน่าจะรอจนเซ็งเพราะผมเห็นมันเตรียมเครื่องแกงกับของอย่างอื่นไว้รอเรียบร้อยแล้ว
"เจอน้ำว้ากลางทาง เลยหยุดคุยกันนิดหน่อย" ผมมุสาวาทาแบบครึ่งๆพลางยื่นม้วนสายบัวให้มันรับไปจัดการเอาเอง ไอ้ตินทำหน้าแหยท่าทางจะยังไม่ลืมวีรกรรมที่แม่ผีเด็กทำกับพ่อหมอทมเช่นกัน
"เด็กนั่นมีธุระอะไรวะ?"
"ไม่รู้ บอกแค่ว่ามีเรื่องจะคุยด้วย"
"มึงคุยกันเองนะ!"
โรคตาขาวไอ้ตินกำเริบขึ้นมาทันที ผมเลยยักไหล่บอกไปแบบชิลๆ
"เออ มึงจะรออยู่ในห้องนอน
'คนเดียว' หรือลงไปเดินเล่น
'ข้างล่างรอ' ก็ตามใจ"
ไอ้ตินชะงักเริ่มมีท่าทางคิดหนักขึ้นมาทันที ไม่ว่าจะตัวเลือกไหนก็ไม่น่าพิสมัยสำหรับมันทั้งนั้น ก็ตามที่คาด...หลังจากนั้นมันก็เกาะผมเป็นปลิงกระทั่งอาบน้ำยังให้ผมไปนั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู!
++++++++++++++++
"พี่ภพฝากข่าวมาบอกเหรอ?"
พอน้ำว้าทรุดตัวลงนั่งผมก็เอ่ยปากถาม มานึกๆดูแล้วไอ้กลอนก็แทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพี่ภพมันเลยแม้แต่นิด พอมันหายหัวไปแบบนี้ก็จนปัญญาจะตามหา ดังนั้นแม่เด็กน้ำว้าจึงเป็นเส้นสายเส้นเดียวที่โยงไปหาพี่ภพมันได้
"เปล่า"
"คิดถึงผัวเหรอมึง หงอยเชียว"
ผมถลึงตาใส่ไอ้ตินที่ออกปากแซว แต่ยอมให้กัดอยู่ฝ่ายเดียวก็ไม่ใช่ไอ้กลอนแล้วล่ะ....
"ผัวกูไม่ได้ตามตัวง่ายๆเหมือนผัวมึงนี่ จะได้นั่งหัวโด่รอให้ไปหา!"
เปรี๊ยะ!
เกิดกระแสไฟฟ้าแล่นผ่านระหว่างสายตาของเราสองคน ชะรอยเพื่อนรักจะหักเหลี่ยมโหดก็วันนี้แหละวะ! แต่ก่อนที่ผมกับไอ้ตินจะจ้องตากันจนฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งท้องป่อง มือเล็กๆเย็นชืดของน้ำว้าก็ดันใบหน้าของเราแยกจากกันซะก่อน
"หยุดเลย...พี่กลอนหันมาสนใจเรื่องที่น้ำว้าจะคุยด้วย ส่วนนายก็หุบปากแล้วนั่งไปเงียบๆ"
"หึ! งั้นกูไม่กวนล่ะ" ไอ้ตินบอกเสียงห้วนก่อนเดินหนีเข้าห้องนอน ผมหน้าเสียมองตามหลังมันอย่างรู้สึกผิด
"ปล่อยเพื่อนไปก่อนเถอะ เขาต้องการเวลาคิดอีกสักหน่อย"
ไอ้กลอนจะทำอะไรได้ล่ะครับ นอกจากพยักหน้าด้วยความหงอยแบบคุณสอง ผัวก็หาย...เพื่อนก็หนี จะมีใครโชคร้ายเหมือนผมอีกครับนี่
"แล้วน้ำว้ามีอะไรจะคุยด้วยอ่ะ?"
"ก็เรื่องของนายกับพี่ภพนั่นแหละ" เด็กสาวมีท่าทางฮึดฮัดมองไอ้กลอนตาขวางทันทีแถมสรรพนามการเรียกยังเปลี่ยนไปอีกด้วย "พี่ภพใจดีกับนายก็จริงแต่ฉันไม่ใช่ เพราะงั้นฉันไม่มีทางให้นายหลั่นล้ามีความสุขส่วนพี่ภพต้องทนลำบากฝ่ายเดียวแน่!"
"เฮ้ยๆ ถึงการขุดดินทำสวน กวาดบ้านถูบ้าน หรือทำกับข้าวมันจะดูเสียสถาบันผีของพวกเธอก็เหอะ แต่ฉันไม่ได้บอกให้พี่ภพของเธอทำให้นี่ มันเต็มใจทำเองแท้ๆ แล้วเธอมีสิทธิ์อะไรมาโวยวายใส่ฉัน!?"
ไอ้กลอนเริ่มยัวะล่ะครับ...ไหนไอ้พี่ภพมันว่าจะไม่มีปัญหาตามหลังมา แล้วแม่เด็กน้ำว้าที่มาโวยวายเรียกร้องความยุติธรรมให้มันอย่างเกินความเป็นลูกน้องนี่คืออะไร!
"โอ๊ย! จะรีบมโนไปไหน ฉันไม่ได้หมายถึงเรื่องงี่เง่าพรรค์นั้นย่ะ!" น้ำว้ายกมือกุมขมับ
"อ้าว?"
"กับนายคงต้องใช้คำอธิบายระดับเดียวกับที่ใช้กับเด็กสิบขวบอย่างที่พี่ภพว่าจริงๆด้วย"
ไอ้พี่ภพมันเอาผมไปนินทาอะไรบ้างวะเนี่ย? "เดี๋ยวก่อน- -พี่ภพเคยพูดกับนายเกี่ยวกับกฎข้อห้ามอะไรหรือเปล่า?"
กฎอะไรวะ?
ผมทำหน้าเอ๋อ พยายามนึกทบทวนเอาเป็นเอาตายว่าไอ้พี่ภพมันเคยพูดหรือเปล่าก่อนจะส่ายหน้าหวือเป็นคำตอบ ทำให้แม่ผีเด็กเบิกตากว้างอ้าปากค้าง
"พี่ภพบ้าไปแล้วหรือไร!?"
"ก่อนจะสติหลุดช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจก่อนได้ป่ะ!" ไอ้กลอนฟันธงได้เลยว่าเรื่องนี้ต้องสำคัญแน่ ไม่อย่างนั้นน้ำว้าคงไม่ตกใจขนาดนี้ แม่ตานีน้อยสุดลมหายใจลึกก่อนเริ่มอธิบาย
"นายคงพอรู้ใช่ไหมว่าการเลี้ยงผีหรือการทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์นั้นมีกฎข้อห้ามให้คนที่รับวิชาหรือทำพิธีปฏิบัติอยู่"
"อย่างพวกห้ามกินฟัก ลอดราวผ้าถุงอะไรพวกนั้นใช่ไหม?" ไอ้กลอนยกตัวอย่างเพื่อความแน่ใจ
"อืม ก็ราวๆนั้นแหละ ถึงแม้เรื่องของนายกับพี่ภพจะเป็นกรณีพิเศษที่หายาก แต่ก็ยังมีกฏข้อบังคับที่นายต้องปฏิบัติอยู่เหมือนกันไม่เช่นนั้นจิตนายจะถดถอยจนถูกพวกผีร้ายเข้าสิงได้"
"เฮ้ย!" ผมเบิกตากว้างนี่มันอันตรายสุดๆเลยนี่หว่า แปลว่าวันดีคืนดีไอ้กลอนก็มีสิทธิ์โดนผีสิงสิ!
"ถึงแม้จะปฏิบัติธรรมฝึกจิตมามากแค่ไหน แต่พี่ภพก็ยังเป็นโอปปาติกะประเภทหนึ่งอยู่ดี ไม่มีกายเนื้อเช่นมนุษย์อย่างนาย การใช้กายทิพย์ เอ่อ- - ผูกสัมพันธ์กับ- -กายเนื้อของมนุษย์ จึงมีผลทำให้กายเนื้อนั้นถูกแทรกแซงโดยโอปปาติกะอื่นง่ายขึ้น"
ช่วงกลางๆน้ำว้าอธิบายตะกุกตะกักด้วยใบหน้าขึ้นสี ผมเองก็หน้าแดงวูบ....เราหนึ่งคนกับหนึ่งผีรู้กันเองแบบอัตโนมัติว่าไอ้การ
'ผูกสัมพันธ์' ที่ว่าคืออะไร ถึงปกติผมจะคุยกับเพื่อนห่ามๆแบบถึงลูกถึงคนสัปดนสัปดี้เต็มที่....แต่จะให้คุยเรื่องพรรค์นั้นกับผีเด็กวัยสิบกว่าขวบนี่ไอ้กลอนยังไม่ด้านพอครับ
"ตอนนี้นายเองก็น่าจะเริ่มเห็นโอปปาติกะอื่นง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้วใช่ไหมล่ะ ตอนหมอผีลวงโลกนั่นก็เห็นเงาดำรางๆแล้วนี่ ต่อไปนี้ก็จะเห็นชัดขึ้นมากกว่าเดิม ดังนั้นนายต้องรีบสร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเองเร็วๆจะได้ไม่ลำบากพี่ภพมากนัก"
"เดี๋ยวๆ เท่าที่พูดมานี่คนที่ซวยคือไอ้กลอนคนนี้นะครับ ที่มีสิทธิ์โดนผียึดร่างได้ตลอดเวลา ไอ้พี่ภพมาลำบากด้วยที่ไหน มันนั่นแหละที่ทำให้ฉันลำบาก!" ผมโวยวายประท้วง นัยน์ตาของแม่เด็กน้ำว้าเรืองแสงเขียววาบขึ้นมาทันที ไอ้กลอนเลยรีบหุบปากขยับตัวถอยห่างไปอีกหลายฟุต
"จริงอยู่ที่พี่ภพมีส่วนผิดที่ไม่ยอมบอกนายเรื่องนี้" แม่เด็กน้ำว้าพูดเสียงเย็นยะเยือก "แล้วนายคิดว่าที่พี่ภพหายไปตั้งหลายวันนี่เป็นเพราะอะไร?"
หืม.....อย่าบอกนะว่า- -
"ในเมื่อพี่ภพไม่บอก...พี่ภพจึงรับผิดชอบการกระทำของตัวเองด้วยการใส่พลังไว้คุ้มกายนาย จนจิตตัวเองถดถอยถึงขีดอันตรายต้องรีบไปเข้าฌาณนั่งสมาธิฟื้นฟูจิตจนเกือบไม่ทัน!"
ผมนิ่งไปอย่างพูดไม่ออกทั้งโมโหทั้งรู้สึกผิด...รู้ว่าพี่ภพมันเอาใจผมมากแต่เรื่องแบบนี้มันก็ควรบอกกันสักหน่อยสิวะ! หรือมันคิดว่าไอ้กลอนจะเลวถึงขั้นเห็นมันลำบากแบบนั้นได้โดยไม่รู้สึกรู้สาอะไร!
"ฉันต้องทำอะไรและไม่ควรทำอะไรบ้าง?"
"พี่ภพฝึกจิตแบบสายขาวไม่ใช่แบบไสยะ ดังนั้นสิ่งที่นายต้องทำก็มีแค่ถือศีลอุโบสถทุกวันพระและวันโกน ให้พลังธรรมะคุ้มกันตัวไล่โอปปาติกะที่ไม่ดีไม่ให้เข้ามายุ่ง"
"แค่นี้เหรอ?" ไอ้กลอนอึ้งไปนิด อุตส่าห์ทำใจนึกว่าจะมีกฎข้อห้ามยิบย่อยน่ารำคาญมากกว่านี้ซะอีก แล้วไอ้พี่ภพมันกังวลอะไรซะเวอร์วังวะ?
"แต่สำหรับนายคงจัดว่ายากพอดู" แม่เด็กน้ำว้าเลิกคิ้วสูงพลางพูดเสียงเรียบ
อ้าว...พูดแบบนี้ก็สวยสิครับ เรื่องแค่นี้ไอ้กลอนทำได้อยู่แล้ว! "วิธีที่ง่ายที่สุดคือวันโกนนายก็ไปถือศีลที่วัด ข้ออื่นๆไม่ค่อยมีปัญหาเท่าไร แต่ที่หนักหนาสำหรับนายคือศีลข้อที่สี่"
"เดี๋ยวสิ...แล้วศีลอุโบสถนี่มันมีกี่ข้อมีอะไรบ้างอ่ะ?" ผมรีบเรียกเมื่อแม่ผีเด็กทำท่าจะลงจากเรือนไป
"โอ๊ย! ก็เข้ากูเกิ้ลหาเอาสิยะ! ดึกแล้วฉันก็มีการมีงานทำนะ....พวกผีเร่ร่อนนี่เง่าพวกนั้นพอรู้ว่าพี่ภพไม่อยู่ก็คะนองกันใหญ่ ทำเอาฉันกับพวกพี่ๆน้องๆยุ่งตัวเป็นเกลียว แต่ถ้านายจะช่วยผ่อนแรงตามไปช่วยฉันไล่จับผีเร่ร่อนพวกนั้นฉันก็จะยอมเสียเวลาอธิบายได้อยู่"
"แหะๆ เชิญน้ำว้าไปทำงานเถอะครับ พี่กลอนไม่กวนล่ะ"
"อ้อ...ถึงร่างฉันจะเป็นเด็กอายุสิบขวบ แต่อายุจริงแก่กว่านายเกือบครึ่งร้อย เพราะงั้นคนเป็นพี่คือฉันต่างหากย่ะ!"
++++++++++++++++++
ผมนั่งรอความเห็นของไอ้ตินที่จ้องหน้าจอโทรศัพท์อย่างใจจดใจจ่อ หลังจากคุยกับน้ำว้า...ไอ้กลอนคิดยังไงก็คิดไม่ออกว่าการถือศีลแปดข้อมันยุ่งยากตรงไหนถึงทำให้เจ้าหล่อนและพี่ภพคิดว่าไอ้กลอนคนนี้ทำไม่รอด!
ดังนั้นผมเลยลากไอ้ตินมาช่วยคิด.....
หือ....เมื่อคืนโกรธกันคืนดีกันแล้ว?
ครับ....คืนดีกันล่ะ แหม~~ผมกับมันคุยกันทีก็กัดกันเกือบทุกประโยคโมโหกันบ่อยก็จริงแต่ก็หายเร็วนะ ยังไงเราสองคนก็รู้ตัวกันดีอยู่แล้วว่าตัวเองปากหมาแค่ไหน เช้ามาอารมณ์เย็นลงพูดขอโทษกันสั้นๆง่ายๆก็จบแล้ว
"จริงอย่างที่คุณน้ำว้าว่าว่ะ" ไอ้ตินเอ่ยอย่างหนักใจ มันเปลี่ยนสรรพนามเรียกนางตานีตัวน้อยทันทีที่รู้อายุเจ้าหล่อน
"จงอธิบาย"
"ศีลแปดข้อนี่" มันหงายหน้าจอโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะให้ผมเห็นชัดๆ "หลายข้ออาจจะลำบากหน่อยอย่างห้ามฆ่าสัตว์ ห้ามร้องรำทำเพลง ห้ามใช้เครื่องสำอาง ห้ามนอนบนที่นอนนุ่มๆ ห้ามกินข้าวเย็น ไอ้ที่ว่ามานี่ถึงจะดูยุ่งยากแต่ถ้ามึงไปถือศีลที่วัดสถานการณ์และสถานที่มันบังคับมึงก็คงจะพอทำได้อยู่....แต่ข้อมุสานี้ยากสำหรับสำหรับคนอย่างมึงและกู"
"ตรงไหนวะ? แค่ห้ามพูดโกหก"
"สัด! มุสาวาทานี่มันรวมถึงการพูดส่อเสียด พูดนินทา พูดหยาบคายด้วยโว้ย!....แล้วคิดดู- -มึงกับกูนี่คือพูดหยาบคายสบถด่ากันแทบจะทุกสามคำแบบอัตโนมัติโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ กูว่าศีลข้อนี้มึงหลุดร่วงกราวแน่!"
ชิบหายละสิ...
ก็อย่างที่ไอ้ตินพูด พวกผมด่าอุทานเหี้ยห่าเหวสารพัดสัตว์กันเป็นว่าเล่นจนเป็นสันดานไปแล้ว จู่ๆจะให้มาพูดจาสุภาพเรียบร้อยนี่ยากยิ่งกว่าให้ไอ้หมูอบลดน้ำหนักซะอีก!
"แล้วสรุปว่าที่เราแดกเหล้ากันวันนั้นดันเป็นวันพระ พี่ภพต้องแบ่งพลังคุ้มตัวมึงจนหมดเลยหายตัวไปเพราะต้องนั่งสมาธิฟื้นพลัง?"
"เออ....นี่กูก็รอเคลียร์กับมันอยู่ สัด- -เสือกไม่บอกเหตุผลกูแล้วมาสั่งห้ามถ้ารู้กูก็คงไม่แดกหรอก!"
"ไม่ต้องรอแล้วมั้ง"
ผมหันหน้าไปตามสายตาของไอ้ตินก็เห็นไอ้พี่ภพยืนยิ้มรออยู่หน้าประตูเรือน สังเกตได้โคตรชัดว่ามันซีดลงบรรยากาศรอบตัวไม่ผ่องใสเหมือนเดิม หม่นๆลงกว่าเดิมดูสมกับเป็นผีขึ้นเยอะ!
"คุยกันดีๆล่ะมึง" ไอ้ตินบอกเบาๆก่อนเดินลงเรือนไป เปิดโอกาสให้ผมเคลียร์กับพี่ภพเต็มที่ รายนั้นหุบยิ้มทันทีที่รู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่ปกติ มันก้าวยาวๆมานั่งลงข้างตัวผม พลางยกมือขึ้นแตะหน้าผากวัดไข้
"เกิดอะไรขึ้น? หรือว่ากลอนไม่สบาย?"
"คนที่ไม่สบายนะคือพี่มากกว่ามั้ง" ผมตอบเสียงห้วนในใจเริ่มเดือดปุดๆ มันนิ่งไปพักหนึ่งก่อนพูดเสียงอ่อย
"รู้แล้วหรือ?"
"ไม่ต้องคิดไปพาลใส่น้ำว้าเลย" ผมดักคอเมื่อเห็นมันหน้าตึงตาชำเลืองไปทางดงกล้วย อารมณ์ที่เสียอยู่แล้วยิ่งบูดหนักกว่าเดิม มันเลยรีบอ้อนด้วยการเข้ามากระแซะกอด แต่ผมสะบัดตัวหนีอย่างเคืองจัด
"กูรู้ว่ากูไม่ได้เรื่องเป็นภาระให้มึง แต่แบบนี้มันดูถูกกันไปแล้ว มึงคิดว่ากูจะ ใจร้ายใจดำจนไม่สนใจมึงหรือไง!?"
"ไม่เอานะจ๊ะอย่าพูดแบบนั้น กลอนไม่ใช่ภาระของพี่สักหน่อย ขอโทษนะจ๊ะ- -พี่ผิดเอง" มันพูดพลางรัดตัวผมไว้แน่นไม่ยอมปล่อย ก่อนรีบพูดต่อเมื่อเห็นผมถลึงตาใส่
"เพราะพี่มัดมือชกรวบหัวรวบหางกลอนอยู่ฝ่ายเดียว ซ้ำบังคับอะไรกลอนตั้งหลายเรื่อง ถ้าให้กลอนต้องมาฝืนตัวเองทำตัวเรียบร้อยเพิ่มขึ้นอีก พี่เลยกลัวว่ากลอนจะทนไม่ไหวโมโหพี่ เกลียดพี่แล้วพาลหนีไปจากพี่"
"กูโกรธตรงมึงปิดบังกูนี่แหละ"
"ตอนแรกพี่คิดจะค่อยๆให้กลอนปฏิบัติทีละข้อสองข้อให้ชินทีละนิด กลอนจะได้ไม่รู้สึกอึดอัด- -"
"แล้วตัวเองก็ทนเสียพลังไปเรื่อยๆ"
"อันที่จริงก็ไม่หนักหนาถึงเพียงนั้น แต่เพราะกลอนดื่มเหล้ากับพี่อดใจไม่ไหวรักกลอนไปตั้งหลายรอบมันเลย- -"
"นั่นพี่ทำตัวเองป่ะ เสือกไม่บอกเองนี่!" ไอ้กลอนขัดจังหวะไอ้พี่ภพเป็นรอบที่สอง แต่ก็รู้ว่าตัวเองใจอ่อนลงแล้วเพราะเผลอกลับมาเรียกมันว่าพี่เหมือนเดิม ไอ้พี่ภพก็รู้ดีเลยรีบฉวยโอกาสเข้ามาจูบมาหอมผมเป็นการง้อ
กูใจอ่อนกับมันเร็วไปไหมวะ? "พี่ยอมรับผิดทุกอย่างจ้ะ หายโกรธพี่นะ- -ต่อไปนี้พี่จะบอกกลอนทุกอย่างเลยนะจ๊ะ"
"ไม่ต้องมาอ้อนเลย"
บัดซบ.....ฟ้าส่งไอ้กลอนมาเกิด แล้วไยต้องส่งไอ้พี่ภพมาด้วยเล่า?
ผมแพ้ทางมันแบบราบคาบเลยครับ ฮือออออ... "น้ำว้าเองก็ตื่นตูมมากไป จริงๆแล้วถึงพี่จะแบ่งพลังคุ้มครองกลอนก็ไม่ได้แย่ถึงขั้นสิ้นร่างวิญญาณสลายสักหน่อย เพียงแต่เวลารับมือกับพวกสัมภเวสีเร่ร่อนอาจจะเปลืองแรงกว่าเดิมให้หัวหน้าจากเขตอื่นล้อเท่านั้นเอง"
"ล้ออะไรวะ?"
แล้วไอ้กลอนก็มาเสียใจทีหลังว่าไม่น่าถามมันเลย....
"ก็ล้อว่าพี่อยู่ในช่วงข้าวใหม่ปลามันจนเรี่ยวแรงหดหายไงจ๊ะ" ไอ้พี่ภพมันพูดด้วยใบหน้ากรุ้มกริ่มชวนเตะ
"สัด! วันนี้ระเห็จไปนอนที่ดงกล้วยเลยไป๊!"
"ล้อพี่เล่นใช่ไหมจ๊ะ?"
"ไม่...กลอนพูดจริง แล้วก็ห้ามยุ่งกับกลอนอาทิตย์หนึ่ง นี่เป็นการลงโทษ"
"เฮ้ย! ไม่เอานะแบบนี้!"
"สองอาทิตย์" ผมเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นเท่าตัวอย่างใจดำอำมหิต ไอ้พี่ภพคอตกรีบยอมรับก่อนที่จะจำนวนวันจะเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ
"จ้ะ"
หึ....ให้มันรู้ซะบ้างว่าเรื่องในเรือนไอ้กลอนคุม! ++++++++++++++++++
ตอนนี้น้องกลอนแอบมีความหึงเบาๆ
ขอโทษค่าที่หายไปนาน
งานหนักมากกกกกก สารร่างแทบพัง ช่วงเทศกาลนี่นับเป็นช่วงมรสุมสำหรับคนที่ทำงานสายบริการโดยแท้ เหนื่อยค่ะ 5555 อยากเขียนนิยายและมีพล็อตอยู่ในหัวแต่เขียนไม่ไหว ตอนนี้เลยค่อนข้างสั้นหน่อย ตอนยาวๆคงต้องรอหมดช่วงไฮซีซันค่ะ ช่วงนี้เข็นได้แค่นี้แหละค่า ฮืออออ