ตอนที่ 8
แสงสีส้มยามเย็นจากดวงตะวัน ส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดม่านทิ้งไว้ อาบไล้สรรพสิ่งให้เป็นสีทอง รวมถึงเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่ม เจ้าตัวก้มหน้าอ่านแฟ้มประวัติบนโต๊ะเงียบๆครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองคนไข้เคสพิเศษด้วยรอยยิ้มอบอุ่นอันเป็นเอกลักษณ์
“สองสัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็ดีครับ ผมไม่ได้หน้ามืดแล้ว”
ชนกันต์ตอบ เขากลับมานั่งเผชิญหน้ากับหมอกายในห้องตรวจสีครีมอีกครั้ง จิตแพทย์ของเขา ไม่ได้เปลี่ยนไปจากครั้งแรกที่พบกัน เจ้าตัวยังเปร่งประกายความสดใสจนทำให้เขาได้รับอิทธิพลความผ่อนคลายมาด้วย
“อีกสิบนาทีผมจะเลิกงานแล้ว ไปดื่มกาแฟกันมั้ยครับ”
หมอกายก้มมองนาฬิกาข้อมือ แล้วเงยหน้าขึ้นมาถามยิ้มๆ
“ก็ได้ครับ”
ชนกันต์พยักหน้ารับ เขาไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายเอ่ยชวนด้วยเหตุผลอะไร แต่เขาไม่อยากเรื่องมากเพราะตัวเองเป็นฝ่ายลืมนัด มัวแต่นั่งๆนอนๆอ่านนิยาย กว่าจะนึกออกก็เป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว อันที่จริง ถ้าหมอกายเหนื่อย จะกลับบ้านไปพักผ่อนแล้วให้เขามาใหม่วันหลังยังได้ แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ทำ
“เชิญครับ”
หมอกายถอดเสื้อกาวน์และแว่นสายตาทิ้งไว้บนโต๊ะทำงาน แล้วผายมือไปทางประตูเพื่อเชื้อเชิญให้ชนกันต์เดินออกไปพร้อมกัน ระหว่างทาง เขาแอบเหลือบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่มหลายครั้ง เป็นเพราะภาพลักษณ์ของหมอกายที่ไม่ได้สวมแว่นดูแปลกตาไม่น้อย จะว่าอย่างไรดี…ดูอ่อนเยาว์ เหมือนวัยรุ่นทั่วไปมากกว่าหมอล่ะมั้ง
“หมออายุเท่าไรครับ”
ชนกันต์หลุดปากถามออกไป ถึงจะอยากเรียกคืนคำพูดก็ไม่ทันเสียแล้ว เมื่อคุณหมอหันมาสบตาเขาแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ลองเดาดูสิครับ”
ชนกันต์กวาดสายตามองใบหน้าหมอกายช้าๆ เขาจำเป็นต้องเงยหน้า เพราะอีกฝ่ายสูงกว่าประมาณสิบเซนติเมตร ก่อนจะให้ข้อสรุปกับตัวเองว่าหมอคงจะแก่กว่าเขาสักห้าปี
“ยี่สิบเจ็ด”
หมอกายหัวเราะเบาๆเมื่อได้ยินคำตอบ มันเป็นตัวเลขที่น้อยเกินไปหรือ หมอถึงได้ยิ้มหน้าบานซะขนาดนั้น
“ผมแก่กว่านั้นครับ”
แม้จะสงสัยในเรื่องอายุของจิตแพทย์หนุ่ม แต่ชนกันต์ก็ไม่ได้เซ้าซี้ให้เสียมารยาท เขาเดินตามอีกฝ่ายไปเงียบๆ จนกระทั่งมาหยุดที่คอฟฟี่ช็อปเล็กๆในโรงพยาบาล
“ไอซ์คาปูชิโน่หนึ่งครับ”
หมอกายสั่งเครื่องดื่มกับพนักงานสาวที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ ก่อนจะหันมาถามเขาตามมารยาท
“คุณอยากดื่มอะไรครับ”
“ผมไม่ได้หิวน้ำ”
ชนกันต์ปฏิเสธ กะพริบตาปริบๆมองพนักงานคนสวยที่กำลังมองหมอกายตาค้างด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน ส่วนหมอที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร กลับเงยหน้ามองเมนูที่ติดอยู่บนผนัง ชายหนุ่มรีบก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยยิ้ม รู้ว่าเสียมารยาท แต่มันอดไม่ได้จริงๆ เขาไม่แปลกใจหรอกว่าทำไมหญิงสาวออกอาการแบบนั้น เพราะหมอกายหล่อมาก ขนาดในสายตาเขาที่เป็นผู้ชายด้วยกัน ยังคิดว่าหมอหล่อมากเลย
ชนกันต์ทรุดนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งขณะรอเครื่องดื่มของคุณหมอ นัยน์ตาสีน้ำตาลมองผ่านกระจกออกไปเห็นลานด้านข้างของโรงพยาบาลที่ค่อนข้างพลุกพล่าน เพราะเป็นเวลาเลิกงาน จึงมีบุคลากรหลายคนเริ่มทยอยกันกลับไปพักผ่อนที่บ้าน
“ของคุณกันต์ครับ”
ชนกันต์เงยหน้ามองหมอกายที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าเขา พร้อมยื่นแก้วชาเขียวเย็นมาให้
“ผมไม่ชอบชาเขียว”
ชายหนุ่มเอ่ยปากบอกตรงๆ มันอาจจะเป็นการเสียมารยาทที่ไม่รับเครื่องดื่มที่อีกฝ่ายอุตส่าห์ซื้อให้ แต่เขาไม่ชอบกลิ่นของชาเขียวจริงๆนี่ มันทำให้รู้สึกเหมือนกำลังกินหญ้า
“งั้นคาปูชิโน่มั้ย”
หมอกายถาม แล้วยื่นแก้วกาแฟที่อยู่ในมืออีกข้างให้เขาแทน
ชนกันต์เผลอกัดริมฝีปากเมื่อต้องเผชิญความรู้สึกอึดอัด เขาคิดว่าหมอกายคงต้องการคาเฟอีนเข้มข้นจากกาแฟ แล้วเขาเองที่ไม่ยอมสั่งเครื่องดื่มตั้งแต่แรก จะกล้าไปแย่งคาปูชิโน่ของหมอได้อย่างไรล่ะ ถึงอีกฝ่ายจะไม่ได้โกรธ แต่เขาก็รู้จักความเกรงใจนะ
“ชาเขียวก็ได้ครับ”
จิตแพทย์หนุ่มขยับยิ้มเมื่อคนเด็กกว่ายื่นมือมารับแก้วชาเขียวไปดูด คิ้วเรียวที่เริ่มขมวดยุ่งเหมือนกำลังกลืนขี้เถ้าทำให้เขานึกเอ็นดู ชนกันต์เป็นคนที่แคร์ความรู้สึกของคนรอบข้าง ไม่แปลกใจเลยถ้าอีกฝ่ายจะเป็นพวกคิดมากด้วย
“คุณกันต์มีเรื่องอะไร อยากเล่าให้ผมฟังมั้ย”
“เรื่องประเภทไหนครับ”
ชนกันต์หันไปถามคนที่เดินอยู่ข้างๆ หมอกายไม่ได้บอกว่าพวกเรากำลังจะไปที่ไหน และเขาก็ไม่ได้อยากรู้
“ทุกเรื่องที่คุณต้องการ ผมจะรับฟัง”
น้ำเสียงหนักแน่นของหมอกายทำให้ชนกันต์ชะงัก รู้สึกเก้อเขินแปลกๆ แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายทำตามหน้าที่ของจิตแพทย์ที่ดี แต่ไม่เคยมีใครรับฟังความต้องการของเขามานานมากแล้ว
“ไม่มี”
ชนกันต์พึมพำ เขาฝืนดูดชาเขียวไปเงียบๆเพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไร หรือทำอะไร กระทั่งหมอกายพาเขาเดินออกจากประตูมาสู่สวนกว้างหลังโรงพยาบาล
จิตแพทย์หนุ่มเดินไปทรุดนั่งบนม้าหินอ่อนสีขาว แล้วตบที่นั่งข้างๆ เป็นเชิงให้นั่ง และชนกันต์ที่ไม่มีทางเลือกอื่นจึงยอมเดินไปนั่งข้างอีกฝ่าย นัยน์ตาสีน้ำตาลกวาดมองต้นไม้และดอกไม้หลากสีด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย สวนของที่นี่สวยงามมาก ดูจากความสะอาด และความเขียวขจีของต้นไม้ใบหญ้าก็พอจะรู้แล้วว่าได้รับการดูแลเป็นอย่างดี
“มีเรื่องไม่สบายใจเหรอครับ”
หมอกายเอ่ยทำลายความเงียบ ตอนแรกชนกันต์คิดว่าจะปฎิเสธ แต่คิดอีกที ถ้าลองจิตแพทย์คนเก่งถามแบบนี้แล้ว เขาคงแสดงอาการอะไรบางอย่างออกไปให้อีกฝ่ายรู้ล่ะมั้ง
“ครับ”
“บอกผมได้มั้ย”
ชนกันต์สั่นศีรษะ เรื่องเดียวที่ไม่สบายใจ คือเรื่องเดียวที่ไม่ต้องการให้คนนอกรับรู้ เขาไม่ต้องการความเห็นใจจากหมอกาย เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายช่วยอะไรไม่ได้
“ไม่ครับ ไม่ใช่ทุกเรื่องที่ผมอยากให้จิตแพทย์รู้”
“คุณอาจจะคิดว่าเราต้องมีระยะห่างระหว่างกัน เพราะผมเป็นหมอและคุณเป็นคนไข้”
กายเอ่ย ก่อนจะหยุดคิดครู่หนึ่ง แม้ชนกันต์จะเป็นผู้ป่วยที่ตัดสินใจมารับการรักษาด้วยตัวเองโดยไม่มีใครบังคับ แต่ส่วนหนึ่งของจิตใจ ยังมีความระแวง ซึ่งเป็นกลไกป้องกันตัวเองจากสิ่งที่ไม่ไว้วางใจ และมันทำให้เขาเข้าถึงอีกฝ่ายยากมากขึ้น
“ทำไมเราไม่เป็นเพื่อนกันล่ะครับ ถ้าคุณเล่าเรื่องที่ไม่สบายใจให้เพื่อนฟัง คงได้ใช่มั้ย”
ชนกันต์ไม่ตอบ เขายกแก้วชาเขียวมาดูด แล้วทอดมองภูเขาที่อยู่สุดสายตาราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ ระหว่างพวกเขาไม่มีบทสนทนาใดๆอีกเลย กระทั่งรู้สึกตัวว่าตกเป็นเป้านิ่งของหมอกาย จึงหันไปมองแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม อีกฝ่ายไม่ได้หลบตา แต่กลับจ้องมองเขาตรงๆ
“มีอะไรครับคุณหมอ”
“มีแฟนหรือยังครับ”
ชนกันต์ชะงัก รู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว เมื่อได้ยินคำถามตรงๆของหมอกาย ถึงเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เรื่องถูกใครจีบมาก่อน แต่ก็พอจะรู้นะว่า ประโยคนั้นควรใช้ถามคนที่ ‘สนใจ’ มากกว่านำมาใช้ถามคนไข้
“หรือว่ามีคนที่ชอบแล้วครับ”
เมื่อเห็นว่าชนกันต์ไม่ตอบ หมอกายก็รุกหนักขึ้นจนเขาถึงกับไปไม่เป็น และเริ่มจะปั้นหน้าลำบากขึ้นทุกทีเมื่อเผลอไปสบตาอีกฝ่าย
หมอกายส่งยิ้มให้อย่างสุภาพเช่นเดิม เพียงแต่ประกายร้อนแรงที่ไม่เคยเห็นในดวงตาสีนิลกำลังทำให้หัวใจดวงน้อยๆของชนกันต์สั่นไหว
“มันเกี่ยวกับการรักษาผมมั้ย ที่ถามอ่ะ” ชนกันต์ว่า แล้วหลุบตามองพื้น รู้สึกว่าไม่กล้าสบตาอีกฝ่ายขึ้นมาเสียดื้อๆ
“เกี่ยวครับ”
คำตอบตีมึนเรียกให้ชนกันต์เงยหน้าขึ้นมามอง ถึงมันจะเป็นคำพูดเรียบๆไม่ใส่อารมณ์ แต่เขารู้สึกว่าประกายขบขันจากรอยยิ้มของหมอกายมันดูกวนประสาทชะมัด
“ผมยังไม่มีแฟน”
ชนกันต์ตัดสินใจตอบคำถามให้จบๆ เพราะคิดว่าหมอกายคงจะเปลี่ยนไปถามเรื่องอื่น แต่เขาคิดผิด เพราะนอกจากจะไม่ได้เปลี่ยนเรื่องแล้ว คำถามต่อมายังทำให้คนฟังหน้าแดงก่ำ
“ปกติแล้ว ถ้าคุณกันต์เจอคนที่ชอบจะทำยังไงครับ จีบเลยมั้ย”
บ้าเอ๊ย หน้าอย่างเขาจะกล้าไปจีบใครก่อนเล่า!
“นี่หมอ”
ชนกันต์กดเสียงต่ำ ด้วยใบหน้าบึ้งตึง บอกให้รู้ไม่พอใจมากๆ แล้วถ้าหมอยังยืนยันจะถามเรื่องบ้าๆกับเขา เขาก็พร้อมจะลุกขึ้นมาเตะอีกฝ่ายให้ร่วงเก้าอี้เหมือนกัน
“ว่าไงครับ”
“ผมไม่รู้แล้วว่าวันนี้มาทำอะไรที่โรงพยาบาลกันแน่”
มานั่งโง่ๆให้คุณแกล้งหรือไง
“มาคลายเครียด” หมอกายตอบยิ้มๆ
“ไม่เห็นว่าคุณจะทำให้ผมคลายเครียดตรงไหน”
“แย่จัง ผมคิดว่าถ้าคุณอยู่กับผมแล้วจะมีความสุข”
ประโยคเข้าข้างตัวเองของหมอกายทำให้เกิดเดธแอร์กะทันหัน ชนกันต์รู้สึกหายใจลำบาก อันที่จริงเขาไม่รู้เลยว่าหมอต้องการอะไรจากคำถาม อยากแกล้งเขา?หรืออยากรักษาจริงๆ? เขาเกือบจะเชื่อแล้วว่ามันอาจจะเป็นวิธีรักษาฉบับหมอกาย แต่ไอ้รอยยิ้มกับแววตาที่ดูสนุกสนานทำให้เขาไม่แน่ใจ ส่วนจะให้คิดแบบคนหลงตัวเองว่าหมอกำลังจีบก็ดูจะมั่นหน้ามั่นโหนกจนเกินไป เขาไม่ใช่คนหล่อ อีกอย่างเขาไม่ใช่ผู้หญิง คนหน้าตาดีระดับหมอกายน่ะ หาได้ดีกว่าเขาเยอะ
“ผมมีเรื่องจะถาม”
“ได้ทุกเรื่องครับ”
ชนกันต์แอบยู่ปาก เขาคิดว่าลึกๆแล้ว หมอกายไม่ใช่คนสุภาพอ่อนโยนอย่างที่แสดงออก ยิ่งคุยยิ่งรู้สึกว่า อีกฝ่ายเป็นคนขี้เล่นแล้วก็กวนประสาทหน้าตายมาก
“หมอแต่งงานหรือยัง”
ชนกันต์ถาม เอาดิ หมอยังถามเรื่องส่วนตัวของเขาได้ เขาเองก็จะถามหมอเหมือนกัน
“ยังครับ แฟนก็ยังไม่มี”
ชนกันต์จ้องหมอกายตาไม่กะพริบเมื่ออีกฝ่ายโน้มใบหน้าลงมาใกล้จนปลายจมูกเกือบแตะกัน เขาได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆแบบผู้ชาย และกำลังตัวแข็งทื่อเหมือนโดนสาป ชนกันต์ไม่กล้าขยับ เพราะกลัวจะทำให้จมูกไปโดนอีกฝ่าย ส่วนจะขยับปากบอกให้หมอถอยไปห่างๆก็กลัวว่าปากของเขานี่แหละจะไปโดนหมอ
“ถามเรื่องที่คุณอยากรู้จริงๆดีกว่าครับ”
กายขยับยิ้ม แล้วยอมถอยออกมา เขาเห็นคนเด็กกว่าถอนหายใจเบาๆโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าขาวใสกำลังแดงก่ำ ริมฝีปากขยับบ่นงึมงำ ไม่ได้ยินก็รู้ว่ากำลังโดนด่า แต่ไม่เป็นไร ก็คนไข้คนนี้…ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู
“ตอนที่ผมไม่สบายใจ กับตอนที่เครียดมากๆ ผมจะอยากนอน รู้สึกง่วง…หมอว่ามันผิดปกติมั้ยครับ”
ชนกันต์ถาม มันเป็นเรื่องเล็กๆที่เกิดกับเขามานานจนกลายเป็นนิสัย โดยเฉพาะตอนที่ทะเลาะกับแม่ หรือน้อยใจแม่ที่ชื่นชมแต่พี่ที ชนกันต์จะไม่แสดงความโกรธ ความไม่พอใจ เขาเลือกจะเก็บงำไว้กับตัว กดความรู้สึกเหล่านั้นไว้ในส่วนลึกแล้วหลับตา พาตัวเองเข้าไปอยู่ในห้วงฝัน
“ไม่ได้ผิดปกติครับ แต่ละคนมีวิธีหลีกเลี่ยงความรู้สึกเจ็บปวดต่างกัน บางคนอยู่คนเดียวไม่ได้ต้องไปหาเพื่อน บางคนดื่มแอลกอฮอล์ อย่างกรณีคุณคือการนอนหลับ เพื่อหนีจากความรู้สึกที่ไม่ต้องการ แต่บางคนที่อาการหนักมากจะชัตดาวน์ตัวเองด้วยการกรีดร้อง หมดสติ หรือความจำเสื่อมชั่วคราว”
“งั้นอาการหมดสติของผม มาจากความเครียดมากๆใช่มั้ยครับ”
“ครั้งก่อน คุณกันต์บอกผมเองนี่ว่า ตอนที่หมดสติคุณแค่คุยกับเพื่อนอยู่ในห้อง ตอนนั้นคุณได้รับความกดดันจากอะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ครับ”
ชนกันต์ส่ายหน้า เขารู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขากับครอบครัว ด้านความรู้สึกถือว่าติดลบ ในตอนเด็กๆ เขากลัวว่าตัวเองจะเป็นโรคขาดความอบอุ่น หรือโรคเรียกร้องความสนใจ จึงพยายามเข้มแข็งและอยู่คนเดียวให้ได้
“งั้นอาการหมดสติของคุณก็ไม่ได้เกี่ยวกับความเครียด”
“แล้วคนที่เครียดมากถึงขั้นหมดสติ เขาต้องเจอปัญหาระดับไหนครับ”
ชนกันต์เงยหน้ามองหมอกาย อีกฝ่ายขยับยิ้มอ่อนโยนให้เขา แล้วเริ่มอธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบให้เห็นภาพได้ชัดเจน
“ผมบอกไม่ได้ครับ เพราะแต่ละคนมีกลไลการป้องกันตัวจากความเจ็บปวดต่างกัน บางคนรับความกดดันได้มาก แต่บางคนรับความกดดันได้น้อย เหมือนกับวัสดุชนิดหนึ่ง ถ้าคุณทุบมันทุกวัน จนวันหนึ่งวัสดุมีความล้าจะเกิดการแตกหัก มันก็ไม่ได้ต่างจากหัวใจของมนุษย์หรอกครับ”
“หมอคิดว่าผมเป็นอะไรเหรอครับ”
“ขอโทษครับ แต่ตอนนี้ผมยังให้คำตอบคุณไม่ได้”
ประโยคขอโทษจากหมอกายไม่ได้กล่าวขึ้นตามมารยาท แต่สีหน้าของหมอแสดงความรู้สึกผิดจริงๆ ชนกันต์ขยับยิ้ม เขาเข้าใจดีว่าหมอไม่ใช่ผู้วิเศษ ที่จะหยั่งรู้ไปเสียทุกเรื่อง แต่ที่ถามเป็นเพราะเขาอยากเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับอาการของตัวเอง
“ผมอาการหนักมากหรือเปล่า ขนาดหมอยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร”
“อย่ากังวลครับ ร่างกายของคุณแข็งแรง”
ชนกันต์พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม ถือว่าเป็นเรื่องดีนะ ที่เขาเป็นคนสุขภาพแข็งแรง
“เหลือแต่จิตใจ…ที่ต้องได้รับการดูแล”
ประโยคต่อมาทำให้ชนกันต์ชะงัก นัยน์ตาสีน้ำตาลมองเข้าไปในดวงตาของหมอกาย พยายามค้นหาความหมายแฝงที่ซ่อนอยู่ แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าเรียบเฉย ราวกับพูดเรื่องทั่วไป ชนกันต์จึงสรุปกับตัวเองว่า…
นายคิดมากเกินไป หมอกายพูดถูกแล้ว เพราะอีกฝ่ายน่ะ เป็นจิตแพทย์ที่ทำหน้าที่รักษาจิตใจจริงๆ แต่แม่งเอ๊ย หัวใจบ้าเสือกเต้นรัวทำซาก!
Trrrrrrrrr
Trrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrrr
“คุณกันต์”
“…”
“ไม่รับเหรอครับ”
“รับครับๆ”
ชนกันต์สะดุ้ง แล้วรีบพยักหน้า เขาสติหลุดไปช่วงหนึ่งจนไม่ได้ยินแม้แต่เสียงเรียกเข้าจากสมาร์ทโฟนของตัวเอง ถ้าหมอกายไม่พูดเสียงดังกรอกหูเขา เขาก็ยังนั่งเอ๋อต่อไป มือควานหาอุปกรณ์สื่อสารที่ถูกใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วกดรับสายโดยไม่ได้ดูหน้าจอด้วยซ้ำว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา
“ฮัลโหล”
“กันต์ พี่เองนะ”
เสียงคุ้นหูที่ตอบกลับมาทำให้ชนกันต์ขมวดคิ้ว เขารู้ว่าอีกฝ่ายโทรมาทำไม แต่เขาเลือกที่จะเมินสายของฝ่ายนั้นมาตั้งแต่เช้าแล้ว
“มีอะไร”
“งานเลี้ยงวันเกิดพ่อเริ่มหนึ่งทุ่มนะ นายจะมากี่โมง”
“บอกแม่ไปแล้วว่าไม่ไป”
ชนกันต์ตอบห้วนๆ สิ่งหนึ่งที่เขาเกลียดรองลงมาจากการโดนเปรียบเทียบก็คือ ‘ชลนที’
ถ้าพี่ทีจะดีกับเขาให้น้อยกว่านี้ ทำตัวฉลาดให้น้อยกว่านี้ อัธยาสัยดีให้น้อยกว่านี้ เขาคงจะไม่รู้สึกแย่เลยที่จะเกลียดอีกฝ่ายอย่างหมดใจ
“มาเถอะ แม่ทำกับข้าวไว้ให้”
น้ำเสียงที่ใช้พูดกับเขาเคยอ่อนโยนอย่างไร วันนี้ก็ยังเหมือนเดิม พี่ทีจะปลอบโยนเขา พยายามเข้าอกเข้าใจทุกครั้งที่เขาโดนแม่ดุด่า แต่ก็นั่นล่ะ เรื่องที่โดนด่าก็คือเรื่องที่เขาเป็นได้ไม่เท่าพี่ที
“แม่สั่งมาต่างหาก”
ชนกันต์แย้ง เขาชอบอาหารที่แม่เคยทำให้กินตอนยังเป็นเด็ก แต่ช่วงหลังที่แม่จริงจังกับการทำงานมากๆ แม่ก็เลิกทำอาหารเพราะเสียเวลา แล้วจ้างแม่ครัวส่วนตัวมาที่บ้านแทน และยิ่งวันนี้เป็นงานวันเกิดของพ่อ แม่น่าจะสั่งอาหารมาจากภัตตาคารซะมากกว่า
“ถ้าไม่เชื่อก็กลับมาดูเอง แม่ทำกับข้าวไว้ให้นาย พ่อก็บ่นถึงเหมือนกัน”
“แค่นี้นะ” ชนกันต์กดตัดสายไปดื้อๆ แต่ก็ยังอุตส่าห์ได้ยินเสียงพี่ทีลอดมาจากลำโพงให้ได้คิดหนัก
“พี่จะรอ”
…
ถ้าเขาไม่โผล่หัวไปงานวันเกิดพ่อ พี่ทีจะรอจริงๆหรือเปล่า…
ถ้ารอนานแล้วไม่เห็นเขา พี่ทีคงจะเลิกรอไปเอง…
ส่วนพ่อกับแม่คงไม่ได้รอเขาใช่มั้ย…
ถ้าเขาไปงานวันเกิด แล้วปรากฏว่าไม่มีใครรอเขาจริงๆล่ะ…
ถ้าพี่ทีโกหกให้เขารู้สึกดีล่ะ…
…
ชนกันต์นั่งตบตีกับความคิดของตัวเองอยู่หลายนาที กว่าจะรู้สึกตัวว่ามีใครอีกคนนั่งอยู่ข้างๆ หมอกายไม่ได้ลุกไปไหน แล้วก็ไม่ได้เอ่ยอะไรสักคำหลังจากที่เขาวางสายของพี่ที
“หมอเลิกงานแล้วนี่ครับ”
ชนกันต์ก้มมองเวลาบนหน้าจอสมาร์ทโฟนแล้วเอ่ยถาม ตอนนี้เป็นเวลา 16.20 น. แล้ว และจิตแพทย์จะเลิกงานเวลาสี่โมงเย็น ต่างจากหมอแผนกอื่นๆที่จำเป็นต้องเข้าเวร
“คุณอยากกลับแล้วเหรอครับ”
หมอกายหันมาถาม ชนกันต์ส่ายหน้า เขายังไม่อยากขยับตัวจากเก้าอี้ เพราะไม่รู้ว่า เมื่อลุกขึ้นยืนแล้วเขาจะไปที่ไหน กลับห้องพัก? หรือกลับบ้าน?
“หมอไม่รีบกลับบ้านเหรอครับ”
“ผมมันตัวคนเดียว จะกลับหรือไม่กลับก็เหมือนกันนั่นแหละครับ”
ชนกันต์หันไปมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของจิตแพทย์หนุ่มที่ยังนั่งอยู่ที่เดิม หมอกายไม่ได้บังคับให้เล่าเรื่องที่ไม่สบายใจ ทั้งที่ตอนนี้บนใบหน้าของเขาคงฟ้องอย่างชัดเจนว่ากำลังมีเรื่องให้คิดหนัก
“วันนี้วันเกิดพ่อ”
ชนกันต์เริ่ม ตอนนี้ความคิดของเขาสับสน เขาไม่อยากได้ความเห็นจากคุณหมอคนเก่งจริงๆหรอก เขาแค่อยากได้คนรับฟัง
“แต่ผมไม่อยากกลับบ้าน”
“ทำไมครับ” หมอกายถามเรียบๆ
“ที่บ้านจะจัดงานวันเกิดแบบยิ่งใหญ่ทุกปี แล้วก็เชิญแขกไฮโซมาร่วมงานเยอะๆ”
“แล้วคุณไม่ชอบ?”
“ก็ประมาณนั้น”
ชนกันต์ยอมรับ ก่อนจะถอนหายใจ แล้วอธิบายเพิ่มเติมถึงปัญหาเล็กๆในชีวิตของเขา ที่สร้างรอยร้าวในหัวใจมานาน
“ที่จริง ผมเป็นคนไม่ได้เรื่อง ทำให้พ่อแม่ขายหน้าบ่อยๆ ผมเลยไม่อยากเสนอหน้าไปงาน”
“แต่ลึกๆแล้ว คุณแคร์คุณพ่อ แล้วคุณก็อยากไปหาท่านใช่มั้ยครับ”
ชนกันต์ชะงัก เขาไม่รู้ว่าหมอกายคาดเดาจากอะไรว่าเขาแคร์พ่อ หรือหมอกายอาจจะเดาไปเรื่อยๆก็ได้ แต่ชนกันต์เลือกที่จะปฎิเสธ
“เปล่า”
“ถ้าไม่แคร์แล้วทำไมต้องขมวดคิ้วแบบนี้ครับ เดี๋ยวแก่เร็วนะ”
หมอกายยิ้มให้เขาอย่างอ่อนโยน แล้วใช้นิ้วเรียวยาวแตะเบาๆบนหว่างคิ้ว เพียงแค่สัมผัสจากปลายนิ้วอุ่นๆครู่เดียวแล้วผละออกอย่างมีมารยาท กลับทำให้หัวใจเขาอุ่นวาบ แล้วเผลอขยับยิ้มตามโดยไม่รู้ตัว
“ไปงานเถอะนะครับ ผมรู้ว่าคุณไม่สบายใจที่พูดว่าจะไม่ไป”
“แต่ถ้าผมไป ผมก็ไม่สบายใจเหมือนกัน”
ชนกันต์ไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น เขาไม่อยากเผชิญเหตุการณ์ที่ทำให้ครอบครัวอับอายเวลาโดนเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น ถึงจะเกิดเหตุการณ์นี้บ่อยๆ แต่เขาไม่อยากรับรู้อีกแม้แต่ครั้งเดียว
“ถ้าไม่รังเกียจ ขอผมไปเป็นเพื่อนคุณกันต์ได้มั้ยครับ”
ชนกันต์ยอมรับข้อเสนอของหมอกายด้วยความเต็มใจ และนึกขอบคุณที่วันนี้หมออยู่เป็นเพื่อนเขา เพราะลึกๆแล้ว ชนกันต์รู้ดีว่าตนเองอยากกลับบ้าน เพียงแต่ไม่มีความกล้าที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่อาจทำให้เขาเจ็บปวดอีกครั้ง
“ก็ได้ครับ”
TBC.