ตอนที่ 3
1 สัปดาห์ผ่านไป“ทำไมคุณรบรุนแรงจัง มีเรื่องเครียดเหรอครับ”
ใบหน้าของคนพูดอิงซบเข้ากับแผ่นหลังกว้างเปลือยเปล่า ยังไม่ทันที่ท่อนแขนนั้นจะสอดรอบเอวสอบดังหวัง เจ้าของเรือนกายแกร่งก็ขยับลุกจนเกือบทำให้คนไม่ได้ตั้งตัววืดตกจากเตียง
“เช็ควางอยู่ข้างนอก หวังว่าออกมาจากห้องน้ำฉันจะไม่เห็นนาย”
คนตัวใหญ่เอ่ยทิ้งท้ายไว้เพียงเท่านั้นก่อนร่างกายซึ่งไร้สิ่งปกปิดใดๆจะเดินตรงไปทางห้องน้ำ ทิ้งคนบนเตียงเอาไว้อย่างไม่มีเยื่อใย
กระแสน้ำถูกเปิดให้ริดรดตัวเองจนสุดแรง มือหนายกขึ้นเสยผมที่เปียกลู่พลางสูดลมหายใจเข้าลึกด้วยความหงุดหงิดทั้งๆที่เพิ่งจะระบายมันไปกับเซ็กส์อันรุนแรงเมื่อครู่
เป็นอาทิตย์แล้วแต่ความรู้สึกนี้ยังคงติดอยู่ไม่ไปไหน ไม่ลดลง ไม่จางหาย ไม่ว่าจะระบายอารมณ์ไปกับอะไร
ไม่มีทาง เขาไม่มีทางเป็นแบบนี้เพราะสาริน แค่การถูกใจจะนำพาความรู้สึกแบบนี้ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร...ความรู้สึกที่ราวกับว่าเป็นความรัก
“ไม่มีทาง!”
กำปั้นหนาทุบปักเข้ากับกำแพงระบายความอึดอัดทั้งหมดในจิตใจ กรามแกร่งบดเข้าหากัน ดวงคาคมจับจ้องอยู่กับเพียงหยดน้ำซึ่งไหลผ่านสายตาไปช้าๆพลางปล่อยทุกความรู้สึกให้หลุดลอย
‘ผมจะอาบน้ำ’
‘ก็อาบสิ’
‘อาบสิก็หยุดมือของคุณได้แล้ว’
ร่างกายเปลือยเปล่าสีแทนเนียนละเอียดยามเปียกน้ำมันให้ความรู้สึกลื่นมือน่าลูบไล้จนคนที่เพียงจะแกล้งชักเลยเถิดไปมากกว่าที่ตั้งใจ
‘ไม่ใช้มืองั้นใช้ปาก’ เสียงทุ้มกระซิบชิดริมใบหูก่อนลิ้นร้อนจะแตะลงไล้เลียไปตามหลังคอแผ่วเบา
‘ปากก็ห้าม’ เสียงนั้นเริ่มสั่นไหวจนคนตัวโตยกยิ้ม
‘งั้นก็เหลือแค่...’
คำท้ายประโยคถูกอธิบายด้วยการบดเบียดถูไถส่วนนั้นเข้าหา บางอย่างซึ่งใหญ่โตร้อนผ่าวพรั่งพร้อมทั้งที่เมื่อครู่เพิ่งจะทำกันไปถึงสองรอบ
‘วันนี้คุณทำเกินโควตาแล้วนะ’
‘แล้วใครสนกัน’
อยู่ดีๆเหตุการณ์เมื่ออดีตก็แล่นวาบเข้ามาจนความรู้สึกที่ตั้งใจปล่อยให้ล่องลอยวกกลับมารุนแรงกว่าเดิม เสียงสบถจากริมฝีปากได้รูปยาวเหยียดก่อนชายหนุ่มจะพยายามดับอารมณ์ของตัวเองด้วยการอาบน้ำชำระร่างกาย
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันที่ภาพความทรงจำของเขากับสารินมันมากมายขนาดนี้...
ไม่! แค่เซ็กส์ที่ถูกใจจะหาจากใครที่ไหนก็ได้ คนอย่างรพัฒน์ ภัคโภคิณ จะหาคนถูกใจใหม่มันง่ายนิดเดียว
--
“ได้ยินข่าวมาว่าอาทิตย์นี้คนขึ้นไปหาคุณรบไม่ซ้ำหน้ากันเลยนะแก”
“ทั้งชายและหญิงเลยแหละ แซ่บเวอร์”
“เป็นฉันก็เอาอ่ะ หล่อ รวยขนาดนั้น”
บทสนทนาซุบซิบจากกลุ่มของพนักงานสาวทางด้านหลังทำให้มือที่ถือแก้วกาแฟสั่นระริกจนสารินต้องถอนหายใจแล้ววางมันลงที่เดิม นิ้วมือแกร่งยกขึ้นมานวดขมับตัวเองขณะพยายามสลัดความคิดอันฟุ้งซ่านออกจากหัวก่อนจะต้องกลับขึ้นไปทำงาน
ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องที่เพิ่งได้ยินนั้นรบกวนจิตใจจนวูบไหว...เขารู้และเขาเห็นทุกอย่าง
การกระทำซึ่งยิ่งชัดเจนว่าอีกฝ่ายไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักนิด
“อ้าว มานั่งอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะสอง” เสียงเอ่ยทักจากอดิศรณ์ทำให้สารินเงยหน้าขึ้นมอง
“มึนหัวเลยลงมาหากาแฟสักแก้วครับ”
“พอดีเลย พี่จะบอกเรื่องบริษัทที่ลงทุนกับโปรเจกต์ของเรา” อีกฝ่ายเอ่ยพูดพลางทรุดตัวลงตรงข้าม
“ครับ ตกลงกันได้แล้วหรือ”
“เมื่อกี้นี้เลยสดๆร้อน”
“บริษัทไหนครับ”
“KC Corporation”
“หืม นักลงทุนรายใหญ่เลยนี่”
“ใช่ งานช้างมหาศาลแต่เงินก็มหาศาลเช่นกัน”
เมื่อพูดถึงเรื่องเงินอีกฝ่ายก็หัวเราะร่วนแล้วเล่ารายละเอียดให้ฟังคร่าวๆก่อนจะเดินไปสั่งกาแฟจากนั้นจึงแจ้งข่าวว่าพรุ่งนี้จะมีการประชุมให้ต้องเตรียมตัว
เมื่อกลับขึ้นมาทำงานอีกครั้งความคิดวุ่นวายต่างๆก็ค่อยๆเลือนหาย การทำงานทำให้สารินลืมเรื่องของอีกฝ่ายไปได้บ้างแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาเพียงสั้นๆก็ตาม
(ผมไปรับนะ)
“ไม่เป็นไร วันนี้ผมกลับดึก” สารินกรอกเสียงตอบกลับไปสายยามที่นิ้วมือยังคงรัวใส่แป้นคีย์บอร์ดจนมองแทบไม่ทัน
(ผมรอได้)
“อย่าเลยอาร์ต”
(ผมอยากเจอคุณ) ประโยคนั้นทำให้คนที่ฟังบ้างไม่ฟังบ้างชะงักกึก
“พรุ่งนี้ก็ได้เจอ แล้วคืนนี้ผมจะโทรหา”
(เห้อ ขัดใจคุณไม่ได้สินะ...โอเค เอาอย่างนั้นก็ได้)
“ไว้คุยกันนะ”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายรับคำโทรศัพท์ในมือจึงถูกวางลงบนโต๊ะ สารินมุ่งความสนใจทั้งหมดไปแค่กับงานตรงหน้า กระทั่งทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย ยามละสายตาจากหน้าจอขึ้นมามองรอบตัวจึงได้รู้ว่าเหลือเพียงตัวเองที่ยังนั่งทำงานอยู่คนเดียว
ภาพอันแสนชินตาตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา สารินทำงานจนดึกดื่นและกลับเป็นคนสุดท้ายแทบทุกวันเนื่องจากไม่มีใครให้ต้องรีบกลับไปรอ...
เมื่อรู้ตัวว่าเผลอนึกถึงจึงรีบสลัดความคิดนั้นออกแล้วปิดคอมพิวเตอร์ให้เรียบร้อย มือหนาเก็บของบนโต๊ะให้เข้าที่เข้าทาง ตรวจเช็กทุกอย่างจนแน่ใจก่อนจะคว้ากระเป๋าทำงานมาไว้ในมือแล้วเดินตรงไปยังลิฟต์ คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเมื่อพบว่ามันกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากชั้นบน
มีคนยังไม่กลับเหมือนกันงั้นหรือ?
ติ๊ง
“อะ อื้อ คุณรบครับ”
และเมื่อประตูลิฟต์เปิดออกภาพที่ได้เห็นก็ทำให้สารินอยากจะเปลี่ยนไปเดินลงด้วยบันไดหนีไฟ
ยอมเดินจากชั้นยี่สิบสามเลยก็ได้ อะไรก็ได้ทั้งนั้น...
สองร่างซึ่งซุกไซร้นัวเนียกันอยู่ข้างในผละออกจากกันเพียงนิดเมื่อหนึ่งคนในนั้นหันมาเห็นบุคคลที่สาม ภาพที่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอดหนึ่งสัปดาห์ปรากฏอยู่ตรงหน้าราวกับฟ้ากำลังกลั่นแกล้ง ยามที่ใบหน้าคมผละออกจากซอกคอของอีกคนแล้วเงยขึ้นมองสารินรู้สึกราวกับลมหายใจของตัวเองถูกกระชากออกไป
เพิ่งผ่านมาอาทิตย์เดียวแต่ความรู้สึกเหมือนมันผ่านมานานเหลือเกิน
“เข้ามาสิ”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกยามร่างสูงหยัดกายขึ้นตรงพร้อมทั้งขยับมากดลิฟต์รอเมื่อมันกำลังจะปิดลง สารินลอบสูดลมหายใจเข้าลึก รวบรวมสติและจิตใจที่แสนสั่นไหวก่อนจะพาขาอันไร้เรี่ยวแรงก้าวเข้าไปในนั้นทั้งที่ใจอยากจะวิ่งหนีไปให้พ้น
แค่เจอหน้าก็เจ็บไปทั้งใจ แต่นี่เจอพร้อมกับภาพที่ไม่อยากจะเห็น...
มันสาหัส“คะ คุณรบ มีคนอื่นอยู่ด้วยนะครับ”
เพียงแค่ประตูลิฟต์ปิดลงร่างสูงก็คว้าตัวอีกคนเข้ามาซุกไซร้อีกครั้งโดยไม่สนว่าจะมีใครอื่นอยู่ตรงนี้ เสียงที่ได้ยินและภาพจากหางตาทำให้มือที่จับสายกระเป๋าอยู่กำแน่นเข้าหากัน สายตาของสารินถูกสะกดให้จับจ้องอยู่บนเพียงตัวเลขซึ่งค่อยๆลดลง หวังให้มันถึงชั้นหนึ่งภายในชั่วพริบตา
อยากออกไปจากตรงนี้ ถ้าโดดลงไปได้เขาก็ยอมโดด
“สนใจทำไม”
“อะ อื้อ คุณรบ ไม่เอาครับ”
“แต่ฉันจะเอา...”
สารินไม่ได้หันไปมองคนทั้งสอง พยายามไม่สนใจกับเสียงและการเคลื่อนไหวทางด้านหลังหากแต่หูกลับตั้งใจฟังจนอยากจะตัดมันทิ้งเสียตรงนี้
ยิ่งยามได้ยินเสียงการดูดดึงขบเม้มดังขึ้นในความเงียบในอกยิ่งพลันเจ็บจนหายใจไม่ออก ภาพตรงหน้าพร่าเลือนวูบไหวทั้งที่ดวงตาไม่มีหยดน้ำ
เขาโกรธอีกคนที่ทำเรื่องแบบนี้ในที่แบบนี้ได้อย่างน่าไม่อาย...แต่กลับโกรธตัวเองมากกว่าที่ไม่อาจลดความรู้สึกในใจลงได้
ทำไมถึงยังรู้สึกกับคนนิสัยไม่ดีคนนี้อยู่อีก
ติ๊ง
สุดท้ายสิ่งที่ภาวนาก็มาถึง แม้จะทรมานจนอยากรีบวิ่งออกไปแต่สารินก็ยังมีสติพอที่จะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าและมั่นคง รักษาท่าทีนี้เอาไว้ราวกับไม่มีความสะทกสะท้านใดๆ คนทั้งสองไม่ได้ก้าวตามออกมาเนื่องจากต้องลงไปยังชั้นGซึ่งเป็นชั้นของลานจอดรถ ในขณะที่สารินนั้นนั่งรถไฟฟ้ามาทำงาน
ปึก
ทว่าเพียงแค่ประตูลิฟต์ปิดลงเรือนร่างสูงใหญ่กลับไร้เรี่ยวแรงจนสองขาทรุดลงกับพื้น ทุกจังหวะของหัวใจเต้นด้วยความเจ็บปวดจนต้องยกมือมากุมมันเอาไว้
“อึก” สารินไม่ได้ร้องไห้ ไม่มีน้ำตาสักหยด แต่ข้างในกลับเจ็บปวดจนต้องทุบหน้าอกตัวเองแรงๆ
เจ็บจนมือหนาอันสั่นเทาต้องล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงเพื่อควานหาโทรศัพท์แล้วต่อสายหาใครบางคน
(จะเปลี่ยนใจให้ผมไปรับเหรอครับ)
“มะ มา มารับผมที”
แม้จะพยายามควบคุมตัวเองอย่างสุดความสามารถหากแต่สุดท้ายแล้วความทรมานก็ทำให้น้ำเสียงนั้นสั่นไหวจนปลายสายรีบตอบกลับมาด้วยความร้อนรน
(คุณเป็นอะไรหรือเปล่าสอง ไม่สบายเหรอ ตอนนี้อยู่ที่ไหน ผมจะไปหาเดี๋ยวนี้)
“ผม...ผมอยู่ที่หน้าบริษัท”
(รออยู่ตรงนั้นนะ แล้วผมจะรีบไป)
อาทิตย์วางสายไปแล้วในขณะที่สารินทำได้เพียงแค่ปล่อยโทรศัพท์ในมือให้ล่วงตกลงบนพื้นอย่างอ่อนแรง...
เขาไม่มีแรงแม้แต่จะลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำไป
--
“เฮ้ กระดกขนาดนี้เดี๋ยวก็ได้น็อกคาที่”
“อย่ามาห้ามฉันน่าแพทริก”
“ฉันจะไม่ห้ามหรอกถ้านายไม่เรียกฉันออกมาแล้วเอาแต่นั่งซดเหล้าอยู่แบบนี้ จะให้มานั่งเฝ้านายกินเหล้าสู้ฉันกลับบ้านไปอยู่กับกานต์รักดีกว่า”
แพทริก เบรนเนแกนพลิกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเป็นรอบที่ร้อยเมื่อคนที่โทรนัดให้ออกมาหาเอาแต่นั่งดื่มเหล้าไม่พูดไม่จา เพราะอาการของอีกฝ่ายดูท่าจะหนักหนาสาหัสชายหนุ่มจึงยอมรับนัดทั้งที่ปกติแล้วไม่อยากจะห่างจากคนรักเลยสักวินาที
แค่นี้ก็คิดถึงจะตายแล้ว อยากกลับไปกอดจะแย่“ทำไมนายถึงได้ติดเมียนัก”
“อ้าว ไม่ให้ติดเมียแล้วจะให้ติดใคร รักใครก็ต้องอยากอยู่กับคนนั้นมันถูกต้องแล้ว”
“อยากอยู่ด้วยหมายถึงรักงั้นหรือ” ประโยคของแพทริกสะกิดความรู้สึกในอกจนต้องหยุดคิดเรื่องของตัวเอง
หงุดหงิดเมื่อไม่ได้เจอ งุ่นง่านเมื่อไม่ได้อยู่ด้วยกันเช่นเมื่อก่อน ทรมานเมื่อยามเจอหน้าแต่ไม่อาจได้สัมผัส...แบบนั้นเรียกอยากอยู่ด้วยหรือเปล่า
แล้วถ้าอยากอยู่ด้วยหมายถึงว่ารักงั้นหรือ...
“ก็ใช่สิ เปรียบเทียบง่ายๆ...กับคู่นอนนายเคยอยากอยู่ด้วยเฉยๆหรือเปล่า รู้สึกว่าเจอหน้าแล้วหายเหนื่อยไหม”
ไม่
“...”
“เวลาเหนื่อยฉันนึกถึงแต่กานต์รัก ไม่ว่าจะตอนไหนแค่มีกานต์รักอยู่ด้วยฉันก็สุขใจ”
สุขใจ...
การจะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องคิดอะไร การได้อยู่ด้วยกันบนเตียงแล้วปล่อยเวลาผ่านไปเรื่อยๆ การถูกดูแลเอาใจใส่ นั่นคือสิ่งที่รพัฒน์โปรดปรานที่สุดยามอยู่กับสาริน...แบบนั้นมันเรียกว่าความสุขใจหรือเปล่า
แม้ไม่รู้แต่ชายหนุ่มก็รู้ดีว่าตอนนั้นเขามีความสุขมากกว่าตอนนี้
“เฮ้อ เรื่องคุณสองน่ะ ฉันอยากให้นายทบทวนตัวเองดีๆก่อนที่ทุกอย่างมันจะสายเกินไป”
แพทริกเอ่ยเตือน ด้วยอาการและท่าทางของเพื่อนแล้วมันบอกได้เป็นอย่างดีว่ารพัฒน์
รักอีกฝ่ายเข้าให้ ทว่าคนไม่เคยมีความรักกลับยังไม่รู้ตัว เรื่องแบบนี้เขาเองก็ไม่อยากพูดนักเพราะเป็นเรื่องของคนสองคน
“ทบทวนเหรอ ทบทวนอะไรล่ะ”
“ทบทวนตรงนี้...และตรงนี้” เอ่ยบอกพลางเคาะนิ้วลงบนอกและขมับของคนโง่เขลาเบาๆ
การกระทำที่ทำให้รพัฒน์นิ่งคิด พลันในหัวก็เกิดภาพเมื่อค่ำที่ผ่านมา...สาเหตุที่เขาต้องมานั่งอยู่ตรงนี้
ภาพของสารินเมื่อตอนเจอกันในลิฟต์มันทำลายล้างชายหนุ่มได้รุนแรงมากกว่าที่เขาตั้งใจจะทำร้ายอีกคน
เขารู้ว่าสารินยังไม่กลับ รู้ว่าสารินกำลังจะต้องเดินมากดลิฟต์...ทุกอย่างมันเกิดจากความตั้งใจทั้งสิ้น
ทั้งที่คิดว่าอีกฝ่ายต้องรู้สึกแย่ ต้องเจ็บปวดทรมานใจแต่รพัฒน์กลับรู้สึกว่าเป็นตัวเองต่างหากที่รู้สึกอย่างนั้น
เหมือนคนว่ายน้ำไม่เป็นที่จมน้ำเมื่อเห็นแผ่นหลังคุ้นตาก้าวออกไปโดยไม่สนใจ สองมืออยากจะกระชากสารินเข้าหา อยากดึงเข้ามากอด จูบ ทำทุกอย่างแต่กลับทำไม่ได้จนรู้สึกเหมือนข้างในมันอึดอัดจนหายใจไม่ออก
ความรู้สึกแบบนี้มันคืออะไร...
“แล้วความรักมันคืออะไร”
“ฉันไม่รู้ว่าสำหรับคนอื่นมันคืออะไร แต่สำหรับฉันมันคือการคิดถึงทุกวินาที คือการที่ไม่มีอีกคนอยู่ในชีวิตไม่ได้ แค่ไม่เจอกานต์รักชั่วโมงเดียวฉันก็อยากจะตายแล้ว...คำว่าความรักคืออะไรมันแล้วแต่คน เอาง่ายๆคือถ้านายทนเห็นเขาเป็นของคนอื่นไม่ได้ก็นั่นแหละความรัก”
ทนเห็นเป็นของคนอื่นไม่ได้เหรอ...
ใช่การที่เขาอยากจะฆ่าไอ้อาทิตย์นั่นตอนเห็นมันอยู่ในห้องของอีกคนหรือเปล่า
ใช่การที่เขาอยากกระชากอีกคนมาอยู่ใต้ร่าง แล้วตอกย้ำด้วยสัมผัสว่าเป็นแค่ของเขาใช่หรือเปล่า
“ไม่มีเขาแล้วแกใช้ชีวิตได้แบบปกติได้ไหม ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่ได้นึกถึงเลยสักนิดใช่หรือเปล่า”
“...”
“ถ้าไม่ใช่ก็แสดงว่านายรักเขา”
“ถ้าไม่มีคุณรักนายจะอยู่ได้ไหม จะเป็นยังไง”
เรื่องความรักเมียแพทริกขึ้นชื่อลือเลื่องอย่างที่สุดทั้งที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้แตกต่างจากใครในกลุ่ม คำถามซึ่งอยากนำมาเปรียบเทียบกับอาการของตัวเองจึงถูกเอ่ยออกไป
“ถ้าไม่มีกานต์รักให้ฉันตายคงง่ายกว่า...ถ้าตายไม่ได้ก็คงอยู่เหมือนตายทั้งเป็น ไม่มีวันพบกับคำว่าความสุขอีกเลยตลอดชีวิต”
ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ไม่มีวินาทีไหนเลยที่รพัฒน์รู้สึกว่าตัวเองมีความสุข...แบบนี้ใช่ความรักหรือเปล่า
เขารักสารินงั้นหรือ
--
“คุณโอเคไหม”
อาทิตย์เอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นท่าทางนิ่งงัน ยามไปถึงอีกฝ่ายก็นั่งทรุดตัวอยู่กับพื้นไม่ขยับเขยื้อนจนเขาใจเสีย นานหลายนาทีกว่าสารินจะค่อยๆขยับกายลุกขึ้น แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ไม่ยอมเอ่ยอะไรมาตลอดทางกระทั่งถึงคอนโด
เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นอีกแล้วเหรอ
“...ขอบคุณที่มารับผม” ดวงตาเลื่อนลอยหันกลับมามองคนข้างตัวก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
“ไม่เป็นไรสอง ว่าแต่คุณโอเคใช่ไหม ให้ผมอยู่เป็นเพื่อนหรือเปล่า”
“ผมอยากอยู่คนเดียว”
อาจดูเห็นแก่ตัวที่โทรเรียกอีกฝ่ายแค่เพื่อมารับ ทว่าจิตใจและสมองของสารินในตอนนี้ไม่พร้อมที่จะพูดคุยกับใครทั้งนั้น
“ให้ผมอยู่ด้วยเถอะนะ คุณอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก”
“แต่...”
“สัญญาว่าจะไม่พูดอะไรให้คุณต้องรำคาญ”
ความพยายามของอีกฝ่ายทำให้สารินหมดซึ่งคำจะปฏิเสธ ดวงตาที่แสนเหนื่อยล้าค่อยๆเหม่อมองไปรอบห้อง ก่อนภาพมากมายของใครบางคนจะไหลวนเข้ามาให้เจ็บปวดใจ
“อย่าร้องไห้สิ” น้ำตาซึ่งไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัวถูกเช็ดออกให้แผ่วเบา
“...”
“อย่าร้องไห้ให้คนไม่ดีแบบนั้นเลย”
ร่างกายหนาถูกรั้งเข้ามาในอ้อมกอดโดยคนที่กำลังอ่อนแอไร้เรี่ยวแรงขัดขืน อาทิตย์ลูบไล้หลังกว้างปลอบประโลม สารินไม่ได้สะอื้นไห้จนตัวโยน ไม่มีเสียงร้องสะอึกสะอื้น หากแต่ความเปียกชื้นเล็กๆบนไหล่บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าอีกคนกำลังอ่อนแอ
ตลอดเวลาทั้งอาทิตย์แม้สารินจะเสียใจแต่ก็ไม่เคยแสดงท่าทางเช่นนี้ นั่นหมายความว่าวันนี้ต้องมีเหตุการณ์อะไรที่พังทลายความเข้มแข็งของเจ้าตัวให้ไม่เหลือชิ้นดี
ความเงียบปกคลุมร่างสูงใหญ่ที่แนบชิดทั้งสอง เป็นเวลานานหลายนาทีกระทั่งคนเสียใจตั้งสติได้แล้วค่อยๆผละออก น้ำตาที่เลอะอยู่บนใบหน้าแห้งเหือดจนเหลือเพียงคราบจางๆ
อ่อนแอแบบนี้ไม่สมเป็นตัวเองเลยสักนิด...
เขาควรจะปล่อยวางเรื่องของรพัฒน์สักที
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” คำถามจากอีกคนได้รับคำตอบเป็นการพยักหน้า “ผมขอถามอะไรหน่อยได้หรือเปล่า”
“อืม”
เอ่ยอนุญาตพลางลอบสูดลมหายใจเข้าลึก ท่าทีอ่อนแอที่เผลอแสดงออกอย่างไม่อาจห้ามทำให้สารินบอกกับตัวเองว่าจะไม่มีวันเป็นอย่างนั้นอีก
“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้...คุณรู้สึกกับเขาน้อยลงบ้างไหม”
คำตอบนั้นมันฉายวาบขึ้นมาในหัวโดยไม่ต้องคิดเลยแม้แต่น้อย ราวกับเป็นสัญชาตญาณ เป็นจิตสำนึกที่ไม่ต้องเสียเวลาไตร่ตรองหาคำตอบ
ไม่เลย...
ทั้งที่ถูกทำร้ายจิตใจตลอดมากระทั่งเจอเรื่องในวันนี้แต่ข้างในมันกลับไม่รู้สึกน้อยลงจนสารินยังไม่เข้าใจตัวเอง
ทว่าถึงแม้จะไม่ไม่น้อยลงแต่ก็ไม่อยากกลับไปแล้ว...พอแล้ว
“มันจะเป็นไปได้ไหมที่วันหนึ่งจะเป็นผมที่อยู่ในความรู้สึกของคุณบ้าง”
ฝ่ามือใหญ่ถูกดึงไปจับยามดวงตาของคนพูดทอความมั่นคงจริงใจ ตั้งแต่วันที่เจอกันในร้านเหล้าจนถึงวันนี้อาทิตย์คือคนที่คอยอยู่เคียงข้างตลอดมา ชายหนุ่มรู้ซึ้งถึงความดีนี้หากแต่คำตอบของคำถามนั้นยังคงเป็นได้เพียงความเงียบราวกับสารินจะบอกว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้
“ได้หรือเปล่าสอง”
อาทิตย์เร่งเร้าเมื่อยังเห็นคนตรงหน้านิ่งเงียบ เขาไม่ได้คาดหวังว่าอีกคนจะเปิดใจรับตัวเองวันนี้หรือพรุ่งนี้ ขอแค่วันใดวันหนึ่งที่สารินพร้อมจะลืมใครคนนั้น
“ผม...”
ริมฝีปากที่กำลังจะขยับตอบถูกทาบทับลงมาจนท้ายประโยคหายลับเข้าไปในลำคอ ชั่ววินาทีที่คำตอบนั้นจะถูกเอื้อนเอ่ยกลับกลายเป็นอาทิตย์เองที่หวาดกลัวจนไม่กล้าฟัง
เขารู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้ว...
อาการนิ่งงันไม่ได้ผละออกทำให้ชายหนุ่มใจชื้นว่าอีกคนไม่ปฏิเสธสัมผัสนี้ เรียวปากได้รูปจึงค่อยๆละเลียดบดเบียดเข้าหา ลิ้นร้อนไล้เลียเชื่องช้าใจเย็น สารินยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้นก่อนความอ่อนโยนของคนตรงหน้าจะทำให้เปลือกตาหนาปรือปิดลง
จูบอ่อนละมุนไร้ซึ่งความเร่งเร้า ราวกับอาทิตย์ค่อยๆปลอบประโลมความเจ็บให้เลือนหาย ทุกสัมผัสนี้เต็มไปด้วยความใส่ใจ...หากแต่มันกลับเป็นสัมผัสที่ใจไม่ต้องการ
อาการแข็งขืนยามลิ้นร้อนสอดแทรกรุกล้ำให้คำตอบได้กระจ่างชัดมากกว่าคำพูด ท้ายที่สุดแล้วอาทิตย์จึงละสัมผัสออกพลางยกยิ้มด้วยความยอมแพ้
“คุณไม่ต้องตอบหรอก...ผมรู้แล้ว” รอยยิ้มที่ราวกับเข้าใจและไม่ถือโทษใดๆยิ่งทำให้คนมองรู้สึกผิด
เป็นสารินเองที่เห็นแก่ตัวกับอีกฝ่าย
“ผมขอโทษ”
“อย่างน้อยผมก็ยังเป็นเพื่อนคุณได้ใช่ไหม” อีกคนถามขณะยังระบายยิ้ม
“ได้แน่นอน...อย่ามาเสียเวลากับคนอย่างผมเลย”
“ผมมีเวลาอีกมากมาย” ...หรือเปล่า
มีเวลามากมายงั้นหรือ
“ทั้งชีวิตเลย”
ความมั่นคงที่สารินมีต่อใครคนนั้นเป็นอาทิตย์เองที่อยากได้รับมันบ้าง การถูกใครสักคนรักด้วยความรู้สึกจริงๆมันเป็นยังไงนะ
น่าอิจฉาใครบางคนที่ได้รับความรู้สึกนั้น...
--
เรือนร่างสูงเพรียวเดินลากเท้าตรงไปยังห้องของตัวเองด้วยความเหนื่อยอ่อน กระบอกตาและขมับปวดหนึบจนอยากทิ้งตัวลงบนเตียงเดี๋ยวนี้ ตลอดคืนที่ผ่านมาชายหนุ่มอยู่เป็นเพื่อนสารินกระทั่งถึงตอนเช้าจึงได้กลับ และถือเป็นความโชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุดไม่อย่างนั้นคงไม่พ้นต้องโทรไปลางานหนึ่งวัน
คีย์การ์ดถูกทาบทับก่อนบานประตูจะถูกเปิดเข้าไปด้วยมือหนา ทว่าในห้องที่ควรมืดมิดกลับมีแสงไฟถูกเปิดเอาไว้บ่งบอกให้รู้ว่ามีใครอยู่ในนี้
“กลับมาได้สักทีนะ”
เสียงทุ้มเอ่ยเย็นเยียบราวกับน้ำแข็งที่สาดซัดเข้ามารุนแรงจนแทบล้มทั้งยืน เรือนกายสูงใหญ่ในชุดทำงานหลุดลุ่ยหยัดกายขึ้นจากโซฟากลางห้องเชื่องช้า ดวงตาคู่นั้นดูอันตรายและน่ากลัวจนอาทิตย์เผลอก้าวถอยหลัง
กะ กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่
“ฉันบอกเอาไว้ว่ายังไง...ให้ทำตัวดีๆใช่ไหม”
ยิ่งฝ่ายนั้นก้าวเข้ามาใกล้เท่าไหร่คนกลัวยิ่งก้าวถอยหลังจนกระทั่งแผ่นหลังแนบชิดกับบานประตู ไร้ซึ่งหนทางจะหลีกหนี
“หนึ่งเดือนที่ฉันไม่อยู่คงจะสนุกมากเลยสินะ”
“...”
ปึก
เฮือก
กำปั้นใหญ่ทุบปึกลงบนประตูทางด้านหลังทำให้อาทิตย์สะดุ้งจนสุดตัว ร่างทั้งร่างเกร็งสั่นด้วยความหวาดหวั่นอย่างไม่อาจจะควบคุม
มัจจุราชตัวร้ายกลับมาแล้ว...
“ดูท่าว่าฉันจะปล่อยให้นายมีอิสระมากเกินไปสินะถึงได้แรดไปรักใครต่อใคร”
ฝ่ามือใหญ่ค่อยๆลากไล้สัมผัสไปตามลำคอแผ่วเบาหากแต่เท่านั้นกลับรุนแรงสำหรับอาทิตย์จนน้ำตาหยดใสไหลมาคลอหน่วย
เขารู้ดีว่าคนตรงหน้านี้กำลังโกรธเพียงไหน
“อึก...” จากเพียงลากไล้กลายเป็นแรงบีบจนทำให้ลมหายใจของชายหนุ่มติดขัด
“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องมี อยู่แต่ในห้องนี้ บนเตียงนั้น แล้วคอยรองรับความต้องการของฉันอย่างเดียว!”
TBC.
เรื่องของคุณอาทิตย์แย่งซีนมากกกก >< เอาเรื่องคุณอาทิตย์มายั่วแค่นี้แหละค่ะ อิอิ แต่คุณอาทิตย์ยังไม่ไปไหน ยังดื้อได้อีก เดี๋ยวได้โดนหนักกว่านี้อีก(แต่เราจะไม่ลงรายละเอียดหรอก ต้องติดตาม คิก)
ส่วนใครที่คิดถึงคุณแพทคนหลงเมียก็เอามาแจมให้หายคิดถึงด้วยน๊าาาา ไว้ตอนหน้ามาดูคุณรบโดนแก้แค้นกันค่ะ
ปล.ขอกำลังใจให้คนเขียนหน่อยน๊า~