(ต่อ)
นึกว่าเรื่องทุกอย่างมันคือความฝัน ตอนที่ตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าผมกำลังนอนอยู่ในห้องนอนที่คฤหาสน์ไม่ใช่เพ้นเฮ้าส์ในความทรงจำแถมฮิมยังไม่อยู่อีก มีเพียงความเจ็บปวดไปตามลำตัวโดยเฉพาะสะโพกที่เป็นสิ่งยืนยันว่าผมไม่ได้ฝันไป
และตอนนี้ ผมก็กำลังนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารที่ทั้งโต๊ะมีแค่ผม คุณลุงและคุณแม่ที่กำลังเดินไปมาคอยดูแลเรื่องนั้นนี้ อ้อ ยังมีเรื่องของพี่ฮิมผมก็ยังไม่ได้คำตอบว่าอีกฝ่ายหายไปไหน
“มองหาฮิมอยู่เหรอ” คุณลุงว่าพลางหยิบขนมปังเข้าปาก “ไม่อยู่หรอก”
“ไปไหนอ่า”
“ทำงาน” ผมถึงกับเบิกตากว้างใส่คุณลุง เกือบจะพูดต่อแล้วเชียวถ้าไม่ติดที่ว่า... “ล้อเล่น ฮิมออกไปซื้ออะไรไม่รู้ เดี๋ยวก็กลับมา วันนี้ให้พักแบบไม่ลดเงินเดือนด้วย ใจดีใช่ไหมล่ะ”
“ใจร้ายสิ! พี่ฮิมยังไม่จบมหา’ลัยเลยให้ทำงานหาเงินเองแล้ว”
“วัยรุ่นทั่วโลกเขาหาเงินเองได้ตั้งแต่อายุสิบแปดด้วยซ้ำ” ผมหยิบขนมปังยัดเข้าปากตาม ไม่อยากเถียง ไม่มีแรงพูดด้วย
“น้องเลตัวรุ่มๆ นะ” จู่ๆ คุณแม่ก็เอามือมาทาบหน้าผากผม เสียงนุ่มบอกด้วยความเป็นห่วง “มีหมอมาฉีดยาให้แล้ว มันไม่ควรเป็นแบบนี้สิ”
“หมอ? ฉีดยาให้เล?”
“ตอนน้องหลับ พี่ฮิมเขาเรียกมาตรวจอาการนิดหน่อยค่ะ” ผมเงียบไม่อยากพูดอะไร แต่ประเมินสถานการณ์และประสบการณ์ของผู้ใหญ่ทั้งสอง คิดว่าคุณลุงกับคุณแม่คงรู้เรื่องแล้วว่าผมกับพี่ฮิมไปทำอะไรกันมา ท่านถึงไม่ถามเรื่องที่หายไปเมื่อวานแล้วไม่บอก คุณแม่หอมแก้มเลทีนึงก่อนจะนั่งลงข้างผม “แม่ไปเที่ยว ไม่อยู่แค่ไม่กี่วันเกิดเรื่องขึ้นเยอะเชียว”
ผมกะพริบตาปริบๆ ฟังคุณแม่พูดต่อ “เลขวัญเสีย น้องเจอหลายเรื่อง ครั้งนี้คุณแม่เข้าใจ แต่คงต้องดุน้องด้วย เพราะการหนีปัญหาของเลมันไม่ได้ช่วยอะไร และบางทีมันก็ทำคนอื่นเขาเดือดร้อน”
“ครับ” ผมตอบรับไม่ปฏิเสธ สิ่งที่คุณแม่พูดมาใจความเดียวกันกับของพี่วินเปี๊ยบ ถึงจะเคยฟังมาแล้ว แต่มาฟังอีกครั้งมันก็รู้สึกหงอยเหมือนกันแฮะ
“ครั้งหน้าถ้าเกิดมีเรื่องอะไรอีก เลต้องตั้งสติหน่อยเข้าใจไหมคะ น้องไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว มีคนมากมายที่อยู่ข้างเล”
“ครับ” ผมว่าเสียงแผ่ว
“มีอะไรให้ถามหรือคุยกันก่อน น้องเลอยากถามอะไรไหมคะ”
ผมพยักหน้า “ทำไมพ่อ… เขาถึงคิดว่าผมกับพี่ฮิมเป็นพี่น้องกัน”
คุณแม่ถอนหายใจ ทำหน้ากึ่งลำบากใจแต่ก็ยอมพูดออกมาตรงๆ
“แม่น้องเลกับเคยเป็นแฟนกับคุณพ่อ” คุณพ่อที่ว่า… คุณลุงเหรอ! ผมหันไปหาคุณลุงบ้าง ฝ่ายนั้นก็พยักหน้าเงียบๆ “แต่เรื่องมันเป็นอดีตมาแล้ว และผลมันก็ออกมาชัดเจนว่าเลไม่ได้เป็นพี่น้องกับฮิม”
“แล้วพ่อของเลล่ะครับ”
“เรื่องนั้นแม่ก็ไม่รู้…” ผมพยักหน้าเข้าใจ แต่ก็อดที่จะเศร้าไม่ได้ “แต่น้องเลเป็นสมาชิกครอบครัวเรา ลูกรู้ใช่ไหม แม่ไม่เคยคิดว่าเลคนอื่น คุณแม่คิดว่าน้องเลเป็นลูกของแม่มาโดยตลอด คุณพ่อก็เหมือนกัน…”
ผมถูกรวบเข้ากอด ขณะหันหน้าไปมองคุณลุงที่กำลังท่าทางชมนกชมไม้ไปเรื่อย
“เรารักน้องเลนะคะ มีคนรักน้องเลอีกมาก ดังนั้นอย่าคิดว่าตัวเองไม่มีใครนะ”
“อื้อ เลก็รักคุณแม่” ผมโผล่เข้ากอดผู้หญิงคนหน้า คนที่ช่วยเลี้ยงผมมาตั้งแต่ๆ เด็กๆ เป็นแม่คนสำคัญสำหรับเล
“เรื่องพ่อของเล กำลังให้คนสืบ” เสียงทุ้มว่าในขณะที่ผมฟังแล้วพยักหน้าแต่ไม่ได้ตอบกลับอะไร หลังจากนั้นคุณแม่ก็ปล่อยให้ผมนั่งกินข้าวต่อไป ทิ้งไว้ให้อยู่กับคุณลุงที่เงียบจนน่าสงสัยกระทั่ง… “น้องเล”
“หือ?”
“จะเรียกว่าพ่อก็ได้นะ” ผมเงยหน้าขึ้นจากขนมปัง มองคนพูดที่กำลังยกหนังสือพิมพ์ปิดหน้าตัวเอง
“เรียกใคร?”
“เลเรียกแฟนฉันว่าคุณแม่ น้องก็ควรเรียกฉันว่า--”
“คุณพ่อเหรอ” ผมพูดแทรก อมยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและวิ่งไปกอดคนที่นั่งอยู่หัวโต๊ะจากทางด้านหลัง ตบมือป้าบเข้าที่หัวใจ “หัวใจเต้นแรงมากเลยอะ!”
“มันก็ต้องแรงสิ! วิ่งมากอดขนาดนี้หัวใจจะวาย!”
“ทำเป็นพูด จริงๆ แล้วก็อยากให้เลเรียกคุณลุงว่าพ่อใช่ไหมล่ะ”
“ก็แค่บอกว่าถ้าจะเรียกก็เรียกได้”
“โธ่ อย่าเก๊กสิพ่อสอง!” คำต่อท้ายทำให้ต้นแบบโครงหน้าพี่ฮิมถึงกับวางหนังสือพิมพ์ลงแล้วหันมามองผมที่ยังคงกอดคออีกฝ่ายอยู่ด้วยท่าทีจริงจัง
“พ่อสอง?”
“อื้อ!”
“ยังไง”
“เอ้า! ก็เลใช้คำว่าพ่อเรียกพ่ออีกคนไปแล้วนี้”
“ทีแฟนพ่อน้องเลยังไม่เรียกว่าคุณแม่สองเลย แบบนี้มันสองมาตฐาน!”
“ไม่ใช่! ก็คุณแม่เป็นแม่ที่มีอยู่คนเดียวของเลในตอนนี้ ไม่นับคุณแม่ซาร่าสิ”
“แสดงว่าไอ้พ่อหนึ่งนี้มันยังมีชีวิตอยู่สินะ เก็บไว้เรียกพ่อแท้ๆ ของตัวเองหรือไง”
“ไม่ใช่หรอก!”
“แล้วใคร?”
“คุณพ่ออออ”
หมับ!
ผมกระโดดกอดร่างสูงที่กำลังยืนจิบกาแฟอยู่ในสวนจากทางด้านหลัง เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาหันหน้ามามอง เผยรอยยิ้มแล้วโอบรัดเลตอบ “มาได้ไงคะ”
“เลมาเล่นด้วย… ได้ไหม? ได้ข่าวว่าคุณพ่อว่าง”
“ทำไมจะไม่ได้ล่ะคะ เหงาอยู่พอดี” ร่างสูงพาผมไปนั่งโต๊ะ สั่งแม่บ้านนำโกโก้มาเสิร์ฟแทนที่จะเป็นชาอังกฤษ
“ทำไมรู้ว่าเลชอบโกโก้”
“ไม่ได้รู้ เดาจากบุคลิกเล ถูกต้องงั้นสิ”
“อื้อ เลไม่ค่อยกินชาหรอก” แม้ว่าบ้านนั้นจะกินทุกวันเลยก็เถอะ เช้า กลางวัน เย็น ทุกหลังอาหารแทบจะมีชาเข้ามาร่วมด้วย พี่ฮิมอยู่ไทยไม่ค่อยกินแต่กลับอังกฤษก็กินบ่อยอยู่เหมือนกัน สภาพแวดล้อมมันพาไป “เลขอโทษนะครับที่วันนั้นไปไม่ได้บอก ตอนมาไม่ได้บอกตอนไปยังไม่ได้บอกอีก”
ครั้งนั้นตอนเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นทีนี้ พอได้คุยกับพี่วินแล้ว พี่ชายของผมก็พาไปโรงพยาบาลเพื่อพาไปตรวจ DNA พึ่งนึกได้ว่ายังไม่ได้บอกลาคุณพ่อเลยด้วยซ้ำหลังจากสามวันต่อมา
“ไม่เป็นไรคะ แล้วน้องเลเป็นไงบ้าง ดีขึ้น? สบายใจขึ้นบ้างหรือยัง”
“เลดีขึ้นมากแล้ว”
“แล้วเป็นไง ทำไมวันนี้ได้มาหาคุณพ่อล่ะค่ะ”
“ไม่มีใครอยู่กับเลเลย” คุณแม่ไปประมูลเพชร(อีกแล้ว) คุณพ่อสองกับพี่ฮิมกลับไปโหมงานต่อ พี่วินก็มีงานที่ดูไบ ขนาดพี่ดีนที่น่าจะว่างตอนผมโทรมาถามว่ามาเล่นที่บ้านได้ไหมก็ยังติดงานอยู่เหมือนกัน คนที่เหลือที่พอจะมาอยู่ด้วยได้ก็มีแต่คุณพ่อนี่แหละ ไม่เข้าใจคนรอบตัวเลยจริงๆ รวยกันจนจะซื้อประเทศๆ หนึ่งได้อยู่แล้วทำไมยังต้องทำงานกันหนักขนาดนี้ “เลเหงา คุณพ่อว่างไหม อยู่เล่นกับเลหน่อยสิ”
“ว่างสิคะ ว่างทั้งวัน น้องเลอยากเล่นอะไรตีกอล์ฟอีกไหม”
“เลเบื่อแล้ว”
“ดูหนัง?” ผมถอนหายใจ
“ไม่อยากอยู่ในห้อง อยากออกไปด้านนอก”
“งั้นเลอยากทำอะไร”
“เลสนใจการแข่งรถ ยังไม่ต้องถึงระดับ Formula1 แค่ขอระดับปานกลางถึงใหญ่” คนตัวสูงมองผมก่อนจะยกยิ้มขึ้น ร่างหนาเคาะนิ้วเรียงสามทีคล้ายกับกำลังตัดสินใจก่อนจะพยักหน้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาจากกระเป๋า
“พ่อจะติดต่อเพื่อนให้”
เยส!
21.00 น.
“คนดี คนดี” เลลืมตาขึ้น คนที่เขาเห็นทำให้ริมฝีปากเล็กเผยรอยยิ้มกว้าง “พี่ฮิม กลับมาแล้วเหรอ”
เจ้าของชื่อถูกคนงัวเงียลุกขึ้นกอด ฮิมถอนหายใจ “กลับอะไรกันล่ะ”
“น้องเลตื่นแล้วเหรอ” ผู้มาเยือนคนใหม่ทำให้คนพึ่งตื่นเริ่มงง แต่พอมองไปรอบๆ ห้องแล้วถึงได้เข้าใจสถานการณ์ “หลับสนิทเลย ไปเที่ยวกับคุณพ่อจนเหนื่อย”
“พี่ดีน?” เรียกชื่อคนตรงหน้าแล้วระลึกเหตุการณ์ในสมอง เริ่มจากที่คุณพ่อพี่ดีนพาเขาไปหาเพื่อนในแวดวงรถยนต์ ถูกทดสอบในสนามแข่งก่อนจะได้รับคำชมว่าฝีมือดี ไปสานสัมพันธ์กันต่อที่ภัตตาคาร กิน ดื่มและนั่งฟังผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่นานพอสมควร ต่อจากนั้นก็… เผลอหลับเหรอ?!
เลเบิกตากว้าง รู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าแตกเข้าอย่างจัง
“เลไม่รับสายพี่ พี่ก็เลยมารับ” ฮิมบอก ในขณะที่ร่างบางลุกขึ้นยืน ถามรัวๆ
“กลับก็ได้ แต่เลขอไปหาคุณพ่อก่อน พี่ดีนครับ คุณพ่ออยู่ไหนเหรอ” เขาต้องไปบอกขอบคุณแล้วก็ขอโทษด้วย
“อยู่ในห้องทำงานน่ะ” ว่าจบคนตัวขาวก็พุ่งออกไป ทิ้งสองหนุ่มเอาไว้ในห้องตามลำพัง
ฮิมทิ้งตัวนั่งที่โซฟา กระทั่งเลลับสายตาเขาถึงหันมาจ้องอีกคนแทน อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ตัวว่าถูกจ้องถึงได้หันมามองหน้าเขาตรงๆ
“มึงมีอะไรอยากจะพูดกับกูหรือเปล่า” ดีนเริ่มต้นถาม
“มี”
“เรื่องอะไร” ฮิมต้องคิดก่อนว่าควรจะพูดออกไปดีหรือไม่ “เลเหรอ? หรือมึงกลัวว่ากูจะแย่งเมียมึงจริงๆ”
“ไม่ใช่” เขาส่ายหน้า ฮิมเชื่อใจน้องมากพอ ยิ่งความวุ่นวายครั้งล่าสุดยิ่งทำให้พวกเขารักกันมากยิ่งขึ้น แล้วเรื่องที่อยากจะถามน่ะ… “มึงรู้หรือเปล่าว่าเรากำลังเป็นศัตรูทางธุรกิจกัน”
นั่นแหละที่เป็นปัญหา เพราะเอาไปเอามา คลาร์ก คอเปอร์เรชั่น ที่กลายมาเป็นศัตรูแฮมินตันในตอนนี้ก็คือธุรกิจของบ้านไอ้คนตรงหน้านี่แหละ ทว่าดีนกลับทำหน้างง
“ศัตรูทางธุรกิจ? ธุรกิจอะไรวะ มึงจะเปิดเหมืองแข่งเรื่องเพชรกับกูเหรอ”
“เปล่า น้ำมัน”
“อ้อ น้ำมัน” คนฟังพยักหน้า “ไม่รู้เรื่องด้วยหรอก”
“ถ้ากูชนะ บ้านมึงจะเสียยิ่งกว่าล้านดอล”
ดีนล้วงมือเข้ากระเป๋า ดูท่าทางยังใจเย็นอยู่ “พ่อไม่ให้กูยุ่งกับน้ำมัน ไม่ใช่แค่ไม่ให้ยุ่งเรียกว่าห้ามเลยจะดีกว่า”
“...”
“อีกอย่างพ่อกูก็ปล่อยธุรกิจนี้ไปตั้งนานแล้วเป็นสิบๆ ปี”
“หมายความว่าไงที่ปล่อย”
“ให้คนอื่นดูแลแทน ถือหุ้นใหญ่แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋า ไม่ได้สนใจว่ารุ่งหรือร่วง”
“หมายความว่าไม่สนถ้าธุรกิจมึงจะล้มละลาย”
“ก็ประมาณนั้น” ดีนยักไหล่
“ทำไม”
“พูดยากว่ะ ความคิดพ่อ ถ้ามึงอยากรู้มึงคงต้องไปถามพ่อกูแล้วล่ะ”
“ไม่จำเป็นขนาดนั้น มึงไม่สนก็ดี กูแค่กลัว”
“กลัวอะไร”
“บ้านมึงเป็นคู่แข่งกู แต่เมียกูดันเข้าออกบ้านมึงเป็นว่าเล่นขนาดนี้”
“อ้อ! กลัวถูกเล่นสปรกอย่างจับน้องเลเอาไว้สินะ” ฮิมพยักหน้าไม่ปฏิเสธ “ไม่ต้องห่วง อย่างที่บอกว่าพ่อกูปล่อยธุรกิจนี้ให้คนอื่นดูแลตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว ตอนนี้นอกจากเอาเงินจากหุ้นในธุรกิจก็แทบจะไม่เกี่ยวข้องอะไรแล้วล่ะ”
“งั้นก็ดี”
“พี่ฮิมมม กลับกันเถอะ” เลกลับเข้ามาดึงให้ร่างสูงลุกขึ้น “พี่ดีนเลกลับแล้วนะ เดี๋ยววันหลังมาใหม่นะครับ”
“มาได้ตลอดครับ”
ฮิมโอบเอวบาง มองหน้าคู่สนทนาเมื่อสักครู่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลายวันต่อมา
(อีกแล้วเหรอ) เสียงจากปลายสายทำให้ผมต้องยกโทรศัพท์ออกห่างจากหู ฟังแล้วพี่ฮิมคงไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่ผมมาหาคุณพ่อพี่ดีนติดต่อกันเป็นวันที่สาม (คนดีระวังรบกวนคนอื่นมากเกินไปนะ)
“ก็ที่บ้านไม่มีใครเลยนี้” เห็นได้ชัดว่าในตอนนี้คุณลุงและพี่ฮิมกำลังทำงานหัวหมุนกันขนานหนัก เมื่อวานพี่ฮิมกับคุณลุงไม่ได้กลับบ้านแต่นอนที่บริษัทเลยด้วยซ้ำ “แล้วก็เลงอนพี่ฮิมอยู่นะ”
ถามว่ายุ่งอยู่กับงานอะไรก็ไม่ยอมตอบ คุณแม่เองก็เหมือนจะรู้เรื่องนี้ท่านเลยไม่ได้พูดอะไร มีแค่เลคนเดียวที่ไม่รู้ ผมงอนพี่ฮิม เขาไม่ยอมบอกผม ที่หนักสุดคือสองวันก่อนผมแอบไปหาพี่ฮิมที่บริษัท แต่กลับถูกยามหน้าประตูกักตัวเอาไว้ไม่ให้เข้า ลุงยามบอกว่าท่านประธานสั่งเอาไว้ว่าไม่ให้ผมเข้าไป พอโทรไปหาพี่ฮิม ช่วงพักเที่ยงพอดี อีกฝ่ายเลยพาผมออกไปกินข้าวที่อื่น แต่หลังจากกินข้าวเสร็จพี่ฮิมก็ไม่ให้ผมกลับไปที่บริษัทเหมือนกัน
เอ้า! งง งง งง งง
รู้สึกเหมือนโดนกีดกันในเรื่องที่ไม่ควรจะกีดกันอะ ทำไมต้องห้ามเลเข้าบริษัท ในเมื่อเลแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจหลายล้านล้านของแฮมินตันเลยด้วยซ้ำ
เอ๊ะ! หรือมี?
(ไม่งอนพี่สิ) เอ่ยเสียงแผ่ว (คิดถึงคนดี อยากเจอ อยากกอด)
“ให้เลไปหา”
(ท่านครับ...)
“เสียงใคร” ผมถามเมื่อได้ยินเสียงไม่คุ้นหูดังเข้ามาแทนเสียงพี่ฮิม
(เลขา น้องเลพี่มีประชุมต่อ)
“น้องไปนั่งเล่นรอก็ได้”
(อย่าเลย)
“ก็ไหนบอกอยากเจอ”
(ไม่ใช่ที่บริษัท) ผมกระทืบเท้าระบายอารมณ์จนคุณพ่อพี่ดีนที่ยืนดูรถอยู่ข้างๆ หันมามอง ผมส่งสายตาขอโทษไปให้ ร่างสูงก็สายหน้าไม่ถือสาก่อนจะวกกลับไปสนใจรถต่อ (วันนี้พี่จะกลับบ้าน)
“แล้วยังไง?”
(เลอยากทำอะไร พี่จะตามใจ ดีไหม)
“ก็… ดีขึ้นหน่อย” ผมยิ้มพอใจจังหวะเดียวกันที่ได้ยินเสียงไม่คุ้นดังเข้าใจอีก จับใจความได้ว่าใกล้ถึงเวลาแล้ว “มีประชุมต่อใช่ไหม งั้นเลไปแล้วนะ”
(โอเค ตอนเย็นเจอกัน รักนะครับ)
“รักเหมือนกัน บาย” กดวางสายก่อนจะเดินไปกอดแขนคุณพ่อพี่ดีน ร่างสูงโอบไหล่ผมแล้วชี้รถสปอร์ตตรงหน้า
“พ่อว่าสวยดี น้องเลอยากได้ไหมคะ”
“ถ้าอยากได้จะซื้อให้เลเหรอ” ผมแซวในขณะที่คนข้างกายกวักมือเรียกพนักงาน ชี้ที่รถจากนั้นคุณเลขาของคุณพ่อที่ยืนอยู่ไม่ไกลก็เดินเข้ามาจัดการให้ “เป็นคุณป๋าอีกแล้ว”
“ไม่ชอบเหรอคะ”
“ก็คนอื่นเขาคิดว่าเลเป็นเด็กคุณพ่อหมดแล้ว” หลายวันมานี้ผมอยู่อีกฝ่าย และเราสองคนก็ไม่ค่อยจะอยู่บ้านกันสักเท่าไหร่ คุณพ่อมักพาผมไปหาเพื่อนที่เกี่ยวข้องกับรถอย่างที่ผมต้องการ แต่บางวันก็พาออกงานอื่น เช่น งานแข่งม้า งานเปิดตัวธุรกิจใหม่หรืองานสังสรรค์อื่นๆ ของพวกผู้ใหญ่ในแวดวงธุรกิจ ผมติดสอยห้อยตามไป ส่วนใหญ่คุณพ่อจะแนะนำผมแบบติดตลกว่าเป็นลูกอีกคน (ถ้าบอกว่าเป็นเพื่อนลูกชายก็คงจะดูแปลกๆ) แต่ดูเหมือนคนฟังจะไม่ค่อยเชื่อนะ
เลได้รู้จักผู้ใหญ่คนสำคัญขึ้นเยอะมาก แทบจะเป็นการเปิดโลกใหม่ โลกของผู้ใหญ่โดยแท้
“ไม่ชอบเหรอ เป็นเด็กคุณพ่อ เลี้ยงดูอย่างดีเลยนะคะ”
“แฟนเลเริ่มจะหึงแล้วน่ะสิ” พี่ฮิมเริ่มไม่ค่อยจะพอใจ และผมไม่อยากจะเถียงว่าคนข้างกายร้ายอย่างที่พี่ดีนเคยเตือนเอาไว้จริงๆ
คุณพ่อเจ้าชู้
หลายวันที่ผ่านมา ผู้หญิงที่เข้าหาคุณพ่อแทบนับไม่หวาดไม่ไหว ตั้งแต่รุ่นลูกเท่าเลไปจนถึงรุ่นใหญ่ แต่ดูจากสายตาแพรวพราวแล้วทุกคนก็คงจะมีเป้าหมายเดียวกันคืออยากรู้จักผู้ชายคนนี้
“เปลี่ยนแฟนดีไหม มาคบกับดีนเป็นไง”
“พูดเล่นใช่ไหมเนี่ย” ผมเบิกตากว้าง จ้องหน้าอีกฝ่ายแล้วหัวเราะก่อนร่างหนาที่โอบไหล่ผมอยู่เริ่มพาเดินดูรอบๆ ตอนนี้เราอยู่ในโชว์รูมรถหายาก ไม่ได้มาซื้อรถหรอกเป้าหมายที่แท้จริงคือพาผมมาหาเจ้าของโชว์รูมต่างหาก เขาเป็นอดีตโค้ชของผู้ที่ชนะการแข่งขัน Formula 1 เมื่อหลายปีที่ผ่านมา “คุณพ่อครับ”
“หือ?”
“มาอยู่กับเลแบบนี้ไม่เป็นไรเหรอ ไม่ได้ไปทำงานเลย” คำพูดของพี่ฮิมแทรกเข้ามาในสมอง บางทีผมก็อาจจะกำลังรบกวนอีกฝ่ายมากเกินไป เพราะตั้งแต่ที่ผมมาอยู่ด้วยในตอนกลางวัน ยังไม่เคยเห็นคุณพ่อพี่ดีนเข้าบริษัทเลยด้วยซ้ำ ที่ดูเกี่ยวกับงานหน่อยก็มีแค่คุณเลขาที่เป็นอีกหนึ่งคนซึ่งคอยติดตามอยู่ตลอดเวลา
เจ้าของใบหน้าคมส่ายหน้า “พ่อไม่ได้ทำงานแล้วล่ะค่ะ”
“อ้าว” เลงง “แล้วเอาเงินมาจากไหน”
“หุ้นในบริษัทไงคะ ปล่อยให้คนอื่นทำไปตัวเองคอยเอาเงิน”
“ไม่กลัวคนอื่นทำล้มละลายเหรอ อุตส่าห์พยายามสร้างมันขึ้นมา” สองวันก่อนคุณพ่อพี่ดีนพึ่งเล่าภูมิหลังให้ฟัง บ้านของพี่ดีนทำธุรกิจหลักคือน้ำมัน อีกฝ่ายจบ MIT มาก็จริงแต่ครอบครัวในทีแรกก็ไม่ได้ร่ำรวยมากหรอก ต้องใช้มันสมอง ความรู้ทุกอย่างถีบธุรกิจตัวเองจากไม่กี่ร้อยล้านให้พุ่งทะยานจนมีค่ามหาศาลในปัจจุบัน ยิ่งรู้ผมก็ยิ่งนับถือ แต่เมื่อกี้คุณพ่อพึ่งจะบอกว่าธุรกิจที่ตัวเองสร้างมาด้วยความยากลำบาก ในตอนนี้ท่านกลับยกให้คนอื่นดูแลแทน แถมยังดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ลูกชายอย่างพี่ดีนเสียด้วย เพราะพี่ดีนเคยบอกว่าตัวเองดูแลธุรกิจเพชรพลอยซึ่งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญของครอบครัวในตอนนี้
“ก็คนที่ทำให้พ่อต้องพยายามจนประสบความสำเร็จขนาดนี้ เขาไม่อยู่บนโลกนี้แล้วนี่” เสียงเบามาก ผมไม่ได้ยินว่าอีกฝ่ายพูดอะไร แต่แล้วใบหน้าหล่อเหลาก็หันมายิ้มให้ก่อนจะพูดติดตลก “ล้มก็ล้มสิคะ ตอนนี้เบื่อมาก รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรแล้ว ลองจนบ้างคงจะสนุกเหมือนกัน”
“น่าหมั่นไส้!” ผมหัวเราะ ขณะที่ยังมีคำถามใจ “พี่ดีนเคยบอกว่าตัวเองดูแลเรื่องเพชรเต็มตัว แล้วคุณพ่อให้ใครดูแลธุรกิจน้ำมันแทนเหรอ”
ร่างสูงหันหน้ามาถามผมแทน “คิดว่าใครล่ะ?”
“รายงานล่าสุดของเราบอกว่าปัจจุบันเจ้าของคลาร์ก คอเปอร์เรชันที่แท้จริงอย่าง แอรอน คลาร์ก ไม่ได้เป็นผู้คุมบังเหียน แอรอนวางมือกับธุรกิจน้ำมันตั้งแต่สิบปีก่อน แล้วปล่อยให้ญาติห่างๆ ของภรรยาที่เสียชีวิตไปแล้วอย่าง เฟรดดี้ เบลมอน เป็นคนดูแลแทน แม้คลาร์ก คอเปอร์เรชันจะยังขึ้นชื่อแอรอน คลาร์กเป็นประธานบริษัท แต่แทบจะพูดได้อย่างเต็มปากว่าเฟรดดี้ เบลมอนมีอิทธิพลในจัดการทุกอย่างของคลาร์ก คอเปอร์เรชันในตอนนี้”
บรรยากาศในที่ประชุมเคร่งเครียดขึ้นยิ่งกว่าเมื่อหลายอาทิตย์ก่อน ฮิมเท้าคางมองหน้าจอ LED ขนาดใหญ่ที่กำลังฉายภาพข้อมูลของแอรอน คลาร์กและเฟรดดี้ เบลมอน สองชื่อที่พึ่งถูกกล่าวถึงกับสองประวัติที่แทบจะเรียกได้ว่าห่างไกลกันคนละโยชน์
แอรอน คลาร์ก จบปริญญาตรี วิศวะ MIT เกียรตินิยมอันดับ 1 ปริญญาโท MBA ฮาวาร์ด เพิ่มมูลค่าของธุรกิจจากหลักร้อยล้านมาเป็นล้านล้านภายในเวลาไม่กี่ปี แทบจะเรียกได้เต็มปากว่าผู้ชายคนนี้เป็นอัจฉริยะ ทว่าข้อมูลเฟรดดี้กลับพื้นฐานเกินกว่าที่เขาคาดการณ์เอาไว้ จบบริหารของมหา’ลัยระดับกลาง เกียรตินิยมอันดับ 1 ก็จริง แต่พูดกันตามตรงฮิมคิดว่ายังมีคนที่เหมาะสมกว่านี้ สำหรับดูแลธุรกิจต่อจากแอรอน คลาร์ก
‘ให้คนอื่นดูแลแทน ถือหุ้นใหญ่แล้วเอาเงินเข้ากระเป๋า ไม่ได้สนใจว่ารุ่งหรือร่วง’
ประโยคของดีนดังเข้ามาในหัว มันยังเป็นคำถามในใจเขา
ไม่ได้สนใจว่ารุ่งหรือร่วง
จะมีเหตุผลไหนบ้างที่ทำให้คนๆ หนึ่งเพียรพยายามผลักดันและสร้างมันขึ้นมาด้วยความสามารถของตน พอประสบความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ก็ทิ้งให้คนอื่นดูแลแบบไม่แยแส
“ดูเหมือนว่าตั้งแต่ที่แอรอนวางตัวเมื่อ 10 ปีก่อน การบริหารของเฟรดดี้ก็ไม่ได้ดีนัก ที่อยู่รอดก็เพราะบุญเก่ากับขึ้นชื่อแอรอน คลาร์กยังเป็นประธานบริษัท เขาเก่งมากจนต้องขอยอมรับ แค่ขึ้นชื่อเอาไว้แต่ถอนตัวออกไป นักลงทุนยังแห่กันมาสนับสนุน” เจ้าของแฮมินตันที่นั่งอยู่หัวโต๊ะว่าต่อ “และดูเหมือนว่าเหล่าคณะกรรมการในคลาร์ก คอเปอร์เรชันหลายคนก็ไม่ได้พอใจในการบริหารของเฟรดดี้สักเท่าไหร่”
“ได้ข่าวว่าเขายักยอกเงินด้วยนี่”
“หลายร้อยล้านเลยล่ะ” เสียงทุ้มว่า “ดูเหมือนแอรอนจะวางมือแล้วจริงๆ วงในรู้กันทั่วว่ามีการยักยอกเงินอย่างโจ่งแจ้ง แต่ประธานบริษัทตัวจริงกลับไม่ทำอะไร”
“คงจะใช่ เมื่อไม่กี่วันก่อนเห็นไปสนามแข่งรถ กับเด็กหน้าตาน่ารักคนหนึ่งซะด้วย”
“แอรอนหน้าตาดีจะตาย แต่ก่อนขึ้นที่หนึ่งของสิบอันดับนักธุรกิจหน้าตาดีในนิตยสารติดต่อกันตั้งหลายเดือน”
“จะกินเด็กก็ไม่แปลก” พวกคณะบริหารคุยกัน ในขณะที่ฮิมเงียบแต่หูผึ่ง คุ้นๆ เด็กหน้าตาน่ารักที่ว่าอาจจะเป็นแฟนตัวเอง เพราะน้องเลออกจะตัวติด ‘คุณพ่อพี่ดีน’ ไปซะทุกที่ขนาดนั้น
“ก็ดีแล้วที่วางมือ เพราะถ้าไม่อย่างนั้นเราก็อาจจะแพ้” เสียงทุ้มเข้มว่า บรรยากาศกลับมาตึงเครียดอีกครั้งหนึ่ง ก่อนที่เลขาคนสนิทของประธานจะอธิบายสถานการณ์
“เราได้ทำการติดต่อคณะกรรมการบริหารที่ไม่พอใจการบริหารของเฟรดดี้ เบลมอนไป และหลายคนยินดีให้ความร่วมมือกับเรา โดยการบอกเรื่องการยักยอกเงินกับเหล่านักลงทุนและบริษัทย่อย”
“แค่นั้นเหรอ”
“แค่นั้น แต่ส่งผลกระทบมหาศาล นักลงทุนเริ่มถอนหุ้น บริษัทที่ทำร่วมกับคลาร์กเริ่มถอนตัว มาตรการนี้ ช่วยลดเงินทุนของคลาร์ก คอเปอร์เรชัยภายใต้การนำของเฟรดดี้ เบลมอนไปได้มากโข อีกอย่างคือนักลงทุนหลายราย และบริษัทหลายแห่งที่ถอนตัวออกมา เขาก็ยินดีที่จะให้ข้อมูลกับเรา”
เจ้าของตำแหน่งเลขาสรุปเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง “พูดง่ายๆ คือเรากำลังหาแนวร่วมในการตัดช่องทางหาเงินทุนของคลาร์ก คอเปอร์เรชัน ไม่ให้มีบริษัทหรือนักลงทุนอื่นมาสนับสนุน ส่งหนอนบ่อยไส้เข้าไป พยายามทำให้ฝ่ายนั้นเริ่มกระสับกระส่ายและตกต่ำจนถึงขีดสุด ซึ่งจากความพยายามของพวกเราตั้งแต่หลายเดือนที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าผลมันจะไปได้ด้วยดี เพราะข้อมูลล่าสุดที่ได้เราได้บ่งบอกว่าตอนนี้หุ้นของคลาร์ก คอเปอร์เรชัน…”
กราฟหุ้นดังกล่าวถูกฉายขึ้น ฮิมมองก่อนจะสรุป “ตกต่ำที่สุดในประวัติการ”
“ก็เหลือแต่สู้กันในชั้นศาล ถ้าฝ่ายนั้นยังอยากสู้อยู่ล่ะก็นะ” พ่อเขาว่าพร้อมกับเผยรอยยิ้ม
“โหดร้ายนะครับท่านประธาน แบบนี้ตั้งใจจะทำให้ฝ่ายนั้นล้มละลายเลยไม่ใช่เหรอ”
“ทางนั้นเล่นไม่ซื่อกับเราก่อนนี้ แทนที่จะแยกตัวกันดีๆ ดันทำตัวมีปัญหาซะได้” ร่างสูงลุกขึ้นยืน พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เรามั่นใจถึง 70% ว่าจะชนะในชั้นศาล ที่กลัวตอนนี้คือเฟรดดี้ เบลมอนอาจจะใช้วิธีสกปรกในการแก้สถานการณ์ จึงอยากขอให้ทุกคนและทุกฝ่ายระวังเอาไว้ ตรวจเช็คงานของตัวเองให้รอบคอบอย่าให้มีอะไรมาทำให้แฮมินตันเสียหาย”
“ครับ/ค่ะ”
“จบการประชุม”
“ให้คนขับรถไปส่งไหม”
“ไม่ต้อง เลกลับเองได้ครับ” เขามองเด็กหนุ่มรุ่นลูกก้าวขึ้นรถ น้องเลหันมาส่งยิ้มให้ทีหนึ่งก่อนจะปิดประตูลดหน้าต่างรถลงมา “เลกลับแล้วนะ”
“ขับรถดีๆ นะคะ”
“อื้อ บ้ายบาย”
“โชคดีค่ะ” ลัมโบกินี่คันหรูเคลื่อนตัวออก แอรอนมองตามจนมันลับสายตา ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนมานิ่งขรึม ขายาวเดินนำหน้าคนสนิทไปที่เฮลิคอปเตอร์ซึ่งจะบินไปส่งเขาที่คฤหาสน์ ชักจะเบื่อความรวยของตัวเองแล้วจริงๆ ไม่น่าสร้างสนามกอล์ฟเอาไว้รอบบ้าน ถ้ามันจะทำให้การเดินทางเข้าบ้านตัวเองต้องยากขนาดนี้
นัยน์ตาคมเหม่อมองลงมาด้านล่างเมื่อเฮลิคอปเตอร์บินขึ้น “ดูท่านจะชอบเด็กคนนี้มากเลยนะครับ”
“ใคร? หมายถึงเลน่ะเหรอ” เสียงทุ้มถามเลขาคนสนิท “ชอบสิ น่ารัก เอาใจเก่ง อยู่ด้วยแล้วมีความสุข”
“ท่านยิ้มบ่อยขึ้นมาก” แน่นอน น้องเลน่ะเหมือนเป็นเจ้าก้อนความสุข แค่มองก็ทำให้ยิ้มได้แล้ว
“ก็น่ารักเหมือนแม่เขาเลยนี่”
“ไม่ใช่ชอบเพราะเหมือนคุณซาร่าหรอกนะครับ” ชื่อที่ไม่ได้ยินมานานหากอยู่ในความทรงจำตลอดทำให้คนฟังต้องอมยิ้ม
“ปฏิเสธไม่ได้ ชอบและเลก็เหมือนซาร่ามากจริงๆ นี่” ถ้าด้านหน้าตาแทบจะเหมือนกันเกือบ 90% เลยด้วยซ้ำ
“ท่านคงไม่คิดจะให้คุณเลมาเป็นแม่ใหม่คุณดีนหรอกใช่ไหมครับ”
“แม่ใหม่ดีนเหรอ? คิดอะไรของนายอยู่ปีเตอร์ ชอบเหมือนลูกเหมือนหลาน” เขาว่า “ถึงจะหน้าเหมือนกันแต่นิสัยต่างอยู่บ้าง คนนี้ซนกว่า น่ารัก นั่นแหละข้อที่แตกต่างระหว่างซาร่ากับน้องเล”
“ดีแล้วครับที่ชอบ เพราะได้ข่าวว่าเจเดน ประธานแฮมินตันตั้งใจจะเอาธุรกิจน้ำมันของนายท่านไปเป็นของหมั้นคุณเลให้ลูกชายอยู่นะครับ” คนฟังเลิกคิ้วขึ้นสนใจ “บ่อน้ำมันใหม่ที่เจอซึ่งเป็นงานร่วมกันครั้งสุดท้ายก่อนจะแยกดูเหมือนจะมีปัญหา”
“ฝ่ายไหนล่ะที่มีปัญหา”
“พูดกันตามตรงคือฝ่ายเรา เฟรดดี้คิดไม่ซื่อ เขาอยากฮุบบ่อน้ำมันใหม่เพื่อทำเงินมหาศาลให้แค่ตัวเอง นี่เป็นการฉีกสัญญาธุรกิจร่วมกับแฮมินตันทิ้งแบบดื้อๆ”
“แถมยังโง่ด้วย” แอรอนเสริม เจ้าของใบหน้าหล่อเหลายังดูสงบนิ่งจนเลขาคนสนิทถอนหายใจ
“ท่านยอมเขามากเกินไปหรือเปล่าครับ”
“ฉันไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว ให้เฟรดดี้ทำไป จะรุ่งหรือร่วงก็แล้วแต่มัน” เสียงทุ้มกล่าว “อีกอย่างนายบอกว่าถ้าแฮมินตันชนะ ธุรกิจนี้จะกลายเป็นของหมั้นน้องเลใช่ไหม”
“ดูเหมือนจะใช่ครับ”
“ดี งั้นก็ให้แพ้ไปเถอะ” ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้ม ตรงข้ามกับปีเตอร์ที่ทำหน้าเครียด ให้แพ้ไปนั่นหมายถึงการสูญเสียบริษัทที่มีมูลค่ากว่าล้านล้าน “ฉันพยายามทำมันให้ประสบความสำเร็จเพื่อคนแม่ตั้งแต่ต้น แต่ซาร่าเสียไปแล้ว งั้นก็เอาให้คนลูกอย่างเลนั่นแหละถูกต้องแล้ว”
เฮลิคอปเตอร์หยุดเครื่องเมื่อถึงจุดหมาย ร่างสูงปลดเข็มขัด เดินลงก่อนจะชะงัก เจ้าของใบหน้าคมหันไปสั่งกับคนที่เดินตามหลัง
“ปีเตอร์ ส่งคนไปสืบเรื่องน้องเลให้ฉันด้วย เอาหลังจากที่ซาร่าแต่งงาน ฉันอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น”
“ครับท่าน”
แอรอนพยักหน้าก่อนจะเดินเข้าบ้าน สมองคิดไปถึงประโยคหนึ่งที่ติดหนึบแน่นตั้งแต่ที่ได้ยินร่างบางพูด
‘เลไม่มีพ่อ’
100%
มาต่อลมหายใจ55555555