มาโพสต่อทั้งที เอาให้ยาวๆไปเลย
**********************************************
ตอนที่ 17………………..“ต้องอยากรู้ดิ เพราะว่ากูชอบเมิง”………………….
ผมจำตอนที่ไอ้บาสมันบอกชอบผมได้เป็นอย่างดี และก็จำคำตอบที่ตัวเองตอบกลับไปไปด้วย
.
.
.
.
.
ผมกำลังนั่งนึกไปถึงเหตุการณ์และเรื่องราวระหว่างผมกับไอ้บาสในวันนั้นอยู่ดีๆ ก็มีเสียงจากเพื่อนแถวๆนั้นตะโกนเรียกมา
“อ้าว ไอ้สองคนนั่นน่ะ นั่งจีบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน ยังจีบกันไม่เลิกอีกหรอ” เสียงแจ๋นๆปนเหน่อๆที่เป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนคนนึงดังแว่วมาแต่ไกล เสียงแบบนี้ไม่มีใครเหมือนแน่นอนครับ อินู๋มาลี แน่ๆ
นู๋มาลี ที่มีชื่อจริงว่า รมิดา แล้วจากนั้นชื่ออันไพเราะก็กลายมาเป็น ระมิ แล้วเพี้ยนมาเป็น มะลิ และ มาลีตามลำดับ คุณเธอเป็นผู้หญิงแสนห่ามที่โดนจับให้เป็นคู่กับไอ้อาทมาตั้งแต่สมัย ม.5 เดินเข้ามาแต่ไกล
“แหม อินู๋มาลี มาทันเวลาถือหมอนพอดีเลยนะ กะเวลาเก่งนะเนี่ย มาโกนหัวแฟนเมิงพอดีเลย แล้วนี่มากับใครล่ะ” ผมทักทายเพื่อนเก่า
“โผล่หัวมาได้ด้วยหรอ ไอ้ต๋อง หายหัวไปเลยนะ เมิง พอมาถึงก็ถามกูเป็นชุดเลยนะ แสรดดดด” นู๋มาลีเท้าเอวยืนจังก้าอยู่ข้างหน้าผม จากนั้น คุณเธอก็หันไปเล่นงานไอ้บาส “แล้วอินี่อีกคน กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่บอกเพื่อนฝูงเลยนะ เงียบหายไปเลย ยังจะคบกันอยู่มั๊ยเนี่ย เพื่อนน่ะ”
“กลัวแล้วค๊าบบ แม่” ไอ้บาสยกมือไหว้ท่วมหัว
บรรยากาศแบบนี้ ผมเห็นแล้วก็นึกถึงสมัยเรียนเลยครับ พวกเราอยู่ด้วยกัน เฮฮาด้วยกัน พวกผู้หญิงกับผู้ชายก็มีอินู๋มาลีนี่แหละที่มันเอาตัวเองไปสนิทกับคนทั้งห้อง ทำให้เวลาทำกิจกรรม มันเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้เลยเพราะมันเป็นตัวประสานงานที่ดี แถมจิกงานเนี่ย อันดับ 1 เลยครับ ไม่ได้เจอมันมาตั้งนาน คิดถึงมันจริงๆ
“ถือหมอนอะไรล่ะ กูน่ะจะมาถอยหมอนต่างหาก 5 5 5” อินู๋มาลีพูดเสียงดัง ผมล่ะอายแทนมันจริงๆ ช่างเป็นผู้หญิงที่กล้าพูด กล้าทำอะไรจะขนาดนี้
“เบาๆหน่อย ตลกล่ะ เมิง อยู่ในวัดนะ” ผมเตือนมันด้วยความหวังดี
“เออ กูรู้แล้ว กูก็แค่พูดเล่นน่ะ” อิมาลีมันแก้ตัวน้ำขุ่นๆ
“ต๋อง ไปตัดผมให้อาทกันเหอะ เหลืออยู่ไม่กี่คน” บาสชวนผมพร้อมๆกับฉุดให้ผมลุกตามไป
“แล้วกูล่ะ อิบาส ชวนแต่ต๋องมันนะ กูยืนหัวโด่อยู่เนี่ย ไม่สนใจกูเลย” อิมาลีมันบ่นกระปอดกระแปด ทั้งๆที่ตัวมันก็เดินตามเราสองคนมาติดๆ
ผม ไอ้บาส ไอ้นู๋มาลีเข้าแถวเดินไปตัดผมเพื่อนของผมครับ เห็นไอ้อาทบวชแล้วก็ชื่นใจ ใบหน้ามันสงบนิ่งเหมือนกับที่มันจะต้องเปลี่ยนสถานะจากคนธรรมดาไปเป็นพระสงฆ์ แม่มันดูสดใส มีความสุขและก็ปลื้มใจที่เห็นลูกชายอย่างมันบวชให้ พวกผมก็ได้แต่ยินดีให้เพื่อน
พอตัดผมเสร็จ เหมือนจะเป็นการบังคับกลายๆว่าผมกับไอ้นู๋มาลีต้องเดินตามไอ้บาสไปนั่งตรงที่เดิมของมัน เพราะผมไม่รู้จะหาข้ออ้างอะไรที่จะไปนั่งแยกออกมา ไอ้ชัชยังมองมาที่พวกผมตาเขม็ง อิมาลีที่รักก็ดันสงสัยขึ้นมาอีก
“ใครว่ะ กูไม่เห็นรู้จักเลย เพื่อนพวกเมิงหรอ ไอ้ต๋อง”
“เพื่อนกูเอง ชื่อชัช” ไอ้บาสแนะนำ
“อ๋อออออออออ หวัดดีค่ะ” อินู๋มาลีพยักหน้าพร้อมๆกับรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม ผมว่ามันต้องเดาอะไรๆออกแน่ เพราะไอ้ชัชมันก็แสดงตัวค่อนข้างชัดเจนขนาดนั้น เดาไม่ออกก็ไปสนตะพายไถนาได้แล้ว
พอเรานั่งลง ไม่รู้ทำไมแต่ผมรู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก ผมว่าอิมาลีมันก็เป็นเหมือนกันเพราะมันพยายามจะหาเรื่องคุยสุดชีวิต ทั้งถามผมเรื่องที่ทำงาน (ทั้งๆที่มันไม่เคยสนใจ) ถามเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ (ทั้งๆที่มันก็รู้ว่าผมไม่ค่อยได้ติดต่อใคร ยังเจือกมาถามกู) ขนาดอินู๋มาลีมันเป็นพวกมนุษยสัมพันธ์ดีเลิศนะครับ มันยังรู้สึกว่ามันอึดอัดเลย แสดงว่าเคมีของไอ้ชัชมันเข้ากับพวกผมไม่ได้อย่างแรงเลยจริงๆ
พอไอ้อาทโกนผมเสร็จ แม่ก็เรียกพวกเราให้ไปถ่ายรูปร่วมกัน ผมกับอิมาลีถือโอกาสรีบลุกไปเลยครับ ไม่ไหวจริงๆ มารยาทที่ว่าเคยมีเนี่ย หายหมดเลย ไม่สนใจมันแล้วครับ ผมว่าไอ้ชัชมันทำตัวแย่ชิบเป๋งเลย เพราะมันแย่มากๆที่มางานบวช แต่มานั่งทำหน้าบึ้ง หน้างอ แถมชวนคุยอะไรก็ไม่มีอาการตอบสนองใดๆทั้งสิ้น แล้วมันมาทำไมฟ่ะ มานั่งเฝ้าไอ้บาสเนี่ยนะ อย่างน้อยก็มีอัธยาศัยสักนิดจะไม่ว่าเลยครับ ถ้าไอ้ชัชมันเป็นเพื่อนผมนะ ด่าไปนานแล้ว
“แม่ม นั่งหน้าเป็นตูดเลย ใครไปเหยียบหางมันไว้วะ” อิมาลีพูดอย่างทนไม่ได้ ทันทีที่ผมกับมัน Take off จากเก้าอี้
“เอาน่า เพื่อนไอ้บาสมัน มันคงไม่รู้จักใครมั๊ง ไม่ค่อยสนิทกันก็งี้แหละ” ผมพยายามแก้ต่างให้
ผม นู๋มาลี แล้วก็อาทถ่ายรูปร่วมกันอยู่ดีๆ ไอ้บาสก็วิ่งเข้ามาแทรกแล้วก็โวยวายหาว่าไม่ยอมเรียกมัน ก็ใครจะกล้าล่ะครับ มี รปภ. ส่วนตัวขนาดนั้น ผมไม่อยากที่จะต่อล้อต่อเถียงอะไรมัน เลยทำเฉยๆดีกว่า ปล่อยให้นู๋มาลีมันเถียงไอ้บาสต่อไป
ผมอยากจะรู้เหมือนกันนะครับ ว่าถ้าลักษณะแบบไอ้ชัชเนี่ย มันรู้เรื่องราวที่ไอ้บาสเคยบอกชอบผมเนี่ย อยากเห็นหน้ามันเหมือนกันนะว่ามันจะทำหน้าแบบไหน
=========================================================
.
.
.
.
.
“ไม่ว่ะ เมิงจะชอบใครก็เรื่องของเมิงดิ กูจะไปอยากรู้ทำไม” ตอนนั้นอย่างที่เคยบอก ผมใสซื่อบริสุทธ์ ไม่เคยคิดกับไอ้บาสเกินเลยไปมากกว่าเพื่อนเลย อาจจะมีแค่หวั่นไหวใจนิดหน่อย (ตอนเห็นห่อหมก หุหุ) แต่ไม่ได้คิดอะไรกับมัน
“ต้องอยากรู้ดิ เพราะว่ากูชอบเมิง”
.
.
.
.
คำพูดคำนั้นเล่นเอาผมอึ้ง ทึ่ง เสียวกันไปเลย ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนจะหยุดหายใจไปดื้อๆ มันรู้สึกหวิวๆแบบบอกไม่ถูก นี่ผมหูฝาดไปหรือเปล่า คนอย่างไอ้บาสเนี่ยนะจะมาบอกชอบผม รูปหล่อพ่อรวยอย่างมันเนี่ยนะ สาวๆกรี้ดมันจะตาย
“อย่ามาล้อกูเล่นเลย มุขเมิงเนี่ยใช้ได้เลยว่ะ กูอึ้งแดกเลย วันหลังกูเล่นมั่ง”
“กูไม่ได้ล้อเล่นนะ ต๋อง กูชอบเมิงจริงๆ”
“เป็นไรมากป่ะเนี่ย ไอ้บาส เมากุ้งเผาหรือไง 555 พูดกับกูซะเลี่ยนเลยว่ะ” ผมพยายามที่จะเปลี่ยนประเด็น พร้อมกับเดินหนีมันไป
เพราะผมกลัวใจตัวเองเหมือนกัน กลัวที่จะตอบรับมันไปง่ายๆอย่าที่ใจผมอยากทำ กลัวว่ามันจะแค่พูดเล่นไปแค่วันๆให้ผมจะเสียใจในภายหลัง กลัวว่าผมจะทำให้แฟนผมเสียใจกับคำตอบที่ผมจะตอบกลับไป ทั้งๆที่เหมียวมันไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ไม่รู้สิครับ ความรู้สึกมันตีกันมั่วไปหมดจนผมไม่สามารถบรรยายออกมาได้
ผมรู้สึกดีๆกับมันนะครับ ยอมรับเลยว่าไม่ใช่ว่าผมไม่รู้สึกอะไรกับมันนะครับ ผมยอมรับว่าผมมีความรู้สึกแปลกๆกับผู้ชายมานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรกับมันมาก คงเป็นเพราะว่าที่ผ่านมายังเด็กอยู่มั๊งครับ ฮอร์โมนในคงยังไม่พลุ่งพล่านเท่าไหร่ ความรู้สึกกับเพื่อนๆที่ผ่านมามันเลยเหมือนกับเป็นเพื่อนสนิทกันมากกว่า
แต่กับไอ้บาส ผมรู้สึกใจหวิวๆเวลาที่มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆเวลาปลุกผม ตื่นเต้นเวลาที่ขาของเราบังเอิญโดนกันตอนไปดูหนัง ดีใจเวลาที่มันโทรมาคุย รู้สึกเหมือนไม่อยากให้ถึงโรงเรียนเวลาที่เดินกับมันในตอนเช้า เพราะอยากเดินอยู่กับมันนานๆกว่านี้ เวลาเราคุยกัน มันเหมือนจูนกันติดโดยที่ไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรมากมายที่จะสรรหาเรื่องมาคุยกัน ความรู้สึกอีกหลายล้านอย่างที่ผมคิดเวลาที่ผมอยู่กับมัน
“ต๋อง ต๋อง ทำไมเงียบไปล่ะ” บาสเดินตามผมมา “กูไม่ได้ล้อเล่นนะ เรื่องแบบนี้กูไม่ล้อเล่น”
สีหน้าและสายตาที่มันมองผม ทำให้ผมต้องหันกลับมาคิดถึงสิ่งที่มันเคยทำให้กับผม หรือว่ามันจะชอบกูจริงๆวะ ผมคิดกับตัวเอง จริงหรอว่ะเนี่ย ไอ้ต๋อง ผมล่ะอยากตบหน้าตัวเองซะจริงๆ สักทีสองทีจะได้รู้ว่าผมไม่ได้ฝันไป
“อะไรของเมิงเนี่ย เมิงกับกูเป็นผู้ชายเหมือนกันนะเว้ย” ผมลองใจตอบกลับไป อยากจะรู้เหมือนกันว่ามันจะตอบว่ายังไง
“แล้วไงอ่ะ เป็นผู้ชายเหมือนกันแล้วไง”
นั่นดิ เป็นผู้ชายเหมือนกัน แล้วไง คำตอบง่ายๆของมันทำให้รู้ว่า มันไม่สนใจอะไรทั้งนั้น แล้วไงล่ะ ง่ายดีเนอะ แต่กับเพื่อนคนอื่นๆล่ะ กับคุณนายแม่ผมล่ะ ถ้ารู้เรื่องนี้แล้วจะเป็นไงล่ะ มันไม่คิดเลยใช่มั๊ย ผมเริ่มอารมณ์เสียกับคำตอบที่ดูเหมือนไม่คิดอะไรของมัน
“พูดง่ายดีเนอะ เมิง ไอ้แล้วไง ก่อนพูดน่ะ คิดซะบ้างดิ”
“กูต้องคิดอะไรอีก ก็ในเมื่อกูรู้ตัวกูเองว่า กูชอบเมิง แล้วกูก็คิดว่าเมิงเองก็คงคิดเหมือนๆกัน แล้วเมิงจะสนใครทำไมวะ”
“ไอ้ใครที่ว่าเนี่ย รวมไปถึง พ่อแม่เราด้วยรึเปล่า” ผมเริ่มเสียงดัง “แล้วไหนจะคนอื่นอีกล่ะ พวกไอ้แวน ไอ้อาท ไอ้เอ มันจะรู้สึกยังไงที่จู่ๆ เพื่อนของมัน 2 คนมาหวานใส่กันเนี่ย กูว่าตอนนี้ที่พวกมันแซวๆกันเพราะพวกมันคิดไม่คิดถึงน่ะสิ แล้วถ้าพวกมันถาม เมิงจะให้กูตอบพวกมันว่าไง”
ท่าทางของผมคงทำให้ไอ้บาสอึ้งๆไปเหมือนกัน มันนิ่งไปเหมือนจะรอฟังผมพูดต่อ
“แล้วยังอิเหมียวล่ะ มันเป็นแฟนกูอยู่นะเว้ย เมิงจะให้กูบอกมันว่าอะไร เราเลิกกันเหอะ เพราะตอนนี้ต๋องจะไปคบกับบาสยังงั้นอ่ะหรอ”
ผมเห็นไอ้บาสกำมือแน่น ผมชักไม่แน่ใจแล้วสิว่ามันเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามจะอธิบายอยู่หรือเปล่า
“สุดท้ายเรื่องมันก็มีแค่นี้แหละ ก็แค่เรื่องเหมียวแฟนเมิง เมิงไม่ต้องมาทำเป็นอ้างคนโน้น คนนี้หรอก ถ้าเมิงชอบกู รู้สึกอย่างเดียวกันกับกู เมิงก็คงไม่คิดมากอย่างงี้หรอก ที่กูพูดกับเมิงไปเมื่อกี้ เมิงลืมๆมันไปเหอะ”
พอพูดจบไอ้บาสมันก็เดินกลับไปที่รถ ปล่อยให้ผมยืนอยู่ตรงนั้น ยืนคิดในสิ่งที่มันพูดออกมา สรุปแล้วนี่เป็นความผิดผมที่ผมคิดมากไปหรอครับ มันผิดหรอครับที่กังวลกับคนรอบข้างก่อนที่จะพูดหรือบอกคำตอบออกไป ผิดด้วยหรอที่ผมต้องคิดถึงความรู้สึกของคนรอบๆข้าง
นี่ผมผิด หรือ มันไม่เข้าใจอะไรเลยกันแน่