บทที่ 23: จากนี้จะมีเพียงเจ้า[1]
ราตรีนั้นช่างเร่าร้อนไม่ต่างจากพิษไข้ที่กัดกินร่างกายของซิ่นเฉิง แม้จะรู้ดีว่าร่างกายของอีกฝ่ายไม่สมบูรณ์ดีนัก หากฝืนบังคับให้ออกแรงมากก็ย่อมมีแต่ผลเสีย การพักผ่อนจะเป็นสิ่งที่สมควรทำมากกว่า แต่ถึงจะรู้เช่นนั้น เทียนอี้ก็มิอาจหักห้ามใจตนเองได้แม้แต่น้อย เมื่อได้เชยชมเรือนร่างนั้นอย่างลึกซึ้งเป็นครั้งแรก ครั้งที่สองและสามย่อมตามมา ไม่นาน มนุษย์หนุ่มก็ออกอาการอ่อนล้าให้เห็น จนสุดท้ายแล้ว เทพอสูรสุนัขป่าก็จำต้องปล่อยมือออกจากร่างนั้นอย่างเสียดายด้วยไม่ต้องการให้ซิ่นเฉิงป่วยไข้ไปมากกว่านี้
อรุณรุ่งก้าวย่าง ความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างเทียนอี้และซิ่นเฉิงก็เป็นอันถูกเปิดเผย ไม่มีใครเอ่ยปากพูดถึงเรื่องนี้ แต่กลิ่นสาปสางของเทพอสูรสุนัขป่าที่อบอวลอยู่ในกายของซิ่นเฉิงนั้นคือสิ่งที่เล่าเรื่องราว เจี้ยนสือถึงกับปั้นสีหน้าน่ากลัวอย่างห้ามไม่อยู่ เขาไม่พอใจเป็นอย่างมากเมื่อคิดไปว่าซิ่นเฉิงจะต้องอยู่ใต้ร่างของสหาย ความหัวเสียที่สูญเสียสิ่งที่หวงแหนไปให้ผู้อื่นครอบครองพานให้เขาระบายอารมณ์ใส่กับทหารผู้ใกล้ชิดเสียหลายราย อารมณ์ไม่คงที่ของแม่ทัพใหญ่น่ากลัวว่าจะทำให้ทัพปรวนแปรยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้ทำสิ่งใดได้มากไปกว่านี้ ในเมื่อซิ่นเฉิงเป็นผู้ยินดี คนที่ไม่ได้ครอบครองเช่นเขาก็จำต้องยอมพ่ายแพ้ พร้อมกับบอกตนเองนับครั้งไม่ถ้วนว่าคนที่เขารักใคร่นั้นคือหลิวซู หาใช่ซิ่นเฉิง การที่เทียนอี้มีใจปฏิพัทธ์กับซิ่นเฉิงเป็นสิ่งที่ดีแล้ว เพราะหากหลิวซูกลับมาเมื่อไร เขาจะได้ครองรักกับยอดดวงใจโดยไร้ซึ่งมารขัดขวาง
ขณะที่เมื่อพ่อบ้านเหลียงกับหมิงจูได้รับรู้เรื่องนั้น ทั้งสองก็พากันนิ่วหน้าจนใบหน้าดำมืดไปเสียหลายส่วน
สิ่งนั้นคืออาเพศ!
พลันอดตัดพ้อในใจไม่ได้ว่าทั้งที่อุตส่าห์ช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถให้ทั้งสามหลุดพ้นจากการลงทัณฑ์ของสวรรค์ แต่สุดท้ายแล้วก็ไม่อาจหนีพ้นด้วยไม่อาจสลัดบ่วงที่รัดคอออกได้ มิหนำซ้ำยังจะทำให้รัดแน่นมากขึ้นไปอีก
เกินกว่าจะช่วยเหลือได้แล้ว หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามลิขิตสวรรค์ แต่ก็มีเพียงพ่อบ้านเหลียงและหมิงจูเท่านั้นที่คิดว่าสิ่งนั้นคืออาเพศ สำหรับเทียนอี้ ผูกสัมพันธ์หนึ่งเดียวคือความน่าหลงใหล ตั้งแต่ราตรีนั้น เขาก็มิอาจห่างกายซิ่นเฉิงได้เลยแม้แต่ครู่เดียว เมื่อจำต้องเดินทางก็คอยควบม้าเทียบเคียงข้างไม่ห่าง ยามหยุดพักก็นอนคู่เคียงหลับใหล เป็นที่น่ารำคาญใจให้กับเทพอสูรบางตนยิ่งนัก แต่เขาก็หาได้สนใจ นอกเสียจากจะกระทำในสิ่งที่ตนประสงค์เท่านั้น
ราตรีนี้ก็เช่นกัน ครั้นการเดินทางได้สิ้นสุดลง เขาก็เตรียมตัวหมายจะขับกล่องซิ่นเฉิงให้หลับใหลในอ้อมอก ทว่า...หากปล่อยให้เข้าสู่ห้วงนิทราโดยไม่ได้สัมผัสเรือนร่างกันอย่างลึกซึ้งก็ช่างน่าเสียดาย เขาจึงจัดการกลืนกินอีกฝ่ายด้วยความละโมบ ซิ่นเฉิงเองก็หาได้ปฏิเสธ ยินยอมเสพสมร่วมอภิรมย์ตามประสาชายหนุ่มวัยฉกรรจ์
การร่วมรักผ่านไปราวสามครั้ง ร่างกายของซิ่นเฉิงอ่อนล้าจึงจำต้องล้มตัวลงนอน สิ้นสุดการเริงรักกับอีกฝ่ายเพียงเท่านี้ หากแต่เทพอสูรผู้นั้นกลับยังไม่พอเพียง ครั้นเห็นมนุษย์หนุ่มนอนตะแคงหันหลังให้ก็ขยับเข้าไปตระกองกอด อันที่จริงคราแรกก็หมายจะให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน แต่เมื่อได้กลิ่นกายยาหอมหวนแล้วก็อดใจไม่ไหวที่จะออดอ้อน
“เฉิงเฉิง...”
เจ้าหมาครางเรียกพร้อมกับซุกใบหน้าเข้าที่หลังต้นคอ ซิ่นเฉิงที่เคลิ้มเกือบจะหลับอยู่แล้วเมื่อครู่นี้ถึงกับนิ่วหน้า
เรียกอย่างนี้คงจะประสงค์สิ่งใดอยู่แน่!
ชายหนุ่มรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณ ซึ่งก็จริงอย่างที่คาดคิด เมื่อไม่ตอบ เทียนอี้ก็สอดฝ่ามือเข้าไปใต้อาภรณ์ ลูบไล้ยังหน้าท้องอีกฝ่าย ขณะที่จมูกและปากก็คลอเคลียอยู่ที่ซอกคอคนในอ้อมแขนไม่ห่าง ทำเอาซิ่นเฉิงถึงกับต้องแหวเสียงขุ่นออกมา
“เมื่อครู่ก็ร่วมรักกับเจ้าไปหลายคราแล้ว ยังไม่พออีกหรือไร”
เทียนอี้ชะงักไปเล็กน้อย ใช่... เขายังไม่พอ ยิ่งคิดว่าอีกไม่นาน ซิ่นเฉิงก็จะจากไป เขาก็อยากจะตักตวงความสุขนี้ไว้ ผู้ใดจะหาว่าละโมบหรือมากราคะก็ช่าง เขาต้องการแต่ร่างกายและไออุ่นจากซิ่นเฉิงเท่านั้น
“อีกครั้งเดียว”
ปากพึมพำต่อรองออกมาเพราะรู้ดีว่าซิ่นเฉิงจะต้องปฏิเสธแน่ ทว่าการต่อรองไม่เป็นผลเมื่ออีกฝ่ายปัดมือออก แล้วดันตัวขึ้นนั่ง
“ไข้เพิ่งจะหาย อีกทั้งยังเดินทางมาทั้งวัน ถูกเจ้าเชยชมครั้งเดียวยังพอทนเพราะข้าเองก็ต้องการให้เจ้ากอด แต่หลายครั้งหลายคราไม่หยุดหย่อน มิหนำซ้ำยังไม่ให้ข้าพัก จะได้ใจเกินไปแล้วเจ้าหมา”
เทียนอี้ดันตัวลุกขึ้นมานั่งบ้าง ใบหูลู่ตกเมื่อถูกตำหนิ แต่ปากก็ยังแก้ตัว
“ก็เจ้ายั่วยวนข้า”
ซิ่นเฉิงถึงกับสบถเสียงลมออกมา
ยั่วยวนหรือ? พูดจาผายลมอันใดกัน ข้าก็นอนของข้าเฉยๆ!
อยากจะก่นด่านัก หากแต่ทำเพียงยื่นมือไปดีดจมูกเปียกชื้นของคนตรงหน้าเสียเต็มแรง
“อย่ามาโทษข้า เจ้าหน้าขน”
เทียนอี้นั่งนิ่ง จ้องมองซิ่นเฉิงด้วยแววตาเว้าวอนด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายมักจะพ่ายแพ้ให้กับท่าทางนี้ของเขา ทว่า...ซิ่นเฉิงใจแข็ง เขารู้ดีว่ากำลังถูกตะล่อม จึงพูดออกมาอีก
“ไม่ต้องมามองข้าเช่นนั้น วันนี้ข้าเหนื่อย จะนอน”
จากนั้นก็ทิ้งตัวลงนอน หันหลังให้ราวกับไม่สนใจ ขณะที่เทียนอี้นั่งนิ่งอยู่อย่างเดิม
แรงกดดันมหาศาลจากคนทางด้านหลังทำให้ซิ่นเฉิงไม่อาจข่มตาหลับ หงุดหงิดใจด้วยรู้สึกได้ว่าถูกเทพอสูรสุนัขป่าจ้องมองไม่วางตา อีกทั้งยังเป็นสายตาเว้าวอน ครั้นหันไปก็เห็นว่าเทียนอี้ยังคงนั่งสลดอยู่อย่างนั้น สุดท้ายแล้ว คนใจแข็งในตอนแรกก็จำต้องดันตัวขึ้นนั่งอีกคราแล้วโพล่งออกไป
“เออ! ข้ายอมเจ้าแล้ว แต่อีกครั้งเดียวเท่านั้นนะ ข้าจะได้นอน”
เทียนอี้ยกยิ้มกว้างออกมา ไม่เว้นแม้แต่ดวงตาที่หยักยิ้มไปด้วย เป็นรอยยิ้มที่น่าเอ็นดูที่สุดเท่าที่ซิ่นเฉิงเคยเห็นมา อีกทั้งใบหูที่ลู่ลงก็ตั้งชันขึ้น เมื่อมองไปยังหาง... กระดิกไปมารุนแรง เก็บอาการไม่อยู่เลยทีเดียว
เจ้าหมาโง่...
คนมองหัวเราะในลำคอออกมา แม้ปากจะปฏิเสธ แต่ในใจกลับน้อมรับความโหยหาของเทียนอี้อย่างเต็มที่ ด้วยรู้ดีว่าใจของตนก็รักใคร่อีกฝ่ายเพียงใด ถึงจะไม่เคยพูดออกไป ทว่าการกระทำก็ค่อนข้างชัดเจน กระนั้นเทียนอี้ก็ไม่เอ่ยถามคาดคั้นให้ต้องพูดออกมาด้วยรู้ว่าอีกไม่นานก็ต้องจากกันตามปรารถนาของซิ่นเฉิง ดังนั้นเขาจึงขอตักตวงความสุขให้มากเท่าที่จะทำได้ในยามนี้