เสน่หา...รักเอย ๒๕
“สรุปตอนนี้มึงก็ต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมให้พ่อมึงลงโทษสินะ ว่าที่พ่อลูกอ่อน นี่กูกำลังจะได้เป็นอาคนตั้งแต่ยังไม่บรรลุนิติภาวะเลยหรือวะ” กษิดิศเอ่ยขึ้นหลังฟังเรื่องราวจนจบ อดจะหลุดหัวเราะออกมาเบา ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นสภาพเสือถูกถอดเขี้ยวเล็บ ผจญความลำบากนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำเหมือนจะเป็นจะตาย สำหรับคนอื่นอาจเล็กน้อย แต่สำหรับคุณชายที่มีรถโรลส์-รอยซ์ขับไปส่งโรงเรียนตั้งแต่อนุบาล ดูจะหนักหนาไม่ใช่เล่น
“เชี่ยเกรต มึงไม่ต้องมาเยาะเย้ยกูเลย” อัครวินท์ตาขุ่น อาศัยว่าสนิทกันมาตั้งแต่อนุบาล เวลาเขาออกนอกลู่นอกทางเจ้านี่ก็จะคอยเตือนอยู่ห่าง ๆ มาตลอด ซึ่งอัครวินท์ก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้างไปตามความคึกคะนอง แต่เวลาเกิดปัญหากษิดิศก็ได้ชื่อว่าไม่เคยทิ้งเพื่อน เพราะอย่างนั้นอัครวินท์จึงไว้วางใจเพื่อนคนนี้กว่าใคร
“แม่ง กูไม่เคยถูกใครฉีกหน้าอย่างนี้มาก่อนเลยนะเว้ย ตอนกลางคืนยังว่าง่ายยอมให้กอด ตื่นเช้ามาหายต๋อม หอบลูกในท้องย้ายที่อยู่หนีกูเฉยเลย กูนี่งงดิ เหมือนถูกกานต์ฟันแล้วทิ้ง นี่ถ้าวางเงินไว้ตรงโคมไฟหัวเตียงหน่อยนะใช่เลย ดีนะกานต์วางแค่ดอกไม้ไว้ให้ข้างหมอน เชี่ยเกรต อย่าหัวเราะกูดิวะ กูโดนเมียฟันแล้วทิ้งนะเว้ย กูซีเรียส” อัครวินท์หน้าบูดบึ้ง นัยน์ตาขุ่นกว่าเก่าที่คราวนี้เพื่อนรักระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่นจนแทบลงไปกุมท้องตัวงอ ไม่ได้นิ่งฟังนิ่ง ๆ ถนอมน้ำใจกันเช่นทีแรก
“โอ๊ย เชี่ยวิน กูจี้ว่ะ ขอกูขำมึงหน่อยเหอะ ก็ช่างคิดได้นะว่าเมียฟันแล้วทิ้ง กูอยากให้กานต์มาได้ยินกับหูจริง ๆ” ใบหน้านิ่งสง่างามแบบผู้มีชาติกำเนิดดีหลุดการควบคุมเมื่อได้ฟังที่อีกคนเล่า กษิดิศละอยากจะให้รพีกานต์มาได้ยินคำกล่าวหานี้ด้วยตัวเองจริง ๆ อยากรู้ว่าคนตัวเล็กจะทำหน้าแบบไหนตอนได้ยิน ยิ่งคิดก็ยิ่งขำ กษิดิศขำตัวโยน มือกำกำปั้นทุบโซฟาด้วยความบ้าจี้ อัครวินท์เลยปล่อยให้ขำจนพอใจ ไม่วายยกเท้าเตะขาเป็นบางหนเมื่อเห็นว่าไม่หยุดหัวเราะเสียที
“สรุปตอนนี้มึงก็ต้องรอ เพราะไม่รู้กานต์ไปหลบอยู่ที่ไหน มึงก็หัดปรับตัวนั่งรถไฟฟ้าบ้างก็ได้นี่หว่า หรืออยากไปไหนโทรหากูเอาก็ได้ หรือเปิดเทอมแล้วยังหาไม่เจอ ให้กูไปค้างเป็นเพื่อนไหม จะได้นั่งรถกูมาเรียนด้วยกัน มันก็ไม่ได้ผิดข้อตกลงของพ่อมึงนี่” กษิดิศเสนอแนวทางให้หลังหายขำหน้าดำหน้าแดง
“กูเกรงใจว่ะ มึงก็ต้องอยากมีเวลาของตัวเองบ้างสิวะ จะให้มาเป็นสารถีขับรถพากูไปนั่นไปนี่ อย่างกับแฟนกันไปได้ ช่างเหอะ ปิดเทอมกูนอนเล่นอยู่บ้านเอาก็ได้วะ อีกอย่างมึงเรียนคนละคณะกับกู กูไม่อยากรบกวนเวลามึงว่ะ” คนไม่เคยพึ่งใครเอ่ยอย่างละอายปาก พอจะรู้ตัวว่าก่อเรื่องก็ควรรับผิดชอบเอง จึงไม่อยากลากเพื่อนมาลำบากไปด้วย
“แน่ใจว่าจะไม่เบื่อตายไปก่อน ปิดเทอมตั้งสามเดือน แพลนซิ่งรถ เที่ยวเมืองนอก แล้วอะไรอีกหลายอย่างก็ต้องพับเก็บหมดสิแบบนี้”
“เออ” อัครวินท์ตอบสั้น ๆ ด้วยความเซ็ง
“อีกอย่างมึงเป็นเพื่อนกู ไม่มีคำว่ารบกวนหรือลำบากหรอก มันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงอะไร ยืมรถกูไปขับก่อนสักคันไหม”
“ไม่ละ ขอบใจว่ะ กูรู้ว่ามึงรักรถเหมือนลูกทุกคัน แต่กูรับปากพ่อไว้แล้ว สัญญาลูกผู้ชาย กูไม่อยากลักไก่ลับหลังว่ะ”
“มึงมีความคิดก็ดี ถ้างั้นระหว่างรอหาตัวกานต์กับลูกเจอ มึงก็ลองพิสูจน์ตัวเองให้พ่อเห็นซีวะ ปิดเทอมตั้งนาน มึงก็ลองเข้าบริษัทไปช่วยงานแบ่งเบาพ่อมึงบ้าง ปู่มึงเกษียณตัวเองยกงานให้พ่อมึงรับผิดชอบ คงจะเหนื่อยน่าดู ฟื้นฟูสัมพันธภาพพ่อลูกหน่อยเป็นไง ทุกบาททุกสตางค์ที่หาได้ อาทัชเขาก็หามาให้มึงผลาญไม่ใช่หรือ” กษิดิศพูดตรง ๆ จากที่พอจะรู้เลา ๆ ว่าระหว่างอัครวินท์กับบิดานั้น ดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ลงรอยกันอยู่
“ห่าเกรตแม่งเทศน์กู” อัครวินท์ฟึดฟัด แต่ไม่ใช่ว่าไม่ยอมฟังเสียทีเดียว อย่างน้อยเพื่อนคนนี้ก็ไม่เคยคิดร้าย ตอนอนุบาลยังเคยแบ่งกางเกงในให้ใส่หลังสุดหล่อฉี่รดกางเกงในจนร้องไห้จ้า
“กูพูดจริงเว้ย กูนี่พ่อถีบให้ไปทำงาน ให้หัดหาเงินใช้เองตั้งแต่เริ่มขึ้นม.ปลายละ ทำพาร์ตไทม์กว่าจะได้แต่ละบาท เลือดตาแทบกระเด็น แต่มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี กูเข้าใจอะไรมากขึ้นว่ะ”
“เข้าใจอะไรของมึง หลักการมาเชียว”
“ก็เข้าใจว่านิยามการใช้ชีวิตคุ้มของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันสิวะ ถ้ามึงคิดว่ามึงกิน เล่น เที่ยวกลางคืน ลากสาวมาปี้ ตื่นมาเจอคนไม่รู้จักแล้วก็แยกย้าย มันคือใช้ชีวิตคุ้ม งั้นคนที่เขาไม่ชอบแบบนี้ เขาก็ใช้ชีวิตไม่คุ้มหรือวะ กูว่าการใช้ชีวิตคุ้ม คือมึงใช้เวลาทำอะไรก็ได้ที่มึงมีความสุข ไม่จำเป็นต้องทำตัวเสเพล เพลย์บอยอะ ไม่แน่นะ ถ้ามึงตั้งใจทำตัวให้ดีขึ้น กานต์อาจจะกลับมา”
“แล้วกูจะทำได้หรือวะ โลโก้เพลย์บอยแปะหน้าผากกูหราอยู่เนี่ย”
“มึงไม่เริ่มแล้วมึงจะรู้ได้ไง เริ่มจากมึงไปช่วยงานพ่อมึงนี่แหละ ครูที่ดีที่สุด พระประจำบ้านของมึงเนี่ย คนอื่นเข้ามาผลาญเงินมึง พ่อมึงเขามีแต่ให้ มึงเคยซื้ออะไรให้เขาอย่างเปย์ให้สาวบ้างไหมวะ ไอ้เพื่อนเวร”
“เชี่ยเกรตพูดซะกูจุก เถียงไม่ได้เลยมึง”
“กูพูดให้มึงคิดตาม ไม่ได้พูดให้มึงมาเถียงกู กูเสียพ่อกูไปแล้ว กลับมาไม่ทันดูใจ พ่อกูก็สิ้นลมไปก่อน ถึงอยากจะเตือนมึงไว้ รักกันตอนที่ยังหายใจเถอะว่ะ อาทัชรักมึงมากนะเว้ย รักมึงกว่าใคร”
“เชี่ยเกรตแม่ง กูก็รู้จะเว้ย ว่ากูทำตัวไม่ดี พ่อกูบอกสอนอะไร กูจะต้องรั้นทำตรงข้ามมันทุกอย่าง กูโกรธเขา รังเกียจเขา เลยงี่เง่าประชดใส่มันซะทุกเรื่อง แต่ตอนนี้กูกลับเป็นเสียเอง คิดแล้วก็ละอาย พ่อลงโทษกูแค่นี้ยังน้อยไป”
“ยังไม่สายหรอก อย่างน้อยพ่อมึงเขาก็ยังมีชีวิตอยู่ เขาช่วยมึงตามหากานต์ ยอมรับสิ่งที่มึงทำผิดพลาดก็แสดงว่าเขารักมึงมาก แล้วมึงล่ะ รักเขามากพอไหม ตามเจอกานต์กับลูกก็ใช่ว่าเขาจะยอมกลับมา ถ้ามึงไม่พิสูจน์ให้เขาเห็นว่าทุกอย่างจะไม่วนลูปเดิมอีก มึงคิดจะทำอะไรเพื่อลูกที่กำลังจะเกิดมาได้หรือยังวะ”
เกิดความเงียบขึ้นชั่วขณะ กษิดิศไม่พูดอะไรต่อ ปล่อยให้เพื่อนได้คิดเอง ตัวเขานั้นสูญเสียบิดาไปเมื่อเรียนจบมัธยมปลายพอดี หลายสิ่งที่เกิดขึ้นตอนครอบครัวสูญเสียเสาหลักไปทำให้ชายหนุ่มเป็นผู้ใหญ่ มีความคิดเกินตัว อัครวินท์นิ่ง คิดถึงความรักที่บิดามีให้ นึกถึงคำพูดถากถางมากมายที่ออกจากปาก ไม่มีอะไรจะทำให้เสียใจเท่าการทำร้ายกันเองในครอบครัว แล้วถ้าวันหนึ่งกรรมจะสนองกรรม สามแฝดจะทำอย่างนี้กับเขาบ้าง แค่คิดก็ปวดร้าวแล้ว ในสิ่งที่เขาทำกับพ่อ
“ขอบใจว่ะเกรต กูจะพยายามแก้ไขตัวเอง”
“ไม่เป็นไร กูเห็นมึงเป็นเพื่อน ไม่อยากให้ทิฐิมันบังตาจนสูญเสียไป มึงก็เห็น ตอนพ่อกูเสีย กูเป็นยังไง”
“กูจะพยายาม”
“เออ เดี๋ยวกินข้าวด้วยกัน สาว ๆ แม่บ้านเห็นมึงมา ป่านนี้ลงครัวช่วยกันแล้ว ไอ้ห่า ทำพี่เลี้ยงกูเสียคนหมด”
“ก็คนมันหล่อ แล้วแม่มึงไม่อยู่หรือวะ”
“ไปดูงานต่างประเทศน่ะ พ่อไม่อยู่ แม่กูก็เหนื่อยหน่อย กูช่วยเขาเท่าที่ช่วยได้ นี่ก็อยากเรียนจบไว ๆ จะได้มาช่วยแบ่งเบาภาระ
ของแม่ว่ะ ไปเถอะ ไปกินข้าว” สองหนุ่มลุกจากโซฟาเดินตรงไปห้องอาหาร เป็นอย่างที่กษิดิศบอกไว้ บรรดาสาวใช้สาว ๆ ต่างส่งยิ้มให้อัครวินท์ซึ่งชายหนุ่มก็เพียงยิ้มตอบตามมารยาท
อุ !
“วินเป็นอะไรวะ”
“กู !” ไม่ทันขาดคำ ร่างสูงใหญ่ก็รีบพุ่งถลาพรวดพราดไปยังห้องน้ำ อัครวินท์โก่งคออาเจียนเพียงแค่ได้กลิ่นเหม็นฉุนของอาหารบางชนิดบนโต๊ะ
“วินไม่สบายหรือวะ” กษิดิศเคาะประตูถาม เสียงอาเจียนเงียบลงตามด้วยเสียงกดชักโครก จากนั้นประตูจึงเปิดออกให้เห็นใบหน้าซีดเซียวยืนสะโหลสะเหล
“ไม่รู้เป็นอะไรว่ะ เป็นมาหลายเดือนแล้ว ไปหาหมอก็ไม่หาย กูก็ไม่ได้แพ้อะไรนะเว้ย แต่มันเหม็นกับข้าวบางอย่างน่ะ นี่ดีขึ้นแล้วนะ ช่วงสองสามเดือนก่อนแทบจะขนหมอนผ้าห่มไปนอนในห้องน้ำ”
“อ๋อ ที่ช่วงนั้นมึงหน้าซีด กินอะไรก็อ้วก วัน ๆ ร้องหาแต่ของกินเปรี้ยว ๆ ใช่ไหม หึหึ ไอ้พ่อลูกอ่อนที่แท้ก็แพ้ท้องแทนเมีย อาการนี้พี่กูเคยเป็น แม่งแพ้ท้องแทนพี่สะใภ้”
“มันมีด้วยหรือวะ แพ้ท้องแทนเมียนี่”
“มีดิ พี่กูเนี่ย อาการเหมือนมึงเด๊ะ ๆ พี่สะใภ้กูตั้งท้องไม่มีอาการอะไร แต่พี่กูนี่อ้วกเช้าอ้วกเย็น แทบนับญาติกับยาดม มะม่วงเอย มะปรางเปรี้ยว ๆ ตะลิงปลิง เฮียแกเหมาหมด ฟาดคนเดียวเรียบ”
“มึงพูดซะกูอยาก มีอะไรเปรี้ยว ๆ บ้างไหมวะ” อัครวินท์ได้ยินถึงกลับกลืนน้ำลายเอ่ยปากถามหา
“เออ เดี๋ยวกูบอกแม่บ้านเก็บกับข้าวแล้วทำยำ กับต้มยำมาให้ แล้วเดี๋ยวให้ไปดูผลไม้เปรี้ยว ๆ มาถวายคุณชาย ไอ้วินเอ๋ย เสือสิ้นลายเพราะแพ้ท้องแทนเมีย มึงนี่เข้าใจหาเรื่องมาให้ขำ” กษิดิศหัวเราะพลางตบบ่าพาเพื่อนเปลี่ยนไปนั่งรอรับมื้อเที่ยงในสวนแทน เพราะเดี๋ยวคุณชายจะเหม็นกลิ่นอาหารขึ้นมาอีก
คนหนึ่งแพ้ท้องแทน ส่วนอีกด้านนั้นขี้เซาขยันพาลูกนอน
“กานต์ลูก พี่ไทน์มาหาแน่ะ” รพินทร์เขย่าปลุกคนท้องขี้เซาเบา ๆ นัดกันว่าจะไปเยี่ยมหาครอบครัวพี่ชายวัยเยาว์ คนท้องก็ดันง่วงผล็อยหลับไปบนเก้าอี้นอนหวายริมหน้าต่าง รพินทร์จึงปล่อยให้นอนไปก่อน กะว่าพอรพีกานต์ตื่นแล้วค่อยพาลูกไป แต่ทางนั้นกลับเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยียนเสียก่อน รพีกานต์ลืมตื่นสะลึมสะลือ มือปิดปากหาวหวอดพลางลุกขึ้นบิดขี้เกียจอย่างเกียจคร้าน ลมเย็นอากาศดี นอนรอบิดาเข้าห้องน้ำอยู่ดี ๆ ก็เผลอหลับ รพินทร์มองคนขี้เซาด้วยความเอ็นดู มือเกลี่ยปอยผมปรกหน้าให้เบา ๆ
“ลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตา ผัดแป้งนวล ๆ นะลูกนะ พี่ไทน์พาแฟนมาด้วยนา กานต์อยากเห็นคุณภีมไม่ใช่หรือลูก เดี๋ยวพ่อออกไปรับหน้าก่อน อย่านานนักนะ พี่เขารอ” ตาสว่างขึ้นมานิดหน่อยเมื่อได้ยินว่าพี่ชายวัยเยาว์พาคนรักมาด้วย จากที่บิดาโฆษณาเอาไว้เลยทำให้รพีกานต์พลอยอยากเห็นหน้าไปโดยปริยาย
รพีกานต์ลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ล้างหน้าล้างตาผัดแป้งนวลผ่อง กำลังจะก้าวออกจากห้องก็พลันนึกถึงท้องนูน แม้จะใส่ชุดเอี๊ยมผ้านิ่มพรางไว้ แต่ก็สังเกตเห็นได้ไม่ยาก ตั้งแต่อายุครรภ์เริ่มเข้าเดือนที่สี่ สามแฝดก็พากันโตพรวด ๆ รพีกานต์ทั้งหิวกินจุกจิกบ่อย แถมนอนอุตุได้ตลอด จึงดูอวบขึ้นผิดหูผิดตา คิดมาถึงตอนนี้แล้วก็ให้ละล้าละลังไม่อยากออกไปเจอ แต่ก็เกรงจะเสียมารยาทจึงลงจากบ้านเดินก้มหน้าไปหา
“กานต์” สุ้มเสียงใจดีร้องทักขึ้น รพีกานต์ดวงตาหลุบต่ำขยับหลุกหลิกอย่างไม่มั่นใจในตัวเอง เท้าเหมือนก้าวช้าลงเรื่อย ๆ ด้วยความอึดอัดใจ กลายเป็นวาเลนไทน์ขยับเข้ามาใกล้ มือวาดแผ่นหลังพาพยุงไปนั่ง รพีกานต์เงยหน้าขึ้นสบตาทุกคนพลางกระพุ่มมือไหว้ผู้อาวุโสกว่า
“พี่เอาลูกหม่อนมาฝาก เพิ่งเก็บสด ๆ จากต้น ยังไม่แก่มาก เปรี้ยว ๆ หวาน ๆ กานต์น่าจะชอบนะ” วาเลนไทน์เลื่อนตะกร้าบรรจุลูกหม่อนเกือบเต็มมาให้ตรงหน้า รพีกานต์มองพลางกลั้นใจเอ่ยปากถาม ดวงตาสวยอมโศกประสานสายตากับอีกฝ่าย
“พี่ไทน์รู้...” ความรู้สึกอายในความแปลกประหลาดของตนเองตีตื้นขึ้นมาในอก วาเลนไทน์เข้าใจสถานการณ์ดีจึงรีบเอ่ยปาก
“เราไปคุยกันตรงลำธารด้านหลังดีไหม น้ำใส ๆ อากาศน่าจะเย็นสบายกว่าตรงนี้” ร่างโปร่งผุดลุกขึ้นก่อนแสดงท่าทีกระตือรือร้นอยากจะไปยังลำธารด้านหลังบ้าน ทางนี้ปล่อยให้ผู้ใหญ่พูดคุยกันเองน่าจะสะดวกใจแก่รพีกานต์กว่า
“ก็ได้ครับ” รพีกานต์ลุกตามอย่างว่าง่ายด้วยเข้าความหมายที่อีกฝ่ายแสดงออก วาเลนไทน์หยิบตะกร้าหม่อนส่งให้คนรักถือเดินตามหลัง
“เอ้อ จริงสิ ลืมแนะนำไป นี่คุณภีม เอ่อ...แฟนพี่เอง” วาเลนไทน์เอ่ยขึ้นหลังหย่อนกายลงนั่งในที่เหมาะ ๆ แก้มขาวเปลี่ยนเป็นสีเรื่อยามสบตาคนรักตอนเปิดปากบอกสถานะความสัมพันธ์ รพีกานต์มองเห็นความรักมากมายที่ทั้งสองมอบให้แก่กันผ่านทางแววตา
“สวัสดีครับคุณภีม เอ่อ...พูด ฟังภาษาไทยได้ใช่ไหมครับ”
“ได้ครับ ยินดีที่ได้รู้จักน้องชายของกวางน้อย โทษที ผมแทนชื่อไทน์ว่ากวางน้อยน่ะ เขาพิเศษสำหรับผม” ภีมพริษฐ์เอ่ยเสียงเรียบ มุมปากยิ้มน้อย ๆ ตามนิสัยเจ้าตัว ไม่เพียงเท่านั้นมือหนายังเลื่อนมากุมมือบางของวาเลนไทน์ บ่งบอกความพิเศษตามปากว่า พี่วาเลนไทน์อดีตเด็กแว้นเก่า ยามความรักเบ่งบานเต็มที่ดูมีออร่าความสุขลอยอวลอยู่รอบตัว คุณภีมหล่อจริงอะไรจริง สะเทือนฟ้าสะเทือนดินอย่างที่พ่อรพินทร์เคยบอกไว้ แต่เหนืออื่นใด การแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาถึงความรักที่มีต่อคนรัก ทำให้รพีกานต์นึกชื่นชมอย่างใจจริง
“แล้วพี่ไทน์ เอ่อ...รู้แล้วใช่ไหมครับ” รพีกานต์เอ่ยพลางลูบพุงกลมที่ขยายขนาดรวดเร็วจนมองเห็นได้แม้อำพรางด้วยเสื้อตัวโคร่ง
“รู้แล้ว” วาเลนไทน์ตอบรับ รู้ว่าน้องชายในวัยเยาว์กังวลไม่น้อยกับความผิดปกติของตนเอง
“กานต์แปลกประหลาด” รพีกานต์ก้มหน้างุดซ่อนความขมขื่น
“ทำไมกานต์ไม่คิดว่ามันคือความมหัศจรรย์ล่ะ” วาเลนไทน์เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางคิดมากเป็นกังวล
“ประหลาดกับมหัศจรรย์ ต่างกันแค่เส้นบาง ๆ ทางความคิด แค่กานต์ไม่เก็บเอาคำพูดคนอื่นมาเป็นตัวชี้วัดความสุขของตัวเอง ลูกก็นับเป็นของขวัญสุดมหัศจรรย์ในชีวิตไม่ใช่หรือ ผู้หญิงบางคนท้องไม่ได้ก็มีนะ นี่กานต์เป็นผู้ชาย กานต์ท้องได้ แสดงว่าธรรมชาติได้มอบของขวัญสุดพิเศษให้กานต์แล้ว กานต์น่าจะดีใจซี”
“พี่ไทน์...” รพีกานต์มองอีกฝ่ายด้วยความทึ่ง แค่คำพูดของวาเลนไทน์ก็เปลี่ยนความมืดมนขมขื่นเป็นแสงสว่างในทันที
“โลกเรามีเรื่องน่าประหลาดใจที่เราไม่รู้เยอะออก สิ่งที่แตกต่างนับเป็นความแปลกประหลาด หรือมหัศจรรย์ก็อยู่ที่มุมมอง คนร้อยคนเชื่อเถอะ มองไม่เหมือนกันทุกคนหรอก”
“ขอบคุณครับพี่ไทน์ ก่อนหน้ากานต์คิดว่าลูกเป็นของขวัญ แต่ก็อดกังวลใจไม่ได้ ได้ฟังพี่ไทน์พูดแล้ว กานต์สบายใจจัง” รพีกานต์ฉายรอยยิ้ม เหมือนกลุ่มเมฆที่บดบังแสงสว่างในใจเคลื่อนตัวออกไปแล้ว
“พี่ว่ากานต์โชคดีนะ ถึงคุณภีมจะไม่ได้คิดอะไรเรื่องมีลูก แต่พี่กลับคิดว่าพี่อยากให้คุณภีมมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าพี่มีตัวเล็กให้ได้คงจะดี”
“กวางน้อย เราคุยกันเรื่องนี้แล้วนี่” ภีมพริษฐ์หันขวับมาทางคนรัก ไม่อยากให้กวางน้อย ๆ ของเขาต้องกังวล
“ผมเข้าใจครับ แต่ถ้าจะมีอะไรทำให้คุณมีความสุขมากขึ้นกว่าเมื่อวาน ถึงจะแค่เรื่องเล็ก ๆ ผมก็อยากทำนะ” วาเลนไทน์ยิ้มให้คนรัก รพีกานต์มองดูคนทั้งคู่ต่างพยายามทำเพื่อคนรัก เพื่อให้อีกฝ่ายมีความสุขแล้วก็เริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น รักคือคนสองคน ต่างฝ่ายต่างรักและทำเพื่อคนรัก จึงจะเรียกว่ารักแท้ ที่ผ่านมาระหว่างรพีกานต์เองและอัครวินท์ คือความลุ่มหลงและไล่ตาม สุดท้ายฝ่ายที่คอยวิ่งไล่ก็เหนื่อยล้าราแรงลง
พี่วินคงไม่คิดทำอะไรเพื่อกานต์...
“ขอบคุณพี่ไทน์กับคุณภีมมาก ๆ นะครับ” รพีกานต์ส่งยิ้มให้ทั้งคู่ พี่วาเลนไทน์ยังคงเป็นพี่ชายแสนดีไม่เสื่อมคลายเช่นวันวาน ในขณะที่กำลังยิ้มนั่นเอง กลีบดอกไม้คุ้นตาก็ลอยมากับสายน้ำอีกครั้ง
ครอบครัวผู้มาเยี่ยมขอตัวกลับไปแล้วหลังรับประทานอาหารร่วมกัน ในบ้านมีผลไม้หลายอย่างที่แขกขนมาฝาก ซึ่งรพินทร์เองก็มีของฝากจำพวกน้ำพริกฝีมือปรุงเองนำมาจากที่บ้านมาให้ เสียงข้อความไลน์ดังเตือน เจ้าตัวหยิบมาดูก่อนอมยิ้ม นำไปยื่นให้รพีกานต์
“กานต์ พี่ณัฐส่งรูปอะไรมาให้ดูแน่ะ” รพีกานต์ตีคิ้วฉงนพลางยื่นมือออกไปรับโทรศัพท์มาดู ครั้นเมื่อก้มลงมองก็ยังไม่ใคร่เข้าใจนัก
“พี่ณัฐส่งรูปถุงมือมาให้ดูครับ แต่มีข้างเดียว”
“สงสัยเพิ่งหัดถักเสร็จข้างเดียวแล้วเห่อน่ะซี เลยส่งมาให้ดูข้างเดียวก่อน ถุงมือของสามแฝดไง คล่องแล้วคงมีถุงเท้ากับหมวกตามมา”
“นี่พี่ณัฐหัดถักของใช้ให้สามแฝดหรือครับ”
“อือฮึ ที่หายเงียบไปก็เพราะนี่แหละ ตอนแรกเงอะงะน่าดู ผู้ชายมือใหญ่นี่นะ แต่ก็พยายามจนได้ถุงมือมาข้างนึงละ อีกหน่อยก็คงคล่อง เผลอ ๆ จะมีผ้าพันคอ ผ้าคลุมไหล่ให้กานต์ด้วย”
“พี่ณัฐ...”
“คนที่รักเรา เราไม่ต้องทำอะไรเลยเขาก็รักเราเนอะ กานต์คุยกับพี่ณัฐนะ พ่อจะไปงีบสักหน่อย” รพินทร์ว่าพลางลุกจากห้องไป
เอาแล้ว ๆ วินกำลังจะกลับตัวแก้ไข คนใหม่กำลังจะมา พี่ณัฐก็ยังคงอยู่
ตอนนี้คิดกลอนไม่ออกนะคะ