ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ
สรุปข้อสำคัญดังนี้
1.ห้ามละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท, หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์ และสถาบันต่าง ๆ รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่นี่หรือที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อขออนุญาตเจ้าของเรื่องก่อนนะครับ
4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด
โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอม
เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง
ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม
กรุณาอ่านเพิ่มเติมที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0###################################
นิยายเรื่องนี้เพื่อนเราเป็นคนแต่งเองค่ะ มันเลยฝากมาโพส แต่งโดยมี inspiration มาจากคณะที่เรียนอยู่ (และคณะใกล้เคียง อิอิ)
นี่เป็นการลงนิยายเรื่องแรกขอที่นี่เลย ยังไงก็ฝากตัวด้วยนะจ้า มีคำผิดอะไรตรงไหนบอกได้นะ^ ^
_____________________________________________________________
ตอนที่1
“พี่นั้นเป็นหนุ่มวิดวะ น้องหน้ามนคณะอะไร? ใช่ครุหรือเปล่า? หรือว่าเป็นถาปัด? อยู่คณะอะไร?...”
เช้าวันจันทร์ที่แสนจะเหน็บหนาวในช่วงต้นเดือนธันวาคมทำให้ผมไม่ค่อยอยากจะลุกจากเตียงอุ่นๆ ในห้องพักอันแสนสบายของผมนัก แต่เพราะว่าวันนี้มีเรียนตอนเช้านี่สิ ถ้าไม่รีบตื่นตอนนี้ผมคงต้องโดนเช็คเลทแน่ ผมรีบลุกเข้าห้องน้ำหลังจากที่อิดออดกับตัวเองขอนอนต่อมา 5 นาที 3 นาที 2 นาที จนรวมเป็น 10 นาทีไปเรื่อยๆ จนต้องยอมถอนตัวเองขึ้นมา จำใจวิ่งเข้าไปยืนใต้ฝักบัวอย่างลวกๆ ให้ตายเถอะ! เมื่อไหร่หอในจะมีเครื่องทำน้ำอุ่นซะทีนะ!
เมื่อแต่งหล่ออะไรเสร็จเรียบร้อยแล้วผมก็เดินทางออกจากหอซึ่งอยู่ไม่ไกลจากคณะนัก เพียงแค่เดินเท้าเรื่อยๆ ไม่ถึง 10 นาที ก็ถึง อ้อ! ลืมบอกไป ผมเป็นนักศึกษาน้องใหม่ปี 1 ของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ครับ แต่จะว่าไปตอนนี้มันก็ไม่ค่อยจะใหม่แล้วหล่ะ เพราะตอนนี้ก็ย่างเข้ามาถึงครึ่งเทอมที่สองแล้ว เริ่มจะมีว่าที่น้องๆ ปีหน้ามาสอบ มารายงานตัวให้เห็นกันบ้างแล้ว
“เฮ้ยๆ ดูนั่นดิวะไอ้เปี๊ยก เด็กถาปัดแมร่งหอบอะไรมาเต็มตัวไปหมดเลย พวกบ้าหอบฟางนี่หว่า ฮ่าๆๆๆ” เสียงของผู้ชายที่ดูแล้วน่าจะเป็นรุ่นพี่คณะข้างๆ คณะของผมเริ่มเห่าหอน(หรือที่คณะของเขาชอบเรียกว่าแซวนั่นแหละ) มาให้ผมได้ยินในระยะประชิด
“เออหว่ะ นั่นมันจะไปเรียนหรือจะไปเป็นกรรมกรวะน่ะ”ผู้ชายอีกคนที่นั่งข้างๆ รับมุกต่อทันทีทันใด แล้วเพื่อนในกลุ่มอีกเกือบๆ สิบคนก็หัวเราะเฮฮารับกันเป็นลูกคู่
ผมทำไม่สนใจรีบเดินผ่านไปให้เร็วที่สุด เจอพวกแบบนี้ทีไรได้อารมณ์เสียแต่เช้าทุกทีสิน่า ที่ผมเงียบไม่ใช่เพราะอะไรหรอก เพราะยังไงผมก็เด็กกว่า สู้อะไรเขาไม่ได้ แถมเวลาจะเดินจากหอมาเรียนที่คณะก็ต้องผ่านคณะนี้ทุกเช้า ไม่อย่างนั้นก็ต้องอ้อมไปเข้าประตูใหญ่ มันเสียเวลา ทุกคนอาจจะสงสัยกันแล้วว่าคณะที่ผมต้องผ่านทุกเช้านี่มันคณะอะไร คำตอบก็คือวิศวะครับ ถาปัดของผมกับวิดวะที่อยู่ในรั้วเดียวกันเพียงสองคณะนี่เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน ไม่รู้เป็นอะไรกัน ดูพวกรุ่นพี่หลายๆ คนก็ไม่ค่อยถูกกับเด็กวิดวะเท่าไหร่นัก ตอนแรกๆ มาผมก็ไม่คิดแบบนั้นหรอก แต่ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเดินผ่านกลุ่มคนพวกนี้แล้วโดนแซวก็ทำให้ผมเริ่มมองคนพวกนี้ใหม่ทันที
“เถื่อน” คือคำนิยามที่ผมยกให้เด็กคณะข้างๆ เป็นของขวัญ ผมเดินไปเรียนผ่านพวกนี้ทุกวันโดนแซวบ้าง ไม่โดนบ้าง แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเห็นว่าเป็นผู้ชายด้วยกัน คงเล่นด้วยความไม่ได้คิดอะไรจริงจัง แต่มันรู้สึกรำคาญเสียมากกว่า
“อ้าว หวัดดีภาม มาเช้าดีนี่ กินข้าวมายัง?”
คิดไปคิดมาก็เดินมาถึงคณะแล้วครับ นันเพื่อนสนิทในกลุ่มคนหนึ่งของผมทักผมเป็นคนแรก เขาสูงกว่าผมนิดหน่อย เพราะผมสูงแค่ 176 นันก็คงจะประมาณ 180 ละมั้ง นายคนนี้นี่หน้าตาดีทีเดียว เดินไปไหนมาไหนในคณะมีแต่สาวกรี๊ดทั้งนั้น อยู่กับคนหล่อแล้วมันเสียเซลฟ์จริงๆ เหอะๆ
“ยังอะ เดี๋ยวภามขอไปซื้อของทำงานก่อน นันจะไปเรียนหรือยัง”
“เฮ้ย นี่เพิ่งจะ 8 โมงเอง จะไปเรียนอะไรกัน ภามไปซื้ออะไรก็ไปเหอะ เดี๋ยวนันนั่งรออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวค่อยมากินข้าวกัน”
นันพยักเพยิดให้ผมไปซื้อของก่อนแล้วค่อยมานั่งด้วยกันทีหลัง
ผมวางกระเป๋าแบบไว้ที่โต๊ะแล้วเดินไปที่ร้านขายเครื่องเขียนข้างโรงอาหาร แทรกตัวเข้าไปได้ก็สั่งของที่ต้องการ
“กระดาษร้อยปอนด์เอสองห้าแผ่นครับป้า”ผมบอกป้าเจ้าของร้านที่ค่อนข้างจะคุ้นเคยกันแล้ว เห็นแกหันไปสั่งลูกน้องให้หยิบให้ผมก็หันไปมองอย่างอื่นในร้านรอพลางๆ เผื่อจะมีของอะไรที่ขาดเหลือ
“อ้าว..นั่นโมเดลผมหนิ ว่าแล้วเชียวว่ามันหายไปไหน”ผมบอกพลางชี้ไปที่โมเดลสตัดดี้สำหรับใช้เขียนแบบที่ทำมาจากกล่องกับลูกปิงปอง
“อ๋อ ป้าก็ว่าแล้วว่าของใครมาลืมไว้ คิดว่าน่าจะเป็นโมเดลอะไรสักอย่างเลยเก็บไว้ให้”ป้าเจ้าของร้านบอกผม
“ฮึ..โมเดลกระจอกๆ แบบนี้ เป็นกู กูไม่ทำหรอกว่ะ”ยังไม่ทันที่ผมจะบอกขอบคุณป้าที่เก็บโมเดลไว้ให้ก็มีเสียงทุ้มๆ ดังขัดขึ้นมาก่อน ผม ป้าเจ้าของร้าน กับพี่ๆ ถาปัดที่อยู่ในร้านอีกสามคนหันมามองคนพูดทันที
ผู้ที่ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคนในร้านนั้นเป็นผู้ชายสูงประมาณ 185 ได้ ก็เห็นยาวซะไม่มี ผิวขาวๆ กับใบหน้าที่คมเข้มได้รูปนั้นทำให้เขาเป็นคนที่หล่อและดูดีในระดับที่มากกว่าคนทั่วไป ผมซอยสีดำมีประกายสีน้ำตาลเข้มที่ยาวระต้นคอนั้นยิ่งส่งให้ใบหน้าที่มีคิ้วเข้มๆ นั่นดูดีเข้าไปใหญ่ แต่ที่ทำให้ผมยอมรับในความกล้าหาญของไอ้บ้านี่ก็คือ....บนร่างกายที่ประกอบด้วยเสื้อยืดและกางเกงยีนส์กับรองเท้าที่ดูราคาแพงแล้ว ยังถูกสวมทับด้วยเสื้อช็อปสีน้ำเงินเข้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง ใช่แล้วละครับ...ช็อปสีน้ำเงินเข้ม...ช็อปของวิศวะ
อารมณ์โมโหของผมพุ่งปรี๊ดทันทีทั้งๆ ที่ไม่ใช่คนที่โกรธคนง่ายขนาดนั้น แต่พอโดนดุถูกนี่ยอมไม่ได้ แล้วยิ่งนี่มันถิ่นของผมอยู่แล้ว จะไปกลัวอะไร
“นี่คุณ! คุณไม่รู้อะไรเป็นอะไรดีอย่ามาพูดเรื่อยเปื่อย นี่มันโมเดลสตัดดี้ จะเอาอะไรดีนักหนา เดี๋ยวมันก็ต้องแกะออกไปเขียนแบบแล้ว”ผมพยายามรักษาระดับเสียงและอารมณ์ให้คงที่ แต่ทุกคนในร้านก็รู้ว่าผมอารมณ์เสียแค่ไหน
“ก็ของมันห่วย แล้วจะให้บอกว่ามันดีได้ยังไงวะ” ไอ้บ้านั่นยังไม่เลิกครับ หล่อซะเปล่าแต่ปากนี่มันไม่เข้ากับใบหน้าจริงๆ
“เด็กวิดวะอย่างคุณไม่มีทางเข้าใจถาปัดหรอก ถ้าไม่รู้อะไรจริงทีหลังอย่ามาพูดหาเรื่องกันในคณะของคนอื่นเขาดีกว่า เชิญกลับไปใช้ชีวิตเถื่อนๆ ในคณะของคุณโน่น!”ผมบอกแล้วชี้ไปที่ประตูทางออกของร้าน เห็นเขาคิ้วกระตุกขึ้นมานิดหน่อยพร้อมใบหน้าที่ไม่สบอารมณ์แต่ก็ยอมเดินออกจากร้านไปแต่โดยดี ในมือถือถุงอุปกรณ์ที่ซื้อไว้แล้วออกไปด้วย
“ปากดีนักก็อย่าให้เห็นเดินอยู่ในวิดวะแล้วกัน!” นี่เป็นคำพูดทิ้งท้ายก่อนที่ไอ้เถื่อนนั่นจะออกไป
....
........
.....
....
..
.
“เป็นอะไรภาม หน้าบูดหน้าเบี้ยวมาเชียว”นันถามหลังจากที่ผมวางจานข้าวกับขวดน้ำเปล่าลงบนโต๊ะ
“จะอะไรซะอีก ก็โดนคุณเพื่อนบ้านตัวดีของเรากัดมาน่ะสิ คนอะไร หน้าตาก็ดี แต่ปากนี่ร้ายชะมัด”
“ฮ่าๆ ได้เรื่องแต่เช้าเลยนะ พวกนั้นก็เป็นอย่างนี้แหละ แซวเขาไปทั่ว แต่ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรหรอก ส่วนใหญ่ในคณะนั้นก็มีคนดีๆ เยอะแยะไป”
“อันนี้ไม่เถียง คนดีมีเยอะกว่าก็จริง แต่นายคนนั้นน่ะมันจุดบอดของคณะชัดๆ”ผมบอกก่อนที่จะตักข้าวเข้าปาก
“เอาเถอะๆ อย่าไปคิดอะไรมากเลย กินข้าวเถอะ จะได้ขึ้นเรียนกัน”นันบอกพร้อมกับก้มมองดูนาฬิกาสีดำที่ข้อมือ ผมพยักหน้าอย่างว่าง่ายแล้วก็กินข้าวต่อไป
“ไปกินอะไรกันดีภาม?”ปอยถามผมหลังจากเลิกเรียนวิชาสุดท้ายในตอนเย็นของวันพุธ เธอเป็นเพื่อนสนิทของผมเองแหละครับ นอกจากนี้ในกลุ่มของผมยังมีนัน หนุ่มหล่อประจำคณะ แอมสาวสวยที่แอบพลาดตำแหน่งดาว โจแล้วก็ก้อง เรียนรู้นิสัยกันมาเทอมกว่าๆ ก็พอจะรู้แล้วละครับว่าเราเข้ากับใครได้ดียังไง ในที่สุดก็ได้กลุ่มที่ลงตัวออกมา เพราะมีนิสัยและอะไรที่คล้ายกันหลายๆ อย่าง จึงไม่ค่อยขัดแย้งอะไรกันมากนัก
“ร้านป้าดา”ผมบอก
“อีกละ กินบ่อยแล้ว เบื่อ”แอมบ่นสีหน้าไม่จริงจังเท่าไรนัก
“แต่วันนี้มีงานนี่ จะไปกินไกลก็เสียเวลาอยู่นะ”โจบอก มีนันคอยสนับสนุนอยู่ข้างๆ
“เราเห็นด้วย”ก้องสรุปเป็นคนสุดท้าย เป็นอันว่าเราทุกคนต้องไปกินข้าวที่ร้านที่ผมเป็นคนเลือก
ร้านข้าววันนี้แน่นไปด้วยผู้คนเหมือนทุกวัน พวกเรามองหาโต๊ะว่างๆ แล้วแทรกตัวเข้าไปนั่ง หลังจากที่นันเอาใบรายการมาจดรายการอาหารของทุกคนจนครบแล้วส่งให้แม่ครัวแล้วเราก็มานั่งคุยกันรออาหารที่สั่ง
“สีน้ำตาล E 35 ของเราหมดแล้วอ่ะแอม มีให้เราเติมไหม”ปอยหันมาถามแอมที่นั่งอยู่ข้างๆ พวกผมมองปอยกับแอมนั่งเติมหมึกสีกันแล้วก็เพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่าของพวกเราก็หมดไปหลายแท่ง เลยกลายเป็นว่าทั้งโต๊ะงัดสีออกมาเติมกันเป็นที่สนุกสนาน
“หรอ? กูว่าแมร่งก็งั้นๆ แหละว่ะ”เสียงกวนๆ ที่คุ้นหูดังมาจากโต๊ะข้างๆ ที่อยู่ใกล้กับผมมากที่สุด แต่ผมไม่ค่อยจะสนใจฟังเท่าไหร่นัก
“ถาปัดแมร่งก็เท่านั้น วันๆ เอาแต่เพ้อฝันคิดโน่นคิดนี่แต่พอให้ทำออกมาจริงๆ ก็ทำไม่ได้ แค่มีวิดวะมันก็เพียงพอแล้ว”นั่น! ไม่สนไม่ไหวแล้วครับ ผมหันออกด้านข้างเพื่อที่จะได้เห็นหน้าไอ้คนพูดถนัดๆ
นั่นประไร! ผมว่าแล้ว ปากดีๆ แบบนี้มีอยู่ไม่กี่คนหรอกที่ผมเคยเจอ ไอ้บ้าที่ไปหาเรื่องที่คณะผมนั่นเองครับ นอกจากมันแล้วบนโต๊ะยังมีผู้ชายอีกสามคน แต่ละคนนี่หน้าตาจัดว่าดีกันทั้งนั้นแต่ยังสู้ไอ้ปากมอมนี่ไม่ได้ อีกสองคนผมไม่รู้จักแต่อีกคนนี่ผมจำหน้าได้ดี เขาชื่อพี่ป้องเรียนอยู่วิดวะ พาวเวอร์ปีสี่ครับ ผมรู้จักเขาเพราะเราต่างก็อยู่ชมรมทำรถฟอมูล่าร์วันด้วยกัน คนๆ นี้นอกจากจะหน้าตาดีและเรียนเก่งแล้วนิสัยยังดีสมกับเป็นสุภาพบุรุษวิศวะอีกต่างหาก แต่ที่ผมไม่เข้าใจคือ ทำไมพี่ป้องถึงมานั่งโต๊ะเดียวกันกับไอ้ปากมอมนี่
“วิศวะสร้างได้ก็แต่เพียงโครงสร้างที่แข็งแรงมั่นคง แต่สร้างความสุขในหัวใจของมนุษย์ไม่ได้ แต่สถาปัตย์เป็นผู้สร้างอารยธรรม”ผมหันกลับมาที่โต๊ะตัวเอง กล่าว
ออกมาลอยๆ
เสียงเฮฮาบนโต๊ะข้างๆ เงียบลงทันทีพร้อมกับเสียงไอ้หล่อที่สวนมาอย่างไม่ยอมเสียหน้า
“ถาปัดแมร่งก็แค่พวกเพ้อฝัน”
“วิดวะก็ดีแต่ป่าเถื่อนชอบดูถูกคนอื่น”ผมก็ไม่ยอมเหมือนกันแต่เราทั้งคู่ต่างเถียงกันทั้งๆ ที่ยังนั่งหันหลังให้กันอยู่
“พวกไม่ยอมรับความจริง”มันไม่ลดละ
“ความจริงก็คือพวกเถื่อนๆ ชอบหาเรื่องชาวบ้านเค้าไปทั่ว”ผมพูดได้แค่นั้นก็ถูกกระชากไหล่ให้หันกลับไปข้างหลังอย่างแรงจนเกือบจะตกจากเก้าอี้ ไอ้คนกระชากทำหน้าดุ ตาวาวอย่างเอาเรื่อง
“ปากดีนักนะมึง! อ้าว...นี่มันไอ้เด็กโมเดลห่วยเมื่อวันนั้นนี่หว่า โลกมันกลมจังนะ วันนั้นอุตส่าห์ใจดีไม่ทำอะไรแล้ว ยังไม่มีสำนึก อย่าคิดว่าวันนี้กูจะปล่อยมึงไปง่ายๆ นะสัด”มันพูดเสียงเหี้ยม
.......
.........
...
To Be Continued จ้า^ ^
จะพยายามมาต่อให้อย่างสม่ำเสมอนะ
*** ขออนุญาติแก้ไขคำห้อยท้ายของชื่อเรื่อง เพื่อลดความรุงรังของหัวข้อ แต่หากผู้แต่งมีเรื่องแจ้งเพิ่มเติม ก็สามารถแก้ไขชื่อเรื่องได้ตามปกติค่ะ
ทิพย์โมบอร์ดนิยาย