มาต่อแล้วค่ะ... เขียนไปเขียนมา ชักรู้สึกคู่นี้ แรงขึ้นทุกทีๆ เข้าทำนอง ขิงก็รา ข่าก็แรง แต่บังเอิญนี่เป็น ขิง"แก่" และขา"อ่อน" ฮ่าๆๆ
---------------------------------------
红孔雀นกยูงแดง 6
ตำแหน่งสารวัตรของลู่อี้เผิงไม่ได้ได้มาเพราะโชคช่วย เขาได้รับตำแหน่งสารวัตรตั้งแต่อายุได้ยี่สิบห้าปี เพราะการคลี่คลายคดีซับซ้อนและเป็นปริศนาหลายคดี แม้ว่าหลายส่วนจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหงคงฉ่วย แต่ก็ไม่มีใครปฏิเสธว่าหากไม่ใช่เพราะฝีมือของลู่อี้เผิงแล้ว หงคงฉ่วยมีหรือจะยอมให้ความร่วมมือ
ก็หงคงฉ่วยคนนั้น เคยยอมช่วยใครง่ายๆ ที่ไหนกันล่ะ
----------------------------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นจากกองเอกสารหลักฐานบนโต๊ะ ตอนที่จ่าเวรกะดึกเดินเข้ามาพร้อมกับแก้วกาแฟ
“สารวัตรอยู่ดึกอีกแล้วนะครับวันนี้ คดีถงไป่สือหรือครับ?”
“อืม” ลู่อิ้เผิงส่งเสียงในลำคอ และถอนหายใจเฮือก ได้ยินเสียงจ่าเวรพูดต่อ “ถงไป่สือเป็นเจ้าพ่อวงการค้ากามรุ่นเดอะเลยนี่ครับ ได้ข่าวว่าเขาไม่ค่อยกินเส้นกับหงคงฉ่วยเท่าไหร่ ทำไมสารวัตรไม่...”
“ช่างหัวหงคงฉ่วยเถอะ” ลู่อี้เผิงพูดขึ้นมา “คดีทุกคดีไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องพึ่งหมอนั่นไปหมดหรอกนะ”
“ผมแค่ช่วยเสนอความคิดเห็นเฉยๆ ” จ่าเวรพูดเสียงอ่อน ลู่อี้เผิงถอนหายใจออกมา “ช่างมันเถอะ ผมกลับไปพักก่อนดีกว่า พรุ่งนี้ค่อยมาว่ากันต่อ”
“ขับรถดีๆ นะครับสารวัตร”
------------------------------------------------------------------------
เนื่องจากเป็นเวลาเที่ยงคืนกว่าแล้ว ถนนจึงค่อนข้างโล่ง ลู่อี้เผิงขับรถคันเดิมออกมาบนถนนเส้นเดิมเพื่อที่จะกลับบ้านไปพักผ่อน ขับออกมาได้สักพัก เขาก็รู้สึกเหมือนมีรถขับตามหลัง จึงชะลอความเร็วลง เพื่อดูว่ารถด้านหลังขับตามมาจริงหรือไม่ แล้วจึงเห็นว่ารถคันนั้นขับแซงขึ้นไป ลู่อี้เผิงจึงเหยียบคันเร่ง เพิ่มความเร็วรถเป็นระดับปกติ แต่ทันใดนั้นเอง รถคันหน้าที่เพิ่งแซงเขาไปก็เกิดหยุดกะทันหัน ลู่อี้เผิงกระทืบเบรกจนมิด ได้ยินเสียงล้อครูดถนนดังเอี๊ยดลั่น ก่อนจะได้ยินเสียงกระแทกดังตามมา
“บ้าชิบ!” ลู่อี้เผิงสบถ ก่อนจะเปิดประตูรถเพื่อดูความเสียหายที่เกิดขึ้น ขณะที่กำลังนึกสงสัยว่าทำไมเจ้าของรถยนต์คันหน้าถึงไม่ยอมลงมาจากรถ หูของเขาก็ได้ยินเหมือนเสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นที่ด้านหลัง แต่ยังไม่ทันหันกลับไปมอง มือของใครคนหนึ่งก็ยื่นผ้าเช็ดหน้ามาโปะหน้าเขา
-----------------------------------------------------------------------
ลู่อี้เผิงลืมตาขึ้นมาอีกทีก็พบว่าตัวเองยู่ในห้องมืดๆ พอขยับมือถึงได้รู้ว่าถูกคล้องกุญแจมือผูกเชือกห้อยอยู่เหนือศีรษะอีกแล้ว ยังไม่ทันได้มองเห็นอะไรดี ตาของเขาก็มีอันต้องปิดลง เมื่อแสงไฟสว่างวาบขึ้นตรงหน้า
“ตื่นแล้วหรือ สารวัตรลู่” เสียงที่ไม่คุ้นเคยดังขึ้น ก่อนที่ฝ่ามืออูมอวบจะยื่นมาตบหน้าเขาเสียงดังฉาด
“ลืมตาขึ้นมาซี่ ตำรวจแบบแก ชอบใช้ไฟส่องหน้าผู้ต้องหาเวลาสอบปากคำไม่ใช่หรือไงหา?!”
“ขอโทษเถอะ ผมเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอก” ลู่อี้เผิงพูด ทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ จากนั้นก็ถูกตบด้วยหลังแหวน จนหน้าหัน ลู่อี้เผิงรู้สึกเค็มเฝื่อนในปาก เขาถ่มเลือดปนน้ำลายออกมา ก่อนจะนิ่งไปอีก ได้ยินเสียงเดิมถามด้วยความสงสัย
“ลู่อี้เผิง นี่แกไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาดูเลยหรือไงว่าแกอยู่ที่ไหน?”
“ถ้าคุณจะปิดไฟก่อนน่ะนะ” ลู่อี้เผิงตอบ จากนั้นก็ได้ยินเสียงหัวเราะลั่น “ถามจริงๆ เถอะ ตอนแกเจอหงคงฉ่วย แกปากดีแบบนี้ด้วยรึเปล่า?”
คนถูกถามไม่ตอบ ยังคงนิ่งอยู่อย่างนั้น เสียงเดิมจึงพูดขึ้นอีก “ปิดไฟก่อนซิ ฉันอยากเห็นหน้าเห็นตาสารวัตรลู่ชัดๆ ”
ไฟถูกปิดลง ลู่อี้เผิงจึงลืมตาขึ้นมา
!!!
แสงไฟที่วาบเข้าตาเขาระยะใกล้ ทำให้ลู่อี้เผิงตาพร่าไปกะทันหัน เขาหลับตาลงอีก พร้อมกับได้ยินเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“ลู่อี้เผิง ลู่อี้เผิง อยากรู้จริงๆ ว่าแกมีดีอะไร ไอ้นกยูงนั่นถึงได้ยอมปล่อยแกออกมา”
“อืม...” ลู่อี้เผิงส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะพูดขึ้นในที่สุด “ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใครหรอกนะ แต่ผมไม่ได้มีสายสะดือติดกับหงคงฉ่วย คุณแกล้งผมไป เขาก็ไม่ได้เดือดร้อนหรอก”
“ก็ไม่แน่นักหรอก” เสียงเดิมพูดอีก “ได้ข่าวว่าแกเข้าออกคฤหาสน์ไอ้นกยูงนั่นเป็นว่าเล่น แกคงเป็นคนโปรดของมันล่ะสิ ไม่น่าเลยนะ ยังเป็นตำรวจหนุ่มอนาคตไกลอยู่แท้ๆ ก็ต้องกลายเป็นของเล่นของไอ้นกยูงบ้านั่นแล้ว”
“อืม.. ผมเห็นด้วยกับคุณอยู่หรอกนะ เรื่องที่ว่าเขาบ้าน่ะ แต่ตอนนี้ผมคงต้องแจ้งข้อหาว่าคุณทำร้ายเจ้าหน้าที่
เสียงตบฉาดใหญ่ดังขึ้นอีก จากนั้นไฟก็ดับลง “เอาล่ะ ลู่อี้เผิง ลืมตาขึ้นมาได้แล้ว ฉันอยากรู้ว่าพอลืมตาแล้ว แกจะปากดีได้อีกสักกี่น้ำ”
ลู่อี้เผิงลืมตาขึ้นมาจริงๆ สิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกคือเงาสะท้อนของตัวเองในกระจกเงาที่ตั้งอยู่ตรงหน้า มือของเขาถูกจับห้อยไว้จริงๆ เสื้อก็ถูกถอดออก ยังดีนะที่กางเกงยังอยู่ครบ
นายตำรวจหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก จากนั้นจึงได้ยินเสียงเดิมพูดขึ้นต่อ “ถอนหายใจอะไรของแก?”
“เปล่า” ลู่อี้เผิงตอบแล้วจึงหันไปมองหน้าคนพูดเป็นครั้งแรก ก่อนจะร้องออกมา “อ้อ... ที่แท้ คุณถงไป่สือนี่เอง ไม่ยักรู้ว่าคุณผมดกขนาดนี้นะเนี่ย รูปในแฟ้มประวัติที่ผมมี คุณผมบางตั้งแต่ตอนอายุสามสิบห้าเลยนี่นา”
ถงไป่สือยกมือขึ้นจับผมของตัวเอง ก่อนจะถลึงตาใส่ลู่อี้เผิงอย่างประสงค์ร้าย “ปากดีนักนะแก”
เสียงฉาดดังขึ้นอีก ใบหน้าของลู่อี้เผิงหันไปอีกทางหนึ่งทันที นายตำรวจหนุ่มนิ่งไปพักหนึ่ง ก่อนจะถ่มน้ำลายปนเลือดออกมาอีก
“ถ้าแกยังกล้าปากดีอีกล่ะก็ จะตบให้ไม่มีฟันจะเคี้ยวข้าวเลย” ถงไป่สือขู่ ลู่อี้เผิงกระตุกริมฝีปากขึ้นมานิดหน่อย ก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆ
หนึ่ง.. สอง... สาม... สี่............ เก้า สิบ สิบเอ็ด สิบสอง
มีลูกน้องของถงไป่สือล้อมเขาอยู่สักสิบสองคนเห็นจะได้ มองหน้าชัดบ้างไม่ชัดบ้าง บางคนคงเคยถูกเขาจับมาก่อนล่ะมั้ง ถึงได้จ้องเขาอย่างกับจะฆ่าจะแกงเสียแบบนั้น ลู่อี้เผิงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง แล้วหันกลับมามองเงาตัวเองในกระจกต่อ
“ลู่อี้เผิง รู้ไหม ทำไมแกถึงถูกจับมาแบบนี้” ถงไป่สือเดินเข้ามาแล้วถามอีก ลู่อี้เผิงสั่นศีรษะ “ไม่รู้สิ คุณคงยังแค้นที่หงคงฉ่วยถอนหุ้นไปเมื่อสองปีก่อนโดยไม่บอกไม่กล่าว แต่คงแก่จนเลอะเลือนเลยจับมาผิดคนล่ะมั้ง”
ถงไป่สือถลึงตามองเขาพลางเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ปากดีจริงๆ นะ” จากนั้นก็หันไปรับอะไรบางอย่างจากลูกน้องที่เดินเข้ามา
ควับ
เสียงแหวกอากาศของวัตถุทรงเรียวดังฟังชัดถนัดหู จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงเพี๊ยะ คราวนี้ท่อนเอวของลู่อี้เผิงมีรอยปื้นแดงเป็นทางยาวปรากฏขึ้นทันที
“ลองแบบนี้ดีกว่าไหม สารวัตรลู่ พวกคุณชอบตั้งข้อหาว่าผมทารุณเด็กๆ ในสังกัด ลองมาโดนเองหน่อยเป็นไง อันที่จริงผมว่าคุณอาจจะติดใจก็ได้นะ” ถงไป่สือพูดพลางตวัดแส้สีดำในมืออีก คราวนี้หน้าท้องของลู่อี้เผิงจึงมีรอยแดงเพิ่มขึ้นอีกรอยหนึ่ง
ลู่อี้เผิงเม้มปากด้วยสีหน้าลำบากใจ ก่อนจะพูดออกมา “เอาล่ะ คุณถง คุณต้องการอะไรพูดมาเลยดีกว่า”
ได้ยินเสียงอีกฝ่ายหัวเราะดังลั่น “ต้องรุนแรงแบบนี้ถึงจะเข้าใจหรือไง ไอ้คุณสารวัตร สิ่งที่ฉันต้องการน่ะหรือ ง่ายๆ ต้องการทรมานแกให้ไอ้หงคงฉ่วยมันนั่งไม่ติดยังไงล่ะ พักนี้แกไล่กัดก้นฉันจนวิ่น คิดว่ามีไอ้นกยูงนั่นหนุนหลังแล้วจะจัดการฉันได้ง่ายๆ หรือไง ฉันไม่หมูขนาดนั้นหรอกนะ สารวัตร ตอนนี้ถึงเวลาที่แกจะต้องได้รับบทเรียนเหมือนกันรุ่นพี่ๆ ของแกบ้างแล้ว”
กล่องวีดีโอถูกนำมาตั้งข้างๆ จากนั้นถงไป่สือก็ถอยฉากหลบออกไปหน่อยหนึ่ง “แกจะต้องกลายเป็นตัวแสดงในหนังของฉัน เอาล่ะ เอาโทรศัพท์ของมันต่อหาไอ้นกยูงบ้านั่นซิ ให้มันรู้หน่อยว่าเด็กมันอยู่ในอุ้งมือฉันแล้ว” ประโยคหลังหันไปสั่งลูกน้องที่ยืนอยู่ คนถูกสั่งหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดสักพักก็มีสีหน้าเลิ่กลั่กขึ้นมา
“ไม่มีเบอร์ที่ขึ้นต้นว่าหงคงฉ่วยน่ะครับ”
ถงไป่สือขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินไปฉวยโทรศัพท์มากดเอง ได้ยินเสียงลู่อี้เผิงพูดขึ้นอีก “นี่ หาไปก็เปล่าประโยชน์น่า ผมไม่ได้เก็บเบอร์เขาไว้ในเครื่องหรอก”
“งั้นก็บอกมา”
ลู่อี้เผิงเอียงคอมองคนถามอยู่พักหนึ่ง แล้วแค่นหัวเราะ “นี่คุณจับผมมาเพื่อจะขู่เขา แต่ไม่รู้จะติดต่อเขายังไงเนี่ยนะ เชื่อเลย” พูดจบก็ถอนหายใจเฮือก จนถงไป่สือคำรามเสียงลั่น “เลิกพูดหมาๆ แล้วบอกเบอร์ที่แกติดต่ออยู่กับมันเป็นประจำมาซะ มันไม่รับโทรศัพท์ใครง่ายๆ หรอก”
“อ้อ..” ลู่อี้เผิงลากเสียง ก่อนจะบอกเบอร์โทรศัพท์ไป “นี่ไม่ใช่เบอร์โดยตรงของเขาหรอกนะ เป็นเบอร์ในคฤหาสน์ ปกติพ่อบ้านเขาจะรับสาย คุณโทรไปป่านนี้เขานอนอยู่ล่ะมั้ง”
ถงไป่สือแค่นยิ้มออกมา “นี่มันสายโด่งแล้วสารวัตร หลับไปค่อนคืนแกคงลืมเวลาไปเลยสินะ” จากนั้นก็กดเบอร์โทรออก
“........................................................”
ลู่อี้เผิงมองอยู่สักพักก็หาวออกมา “ผมนอนต่อล่ะ คุณติดต่อเขาให้ได้ก่อนก็แล้วกัน แล้วค่อยมาปลุกผมให้เป็นพระเอกวีดีโอคุณอีกที”
“ไอ้!!” เสียงเพี๊ยะดังขึ้นอีก พร้อมกับสีหน้าเดือดดาลของถงไป่สือ “ลู่อี้เผิง บอกเบอร์ไอ้นกยูงนั่นมาซะ ก่อนที่ฉันจะเชือดแกทีละชิ้นๆ อย่าคิดว่าฉันติดต่อมันไม่ได้แล้วจะเลิกทรมานแกนะ ฉันจะเฉือนเนื้อแก ค่อยๆ ตัดไอ้นั่นแก ถ่ายวีดีโอเอาไว้ แล้วค่อยส่งให้ไอ้นกยูงบ้านั่น”
ลู่อี้เผิงถอนหายใจออกมา “ผมว่าเขาคงชอบวีดีโอของคุณอยู่ล่ะ นี่ คุณถง ผมไม่อยากตายฟรีนะ มีข้อเสนออย่างอื่นที่น่าฟังกว่านี้อีกไหม ถ้าคุณมีอะไรน่าสนกว่านี้ บางทีผมอาจจะช่วยคุณเรียกร้องความสนใจจากเขาให้ก็ได้”
ถงไป่สือเลิกคิ้วมอง ก่อนจะหัวเราะออกมา “ว่าง่ายขึ้นมาแล้วหรือ งั้นแกบอกวิธีติดต่อหงคงฉ่วยมา ฉันจะลดเชือกที่ผูกแขนแกลงหน่อยหนึ่ง แต่ถ้าไม่.. ฉันจะดึงแกขึ้นไปแขวน แล้วเฆี่ยนแกให้หลังแตก เอาน้ำเกลือราด”
ลู่อี้เผิงพยักหน้า “เอาล่ะ คราวนี้ผมจะช่วยภาวนาให้เขารับโทรศัพท์ก็แล้วกัน”
------------------------------------------------------
หงคงฉ่วยกำลังคีบแมลงป้อนใส่ใบของต้นกาบหอยแครงอยู่ในโรงเพาะเลี้ยงต้นไม้อยู่ ในตอนที่หลี่คงเปิดประตูเข้ามา
“คงฉ่วย มีโทรศัพท์มาจากสารวัตรลู่ครับ”
“อ้อ...” หงคงฉ่วยลากเสียง ก่อนจะบรรจงใช้ปากคีบหย่อนตัวแมลงลงไปบนใบของว่านกาบหอย เจ้าแมลงโชคร้ายพอหลุดจากปากคีบยังไม่ทันจะได้ตั้งปีกดีก็โดนกาบของต้นกาบหอยแครงงับเอาไว้จนหมดหนทางหนี ได้ยินเสียงหงคงฉ่วยพูดขึ้นต่อ “บอกเขาไปว่าฉันกำลังสนุกกับการดูแลต้นไม้อยู่ ไว้ค่อยคุยกันวันหลัง”
หลี่คงถ่ายทอดถ้อยคำของเจ้านายลงไปทุกพยางค์ไม่มีขาดตกบกพร่อง จากนั้นก็พูดขึ้นต่อ “สารวัตรลู่บอกว่าจะต้องพูดกับคุณให้ได้ครับ บอกว่ามีเรื่องสำคัญ”
“อืม.. เอามาสิ” หงคงฉ่วยพูด วางปากคีบลง ปิดฝากล่องใส่แมลง แล้วรับโทรศัพท์
“สวัสดีสารวัตรลู่ มีเรื่องอะไรล่ะ?”
“สวัสดีคงฉ่วย ไม่เจอกันนานเลยนะ” เสียงปลายสายดูจะผิดจากเสียงของลู่อี้เผิงไปไกล หงคงฉ่วยถอนหายใจเฮือก “ไป่สือรึ? เสียงยังห่วยไม่มีเปลี่ยนเลยนะ ผมบนหัวน่ะ ขึ้นบ้างหรือยังล่ะ คราวก่อนได้ยินว่าเจอยาดีเข้านี่นา หรือว่าปิ๋วอีกล่ะ”
ถงไป่สือขบฟันกรอดๆ แล้วกรอกเสียงตอบไป “ไอ้หงคงฉ่วย ฉันจะบอกอะไรให้ สุดรักสุดสวาทของแกอยู่ในมือฉันแล้ว”
“หา?” หงคงฉ่วยอุทานด้วยน้ำเสียงตกใจเกินจริง ก่อนจะหันกลับไปหาหลี่คง “เสี่ยวชิกของฉันล่ะ?”
“อยู่ในห้องครับ กำลังเล่นกับเสี่ยวจืออยู่” หลี่คงตอบ ได้ยินเสียงถงไป่สือตวาดมาจากโทรศัพท์ “อย่ามาทำเป็นไขสือน่า คงฉ่วย ไอ้ลู่อี้เผิงเด็กสุดรักของแกอยู่กับฉันแล้ว เสี่ยวชิกนี่มันใครกัน!?”
“นกกระตั้วสุดรักของเขาน่ะ” ลู่อี้เผิงตอบแทนให้ ถงไป่สือถลึงตามองเขาทันที ก่อนจะหันไปคุยโทรศัทพ์ต่อ
“ว่าไงล่ะ คงฉ่วย”
“อ้อ... ฮ่ะๆ ที่แท้เป็นสารวัตรลู่หรอกหรือ” หงคงฉ่วยร้องและถอนหายใจเฮือก “โล่งอกไปที ฉันล่ะคิดว่าแกจับตัวเสี่ยวชิกไปเสียอีก มีเรื่องอะไรอีกไหม ฉันจะได้วางสาย กำลังยุ่งอยู่”
“เฮ้ย!” ถงไป่สืออุทานออกมา แล้วหันไปมองลู่อี้เผิงอีก นายตำรวจหนุ่มจึงพูดขึ้นต่อ “คุณจับผิดตัวแล้วล่ะ”
“หุบปากเถอะน่า” ถงไป่สือตวาดด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะกรอกเสียงลงไปในโทรศัพท์ต่อ “หงคงฉ่วย แกอย่ามาทำเป็นใจเย็นไปหน่อยเลย เด็กแกถูกฉันจับมัดอยู่ แกอยากฟังเสียงหน่อยไหมล่ะ?”
“อ้อ เอาสิ ฉันชอบฟังเสียงเขามากกว่าเสียงแกอยู่แล้ว” หงคงฉ่วยว่า ถงไป่สือเลยกดเปิดลำโพงโทรศัพท์ ก่อนจะยื่นใส่หน้าลู่อี้เผิง
“คงฉ่วย” ลู่อี้เผิงพูดใส่โทรศัพท์ “ทำอะไรอยู่น่ะ”
“ให้อาหารต้นไม้” หงคงฉ่วยตอบ และเปิดลำโพงโทรศัพท์ วางไว้บนชั้นใกล้ๆ กระถาง ก่อนจะหยิบปากคีบและกล่องใส่แมลงขึ้นมา “สารวัตรลู่มีธุระอะไรกับฉันล่ะ”
“อืม.. จริงๆ ก็ไม่มีอะไรหรอก” ลู่อี้เผิงพูด พอเห็นถงไป่สือถลึงตาใส่เลยพูดขึ้นต่ออีก “คือ.. คุณถงไป่สือเขาบอกว่าจะค่อยๆ ทรมานผม เชือดเนื้อผมทีละชิ้น ตัดไอ้นั่นของผม แล้วอัดวีดีโอเอาไว้ส่งให้คุณดูล่ะ”
“อืม...” หงคงฉ่วยส่งเสียงในคอ พยายามจะเล็งหยอดแมลงให้ตรงกับปากใบของว่านกาบหอย “บอกให้เขารีบๆ ทำเลย ฉันอยากดู”
ลู่อี้เผิงเงยหน้าขึ้นมองถงไป่สือ แล้วเบ้ปาก “ผมบอกคุณแล้ว ว่าเขาชอบ”
ถงไป่สือคำรามด้วยความหงุดหงิด ก่อนจะหันโทรศัพท์มากรอกเสียงลงไปอีก “ไอ้หงคงฉ่วย อย่าคิดว่าฉันไม่กล้าทำจริงนะ แกก็ปากดีได้ตอนนี้เท่านั้นแหละ”
หงคงฉ่วยรีบปิดลำโพงโทรศัพท์ทันที แมลงสองสามตัวเลยบินหนีออกจากกล่องไปได้
“เสี่ยวไป่สือ ฉันพูดกี่ครั้งกี่หนแล้วว่าอย่าตะโกน ต้นไม้ฉันตกใจหมด”
ลู่อี้เผิงคิดว่าถ้าถงไป่สือฆ่าคนทางโทรศัพท์ได้ หงคงฉ่วยคงจะตายเป็นคนแรกแน่ๆ
“อย่ามาเรียกแบบนั้นนะโว้ย แกคิดว่าตัวเองเป็นใครกันหา!” ถงไป่สือกรอกเสียงลงไปอย่างเดือดดาล หงคงฉ่วยถอนหายใจเฮือก “เป็นพ่อแกมั้ง.... ฉันไม่เรียกแกว่าไอ้สวะก็ดีถมแล้ว เอาล่ะ ถงไป่สือ แกกำลังรบกวนเวลาของฉัน ก่อนที่แกจะพยายามเค้นสมองมาขู่ฉัน แกควรย้ายก้นย้วยๆ ออกไปดูหน้าร้านแกว่ายังอยู่ดีอยู่หรือเปล่า”
“เฮ้ย เดี๋ยวสิวะ” ถงไป่สือโพล่งออกมา หลังจากถูกตัดสาย เขาพยายามโทรซ้ำก็ถูกตัดสายอีก พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นลู่อี้เผิงกำลังสั่นศีรษะอย่างคนสิ้นหวัง “ซวยจริงๆ คุณจับผิดตัวยังไม่พอ ดันทำเขาอารมณ์เสียอีก คราวนี้เชือดผมไปก็ไม่ได้อะไรนอกจากข้อหาฆ่าเจ้าพนักงานหรอกนะ”
ถงไป่สือถลึงตาใส่ ก่อนจะแค่นเสียง “ช่างหัวไอ้นกยูงบ้านั่น เล่นแกนี่แหละ ไหนๆ แกมันก็ตัวจุ้นอยู่แล้ว ฉันจะไม่ฆ่าแกหรอก ฉันจะทำให้แกหลาบจำไปชั่วชีวิตว่าอย่ามายุ่งกับคนอย่างฉัน!”
ลู่อี้เผิงถอนหายใจออกมาอีก “งั้นก็รีบๆ ทำเลยแล้วกัน คุณถง เพราะผมขี้เกียจจะอารมณ์ค้างตอนคนของหงคงฉ่วยบุกมาถล่มรังคุณน่ะ”
“อย่ามาขู่ฉันนะโว้ย มันไม่มาช่วยแกหรอก” ถงไป่สือว่า ลู่อี้เผงพยักหน้า “อ๋อ แน่นอน เขาไม่มาช่วยผมหรอก แต่คุณก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเขาเป็นพวกอารมณ์ร้าย เมื่อกี้คุณเพิ่งโทรไปขัดความสุขเขา เขาคงไม่ปล่อยคุณให้อยู่สบายๆ หรอก”
ถงไป่สือถลึงตามองลู่อี้เผิง ก่อนจะหันไปสั่งลูกน้อง “ออกไปดูด้านหน้าหน่อยซิ”
ลูกน้องสองสามคนพยักหน้าแล้วเดินหายออกไป ถงไป่สือหันมาหาลู่อี้เผิงต่อ นายตำรวจหนุ่มจึงพูดขึ้นอีก “เอาแขนผมลงสักทีสิ ชาไปหมดแล้วเนี่ย”
ได้ยินเสียงทางนั้นแค่นหัวเราะออกมา “ฉันคงเอาแขนแกลงมาตอนนี้ไม่ได้ แต่ฉันจะเอากางเกงแกออกแทนก็แล้วกัน”
ลู่อี้เผิงนิ่วหน้าทันที
“การสั่งสอนแกมันเพิ่งจะเริ่มต่างหาก” ถงไป่สือพูด ก่อนจะกวักมือเรียกลูกน้อง ม้าสามเหลี่ยมแบบที่เคยเห็นแต่ในหนังลามกถูกเข็นออกมาทันที “อยากจะดูน้ำหน้าแกจริงๆ ลู่อี้เผิง ตอนที่แกถูกถอดกางเกงออก แล้วขึ้นไปนั่งบนม้าตัวนั้นน่ะ แกทำหน้ากับส่งเสียงให้ดีๆ หน่อยก็แล้วกัน วีดีโอมันจะได้มีสีสันหน่อย เปิดให้ใครดูจะได้ไม่อายเขา”
ลู่อี้เผิงเม้มปากอย่างคนคิดหนักในทันที “คุณถง คุณตกลงจะถ่ายวีดีโอไว้แบล็กเมล์ผม?”
“แน่นอน หรือแกคิดว่ายังจะมีอย่างอื่นอีก” คนถูกถามตอบ ลู่อี้เผิงมีสีหน้าลำบากใจขึ้นมาจริงๆ “งั้นมีอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่าขึ้นม้านี่อีกมั้ย? ผมว่าขึ้นม้าอย่างเดียวมันดูน่าเบื่อไป”
ถงไป่สือถลึงตามองคนตรงหน้าเหมือนเห็นผี ก่อนจะพูดขึ้น “ลู่อี้เผิง แกเป็นพวกซาดิสม์หรือไงหือ?! ฮ่าๆ งั้นก็ได้ สนองความต้องการแกหน่อยแล้วกัน” พูดจบก็ตวัดแส้ขึ้นอีก เสียงเพี๊ยะๆ ดังติดๆ กัน รอยแดงหลายปื้นปรากฏขึ้นบนตัวของลู่อี้เผิงทันที
“พอได้อยู่นะ แต่ผมอยากได้แรงกว่านี้ เอาแบบที่กรีดเนื้อเถือหนังเลยดีกว่า”
“ปากดีจริงๆ อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะชอบอย่างที่ปากพูดแน่หรือเปล่า” ถงไป่สือพูด และเรียกตัวลูกน้องคนหนึ่งเข้ามา จากนั้นมีดด้ามยาวเล่มหนึ่งก็สะท้อนประกายของมันอยู่ตรงหน้าลู่อี้เผิง
“สารวัตรลู่ มาดูกันดีกว่าว่าผิวขาวๆ ของแกเวลาถูกกรีดจะเป็นยังไง” ถงไป่สือพูด ขณะที่ลูกน้อยขยับมีดในมือไปมาตรงหน้า ลู่อี้เผิงถอนหายใจเฮือก ก่อนจะพยักหน้า “แบบนี้ก็พอใช้ได้อยู่นะ”
โดยไม่มีใครคาดคิด ลู่อี้เผิงที่ถูกคล้องกุญแจมือและมัดห้อยอยู่กับขื่อเป็นนานสองนาน จู่ๆ ก็ดีดตัวขึ้นจากพื้น ตวัดเท้าเตะคนตรงหน้า ก่อนจะใช้เท้าอีกข้างฉวยมีดเอาไว้ แล้วดีดตัวอีกครั้ง ก่อนจะใช้มีดเล่มนั้นตัดเชือกที่ห้อยอยู่กับขื่อออก ทั้งหมดนี้กินเวลาไม่ถึงห้าวินาทีด้วยซ้ำ
“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ถงไป่สือตะโกนออกมา และตวัดแส้ จังหวะนั้นเองที่ลู่อี้เผิงตัดเชือกขาด ชายหนุ่มม้วนตัวกลางอากาศ ก่อนจะใช้เท้าซัดมีดเล่มนั้นไปยังหลอดไฟหลอดใหญ่ที่ห้อยอยู่ด้านบน
โพล๊ะ!
เสียงแตกของหลอดไฟดังขึ้นพร้อมกับแส้ที่พลาดเป้า และแสงสว่างที่ดับวูบลง ความโกลาหลเกิดขึ้นทันที ต่างคนต่างส่งเสียงเอะอะ
“เฮ้ย มันหนีไปแล้ว!”
“โอ๊ย!!”
“มันจะขึ้นไปชั้นบน เปิดไฟเร็ว!!”
กว่าที่ไฟจะติดขึ้นอีกครั้ง ลู่อี้เผิงก็หายตัวไปแล้ว ขณะที่ถงไป่สือกำลังเดือดพล่านกับสิ่งที่เกิดขึ้น เสียงรัวราวกับจุดประทัดพร้อมกับเสียงแตกหักของวัสดุต่างๆ ก็ดังขึ้นมาจากอีกห้องหนึ่ง
“อะไรกันอีกวะเนี่ย!!??” ถงไป่สือกระชากเสียง ก่อนจะเห็นลูกน้องคนหนึ่งวิ่งลนลานเข้ามา
“หงคงฉ่วย หงคงฉ่วย!!”
พูดยังไม่ทันขาดคำ กระสุนก็พุ่งทะลุผนังเข้ามา ต่างคนต่างรีบหมอบลงกับพื้นทันที เสียงแตกหักของข้าวของกับเสียงระเบิดของดินปืนลั่นไปหมด กว่าที่มันจะสงบลงได้ หลายคนก็คิดว่าตัวเองคงหูหนวกไปแล้ว
พอตั้งตัวได้ ถงไป่สือก็สั่งลูกน้องอีกห้าคนเตรียมอาวุธ แล้ววิ่งไปดูที่หน้าร้านทันที พอออกไปถึงทุกคนก็ต้องผงะ คาเฟ่หรูเมื่อไม่กี่นาทีก่อน กลายเป็นเศษซากอะไรซักอย่างที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากควันปืนและเศษปูน ที่สำคัญ รอยกระสุนที่สาดใส่ผนังถึงกับเป็นการเขียนตัวอักษรทิ้งเอาไว้
‘ค่าทำเสียเวลา’
ถงไป่สือเบิ่งตากว้างจนแทบจะถลนออกมา ก่อนจะคำรามขึ้น “หงคงฉ่วย!” จากนั้นจึงนึกอีกเรื่องขึ้นมาได้
ไอ้ตำรวจนั่น!!
---------------------------------------------------------------------------
ห้องทำงานของถงไป่สือตั้งอยู่ชั้นบน เลยรอดจากห่ากระสุนไปอย่างเฉียดฉิว เจ้าพ่อค้ากามวัยใกล้ห้าสิบรอมร่อวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นมา หยิบกุญแจขึ้นมาไขประตู ก่อนจะวิ่งตรงไปยังโต๊ะทำงาน ก้มลงเปิดลิ้นชักลับออกมา คุ้ยกระดาษหลายสิบใบขึ้นมา แล้วรีบยัดเข้าไปในอกเสื้อ จากนั้นถึงรู้สึกว่าใครยืนอยู่ด้านหลัง
ถงไป่สือตะโกนเรียกลูกน้องตัวเอง แต่สิ่งที่ได้รับคือแรงกระแทกอย่างหนักหน่วงที่หัวไหล่ ก่อนจะถูกจับกดหน้าลงไปบนโต๊ะทำงาน
“ถงไป่สือ ผมขอจับกุมคุณในข้อหากักขังหน่วงเหนี่ยว และทำร้ายเจ้าหน้าที่” ลู่อี้เผิงพูดพร้อมกับกดกุญแจมือลงไปเสียงดังกริ๊ก แล้วหยิบเอกสารบางส่วนที่ร่วงอยู่ขึ้นมาดู “อ้อ... ข้อหาเปิดสถานบริการผิดกฎหมายและกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่าสิบห้าปีด้วย รายชื่อต้นฉบับนี่เก็บไว้ดีน่าดูเลยนะ คุณถง”
ถงไป่สือฮึดฮัดอย่างเห็นได้ชัด แต่เพราะถูกกดไว้เลยทำอะไรได้ไม่มาก เขาเงยหน้าขึ้นมองลู่อี้เผิง ก่อนจะได้ยินเสียงไซเรนดังแว่วอยู่ด้านนอก “ไอ้ลู่อี้เผิง แกร่วมมือกับไอ้นกยูงนรกนั่นแต่แรกสินะ”
ลู่อี้เผิงถอนหายใจออกมา “ผมจะบอกอะไรให้อย่างนะคุณถง เรื่องนี้คุณหลงมาติดกับเอง ไม่มีใครใช้ให้คุณมาจับตัวผม ไม่มีใครใช้ให้คุณโทรหาเขา คุณทำตัวคุณเองล้วนๆ ”
ถงไป่สือถลึงตามองเขา ก่อนจะคำรามออกมา “หงคงฉ่วย!!”
-------------------------------------------------------------------