บทที่ 27
กาลครั้งหนึ่งของนาว
ถ้าเรื่องเข้าพระเข้านางผมให้ไอ้ธีมมันเล่าดีกว่าครับ ผมไม่ถนัด ผมถนัดแต่เรื่องสวยงาม เรื่องใสๆ ตอนนี้..ผมขอเล่าเรื่องราวชีวิตของผมต่อแล้วกันนะครับ
ก็.....หลังจากที่ผมโดนไอ้หมาธีมนัวเนียจนหนำใจมันแล้ว ผมกับมันก็ลงมานั่งคุยกับเพื่อนๆ ต่อจนถึงเวลาอาหารค่ำ พวกผมแต่งตัวธรรมดาไม่ได้เป็นทางการอะไรมากมาย แต่ก็ดูเรียบร้อยถูกกาลเทศะแน่นอน พวกเราทุกคนไปถึงที่วังใหญ่ก่อนเวลาพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังช้ากว่าบรรดาพระญาติของไอ้โหดที่มากันครบหมดแล้ว และในงานเลี้ยงอาหารค่ำคืนนี้ก็ยังมีคนอื่นมาร่วมด้วย มาคัสกระซิบบอกกับไอ้โหดว่า คนที่มาร่วมงานด้วยคือบรรดาทหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ต้องการมาแสดงความยินดีกับไอ้โหดที่มันได้กลับคืนสู่บัณตรา
อาหารค่ำดำเนินไปแบบเรียบง่าย ท่านปู่แนะนำพี่ธีมให้กับบรรดาทหารและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่มาร่วมงานได้รู้จัก ทุกคนดูชื่นชมมันอย่างออกนอกหน้าจนผมแปลกใจ จะว่าไปมันไม่ได้มีส่วนร่วมในการปราบปรามกบฏด้วยสักหน่อย แต่ทำไมทุกคนดูให้ความสำคัญกับมัน ราวกับมันคือผู้ที่ยึดอำนาจคืนมาได้ ผมว่ามันคงคิดเหมือนผม ระหว่างที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อไอ้เกลือสะกิดผม
“องค์ราชินีทรงคุยกับแกอะไอ้นาว เหม่ออยู่ได้” ไอ้เกลือกระซิบบอก ผมรู้ตัวเลยว่าตัวเองหน้าเหวอมาก ผมมัวแต่มโนอยู่ เลยไม่ได้ยินว่าท่านรับสั่งอะไร แต่เหมือนท่านย่าของไอ้โหดมันจะรู้ว่าผมสติหายอยู่เลยพูดซ้ำประโยคที่ผมไม่ตั้งใจฟัง
“ประชาชนที่นี่ชื่นชอบหนูปารมีมาก ได้มาเจอตัวจริงวันนี้ก็ไม่แปลกใจเลย ลูกชายคุณปริณหล่อเหลาสมคำร่ำลือ” ย่าของพี่ธีมพูดจบทุกสายตาในวงสนทนาก็หันมามองผม ‘สมคำร่ำลือ’ ผมฟังแล้วได้แต่คิดว่าผมเป็นที่รู้จักขนาดนั้นเชียวเหรอ ผมได้แต่โค้งคำนับแทนคำขอบคุณ ผมลืมบอกไปว่า พวกเราสนทนากันโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยู่ในงานนี้จะพูดภาษาไทยได้ แล้วพวกผมก็ไม่เข้าใจภาษาของบัณตรา เราจึงต้องใช้ภาษากลางที่ทั้งสองฝ่ายจะสื่อสารกันเข้าใจ
“ที่นี่ไม่มีละคร ไม่มีรายการบันเทิงมานานแล้ว มีแต่ข่าวทั่วไป ยิ่งช่วงที่พวกกบฏครองอำนาจ ชาวบัณตราไม่สามารถรับสื่อใดๆ จากภายนอกได้เลย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีการนำของจากเมืองไทยเข้ามาขาย เช่นพวกแผ่นวีซีดีละครหรือรายการบันเทิงต่างๆ คนที่นำเข้ามาก็เป็นพวกทหารที่ได้มีโอกาสเดินทางไปที่เมืองไทย พวกนั้นมักจะหารายได้เสริมเอาแบบนี้ ประชาชนส่วนใหญ่ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก มีเพียงเมืองไทยที่ทางเรามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เป็นเหมือนบ้านพี่เมืองน้อง” เจ้าชายมิคาเอลอธิบายเพิ่ม พวกผมก็พยักหน้ารับรู้ แบบนี้นี่เองคนที่นี่ถึงรู้จักผมและดูจะคุ้นเคยกับเรื่องของประเทศไทย
“ไม่คิดจะทำละครหรือรายการบันเทิงเองหรือครับ” ไอ้บูมครับที่ถามเจ้าชายมิคาเอล มันกล้ามาก ผมเห็นสายตาบรรดานายทหารที่มายืนอยู่ในวงสนทนาด้วยก็เกร็งจนฉี่จะปริบแล้ว แต่ไอ้บูมมันกลับดูสบายๆ ผมเห็นสาวสูงวัยคนหนึ่งมองไอ้บูมแล้วก็ส่งยิ้มให้มันตลอด มันได้ดูดวงมารึเปล่าวะ มันอาจจะมีดวงเสียพรหมจรรย์ให้สาวสูงวัย
“สนใจสิ เราสนใจมาก ท่านย่าก็คิดเช่นนั้นใช่หรือไหมครับ” เจ้าชายมิคาเอลพูดก่อนจะหันไปถามองค์ราชินี
“อืม เราสนใจมาก เห็นทีจะต้องเชิญคุณปริณมาเป็นที่ปรึกษา แล้วหนูปารมีสนใจจะมาเป็นพระเอกละครเรื่องแรกของบัณตราหรือไม่” ย่าของพี่ธีมหันมาถามผม ผมแอบเหลือบมองพี่ธีม เห็นมันเอาแต่ยิ้ม แต่คนที่นั่งข้างมันดูจะเอาใจใส่มันเหลือเกิน ชวนมันคุย จิ้มโน้นจิ้มนี้ให้มันตลอด จิ้มอาหารนะครับ ไม่ใช่ใครที่ไหน ผู้นั้นก็คือเจ้าหญิงตังเมคนเดิมที่เพิ่มเติมคือการแสดงความเป็นเจ้าของ ถึงผมจะรู้ว่าไอ้โหดไม่ได้คิดอะไรแต่ก็อดรำคาญสายตาไม่ได้
“ถ้าเห็นว่ากระหม่อมเหมาะสมกับบทก็ยินดีขอรับ” ผมตอบเป็นภาษาไทย เพราะองค์ราชินีหันมาพูดภาษาไทยกับผม
“พูดธรรมดาเถอะ คนกันเองทั้งนั้น” องค์เหนือหัวรับสั่งกับผมเสร็จก็เรียกนางข้าหลวงให้มาเสิร์ฟอาหารต่อ
“ถูกปากไหม..น้องนาว” เจ้าชายมิคาเอลถามผม คำว่าน้องนาวดูเสียงอ่อนเสียงหวานชอบกล แต่พูดกับผมจบก็หันไปยิ้มให้ธาร แต่ธารทำเมินใส่เจ้าชาย ผมว่าเจ้าชายมีออร่าความเจ้าชู้อย่างที่ธารบอกจริงๆ ดูมองใครก็ตาเยิ้มไปหมด
“ว่าไง ถูกปากไหม” เจ้าชายมิคาเอลถามซ้ำ
ผมยังจำศัพท์ที่อลันสอนผมได้ คำว่า ‘อร่อยมาก’ อลันสอนตอนที่ผมอยากบอกกับป้าคนขายไอศกรีมไงครับว่าอร่อยมาก ตอนนี้เลยอยากโชว์นิดหนึ่งว่าผมพูดภาษาบัณตราได้ เอาซี๊ ต้องให้รู้ว่าผมก็ใส่ใจประเทศนี้ ไม่ใช่แค่สนใจเจ้าชายหมาธีมอย่างเดียว
“เออโรมันโย มาตาอาคา” ผมพูดจบก็ยิ้ม เสียงสนทนาบนโต๊ะเงียบกริบ
“คิ...คิกๆๆ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ” มิเชลหลุดหัวเราะมาหน่อยนึง แต่สุดท้ายก็ปล่อยหัวเราะออกมาอย่างเปิดเผย
จากนั้นผมก็เห็นว่าคนในโต๊ะต่างก็พาก็หัวเราะกันหมด รวมถึงปู่และย่าของไอ้โหดด้วย คงมีแต่พวกเพื่อนๆ ผมที่นั่งทำหน้าเป็นหมางงไม่ต่างจากผมเลย เพราะพวกมันก็คงไม่เข้าใจว่าผมพูดอะไรไป ผมหันไปมองอลัน อลันทำหน้าเสียก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ผม ผมเลยรู้ได้ทันทีว่าคงจะโดนอลันแกล้งเข้าให้แล้ว ผมเหมือนตัวตลกมากเลยในตอนนี้
แต่ยังมีอีกหนึ่งคนนอกจากกลุ่มเพื่อนผมที่ไม่ได้ขำตามคนอื่นไปด้วย คนผู้นั้นก็คือเจ้าชายแอชตัน ผมนึกขอบคุณที่เจ้าชายคนนี้ยิ้มยากก็ตอนนี้แหละครับ ผมนี่แทบอยากมุดหน้าลงใต้โต๊ะให้รู้แล้วรู้รอด สรุปว่า..ไอ้เออโรมันโยมาตาอาคา มันแปลว่าอะไรกันแน่
“ไปหัดมาจากไหนจ๊ะ” แม่ของพี่ธีมถามผมเป็นภาษาไทยก่อนจะส่งยิ้มให้ผม ผมมองหน้าพี่ธีม ดูมันก็เริ่มไม่พอใจที่คนอื่นพากันหัวเราะเยาะผม ผมส่งสายตาบอกมันว่าไม่เป็นไร หวังว่ามันคงจะเข้าใจนะ ผมไม่อยากให้บรรยากาศมาคุ ยอมเป็นตัวตลกไปเสียดีกว่า
“เอ่อ คือ..ผมขอโทษครับ..ผมคงจำผิดมา คือ ผม...”
“ไม่เห็นจะน่าตลกตรงไหน การหัวเราะเยาะแขกที่พยายามให้เกียรติด้วยการใช้ภาษาของเรา มันเสียมารยาทมากนัก”
สิ้นประโยคนี้คนทั้งโต๊ะก็เงียบกริบ ต้องบอกว่า..คนทั้งห้องสิถึงจะถูก เงียบชนิดว่ามดจามยังได้ยิน คิดดูนะครับ ขนาดองค์เหนือหัวสเตฟานและองค์ราชินีเองก็ยังเงียบ เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดถึงคนอื่น แต่ผมไม่เข้าใจเพราะคนพูด พูดเป็นภาษาบัณตรา ผมอยากจะกินวุ้นแปลภาษาจริงๆ ว่าเจ้าชายแอชตันพูดอะไรออกไป ทำไมทุกคนถึงได้หยุดหัวเราะแล้วเงียบกันหมด
“เราอิ่มแล้ว ขอตัวก่อน” เจ้าชายแอชตันพูดต่อหลังจากที่พูดประโยคดุดันเมื่อครู่ออกมา ผมเห็นเจ้าชายแอชตันจ้องมองมองเจ้าหญิงมิเชลตาเขม็ง คนถูกมองก็เริ่มจะตาแดงๆก่อนจะเงยหน้าหันมามองผม
“เราขอโทษ เราไม่ได้ตั้งใจหัวเราะออกมา” มิเชลเอ่ยขอโทษผมเสียงเบา ส่วนเจ้าชายแอชตันเห็นมิเชลพูดขอโทษผมแล้วก็วางผ้าเช็ดปากลงก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยมีมาคัสและองค์รักษ์ร่วมสิบคนเดินตามไปด้วย บรรยากาศที่ตึงเครียดเมื่อครู่ดูผ่อนคลายลงไปถนัดตาเมื่อเจ้าชายหน้าดุเดินออกจากห้องไป ถ้าผมไม่ได้มโนเอาเอง เจ้าชายแอชตันคงช่วยแก้หน้าให้ผมใช่ไหม ไม่เช่นนั้นมิเชลคงไม่ขอโทษผม
“ไม่เป็นไรครับ” ผมบอกกับมิเชล
“เราก็ต้องขอโทษด้วยนะ เราเสียมารยาทไปจริงๆ” ท่านปู่ของไอ้โหดตรัสกับผมบ้าง พอได้ยินองค์เหนือหัวพูดกับผมแบบนี้ ผมค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเจ้าชายแอชตันคงจะตำหนิทุกคนที่หัวเราะผม
“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่..ที่ผมพูดไปเมื่อครู่ มันแปลว่าอะไรเหรอครับ” ผมถามเพราะอยากรู้ ทุกคนดูอึกอัก สุดท้ายคนที่ตอบคือเจ้าชายมิคาเอล
“แปลว่า ผมชอบกินทุกอย่างที่ขวางหน้าครับ” พอเจ้าชายพูดจบ คนในบัณตราก็ไม่กล้าหัวเราะอีก แต่...บรรดาไอ้ฝูงไฮยีน่าเพื่อนของผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ ไอ้โหดเองมันคงไม่กล้าขำ แต่หน้ามันเหมือนคนทุรนทุรายแบบจะหัวเราะก็ไม่กล้าแต่ก็กลั้นแทบไม่ไหว แม่งไอ้หมาธีม...หัวเราะมาเหอะ ผมทรมานแทนมัน มันคงกลัวผมงอนมันล่ะสิ
คราวนี้ผมหันไปมองอลันคนที่สอนประโยคนี้กับผมอีกครั้ง คนถูกมองหน้าซีดเป็นไก่ต้ม สักพักผมก็ระเบิดเสียงหัวเราะตามเพื่อนๆ ผม อลันหน้าเอ๋อไปเลย คงไม่คิดว่าผมจะหัวเราะ ทุกคนในห้องก็ทำหน้างงกันยกใหญ่ที่เห็นผมกับเพื่อนหัวเราะกันจนหน้าดำหน้าแดง โธ่..ผมไม่โกรธหรอกครับ ตอนแรกนึกว่ามันเป็นคำสัปดนเสียอีก พอเข้าใจคำแปลผมก็เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงได้ขำ
หนอย อลัน!! บังอาจมาแกล้งมะนาวต่างดุ๊ดคนนี้เหรอ คิดจะเอาคืนผมละซี๊ อย่าคิดว่าคนอย่างไอ้มะนาวจะใจดีนะอลัน พรุ่งนี้ผมจะประกาศสงครามกับนายทหารหน้าอ่อนคนนี้ ผมนึกในใจแล้วก็ขำตัวเองต่อจนเหนื่อย
บรรยากาศที่ดูตึงเครียดกลับมาสดใสเหมือนเดิม องค์เหนือหัวทรงชวนคุยและเล่าเรื่องขำๆ ของภาษาบัณตราต่อจนพวกผมขำกับไม่หยุด จากนั้นทุกคนก็ย้ายไปคุยกันต่อในห้องรับแขกอีกห้องเพื่อทานชาและขนม ท่านย่าและท่านแม่ของไอ้โหดก็ชวนผมกับไอ้ยีนคุยเรื่องละคร เจ้าชายมิคาเอลก็คุยอยู่กับธารและไอ้มีน ส่วนไอ้โหด ไอ้เกลือ ไอ้บูม ไอ้จอม คุยกับนายทหารชั้นผู้ใหญ่สองสามคนอย่างออกรส ผมไม่รู้เขาคุยเรื่องอะไรกัน อยากเม้าด้วยมากเลยแต่ยังหาช่องทางไปจากตรงนี้ไม่ได้ ว่าแต่ผมไม่เห็นไอ้บิวเลย มันหายไปไหนไม่รู้ ผมมองหาไอ้บิวจนสายตาไปหยุดอยู่คนๆ หนึ่ง คนที่นั่งเงียบอยู่ตรงมุมห้อง ซึ่งก็คือเจ้าหญิงมิเชล ผมจึงขอตัวออกมาหาเธอ
“ไม่ดื่มชาเหรอ” ผมถาม ไม่รู้จะชวนคุยอะไรดี
“ไม่ เราไม่ชอบ” มิเชบตอบเสียงห้วนๆ
“นาวทำอะไรให้มิเชลไม่พอใจก็บอกนะ” ผมถามตรงๆ มิเชลได้ยินก็หน้าเจื่อนไปนิดหนึ่งก่อนจะส่ายหน้า
“ไม่ต้องสงสารเราหรอก ไม่ต้องมาชวนเราคุย เราเหมือนหมาหัวเน่าจนชินแล้ว” มิเชลบอก
“ทีแรกก็ไม่ได้สงสาร แต่จะสงสารตอนที่มิเชลบอกว่าตัวเองเป็นหมาหัวเน่านี่แหละ” ผมพูดจบมิเชลก็เงยหน้าขึ้นมามองผมแบบไม่พอใจ ก่อนจะหันหน้าหนีไป
“พรุ่งนี้พวกเราจะไปเที่ยวชายหาด อยากไปลองเล่นเซิร์ฟ ไปด้วยกันไหม อยู่คนเดียวหัวจะเน่าหนักกว่าเดิมนะ” ผมบอก มิเชลค้อนผมแล้วเงียบไป
“เราเป็นเพื่อนกันได้นะ ไม่เห็นจำเป็นต้องเป็นศัตรูกันเลย เคืองเราเรื่องของพี่ธีมเหรอ เราไม่ห้ามมิเชลหรอกนะถ้าจะรู้สึกอะไรกับพี่ธีม เพราะเรื่องแบบนี้มันห้ามกันไม่ได้ แต่มิเชลจะห้ามเรากับพี่ธีมให้เลิกรักกันไม่ได้เหมือนกัน เข้าใจนะ ถ้าจะไป พรุ่งนี้มาที่วังขาวหลังอาหารเช้าแล้วกัน” ผมพูดจบก็หันหลังเตรียมจะเดินออกไป ผมรู้ว่ามิเชลรู้เรื่องของผมกับพี่ธีม ผมก็อยากจะพูดกับเธอตรงๆ ยังไม่ทันที่ผมจะได้เดินไปข้อมือของผมถูกมิเชลดึงเอาไว้ ผมหันกลับไปมอง เห็นมิเชลเอาแต่ก้มหน้าแต่มือของมิเชลก็ยังดึงมือผมเอาไว้
“เราไม่ได้..ไม่ได้ชอบพี่ธีม เราเป็นน้องสาว จะคิดแบบนั้นได้ไง” มิเชลบอก ผมไม่รู้ว่ามิเชลคิดอย่างที่บอกจริงๆหรือเปล่า
“อ๋อ ครับ” ผมตอบได้แค่นั้น เพราะไม่รู้จะพูดว่าอะไรต่อ มิเชลปล่อยมือผมแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไปเลย ผมเกาหัวงงๆ ก่อนจะเดินกลับไปสมทบกับกลุ่มของพี่ธีม
“กลับกันไหม” ผมกระซิบถามพี่ธีม มันพยักหน้าให้ผมก่อนจะพาพวกผมเดินไปไปกล่าวลาบรรดาพระญาติและเหล่าทหาร ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ทุกคน แล้วงานเลี้ยงก็เลิกราและจบลงด้วยดีไปอีกหนึ่งวัน
เมื่อคืน..เมื่อกลับมาถึงวังขาวแล้วพวกผมก็ยังมานั่งคุยกันต่อจนเกือบตีสาม ส่วนไอ้บิวกลับเข้ามาก็ประมาณตีหนึ่งกว่าๆ มันบอกว่ามันไปดูที่ทำงานมันมาครับ มันบอกว่าแอบไปดูพวกห้องเครื่องเขาเตรียมอาหารกัน แต่ผมอยากบอกมันว่า มันโกหกไม่เนียนเลย ห้องเครื่องประเทศไหนเขาจะเปิดถึงตีหนึ่งแข่งกับเซเว่น แต่ก็ไม่อยากจะกดดันมัน ถ้ามันโกหก แปลว่ายังไม่อยากให้ใครรู้ คุยกันจนเริ่มง่วงก็แยกย้ายกลับขึ้นห้องไปอาบน้ำให้ท่า เฮ้ย ไม่ใช่ อาบน้ำอาบท่า! เสร็จแล้วผมก็หลับสนิทเลย มันเพลียนี่ครับ ผมหลับยาวจนเช้าก็ยังไม่อยากตื่น แต่ก็ต้องตื่นเพราะถูกหมาเลียปากอยู่
“นาวง่วงนะ” ผมงัวเงียบอกหมาตัวที่กำลังวุ่นวายอยู่กับปากผม ท่าทางมันจะเป็นหมากลับชาติมาเกิดจริงๆ เลียปากผมอยู่ได้ ผมก็เพลินไปสิ เอ้ย ไม่ใช่ ผมก็รำคาญนะ
“เช้าแล้ว ตื่นสิ” มันบอกก่อนจะหอมแก้มผมอีก
“อีกหน่อยนะ” ผมอ้อนมัน
“อ๋อ ได้” มันจูบผมอีกจนผมต้องหันหน้าหนี
“หมายถึงจะนอนอีกหน่อย ไม่ใช่จูบอีกหน่อย ไอ้หมาหื่น” ผมโวยวายมัน
“อ้าว พี่นึกว่าติดใจ ให้จูบอีกหน่อย”
“จิ๊” ผมส่งเสียงรำคาญมัน มันก็หอมแก้มผมต่อ หอมเบาๆ แต่ก็หอมไม่เลิก
หึ..จะเล่นงี้ใช่ไหมไอ้หมาธีม ผมลืมตาแล้วพลิกตัวขึ้นไปนอนทับมัน เอามือจับแก้มมันทั้งสองข้าง แล้ว จูบรัวๆ จูบปาก จูบตา จูบแก้ม จูบคาง จูบหน้าผาก จูบจมูก จูบเสร็จก็จับหัวมันโขกหมอนเล่นอีก มันหัวเราะลั่นเลย..ไอ้หมาซาดิสเอ้ย
“แกมันเสพติดความรุนแรง” ผมด่ามัน มันกดท้ายทอยผมให้ลงมารับจูบมัน
“เสพติดนาวรุนแรงมากกว่า”
“เป็นแบบนี้ให้ตลอดด้วยนะ เสพติดก็ต้องติดให้ตลอด” ผมกลัวมันจะหลงผมแค่ช่วงแรก ซึ่งเป็นปกติของคนส่วนใหญ่ อะไรใหม่ๆ ก็เห่อทั้งนั้น
“บอกตัวเองเหอะ” มันย้อนมาว่าผม
“พี่ก็ต้องทำตัวดีๆ อย่าให้นาวเบื่อ เข้าใจไหม” ผมยักคิ้วให้มัน มันเลยกัดปากผมเบาๆ ไอ้หมาธีมชอบหมั่นเขี้ยวรุนแรงทุกที เห็นท่าว่า..ถ้ายังนอนนัวเนียกับมันแบบนี้ ผมคงไม่ได้กินข้าวเช้าแน่ๆ
“ไปอาบน้ำ พี่ไปอาบก่อน สายแล้วเดี๋ยววันนี้ไปเที่ยวทะเลนะ เร็วๆ” ผมไล่มันให้มันไปอาบก่อน ผมจะได้แอบงีบอีกนิด
“อาบพร้อมกันเลย เพราะถ้าพี่ไปอาบก่อนนาวนอนต่อแน่ แล้วปลุกก็ยาก” มันบ่น แม่ม เจือกรู้ทันอีก
“งั้นอาบอย่างเดียวนะ ห้ามนัวเนียนาว” ผมกำชับมัน มันไม่ได้ตอบแต่ลุกขึ้นดึงผมไปอาบน้ำพร้อมกับมัน
ผมไม่คิดว่ามันจะยอมอยู่เฉยหรอก ความหื่นระดับแอดวานซ์แบบอันลิมิเต็ดมีหรือที่มันจะยอม แต่ปรากฏว่ามันไม่ได้กระทำการใดๆ ที่เป็นการแทะโลมผมเลยจนอาบน้ำเสร็จ มันแค่บีบยาสีฟันให้ แถมยังมานั่งสั่งผมให้อ้าปากอีก ผมโวยวายว่าแปรงฟันเองได้ แต่มันก็ดุให้ผมนั่งเฉยๆ ผมขำมันนะที่ทำอย่างกับผมเป็นเด็กๆ แต่ก็ขี้เกียจขัดใจมัน มันแปรงฟันให้ผม แทงซ้ายแทงขวา ทุกซอกทุกมุมแถมยังแปรงลิ้นให้ด้วย ดูมันตั้งใจมากๆ เลยครับ แล้วก็ฟอกตัวให้ผม ทุกซอกทุกมุมจนหอมไปทั้งตัว เกือบจะซาบซึ้งถึงขีดสุดแล้ว เกือบจะรู้สึกผิดที่ไปคิดว่ามันหื่นตลอดเวลาถ้ามันไม่พูดอะไรออกมาในขณะที่เช็ดตัวให้ผมเสียก่อน
“มาเช็คหน่อยว่าสะอาดยัง” แล้วมันก็จูบผม ลิ้นมันนี่ชิมไปทั่วปากผมเลย จากนั้นมันก็หอมซอกคอ หอมไปทั่วตัวจนมันพอใจแล้วถึงได้ลุกขึ้นมายิ้มให้ผม หึ สุดท้ายก็โดนมันแทะโลมอยู่ดี ซึ่งผมด่ามันไม่ได้ด้วย เพราะตอนอาบน้ำมันไม่ได้ทำอะไรผมจริงๆ มันมาเจ๊าะแจ๊ะผมตอนอาบเสร็จแล้วต่างหาก มันไม่ผิด
“พี่นี่นะ ทำดีหวังผลตลอด” ผมบ่นมัน มันหยิบเสื้อมาสวมให้ผม วันนี้อากาศไม่หนาวเท่าไหร่แต่มีลมแรงพอควร เมื่อวานมาคัสบอกพวกผมว่าวันนี้น่าจะมีคลื่นลมดี เหมาะกับจะพาพวกผมไปเล่นเซิร์ฟ
“เมื่อวานนาวคุยอะไรกับมิเชล” มันถามผม นึกว่าไม่เห็นเสียอีก ผมเห็นมันคุยกับกลุ่มนายพลนั่นตั้งนาน
“ก็ไปชวนคุย เห็นนั่งคนเดียว เลยชวนไปเที่ยวด้วยกันวันนี้อะ” ผมบอกมัน
“รู้รึเปล่าว่ามิเชลไม่ใช่ลูกของท่านอาโมนัฟกับอานงนุช” มันถามผม ผมส่ายหน้า รู้สึกสนใจกับข้อมูลใหม่ที่ได้รับ ผมไม่ใช่คนขี้เสือกนะ แค่เป็นคนตั้งใจฟังเวลาที่คนอื่นพูด
“แสดงว่ามิเชลไม่ใช่น้องแท้ๆ ของเจ้าชายมิคาเอลกับเจ้าชายแอชตันเหรอ” ผมถาม
“อืม มิเชลเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านอาแฮแทน น้องสาวคนเล็กของพ่อพี่” พี่ธีมเล่าต่อ ผมได้ยินก็นึกไปถึงสวนสวยหลังม่านน้ำตกที่มาคัสพาผมไปดู เจ้าหญิงแฮแทนทำสวนดอกไม้แห่งนั้นเอาไว้ให้ลูกสาวซึ่งคือมิเชลนี่เอง
“อ้าว..แล้วพ่อของมิเชลล่ะ” ผมถามไอ้โหดแล้วก็เป็นฝ่ายติดกระดุมเสื้อให้มันบ้าง
“พ่อของมิเชลคือทารัส ซึ่งเป็นสามีของท่านอานาตาลี อานาตาลีก็คือน้องสาวคนที่สามของพ่อพี่ไง เป็นพี่สาวแท้ๆของอาแฮแทน” มันอธิบายให้ผมฟังจบผมก็อึ้งไปเลย เงยหน้าขึ้นไปมองมัน มันก้มลงมาหอมหน้าผากผมแล้วถึงเล่าต่อ ได้แทะโลมนิดนึงก็เอานะไอ้หมาธีม
“อาแฮแทนรักกันกับทารัสมาก่อน แต่ตามประเพณีทารัสคือคู่หมั้นคู่หมายของอานาตาลี ทารัสกลัวตัวเองจะถูกปลดออกตระกูลหากไม่ยอมแต่งกับอานาตาลี ทารัสเลยยอมทิ้งอาแฮแทนเพื่อมาแต่งกับอานาตาลี แต่เมื่อแต่งงานไปแล้วก็ยังแอบกลับคบหากับอาแฮแทนลับๆ จนตั้งท้องมิเชล ท่านปู่โกรธมากเพราะไม่รู้ว่าอาแฮแทนท้องกับใคร อาแฮแทนพยายามจะฆ่าตัวตายพร้อมกับลูกในท้องเพื่อลบล้างความผิด แต่ทารัสไม่ยอม สุดท้ายก็ก่อการกบฏจนสำเร็จและแต่งตั้งอาแฮแทนขึ้นมาเป็นภรรยาอีกคน”
“แม่ของพี่เล่าให้ฟังเหรอ” ผมถาม มันพยักหน้า
“แล้วที่แม่เมเคยเล่าว่า เจ้าหญิงทั้งสองถูกวางยาพิษจนตาย ใครวางยาพิษกัน ทารัสเหรอ ถ้าทารัสรักแม่ของมิเชล ทำไมถึงวางยาล่ะ” ผมถามไอ้โหด ฟังแล้วก็ยิ่งนึกสงสารมิเชล ไม่รู้ว่ารู้เรื่องของตัวเองรึเปล่า ถ้าผมเป็นมิเชลคงอยู่ยากแน่ๆ
“หลังจากที่ก่อกบฏยึดอำนาจมาได้สำเร็จ มันประกาศกับประชาชนว่าท่านปู่กับท่านย่าและพ่อของพี่เป็นโรคติดต่อขั้นรุนแรง ซึ่งทั้งสามพระองค์ได้รับเชื้อมาจากการเสด็จเยือนหมู่บ้านบนเขา ทารัสแต่งตั้งอาโมนัฟขึ้นมาเป็นกษัตริย์แต่ในนาม แต่อำนาจอยู่กับมัน อานาตาลีโดนทารัสวางยาพิษหวังให้ตายเพื่อจะได้ยกอาแฮแทนขึ้นมาเป็นภรรยาเพียงหนึ่งเดียว อาแฮแทนทนกับความเลวของทารัสที่ทำกับพ่อแม่พี่น้องของตัวเองไม่ได้จึงวางยาพิษให้ทารัสกินทุกวัน เป็นยาพิษที่สกัดจากต้นไม้พิษที่ท่านอาปลูกขึ้นมาเอง ไร้สี ไร้กลิ่น ด้วยความรักที่ทารัสมีให้อาแฮแทนเลยไม่ได้ระแวงอะไร จนร่างกายค่อยๆ ทรุดโทรมลงและเริ่มเพ้อเหมือนคนคุ้มดีคุ้มร้าย ใครๆ ต่างก็เข้าหน้ามันไม่ติด
“แล้วไงต่อ เล่าเร็วๆ” ผมเร่งพี่ธีมเมื่อมันหยุดเล่าแล้วมาหอมแก้มผมอีก
“ส่วนเจ้าชายมิคาเอลกับเจ้าชายแอชตันที่ถูกส่งไปอยู่ในค่ายทหารตั้งแต่ยังเล็กเพื่อเป็นตัวประกันไม่ให้ท่านอาโมนัฟกระด้างกระเดื้อง คนเก่าคนแก่ที่ยังจงรักภัคดีกับท่านปู่เลยช่วยดูแลและฝึกการต่อสู้ให้ทั้งสองคน เจ้าชายแอชตันเป็นคนมีความสามารถจนเป็นที่ยอมรับของเหล่าทหารในค่ายโดยที่ทารัสไม่ได้ระแคะระคายอะไร กอปรกับทารัสเริ่มป่วยด้วยพิษของยาความเข้มงวดจึงลดน้อยลง หลายปีที่มิคาเอลและแอชตันอยู่ในค่ายจนโตเป็นหนุ่ม ทั้งคู่ก็สะสมกองกำลังของตัวเองได้และติดต่อหาคนช่วยสนับสนุนเรื่องเงินซื้ออาวุธที่จะใช้ยึดอำนาจกลับมาได้ ทั้งคู่ยึดอำนาจคืนมาได้ในที่สุด ทั้งคู่ช่วยกันฟื้นฟูประเทศต่ออีกหลายปีจนสวยงามเหมือนที่เราเห็น”
“แล้วใครวางยาเจ้าหญิงแฮแทนละ”
“ท่านดื่มยาพิษด้วยตัวเอง ท่านรู้ว่าทารัสรักท่านมาก ท่านเองก็รักทารัสมาก แต่ก็ทนให้ทารัสทำแบบนี้กับคนในครอบครัวไม่ได้จึงยอมตาย”
“เฮ้อ...ความรักมันร้ายกว่าสิ่งใดๆ เลยนะ ถ้าพี่เป็นอาทารัสจะทำแบบนั้นไหม”
“ไม่ พี่คงยอมโดนปลดออกจากตระกูลตั้งแต่แรกแล้ว ในชีวิตของพี่ พี่ไม่ได้อยากอะไรเลย นอกจากนาว” มันบอกผม ผมยิ้มให้มันก่อนจะเขย่งเท้าขึ้นเพื่อจะโอบรอบคอมันเอาไว้ วางคางบนไหล่ของมัน ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะเขย่งทำไมให้เมื่อย แต่อยากโอบกอดมันเหมือนอย่างที่มันชอบกอดผมบ่อยๆ ผมรู้สึกดีและคิดว่ามันก็น่าจะรู้สึกเหมือนกัน ผมเลยเป็นฝ่ายกอดมันก่อน แต่มันดันสูงกว่าผมไง ผมเลยต้องเขย่งเท้าน่ะสิ
“ที่พี่เล่าให้นาวฟังเพราะอยากให้นาวเห็นใจมิเชลใช่ไหม อีกอย่าง พี่จะบอกว่า เจ้าชายมิคาเอลกับเจ้าชายแอชตันเสียสละชีวิตมากกว่าพี่ สมควรจะได้ครองราชย์มากกว่าพี่..ถูกไหม พี่ไม่ได้อยากได้รับตำแหน่ง ไม่อยากเป็นเจ้าชายแค่อยากมีนาว ใช่ไหม เอาดีๆ พี่อยากจะพูดอะไรกับนาว” ผมถามมัน สีหน้าของพี่ธีมในตอนนี้มันแสดงออกว่ามันทึ่งที่ผมรู้ทันมัน มันโอบเอวผมแล้วยกตัวผมจนขาลอยจากพื้น เดินไปจนถึงเตียงมันวางผมลง จับผมนั่งแล้วมันก็นั่งข้างๆ เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างกับผม แต่...
โปรดติดตามตอนต่อไป