คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
บทที่ 53
รู้จักรู้ใจ
---------
รุจีอายุถึงเกณฑ์เข้าโรงเรียนแล้ว
โรงเรียนถูกแบ่งออกเป็นโรงเรียนระดับต้นสำหรับเด็กอายุ 7-12 ปี โรงเรียนระดับกลางสำหรับเด็กอายุ 12-15 ปี และโรงเรียนระดับสูงที่รับเด็กอายุ 15 ปีขึ้นไป และศึกษาในหมวดวิชาเฉพาะทาง
โดยปกติแล้ว โรงเรียนระดับต้นไม่เป็นที่นิยมนัก เพราะในสกุลที่มีฐานะ เด็กอายุ 7-12 ปีมักเรียนอ่านเขียนและวิชาเฉพาะของสกุลจากที่บ้าน ในขณะที่สกุลชาวบ้านทั่วไป เด็กวัยเท่านี้ก็มักจะถูกเลี้ยงดูโดยปู่ย่าตายาย พออายุเกิน 12 ปี เด็กในสกุลที่มีฐานะก็มักจะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนระดับกลาง ส่วนเด็กจากสกุลชาวบ้านก็มักมีความรู้ไม่สู้ เด็กในกลุ่มหลังนี้จึงเข้าสู่ตลาดแรงงานแทน ในโรงเรียนระดับกลางจะเน้นสอนวิชาพื้นฐานทั่วไป และหากใครมีความสามารถทางด้านใดหรือถนัดวิชาใดเป็นพิเศษ เมื่ออายุเกิน 15 ปี ก็มักจะไปสอบเข้าโรงเรียนระดับสูงที่สอนวิชาเฉพาะทาง อย่างเช่นตรัสที่เคยคิดจะสอบเข้าเรียนในโรงเรียนแพทย์ของส่วนกลางเมื่อครั้งอายุ 15 ปี
รุจีอายุเกิน 12 แล้ว นางมีความรู้เรื่องการเขียนอ่านเป็นอย่างดี เด็กหญิงเล่าว่าคนที่กวดขันให้นางอ่านหนังสือให้มากก็คือรติ ผลผลิตออกดอกผลก็ตอนนางเริ่มโต จึงอ่านออกเขียนได้คล่องแคล่ว หากจะสอบเข้าโรงเรียนระดับกลางก็คงมีหวังทีเดียว
แต่ติดที่ว่า...พี่ชายผู้เคยกวดขันให้นางมีความรู้ กลับเริ่มหวงน้องขึ้นมา
โต๊ะอาหารเงียบกริบ ท่านอมราเองก็ยังไม่กล้าพูด ตรัสรู้ว่าถ้าเขาไม่พูด รุจีอาจยิ่งฝ่อ
“รติ...การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ” ชายหนุ่มกล่อม
“ข้าไม่เถียงว่าการศึกษาไม่สำคัญ แต่ทำไมต้องไปสอบเข้าโรงเรียนประจำอะไรเทือกนั้น?!” รติแย้ง หันมองน้องสาวที่หงอจนกินข้าวไม่ลง เพราะคำว่า ‘ไม่อนุญาต’
แม้จะไม่เห็นด้วยและไม่อนุญาต แต่รติก็เกรงใจท่านอมราผู้อาวุโส เขาควบคุมอารมณ์ของตนเองแล้วจึงวางมือจากชามข้าว ก่อนจะหันไปกล่าวกับหญิงชรา
“ข้ารู้สึกไม่ค่อยหิว ขอตัวไปทำผงสมุนไพรนะขอรับ”
สถานการณ์มึนตึงเช่นนี้ ย่อมไม่สมควรประจันหน้า เมื่อรติหาทางเลี่ยงจากน้องสาว หญิงชราจึงไม่รั้งไว้ พอนางพยักหน้าอนุญาต เขาก็ลุกออกจากโต๊ะ
รุจีได้แต่มองตามอย่างเสียใจ แม้กระทั่งระพียังรับรู้ได้จนต้องลูบหลังปลอบ
ตรัสถอนหายใจเบา เขารู้ว่าเรื่องนี้หากปล่อยให้รติและรุจีคุยกัน เด็กหญิงคนไม่มีทางได้เรียนในสิ่งที่อยากเรียน
ชายหนุ่มหันไปขอตัวกับผู้เป็นย่า ก่อนจะลุกตามรติไปอีกคน
ตอนที่ตามภรรยามาถึงโรงครัว ก็พบว่าในโรงครัวปราศจากผู้อื่น มีเพียงรติกำลังทำผงสมุนไพรหน้าตาบึ้งตึง ดูก็รู้ว่าเจ้าตัวไม่พอใจกับบทสนทนาเมื่อครู่เลยสักนิด
“รุจีเสียใจ ที่เจ้าไม่ฟังนาง”
รติเม้มปากแน่น หันกลับไปมองเจ้าของเสียง แม้ไม่พูดอะไร แต่ดวงตาดื้อดึง ให้อย่างไรก็ไม่ยอมปล่อยน้องสาวห่างหูห่างตา
“โรงเรียนประจำดรุณีพิไลเป็นโรงเรียนมีชื่อเสียง ไม่เพียงแค่ในเมืองตะวันออก แต่สตรีจากเมืองอื่นก็ยังอยากเข้าเรียน” ฝ่ายสามียังเป็นเพียงผู้เดียวที่ใช้น้ำเย็นเข้าลูบ กระนั้น สีหน้าของรติก็ยังดูไม่เห็นด้วย
“โรงเรียนไม่ประจำที่มีชื่อเสียงก็มีอีกถมไป” ใบหน้าของรติบูดบึ้ง ดูก็รู้ว่าเขาห่วงหวงมากเพียงใด
พี่ชายผู้นี้เห็นน้องสาวมาแต่เล็ก วันหนึ่งรุจีจะต้องไปเรียนต่อ จะได้พบหน้าแค่เฉพาะวันหยุด หัวอกคนเป็นพี่ก็โหวงเหวงไปหมด
“รติ...รุจีเป็นสตรี จริงอยู่ว่าเมื่อเติบใหญ่ก็ต้องแต่งงานเข้าสกุลอื่น แต่ความรู้ติดตัวเป็นเรื่องสำคัญ เจ้าก็รู้ใช่ไหม”
“โรงเรียนไหนก็ให้ความรู้ได้”
“โรงเรียนดรุณีพิไลมีชื่อเสียง รุจีจะไม่ได้มีเพียงแค่ความรู้ แต่ถ้านางเรียนจบจากที่นั่น จะเป็นใบเบิกทาง หากนางอยากทำกิจการ หรือประกอบสัมมาอาชีพ เจ้าจะไม่ยินดีเชียวหรือ”
คราวนี้รติเงียบ
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นห่วง แต่รุจีก็มิได้ย้ายไปกินนอนที่นั่นเป็นปีเสียเมื่อไร ทุกวันหยุด ข้าจะส่งรถม้าไปรับนางกลับมา หรือถ้าเจ้าอยากจะไปเยี่ยมนางที่โรงเรียนบ้าง ก็แวะไป ดีไหม”
รติหันมามองคนพูด ใบหน้ายังมู่ทู่
“รุจีให้ท่านมาพูดหรือ”
“ข้าเพียงเห็นว่าเป็นโอกาสของนาง จริงอยู่ว่ากว่าจะได้เข้าเรียนที่นั่นต้องสอบให้ผ่านเสียก่อน แต่นางเป็นคนมีความรู้ รุจีเองก็บอกว่าเจ้าคือคนกวดขันให้นางหัดอ่านเขียน เวลานี้โอกาสของนางอยู่ตรงหน้า อนาคตของนางจะอีกยาวไกล เจ้าจะไม่สนับสนุนนางหรือ”
รติเงียบ สิ่งที่ตรัสพูดมา ไม่ใช่ว่าเขาเห็นต่าง การศึกษาเป็นเรื่องสำคัญ รุจีจะมีทางเลือกอีกมากหากนางมีความรู้
“เอาอย่างนี้ดีไหม เราไปดูโรงเรียนนั้นก่อน เจ้าจะได้สบายใจ หากรุจีสอบเข้าได้ ที่นั่นจะเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยสำหรับนาง”
ฝ่ายภรรยาเหลือบมองคนกล่อม แล้วก็ไม่พูดกระไร หันไปผสมผงสมุนไพรต่อ อย่างไรก็ตามท่าทีของเขามิได้ขึงขังตึงตังเหมือนเมื่อครู่อีกแล้ว ตรัสพอจะเห็นสัญญานที่ดี
“รติ...” เขาเรียกเสียงเบา ขยับเข้าไปโอบไหล่ภรรยาอย่างปลอบประโลม
“รู้แล้ว ก็จะไปดูโรงเรียนนั่นอย่างไรล่ะ...”
“เจ้าต้องชอบที่นั่น ข้ารับรอง”
“ถ้าไม่ดีล่ะก็ น่าดู” คนในอ้อมแขนขู่ฟ่อ ตรัสหัวเราะเบาโยกภรรยาอย่างรักใคร่ เขาไม่พูดอะไรให้ระคายหู รติเป็นคนสดใส แต่เวลาจริงจังก็น่ากริ่นเกรง คราวนี้ไม่อนุญาตให้รุจีไปเรียนโรงเรียนประจำก็ดุจริงจนรุจีใจเสีย ท่านอมรายังไม่กล้าพูด หากภายภาคหน้าตรัสทำเรื่องผิดหูผิดตาถูกดุบ้าง เห็นทีเขาเองก็คงหงอให้อีกฝ่ายเช่นกัน
“ว่ากันว่า เรือนใดสามีกลัวภรรยา เรือนนั้นจะสงบสุข” ตรัสเปรย ทำเอาคนในอ้อมแขนหันมอง
“ไม่เห็นจริง ทำไมต้องมีใครกลัวใครด้วยเล่า สามีภรรยาไม่ใช่คนน่ากลัว เพียงแต่ต้องรู้จักรู้ใจกัน” คราวนี้คนฟังยิ้มจาง มองภรรยาด้วยสายตาหวานฉ่ำ
“แล้วข้ากับเจ้า รู้จักรู้ใจกันไหม”
รติทำปากยื่น “หากไม่รู้จักรู้ใจ ท่านจะพูดจนทำให้ข้ายอมไปดูโรงเรียนนั้นหรือ”
ตรัสหัวเราะเบา “นั่นเพราะเจ้าหวังดีกับรุจีอยู่แล้ว เพียงแต่ห่วงน้องก็เท่านั้น”
พูดมาถึงความห่วง รติก็ถอนหายใจ
“รุจีเป็นสตรี ถึงนางจะช่วยตัวเองได้ แต่เป็นหญิงก็คือเป็นหญิง แข็งแรงปานใดก็สู้ชายไม่ได้ นอกจากความปลอดภัยแล้ว นางยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี ข้าก็กลัวว่าห่างหูห่างตาแล้วนางจะถูกหลอก ถึงนางจะฉลาดเฉลียวแต่...คนเราก็ใช่จะฉลาดไปทุกวัน”
“ความห่วงใยของเจ้า นางย่อมซาบซึ้ง แต่อย่าใช้ความห่วงใยเป็นบ่วงรัดนางไว้กับตัวเลย วันนี้นางได้ออกไปเรียนรู้ วันหน้านางจะเติบใหญ่อย่างมีความรู้ความสามารถ”
“ลงท้ายเรื่องมีความรู้ แล้วข้าจะพูดอะไรได้อีก” รติย้อน ตรัสหัวเราะเบาที่ถูกจับได้ เสียงหัวเราะของตรัสและการชวนพูดคุยด้วยน้ำเสียงราบเรื่อย ย่อมทำให้บรรยากาศรอบตัวรติเบาบางลง
ท้ายที่สุด ค่ำวันนั้น รติก็ไปพบน้องสาวที่ห้องพักผ่อนเพื่อแจ้งข่าวแก่นางว่าเขาจะตัดสินใจใหม่อีกครั้ง หลังจากไปสำรวจโรงเรียนประจำแล้ว เพียงเท่านั้นดวงตาของเด็กสาวก็เต็มไปด้วยความหวัง
เห็นสายตาเช่นนั้นแล้ว รติก็รู้ว่าการที่ตรัสให้เขามาแจ้งข่าวเรื่องนี้กับรุจีด้วยตนเองก็เพื่อให้เขาเห็นว่านางจะดีใจเพียงใด หากไปสำรวจโรงเรียนดรุณีพิไลแล้วมิได้ดีเด่นอย่างที่ใครเยินยอ แต่ไม่เลวร้ายนัก เมื่อบวกลบกับความปรารถนาของน้องแล้ว พี่ชายเช่นเขาย่อมไม่อยากขัดใจ
“ท่านรู้จักข้าดีเกินไปแล้วจริงๆด้วย” รติได้แต่บ่นงึมงำ ตอนที่เดินกลับเรือนพักผ่อนพร้อมสามี ตรัสยิ้มจาง จับมือภรรยาเอาไว้
“สามีภรรยา รู้จักรู้ใจ เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือ”
ค้านไม่ได้แล้ว จากคนแปลกหน้า มาวันนี้รู้จักรู้ใจสมกับเป็นสามีภรรยา
---------
#คนแปลกหน้าคือคู่ชีวิต
ธ ม น
THAMON926
---------
ตรัสก็สายตะล่อมเหมือนกันนะคะ ฮ่าฮ่า กล่อมจนรติยอมเปลี่ยนใจ กลายเป็นสามีภรรยาที่รู้ใจกันมากขึ้นแล้วอีกนิด
ขอบคุณสำหรับทุกการอ่านนะคะ
เจอกันวันศุกร์ค่ะ